นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2557

ปู้ปู้จิงซิน Bu Bu Jing Xin



     นานแล้วที่ไม่ได้ดูซีรีย์จีน…  นานแล้วที่ไม่มีอาการ ที่ดูซีรีย์จบแล้วแต่ยังเพ้อคลั่ง อารมณ์ไม่จบแบบนี้
จนได้รับการเชิญชวนจากเจ้าแนนนี่ตัวดี.. ให้ได้หลงเข้าวังวนของ “ปู้ปู้จิงซิน”

7-20-2011 4-08-22 PM

BBJX010
      (ข้อความในที่นี้ต้องขอบคุณข้อมูลจากหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นในพันทิป , ยูทูป , ผู้จัดการออนไลน์
โดยเฉพาะบล็อก My Rose Garden ข้อมูลเยอะ และดีมากจริงๆ จึงขอหยิบยกมาแปะรวมๆ ไว้ที่นี่ด้วยนะคะ)


    ปู้ปู้จิงซิน ออกอากาศครั้งแรกทางหูหนานทีวี / Hunan Broadcasting System (HBS) ตั้งแต่วันที่
10 ก.ย. ถึง 29 ก.ย. 2554 สร้างจากบทประพันธ์ของ ถงหัว  มีคนแปลชื่อเป็นไทย โดยใช้ชื่อว่า
“สะท้านขวัญทุกย่างก้าว”  เหตุเพราะการใช้ชีวิตในราชสำนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้นั้น
ต้องระมัดระวังตัวอย่างที่สุด เรียกได้ว่าสะท้านขวัญทุกย่างก้าวจริงๆ ว่าในแต่ละวันจะเจอกับเหตุการณ์อย่างไรบ้าง
ทางผู้สร้างพยายามสร้างละครเรื่องนี้ให้ตรงตามบทประพันธ์มากที่สุด แตกต่างกันแค่ตอนจบเท่านั้น

(จะสปอยตอนจบล่ะนะ ถ้าไม่อยากรู้ก็ข้ามไป 555)
ในนวนิยายรั่วซี (นางเอก) ไม่สามารถกลับไปสู่ยุคปัจจุบันที่เธอจากมาได้และเสียชีวิตจากอาการป่วยของเธอ
ส่วนหย่งเจิ้นสวรรคตหลังจากนั้นไม่นาน (ตรอมใจ) ด้วยความหวังว่าจะได้ไปพบกับหญิงคนรักในปรโลกนั่นเอง
ส่วนในละครหลังจากรั่วซีตายแล้ว วิญญาณของเธอกลับไปสู่ร่างเดิมของเธอในศตวรรษที่ 21 และเธอได้พบกับ
หย่งเจิ้นอีกครั้งในชาติใหม่ของเขา ถึงแม้เขาจะจำเธอไม่ได้ก็ตาม

576fde1fa4cedd6d8718bff1

--------------------------------------------

        การดำเนินเรื่องของ “ปู้ปู้จิงซิน” เป็นการเดินทางผ่านกาลเวลาที่นานมาก คือกว่า 20 ปี ผ่านจากสมัยของ
คังซีไปจนถึงหย่งเจิ้ง ในละครใช้เทคนิคการเปลี่ยนฉากหลังเพื่อบอกเวลา หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าฉากจะเปลี่ยน
ไปอยู่เรื่อย เดี๋ยวหิมะตก (ฤดูหนาว) เดี๋ยวดอกไม้บาน (ฤดูใบไม้ผลิ) เดี๋ยวปีใหม่ เดี๋ยวงานเทศกาล เป็นการบอก
ให้รู้ว่าเวลาผ่านไปแต่ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าผ่านไปกี่ปีแล้ว แต่ให้ตัวละครคอยบอกเป็นช่วงๆ ว่าตอนนี้เป็นปีที่เท่าไหร่
ของคังซีแล้ว อะไรประมาณนั้น

(ส่วนนี้จะสปอยเนื้อหาละคร.. ถ้าไม่อยากรู้เรื่องก่อน ข้ามไปดูซีรีย์เลยเน๊อะ)
           “ปู้ปู้จิงซิน” เรื่องเริ่มที่  “จางเสี่ยว” หญิงสาวในศตวรรษที่ 21 เธอมีอายุราวๆ 25 ปี เกิดประสบอุบัติเหตุ
จนทำให้วิญญาณของเธอแต่ได้เดินทางย้อนเวลากลับไปในสมัยราชวงศ์ชิง รัชสมัยของพระเจ้าคังซี ไปอยู่ในร่าง
ของเด็กสาวในในที่ขื่อว่า “หม่าเอ่อไท่รั่วซี” (ในหนังสือบอกว่าเธออายุ 13 ปี แต่ในละครเปลี่ยนให้เป็น 16 ปี)
ดังนั้นรั่วซีที่เห็นตอนเริ่มแรกคือเด็กสาวอายุ 16 ที่กำลังจะเข้าพิธีคัดเลือกตัวเป็นนางกำนัล ซึ่งเป็นธรรมเนียม
ปฏิบัติของคนสมัยโบราณ ที่บรรดาลูกขุนนางและแม่ทัพสำคัญๆ ต้องส่งบุตรสาวเข้ามาเป็นนางกำนัล ด้วยเหตุผล
ทางด้านการเมือง ดังนั้นในเวลานั้น องค์ชาย 4 จะอายุประมาณ 26 ปี / องค์ชาย 8 ประมาณ 23 ปี / องค์ชาย 13
ประมาณ 17 ปี / องค์ชาย 14 ประมาณ 15 ปี นั่นคือเหตุผลที่องค์ชาย 4 กับรั่วซีค่อนข้างคุยกันรู้เรื่อง เพราะถึงแม้
รั่วซีจะอยู่ในร่างเด็กแต่จิตใจของเธอคือสาวอายุ 25 และเป็นเหตุผลที่รั่วซีและองค์ชายทุกคนผูกพันกัน (จนยุ่งเหยิง)
เพราะคบหากันมานานตั้งแต่ยังเป็นวัยแรกรุ่นจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่นั่นเอง
      หม่าเอ่อไท่รั่วซีเป็นน้องสาวของ หม่าเอ่อไท่รั่วหลัน ซึ่งเป็นชายารองขององค์ชาย 8 รั่วซีจึงมาอยู่กับรั่วหลัน
ที่ตำหนักขององค์ชาย 8 เพื่อรอการถวายตัวเข้าเป็น “นางใน”  ที่นี่เธอได้พบกับบรรดาองค์ชายทั้งหลาย
ทั้งองค์ชาย 4 (หย่งเจิ้น) ซึ่งเธอกลัวเขามากเพราะรู้ว่าเขาคือว่าที่ฮ่องเต้ซึ่งโหดมากตามประวัติศาสตร์ , องค์ชาย 13,
องค์ชาย 14, องค์ชาย 9 และองค์ชาย 10
     ระหว่างที่รั่วซีพักอยู่กับรั่วหลันนั้น องค์ชาย 8 ได้ตกหลุมรักเธอ ถึงกับมอบกำไลหยกอันล้ำค่าให้กับเธอ ถึงแม้
รั่วซีจะหวั่นไหวแต่ก็พยายามที่จะปฏิเสธเขาเพราะรู้ดีว่าเขามีจุดจบที่ไม่ดี กระนั้นเธอก็ไม่อาจฝืนใจตัวเองได้และ
รับรักเขาในภายหลัง ตัดสินใจว่าจะยอมแต่งงานกับเขาหากเขายอมละทิ้งการชิงราชบัลลังก์ เพราะรู้ว่ายังไงเขาก็
ไม่ได้ครองบัลลังก์ หากเขายอมถอนตัวมาอยู่กันอย่างสงบ ชีวิตภายหลังอาจจะดีขึ้น ไม่ต้องพบจุดจบที่แย่ตาม
ประวัติศาสตร์ แต่องค์ชาย 8 กลับเลือกบัลลังก์ เรื่องราวความรักของทั้งสองจึงต้องยุติลง
     จากนั้นเธอก็เปิดใจรับองค์ชาย 4 เข้ามาและพบเจอเรื่องต่างๆ มากมายถึงแม้เธอจะรู้ดีอยู่แล้วว่าหลังหย่งเจิ้น
ขึ้นครองราชย์จะมีแต่การนองเลือด  ดังนั้นหลังการครองราชจึงไม่สามารถทำให้เธออยู่อย่างเป็นสุขได้ และ
หลายครั้งมักมีเธอเป็นส่วนร่วมในจุดจบนั้น เธอก็ไม่อาจทนดูคนที่เธอรักและรู้จักตายไปต่อหน้าทีละคนๆ แม้ว่า
บางครั้งเขาจะทำไปเพื่อปกป้องเธอก็ตาม สุดท้ายเธอตัดสินใจไปจากเขาและไปอยู่กับองค์ชาย 14 ทั้งๆ ที่รู้ว่า
ชีวิตตัวเองเหลือเวลาน้อยเต็มทีเนื่องจากอาการป่วยของเธอ (จากการใช้ร่างกายอย่างตรากตรำและสภาพจิตใจ
ที่ตึงเครียดตลอดเวลา) สุดท้ายรั่วซีก็จากไปโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าชายคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้าย
     วิญญาณของรั่วซีกลับคืนสู่ร่างของจางเสี่ยวในศตวรรษที่ 21 เธอเฝ้าค้นหาความจริงว่าเธอนั้นเคยมีตัวตน
อยู่จริงหรือไม่ในฐานะรั่วซี หรือเธอแค่ฝันไป สุดท้ายเธอก็พบภาพวาดที่เป็นหลักฐานยืนยันว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง
และได้พบหย่งเจิ้นอีกครั้งในชาติใหม่ของเขา แต่เขากลับจำเธอไม่ได้

(ขอบคุณคลิปซีรีย์จาก BleuPeonys)
ตอนที่ 1 http://www.youtube.com/watch?v=1uuDVNgMFGY&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 2 http://www.youtube.com/watch?v=3SLZ8a8I2-4&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 3 http://www.youtube.com/watch?v=qDcHTBEozFc&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 4 http://www.youtube.com/watch?v=2RAFhH3NBQQ&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 5 http://www.youtube.com/watch?v=oRgShaKn-ao&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 6 http://www.youtube.com/watch?v=jDKs8vvSV_E&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 7 http://www.youtube.com/watch?v=Svw-zJcTJBQ&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 8 http://www.youtube.com/watch?v=EwmfFF87m_k&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 9 http://www.youtube.com/watch?v=lRsdy_qZ9NQ&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 10 http://www.youtube.com/watch?v=_1uxKZYd-1A&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o

ตอนที่ 11 http://www.youtube.com/watch?v=P5ZuE41boMI&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 12 http://www.youtube.com/watch?v=5dDjuoooXAI&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 13 http://www.youtube.com/watch?v=iRgWTOUv9co&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 14 http://www.youtube.com/watch?v=MZj9-FQ_QN0&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 15 http://www.youtube.com/watch?v=04Oo5JqxdHw&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 16 http://www.youtube.com/watch?v=n2uWXzz5fMQ&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 17 http://www.youtube.com/watch?v=SPaNAwCI-tY&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 18 http://www.youtube.com/watch?v=LZ026F2Ifjg&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 19 http://www.youtube.com/watch?v=_FDY1qLc7vc&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 20 http://www.youtube.com/watch?v=mPe18I_0YxU&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o

ตอนที่ 21 http://www.youtube.com/watch?v=Xc-p9qCPops&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 22 http://www.youtube.com/watch?v=SctgqyGb-k4&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 23 http://www.youtube.com/watch?v=KM5nDwUD244&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 24 http://www.youtube.com/watch?v=0ZVsn5eCo_U&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 25 http://www.youtube.com/watch?v=W25J3XoI9iY&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 26 http://www.youtube.com/watch?v=QSh_QVLQJls&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 27 http://www.youtube.com/watch?v=zOQJZNgWJak&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 28 http://www.youtube.com/watch?v=gc2Rjidbcns&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 29 http://www.youtube.com/watch?v=DXGGa8fYvZ8&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 30 http://www.youtube.com/watch?v=-mbQf073C54&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o

ตอนที่ 31 http://www.youtube.com/watch?v=nn4_myTbBt8&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 32 http://www.youtube.com/watch?v=WhcxdrIfjHE&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 33 http://www.youtube.com/watch?v=M3spKKkZuUg&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 34 http://www.youtube.com/watch?v=P3YUyK-YDoo&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o
ตอนที่ 35 http://www.youtube.com/watch?v=20FnRrfxPBU&list=PLD3xO2wdvNCS4mlOIaTHNxzbgr1ClfL2o

*****************************************************************


มาว่ากันตามเรื่องราวตามประวัติศาสตร์

K6256284-10                         คังซี K6256284-11                      หย่งเจิ้น


     องค์ชาย 4 หรือชื่อเดิมคือ “อิ่นเจิ้ง” เป็นลูกที่คังซีโปรดมากคนหนึ่ง เขาเป็นลูกขององค์หญิงเจ้ากงเหยิน
ซึ่งเป็นหญิงแมนจูในสายสกุลอู๋ยา (ซึ่งมีคลาสที่ต่ำกว่า อ้ายซินเจี๋ยหรอ ที่เป็นสายสกุลกษัตริย์) เมื่อเข้าวัง
ก็ได้กินตำแหน่งสนมเต๋อเฟยที่อยู่สูงกว่านางกำนัลนิดหน่อย แต่กระนั้นตัวองค์ชาย 4 ก็อยู่ในฐานะที่มั่นคงพอควร 
เพราะการเป็นนักรบ เขาก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้นำทัพกองธงแดง” แห่งทัพแปดธงในปี คศ 1689 ซึ่งสร้างความดี
ความชอบมากในสงครามปราบมองโกลที่นอกด่าน ศึกครั้งนี้ทำให้อิ่นเจิ้งกลายเป็นขุนศึกคนสำคัญของราชวงศ์
ไปโดยปริยาย และรอบๆ ของกรุงปักกิ่งนั้นเป็นเขตอิทธิพลของเขาโดยแท้
     ในฐานะนักปกครองและนักการเงินที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ องค์ชาย 4 ได้รับการพิสูจน์ตัวเองเมื่อครั้งเกิด
อุทกภัยใหญ่ในแม่น้ำฉางเจิง (แม่น้ำแยงซี) และแม่น้ำหวงเหอหรือแม่น้ำเหลืองในปี คศ 1704 เขาถูกบัญชาจาก
ฮ่องเต้ให้ไปจัดการวิกฤติในแดนใต้จากอุทกภัยที่จะทำให้ราษฏรอดตาย แน่นอนว่านี่อาจจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้
คนในราชสำนักหลายคนไม่ชอบหน้าของเขา เพราะทันทีที่ได้รับพระบัญชาจากคังซี องค์ชาย 4 ก็ลงใต้ไป
พร้อมกับองค์ชาย 13 ที่มีชื่อว่า “อิ่นเซี่ยง” ทันที เหมือนมองเห็นว่าภาวะของขุนนางคอร์รัปชั่นนั้นมีมากมาย
เหลือเกิน พระองค์จึงลงไปจัดการเชือดข้าราชการท้องถิ่นเสียหลายคน เหตุเพราะการรีดนาทาเร้นและการเม้ม
เงินส่วนกลางที่สำนักการคลังของราชสำนักส่งลงไปช่วยซื้ออาหารจนเกิดภาวะอดอยาก องค์ชาย 4 ยังเจรจา
กับบรรดาเจ้าที่และเศรษฐีในพื้นที่ให้บริจากเงินและเปิดคลังสินค้าและคลังข้าวออกขายต่อทางการในราคาที่
ถูกแลกกับการไม่เก็บภาษี สุดท้ายภัยจากแม่น้ำพิโรธก็ผ่านไป แถมยังได้เงินเข้าคลังมากกว่าเดิมเสียอีก
ด้วยความเฉียบขาดกับการจัดการข้าราชการขี้โกงนั่นเอง พระองค์จึงสร้างชื่อไว้กับชาวฮั่นทางแดนใต้อย่างยิ่ง
การเยียวยาและการจัดการความเรียบร้อยนั้นใช้เวลาเกือบสี่ปี พอกลับวังในปี 1709 เขาก็ได้รับการเลื่อนขั้น
เป็นองค์ชายชั้นหนึ่ง (First Class Prince) ทั้งๆ ที่มารดาไม่ใช่ตระกูลชั้นสูงและกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือก
ในการขึ้นเป็นกษัตริย์ได้นั่นเอง
     จุดเริ่มต้นของการเกิดศึกสายเลือดขึ้นมาก็คือ การที่องค์ชาย 2 ที่มีนามว่าอิ่นเหริง (Yinreng) องค์รัชทายาท
ของคังซีนั้นเกิดอาการเพี้ยนขนาดหนัก ทั้งๆ ที่เป็นลูกที่พ่อรักมากที่สุดและพ่อเป็นคนเลี้ยงเอง แถมยังเอา
อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดมาสอนหนังสือให้ แต่พอโตขึ้นความวิปริตก็บังเกิด ไม่ว่าจะเป็นการเชิดขันที
ขึ้นมาทำร้ายข้าราชการที่จงรักภักดี แถมยังมีความสัมพันธ์กับผู้ชายในวังเป็นเรื่องที่คังซีรับไม่ได้เลย ครั้นถูกห้าม
อิ่นเหริงองค์ชาย 2 ก็ออกไปซื้อบริการจากพวกค้าทาสแทน คังซีก็เลยถอดรัชทายาทออกจากตำแหน่งและอ้าง
เรื่องของการถอดว่าเป็นเพราะถูกหนอนคุณไสยจากพระธิเบตนิกายมิกจง พอจัดการเรื่องนี้ได้ก็แต่งตั้งเป็น
องค์รัชทายาทใหม่ กระนั้นก็ยังไม่มีความเหมาะสมพอที่เป็นรัชทายาทก็ยังปรากฏว่านอกจากจะมีจิตใจโหดร้าย
และชอบฆ่าสัตว์แล้ว องค์ชาย 2 ยังชอบสถบคำหยาบออกมาชนิดที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปจำมาจากไหน ในปี
คศ 1711 คังซีก็เหลืออดจริงๆ ก็ประกาศปลดออกเป็นครั้งสุดท้าย เพราะไปสืบทราบมาได้ว่าลูกชายคนโปรด
กำลังจะก่อการกบฎ จึงถูกจับกักขังให้อยู่แต่บริเวณในวังเท่านั้น หลังจากนั้นพระองค์ก็เลยไม่ได้ตั้งใครให้เป็น
รัชทายาทอีก แต่ได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ว่าถ้าพระองค์ตายเมื่อไหร่ก็ให้ผู้บัญชากองกำลังรักษาพระนครในขณะนั้น
มายืนอ่านพินัยกรรมต่อหน้าองค์ชายและบรรดาขุนนางและราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่แทน  ว่ากันว่าการทิ้งไพ่ปริศนานี้
คังซีอาจจะอยากเห็นองค์ชายแต่ละคนแสดงฝีมือถึงความเหมาะสมในตำแหน่งรัชทายาทมากกว่าจะพยายาม
สร้างความวุ่นวาย แต่การกลับไม่เป็นอย่างที่พระองค์คิดไว้ เพราะแทนที่แต่ละคนจะหาทางสร้างผลงาน กลับกลาย
เป็นการตามล่าหาฝักฝ่ายจากข้าราชการและเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเพื่อเสียงสนับสนุนที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไป
ผลก็คือ เกิดการแบ่งแยกฝักฝ่ายอย่างชัดเจน ออกเป็น 2 ขั้วเท่านั้น คือองค์ชาย 4 ที่กุมอำนาจในปักกิ่ง โดยมี
องค์ชาย 13 ที่ได้ชื่อว่าเป็นขุนศึกคนสำคัญของราชวงศ์ในขณะนั้นเป็นตัวสนับสนุน ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งประกอบ
ไปด้วย องค์ชาย 8 อิ่นซี่ ( Ying Si) กับองค์ชาย 14 อิ่นถี (Ying Ti)

      แต่ในประวัติศาสตร์ที่แท้จริงนั้นในช่วงท้ายของชีวิต คังซีเองก็ดูเหมือนอยากจะจะจัดการความวุ่นวายนี้อยู่
เหมือนกัน เพราะก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ไม่นาน ก็สั่งจับ “องค์ชาย 13” คู่ซี้ขององค์ชาย 4 เข้าคุกโดยยัด
ข้อหาว่าจะก่อกบฎร่วมกับพี่ชายคือองค์ชาย 2 ขณะที่กองสนับสนุนองค์ชาย 14 อย่าง “องค์ชาย 8 ” ซึ่งวิ่งเต้น
จนสามารถจับมือกับ “องค์ชาย 9” และ “องค์ชาย 10” ก็ถูกถอดยศทุกอย่างออก เรียกได้ว่าคังซีเอาตัวยุ่งออก
กันหมด เหลือเจ๋งๆ อยู่แค่สององค์เท่านั้น  ความสำคัญมันอยู่ที่ว่าคังซีคิดจะเลือกใครเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปกันแน่
เพราะพระองค์ประทับในปักกิ่ง อยู่ในเขตอิทธิพลขององค์ชาย 4 และกองทัพของเขา รวมถึงหลงเคอตัว (Longkodo)
ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร ขณะที่องค์ชาย 14  ถูกส่งไปซินเกียงและธิเบตเพื่อปราบกบฎ

     แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่สองทางซึ่งนักประวัติศาสตร์ทางตะวันตกก็ยังไม่มีข้อสรุป ทางหนึ่งบอกว่าการที่
คังซีฮ่องเต้ส่งองค์ชาย 14 ไปชายแดนเพื่อปราบกบฎนั้นก็เพื่อให้ลูกคนนี้ได้มีเกียรติประวัติในการศึกสงคราม
มากเทียบเท่ากับที่องค์ชาย 4 มี แถมการไปทำให้เขตนี้สงบลงก็เป็นการพิสูจน์ฝีมือทางด้านการปกครองอีกด้วย
แนวคิดนี้มีข้อสรุปว่า คังซีรักองค์ชาย 14 มากกว่าและต้องการให้เขาสืบทอดตำแหน่ง เพราะก่อนไปนั้น
องค์ชาย 14 ได้รับการแต่งตั้ง “จ้าวนายพลพิทักษ์เขตแดน (Great General Who Pacifies the Frontier)”
พร้อมกับทหารอีกเกือบแสนนาย  อีกทางหนึ่งนักวิชาการเสนอแนวคิดว่า คังซีอยากจะแต่งตั้งองค์ชาย 4 อยู่แล้ว
การส่งองค์ชาย 14  ไปชายแดนก็เพื่อไม่ให้เกิดสงครามภายในกันเองหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
การที่พระองค์อยู่ในเขตอิทธิพลของลูกชายนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าคังซีไว้ใจใครกันแน่
        อย่างไรก็ดีบรรดาละครต่างๆ ที่ผลิตออกมา เลือกที่จะเชื่อแนวคิดแรกมากกว่า ผลก็คือ หย่งเจิ้งกลายเป็นคนเลว
ชนิดที่เชื่อว่าองค์ชาย 4 ฆ่าพ่อของตัวเองจริง เพราะมันมีปัจจัยหลายต่อหลายอย่างที่ชวนให้เชื่อ
        เนื่องจากขณะนั้น ปัญหาใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของราชวงศ์ชิงของแมนจูก็คือ เรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่นของ
ข้าราชการโดยอ๋องผู้มีอำนาจเชื้อพระวงศ์เป็นฝ่ายหนุนหลัง คังซีนั้นมีลูกอยู่ตั้งสามสิบกว่าคน แต่ละคนก็ไม่ธรรมดา
นี่คือปัญหาใหญ่อย่างแท้จริงภายหลังการครองราชย์อย่างยาวนานของพระองค์  สำหรับองค์ชาย 4 เขามองเรื่องนี้ว่า
มันอาจจะเป็นการทำให้แมนจูล่มสลายได้เลย สภาวะที่ความคอร์รัปชั่นเข้าครอบงำจนทำให้คนอดตายกันมากมาย
หลังเกิดภัยพิบัติที่เขาเห็นมาต่อหน้าต่อตานั้นถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องหยุดมันให้ได้อย่างเร็วที่สุด  คำถามก็คือจะหยุด
มันอย่างไร? คำตอบในใจของหย่งเจิ้งก็คงอยู่ที่ว่า ต้องหยุดและสร้างความชัดเจนจากตัวของคังซีฮองเต้นั่นเอง
ตามประวัติศาสตร์นั้นเองที่หยงเจิ้งซึ่งเป็นองค์ชายองค์เดียวที่มีอำนาจและดูและพื้นที่ในเมืองหลวงที่ปักกิ่ง
ตัดสินใจควบม้าเข้าสู่พระราชวังอันเป็นที่ประทับของคังซีซึ่งอยู่ห่างจากวังหลวงนั้นประมาณ 4 ไมล์เพื่อเข้าเฝ้า
สอบถามความชัดเจนในเรื่องของการสืบราชบัลลังค์
        หลังจากการเข้าเฝ้าได้ไม่กี่ชั่วโมง คังซีฮ่องเต้ก็เสด็จเสียชีวิตไปโดยปริยาย!!
        ทันทีที่คังซีเสียชีวิตในวันที่ 20 ธันวาคม 1722 หลงเคอตัวซึ่งเป็นนายพลที่ดูแลกองกำลังรักษาพระนครหลวง
ก็ทำหนังสือไปถึงอ๋องที่อยู่รอบนอกเพื่อให้มารับฟังพินัยกรรมขององค์คังซีต่อหน้าพระศพ องค์ชายที่เข้ารับฟังการ
ประกาศพินัยกรรมครั้งนี้ประกอบไปด้วยองค์ชาย 7 พระองค์ รวมถึงบรรดาข้าราชการและเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ทันที่
ที่หลงเคอตัวประกาศพินัยกรรมของอดีตฮ่องเต้ บรรดาข้าราชการและองค์ชายในที่นั้นก็ตะลึง เพราะทุกคนต่างเล็งไป
ที่องค์ชาย 14 ที่กุมกองทัพเรือนแสนอยู่ชายขอบกันหมด แต่ผลปรากฏว่าเป็นองคชาย 4 อิ่นเจิ้ง แต่บรรดาเชื้อพระวงศ์
และข้าราชการที่คุ้นเคยกับการคอร์รัปชั่นรีดไถมานานย่อมชื่นชมเลือกหวังจะเห็นฮ่องเต้เป็นองค์ชาย 14 มากกว่า
เท่านั้นเอง กระแสข่าวของการเปลี่ยนแปลงพินัยกรรมก็เกิดขึ้นว่าเป็นฝีมือของหย่งเจิ้งร่วมมือกับยอดฝีมือชาวฮั่น
จากแดนใต้ก็เริ่มกระพือ หนักหนากว่านั้นก็คือ เรื่องของการเข้าเฝ้าและลอบปลงพระชนม์เสียเลย
        เรื่องข่าวลือนี้เป็นการยากในการรับมือ จะไปหยุดต้นตอข่าวลือ คนก็จะมองว่าต้องการฆ่าปิดปาก ครั้นทำเพิกเฉย
ไม่สนใจ คนก็ว่าอีกว่าเพราะเรื่องมันจริงก็เลยแก้ตัวไม่ออก เรียกว่ายังไงๆ ก็โดน  ในบันทึกของราชวงศ์ในยุคหยงเจิ้ง
ขึ้นครองราชย์นั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงกันหลายครั้งจนสุดท้ายก็ได้ออกมาว่า ในช่วงค่ำของวันที่ 20 ธันวาคม 1722
ก่อนที่คังซีจะเสียชีวิต เขาได้เรียกโอรสทั้ง 7 มาเข้าเฝ้าข้างเตียงอันได้แก่องค์ชาย 3 องค์ชาย 4 องค์ชาย 8 องค์ชาย 9
องค์ชาย 10 องค์ชาย 16 และองค์ชาย 17  หลังจากทุกคนมาถึงพระองค์จึงเสียชีวิต หลงเคอตัวจึงอ่านราชโองการ
พินัยกรรมแต่งตั้งองค์ชาย 4 เป็นฮ่องเต้ แต่ยังไงๆ สงครามข่าวลือก็ไม่อาจจะหยุด
      เมื่อก้าวขึ้นครองราชย์ อิ่นเจิ้งก็เปลี่ยนชื่อรัชกาลเป็นหยงเจิ้งซึ่งก็เป็นชื่อที่คนไทยและคนทั่วโลกรู้จักกันดี

      สำหรับประเด็นเรื่องการปลอมแปลงพินัยกรรม  นักประวัติศาสตร์เคยค้นเรื่องนี้แล้วสรุปออกมาเป็นข้อๆ ว่า
ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้น เพราะพินัยกรรมนั้นทำขึ้นเป็น 5 ภาษา ไล่มาตั้งแต่ภาษาแมนจู ฮั่น ธิเบต อาหรับ ไปจนกระทั่ง
มองโกล และเขียนโดยอารักษ์คนเดียวกัน ตัวหนังสือของฮั่นนั้นอาจจะแก้ง่ายๆ แต่ของภาษาอื่นนี่  ระหว่างคำว่า 14
กับ 4 นั้นห่างกันคนละโยชน์ทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะปลอมแปลงพินัยกรรมโดยการเขียนหรือลบตัวหนังสือ
แต่การปลงพระชนม์นั้นอาจจะทำได้ ในแผ่นดินจีนสมัยนั้นเรื่องของลูกฆ่าพ่อ หรือ ฆ่าพี่ฆ่าน้องเพื่อหาทางครองบัลลังก์
นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉะนั้นกาสที่หย่งเจิ้งจะทำการอย่างที่ว่าจึงเป็นไปได้สูง
       ทันทีที่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเขาก็ประกาศพระราชทานอภัยโทษและส่ง “องค์ชาย 13” ที่มีนามว่า
อิ่นเซี่ยง ซึ่งเป็นพันธมิตรมาตั้งแต่สมัยก่อนออกมาจากคุกหลังจากที่เคยถูกจองจำในสมัยของคังซีทันที เหตุที่ปล่อย
ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรนอกจากต้องการให้องค์ชาย 13 ซึ่งแต่เดิมมีชื่อเสียงที่สุดของบรรดาองค์ชายในฐานะที่เป็นยอด
นักรบพิเศษ ออกมาทำการควบคุมเมืองหลวงและจัดกำลังของกองทหารรักษาพระองค์และกองทหารที่ดูแล
พระราชวังต้องห้ามทันที นักวิเคราะห์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะหย่งเจิ้งเกรงจะมีการทำปฏิวัติขึ้นมาโดยพลพรรค
และเพื่อนฝูงขององค์ชาย 14 ที่ตอนนั้นยังอยู่ที่ชายแดน ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างก็เรียบร้อยไปตามที่คาด เพราะ
องค์ชาย 13 ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม การควบคุมอย่างแน่นหนานี่เองที่ทำให้พิธีส่งพระศพของคังซี ที่บรรดาเชื้อพระวงศ์
และตัวหย่งเจิ้งเองผ่านไปได้อย่างดี เพราะต้องคลานเข่าไป 3 ก้าวและคำนับอีก 9 ครั้ง พิธีดังกล่าวกินเวลา 3 วัน
กว่าจะเสร็จสิ้น หลังจากนั้นหย่งเจิ้งฮ่องเต้จึงมีใบบอกไปยังองค์ชาย 14 ที่อยู่ที่ชิงไห่กลับเข้ามาที่หลุมศพของคังซีได้

        ปัญหาของหย่งเจิ้งในเรื่องของการขึ้นครองราชย์นี้ ทำให้พระองค์ถึงกับต้องบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า
เป็นเรื่องหนักหนาเกินไปสำหรับพระองค์ โดยเฉพาะตั้งแต่ได้รับตำแหน่งนี้พระองค์ก็นอนไม่หลับและกลายเป็น
คนเจ้าอารมณ์ขึ้นมาแถมยังควบคุมตัวเองไม่ได้อีกด้วย ซึ่งมันสะท้อนได้อย่างเดียวว่า ความเครียดของพระองค์นั้น
เกิดจากความระแวงคนในสายเลือดเดียวกันที่จะทำการก่อการโค่นพระองค์ ข้อสรุปที่หย่งเจิ้งมักจะทำเป็นประจำ
ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาก็คือ กำจัดของต้นตอแห่งปัญหานั่นเสียเลยโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือ ไม่ต้องสน
ว่าจะเป็นญาติพี่น้องอะไรทั้งนั้น นั่นเป็นเหตุให้สุดท้ายเกิดปรากฏการณ์เลือดล้างตระกูลขึ้นมาเพราะหย่งเจิ้งจัดการ
ไล่ล่าฆ่าพี่น้องท้องเดียวกันมาจนหมดสิ้น จากนั้นก็ไล่เก็บแม้กระทั่งข้าราชการที่เคยมีข่าวว่าช่วยเหลือกันมาจน
ได้เป็นฮ่องเต้อันได้แก่ หลงเคอตัว เหนียนเกิ้งเหยา แต่เหตุที่หยงเจิ้ง จัดการกับพี่น้องแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะความโหด
และความหวาดระแวงเพียงอย่างเดียว  แต่เพราะบรรดาพี่น้องเหล่านั้นก็คิดจะก่อกบฎจริงๆ ส่วนพวกข้าราชการเหล่านั้น
ก็เป็นเหตุจากการคอร์รัปชั่นที่หย่งเจิ้งเกลียดอย่างที่สุดนั่นเอง ซึ่งเมื่อข้าราชการหรือองค์ชายเหล่านั้นเปิดจุดอ่อน
ที่จะหาเหตุให้จัดการได้ ก็โดนจัดการแบบไร้คความปราณีทีเดียว

      ความจริงมีองค์ชายหลายองค์ที่ไม่ได้ตายเพราะหย่งเจิ้ง  ยกตัวอย่างเช่นองค์ชาย 1 กับองค์ชาย 2 ถูกจับ
กักบริเวณไว้ตั้งแต่สมัยคังซีฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุที่ไม่รักดีตามมาด้วยการที่คิดจะก่อกบฎ หย่งเจิ้งฮ่องเต้ก็ไม่ได้
สนใจอะไรนอกจากขังลืมจนกระทั่งตายไปเองทั้งคู่ อิ่นเหริงผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งรัชทายาทก็ตายหลังจากที่
หย่งเจิ้งขึ้นครองราชย์ได้เพียง 2 ปี (ว่ากันว่ามีการส่งคนเข้าไปเอาผ้าขาวรัดคอให้แกอายุสั้นกว่าที่ควร)  แต่ที่
หนักหนาที่สุดในการจัดการได้แก่แก๊งค์ขององค์ชาย 8 อิ่นซี ที่จับมือกับองค์ชาย 9 และองคชาย 10 อย่างแน่นหนา
และมีหลักฐานอย่างชัดเจนว่าเตรียมการจะปฏิวัติ ซึ่งว่ากันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หนักใจมากที่สุดสำหรับหย่งเจิ้ง
เพราะ เมื่อมีการฟื้นฟูระบบสี่ที่ปรึกษาใหญ่ องค์ชาย 8 นั้นได้รับการแต่งตั้งจากหย่งเจิ้งให้เป็นหนึ่งในสี่ที่ปรึกษาใหญ่
ของพระองค์ทีเดียว แถมยังได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเป็นประธานสภาขุนนาง (President of the Feudatory
Affairs Office) เสียด้วยซ้ำไป และในเวลาต่อมาได้เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำสำนักบริหารของฮ่องเต้อีกด้วย
แต่เมื่อขึ้นสู่อำนาจได้ไม่นาน หย่งเจิ้งก็พบว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลในน้องชายคนนี้โดยเฉพาะในเรื่องของการคิด
จะก่อการและเรื่องร้ายที่สุดก็คือการคอรัปชั่น ในปี 1726 องค์ชาย 8 ก็ถูกจับโดยตั้งข้อกล่าวหาในเรื่องของการ
รับสินบนอย่างมากมาย เขาถูกขับออกจากตำแหน่งและคุมตัวออกจากวังไปกักบริเวณอยู่ที่เป่าติ้ง หลังจากที่
หย่งเจิ้งทำการตรวจสอบด้วยตัวเอง ในปีเดียวกันองค์ชาย 8 ก็ถูกพระราชทานนามใหม่จากเดิมที่ชื่ออุ๋นซี กลาย
มาเป็น “อากินะ” ในภาษาแมนจู ซึ่งแปลตรงๆ ก็คือ “ ไอ้หมู” ซึ่งแสดงถึงความสกปรกที่ชอบรับสินบนนั่นเอง
หลังจากนั้นองค์ชาย 8 ก็ป่วยกระเสาะกระแสะจนสุดท้ายก็มีคำประกาศอย่างเป็นทางการว่า เขาก่อคดีอุกฉกรรจ์
ในเรื่องของคอร์รัปชั่น 40 คดี องค์ชายหมูของหย่งเจิ้งก็ไม่มีโอกาสได้มาสูดอากาศภายนอกบ้านอีกเลยจนกระทั่ง
ตายไปในที่สุด
     องค์ชาย 9 หรืออิ่นถังซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่คังซีฮ่องเต้โปรดมากซึ่งก่อนหน้านี้เคยสนับสนุนองค์ชาย 14 และถัดมา
ก็ส่งสัญญาณว่าจะสนับสนุนองค์ชาย 8 ในการก่อการอีกด้วย หลังจากที่เป็นผู้บังคับการทหารอยู่แถวๆ ชิงไห่
แต่หลังจากที่หย่งเจิ้งทรงทราบ เขาก็โดนเล่นงานในข้อหาเดียวกันในเรื่องของคอร์รัปชั่น มีการสั่งควบคุมตัวและ
ส่งไปที่เป่าติ้งห่างจากฐานที่มั่นเดิมของเขาเกือบ 200 กิโลเมตร ขณะที่ทำการสอบสวนเขาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น
“องค์ชายหมา" ( Sesihei จากภาษาแมนจูแปลว่าหมา) หลังจากโดนจับไปกักขังได้ 2 ปีองค์ชาย 9 ก็เสียชีวิต
อย่างปริศนาด้วยอาการปวดท้องซึ่งก็ไล่ๆ กับที่องค์ชาย 8 ตายในปี 1726  และหนึ่งในแก๊งคนสุดท้าย “อิ่นเอ๋อ”
องค์ชาย 10 นั้นถูกถอดออกจากทุกตำแหน่งในเดือนพฤษภาคมปี 1724 แล้วส่งไปอยู่ในดินแดนหนาวสุดๆ ที่
ชุนยี่ ข้อหานั้นไม่แน่ใจเพราะไม่มีการบันทึกไว้ แต่คาดว่าคงจะโดนอะไรต่อมิอะไรใกล้เคียงกัน การตายของ
องค์ชายทั้งคู่นี้ก็มีการร่ำลือกันไปต่างๆ นานาว่าพวกเขาโดนวางยาพิษหรือไม่ก็โดนซ้อมจนตายเสียมากกว่า
ซึ่งน่าจะแสดงให้เห็นถึงความโหดของหย่งเจิ้งได้ดี
     สำหรับองค์ชาย 14 หรือ “อิ่นถี” หลังจากที่ถูกเรียกตัวให้เข้ามาเคารพพระศพของคังซีหลังจากที่การจัดงาน
เสร็จสิ้นแล้ว ค่ำคืนหนึ่งองค์ชายผู้นี้ก็ถูกตำรวจลับของหย่งเจิ้งฮ่องเต้เข้ารวบตัวขณะกำลังหลับเพื่อคุมตัวมาอยู่
ในหลุมฝังศพของคังซีเพื่อรับราชโองการจากฮ่องเต้องค์ใหม่ ราชโองการดังกล่าวก็คือการสั่งให้องค์ชาย 14
ดูแลพระศพขององค์อดีตฮ่องเต้คังซีตลอดไป พูดง่ายๆ ก็คือหย่งเจิ้งเอาองค์ชาย 14 มาจำคุกใต้ดินไว้ตลอด
โดยที่มีหน่วยทหารรักษาพระองค์ดูแลการทำหน้าที่ขององค์ชาย 14 อีกที สองปีถัดมาองค์ชาย 14 ที่เคยได้รับ
พระยศเป็นเจ้าพระยาปราบชายแดนสมัยคังซีมีชีวิตอยู่  ก็ถูกลดตำแหน่งขององค์ชายลงอีกสองขั้น และในปี 1725
อิ่นถีก็ได้เป็นคนเฝ้าสุสานของฮ่องเต้แบบเต็มตัว เพราะ ฐานะและตำแหน่งองค์ชายที่มีมาตั้งนานถูกทางสำนัก
พระราชวังริบคืนไปทั้งหมด
      สำหรับพันธมิตรที่ร่วมรบกันมานานและเป็นกำลังสำคัญ อย่างองค์ชาย 13 ที่กลายเป็นผู้บัญชาการทหาร
รักษาพระองค์ในช่วงแรกของการครองราชย์นั้นก็ไปได้สวยในชีวิตราชการ จากการจงรักภักดีและการทำงานหนัก
ในฐานะที่ปรึกษาและผู้แทนต่างพระเนตรพระกรรณแม้ว่าจะมีปัญหาอย่างมากมายในเรื่องของสุขภาพ ในปี 1725
อิ่นเซี่ยงถูกส่งไปทำหน้าที่ในจี้ลี่เพื่อดูแลระบบน้ำทั้งควบคุมเรื่องของการชลประทาน การควบคุมเรื่องน้ำท่วม
และการคมนาคม หลังทำงานอย่างหนักได้เกือบๆ 5 ปีหย่งเจิ้งก็เรียกเขากลับเข้ามาอยู่ข้างกายพร้อมกับเลื่อน
ตำแหน่งขึ้นเป็นองค์ชายชั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ทันทำอะไรเขาก็จากไปจากโลกนี้จากอาการป่วยหอบหืดเรื้อรัง ในปี 1730
หย่งเจิ้งฮ่องเต้ถึงกับสั่งให้หยุดราชการเพื่อแสดงความไว้อาลัยต่อองค์ชาย 13 เป็นเวลา 3 วัน ตัวของพระองค์เอง
กล่าวต่อหน้าท้องพระโรงถึงการจากไปครั้งนี้ว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของพระเทศ
     ส่วนหนึ่งของการที่หย่งเจิ้งถูกนำเสนอแต่เฉพาะเรื่องแย่ๆ หรือความโหดร้ายมากกว่าเรื่องดีๆ ของเขานั้น
เป็นเพราะนโยบายของเขาที่มุ่งไปในเรื่องการเงินการคลังแบบสุดชีวิต รวมถึงการมีนโยบายปราบคอร์รัปชั่น
แบบถึงพริกถึงขิงของเขานั่นเอง
      การจัดตั้ง “สำนักราชการส่วนพระองค์” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Grand Council ซึ่งประกอบไปด้วยที่ปรึกษา
หรือเรียกว่าองคมนตรี 5 คนและคนใหญ่ที่สุดก็คือเชื้อพระวงศ์ที่จะถูกคัดเลือก แท้ที่จริงก็คือสำนักงานตรวจสอบ
ภายใน หน่วยงานนี้มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะเรื่องร้องเรียนการทำความผิดและความพยายามที่จะ
หลบเลี่ยงการเสียภาษีโดยอาศัยช่องว่างต่างๆ นักวิเคราะห์รุ่นหลังกล่าวว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่หย่งเจิ้งมีศัตรูในวัง
แบบรอบทิศ  นอกจากนั้นบรรดาข้าราชการที่ยักยอก “ส่วนลดภาษี” ของชาวนาโดยการอาศัยการประเมินที่
ผิดพลาดก็โดนเล่นงานอย่างหนัก เพราะคนของสำนักราชการส่วนพระองค์ลงไปตรวจสอบเอง ฏีกาที่ชาวบ้าน
เคยต้องเสนอผ่านที่ทำการราชการระดับล่างก็วิ่งตรงมายังสำนักตรวจสอบนี่เลย เงินที่ชาวบ้านและชาวนาต้องเสีย
โดยการตกลงกันเองระหว่งผู้ตรวจชั้นผู้น้อยกับชาวบ้านก็ถูกส่งเข้าส่วนกลาง ผลงานที่ว่านี้ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือน
ในสำนักราชการระดับล่างอย่างหนัก เพราะรายได้ที่เคยส่งตามน้ำไปให้นายอำเภอหรือหัวหน้าของผู้ตรวจชั้นผู้น้อย
ก็ไม่มีอีกต่อไป ที่หนักกว่านั้นก็คือ การยกเลิกสิทธิของบรรดาบัณฑิตทั้งหลายในเรื่องอภิสิทธิ์ในการยกเว้นภาษี…
สิ่งเหล่านี้ทำให้หย่งเจิ้งเป็นที่รังเกียจจากบรรดาข้าราชการชั้นผู้น้อยและบัณฑิตที่เคยได้รับอภิสิทธิ์สมัยคังซียังมี
ชีวิตอยู่
        ภายในเวลา 10 ปีนับตั้งแต่ปี 1721 จนกระทั่งปี 1730 ปรากฏว่าเงินในท้องพระคลังนั้นเพิ่มจาก 32 ล้านตำลึง
กลายมาเป็น 60 ล้านตำลึง เรียกว่าทำลายสถิติที่คังซีเคยทำไว้อย่างไม่เห็นฝุ่น งบประมาณด้านการทหารก็น้อยลง
เกือบ 10 เท่า ส่วนหนึ่งเพราะหยงเจิ้งยินดีที่จะใช้การเจรจามากกว่าการทำสงคราม รวมถึงการลดขนาดของ
กองทัพลงซึ่งทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้มาก (เงินเหล่านี้กลายเป็นงบประมาณที่สำคัญในสมัยของเฉียนหลง
ฮ่องเต้)
        ขณะเดียวกันสำหรับข้าราชการชั้นสูงที่เคยร่วมสร้างบัลลังค์กันมาอย่างหลงเคอตัวและเหนียนเกิ้งเหยาก็โดน
เล่นงานไม่แพ้กัน เหนียนเกิ้งเหยานั้นจะว่าไปก็เหมือนสายลับที่ส่งไปประกบองค์ชาย 14 สมัยที่ชิงบัลลังค์กัน
เหนียนเกิ้งเหยาเป็นคนจัดการหาหลักฐานมาเล่นงานองค์ชาย 14 เสียด้วยซ้ำไป หลงเคอตัวก็คือคนคุมทหารใน
ปักกิ่งที่ยุติปัญหาการก่อการขององค์ชายต่างๆ และทำให้หย่งเจิ้งได้ครองราชย์อย่างสมบูรณ์ เหนียนเกิ้งเหยานั้น
ได้รับการไว้วางใจมากมายในช่วง 5 ปีแรกของรัชการหย่งเจิ้งในฐานะขุนศึกคนสำคัญของราชวงศ์ แต่เมื่อมีความ
พยายามจะทำการกระด้างกระเดื่องและมีหลักฐานชัดเจนว่าเขาคบคิดจะใช้กองทัพเพื่อทำการปฏิวัติร่วมกับองค์ชาย
อิ่นถังหรือองค์ชาย 9 สุดท้ายเหนียนซึ่งอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าเขตหางโจวก็โดนจับกรอกยาพิษฐานละโมบและคิดกบฎ
ในปี 1726 ส่วนคนในครอบครัวของเขาถูกประการชีวิตหมดทั้งตระกูล ขณะที่หลงเคอตัวนั้นก็อาศัยฐานะของการ
เป็นคนสนิทกระทำการคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร  สุดท้ายหย่งเจิ้งก็เลยบุกเข้าควบคุมตัวและขังลืมไว้ในบ้านจนตาย
ในปี 1728 นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งบอกว่า สองคนนี้อาจจะตายเพราะรู้ความลับมากเกินไป

        ขณะที่ความรุ่งโรจน์และการจัดระเบียบของข้าราชการและเชื้อพระวงศ์นั้นมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง แต่จู่ๆ
เขาก็เสียชีวิตลงแบบกระทันหันในเดือนตุลาคม ปี 1735 ด้วยอายุเพียงแค่ 56 ปี ตามบันทึกอย่างเป็นทางการ
(ซึ่งคงเชื่อได้ยากเต็มที เพราะบันทึกมักจะถูกแก้ให้ทุกอย่างดูดีอยู่เสมอสำหรับฮ่องเต้) หย่งเจิ้งนั้นเสียชีวิตเนื่องจาก
การทานยาบำรุงตามตำหรับต่างที่พระองค์สรรหามา หย่งเจิ้งนั้นเชื่อในเรื่องของการเป็นนิรันดร์อยู่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นพระองค์ก็เลยลองยาทุกๆ อย่างที่มีแววจะทำให้พระองค์มีอายุยืนยาวได้ ยาส่วนใหญ่ที่พระองค์ลองนั้น
ก็มีตั้งแต่สารหนูยันสารปรอท กินเข้าไปมากๆ ก็แน่นหน้าอกยันโลหิตเป็นพิษ สุดท้ายก็เลยจากโลกนี้ไปเพราะยา
ของพระองค์นั่นเอง… แต่กระนั้นก็ไม่ได้เสียชีวิตกระทันหัน ยังมีเวลาจัดการเรื่องที่ยังไม่สำเร็จให้จบเรื่อง 
พระองค์มองเห็นว่าโอกาสที่จะนองเลือดยังอาจจะมีหลังจากที่พระองค์จากไป ช่วงระหว่างที่หย่งเจิ้งรู้ว่าเวลา
เหลือไม่นานนัก พระองค์ได้เรียกตัวบุตรชายคนที่สามที่มีชื่อว่า “หงชี่” ซึ่งเคยสนิทกับอิ่นซีน้องชายของ
พระองค์มาพบ จากนั้นก็ประทานเหล้ายาพิษให้ดื่มเสียเลยเพื่อไม่ให้หงชี่ลุกขึ้นมาปฏิวัติทายาทที่พระองค์เลือกไว้
หลังจากนั้นก็ทรงเขียนพินัยกรรมและหนังสือแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ต่อไปแล้วนำไปใส่กล่องแขวนไว้ที่วังเฉียนชิ่ง
อีกฉบับหนึ่งก็เก็บไว้ที่พระองค์เอง เมื่อหย่งเจิ้งตายก็ให้เอาจดหมายทั้งสองฉบับมาเทียบกัน ถ้าตรงกันก็ค่อยให้
ประกาศอย่างเป็นทางการ  ซึ่งได้แก่ “หงลี่” หรือทั่วโลกรู้จักกันในนาม “เฉียนหลงฮ่องเต้” นั่นเอง



-----------------------------------------------
(นอกเรื่องมาเยอะ ไปตามเรื่องราวเกี่ยวกับซีรีย์ต่อกันที่ part 2 กันเลยยยยย)

####  “ปู้ปู้จิงซิน Bu Bu Jing Xin (2)  ###


2a81946294aaa

1 ความคิดเห็น: