นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 1 HAPPY BIRTHDAY




            “ระวัง!!!!  หลีกไป……….”

          เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก ทำให้เด็กหนุ่ม ซึ่งกำลังนอนหนุนแขนตนเองเหม่อมองท้องฟ้า
อันสดใส ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่งแทบจะทันที และวินาทีเดียวกันนั้นเอง เขาก็รู้สึกได้ว่ามีแรงลม
ปะทะวูบผ่านตัวไป

          “นี่กะจะฆ่ากันเลยเหรอ แซนด์” เด็กหนุ่มตะโกนถามออกไป เมื่อเห็นว่าสาเหตุของแรงลมนั่น
คือ เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง  ซึ่งกำลังฉุดรั้งเกวียนที่บรรทุกฟืนมาจนเต็มไม่ให้ไถลลงเนินไป

          “เฮ้ย! อย่ามัวแต่พูดมากน่า ไม่คิดจะมาช่วยกันเลยหรือไง มาช่วยกันหน่อย…เร็วซิ”
เสียงตะโกนตอบกลับมายังเจือด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกไม่หาย เขาเลยรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปช่วย
ฉุดเกวียนให้ชะลอความเร็วไม่ให้ไถลลงจากเนินเขา จนกระทั่งมันหยุดนิ่งบนที่ราบช่วงหนึ่ง
ของเนินเขาลูกย่อม ๆ แห่งนี้

          “โอ๊ย! ….เกือบ…ไป…แล้ว…เฮ้อ…เหนื่อยชะมัด” เสียงพูดตะกุกตะกัก ปนเสียงหอบเอ่ย
ออกมา “ขอบใจนะ เจย์ ที่มาช่วย”

          “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายเหอะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆอีกละ”

          “จะบ้าเหรอ !“ เสียงตอบกลับเกือบจะทันทีที่เด็กหนุ่มเจ้าของนามว่าเจย์พูดจบ   “นายเห็นฉัน
กำลังเล่นอะไรสนุก ๆ จนต้องมายืนเป็นหมาหอบแดดอยู่อย่างนี้เหรอ”

          “โธ่! อย่าโมโหน่า แซนด์”   เจย์ยังคงพูดต่อไปอย่างอารมณ์ดี   “คนที่น่าจะอารมณ์เสียน่ะ
น่าจะเป็นฉันมากกว่านะ เกวียนนายเกือบจะทับหัวฉันไปแล้ว โชคดีที่ยังหลบทัน”

          “แล้วใครใช้ให้นายมานอนเอ้อระเหยอยู่บนนี้ล่ะ” แซนด์ตอบกลับด้วยเสียงที่เกือบเป็นปกติ

          “นายกำลังทำให้บรรยากาศในการพักผ่อนวันนี้ของฉันเสียหมดเลย น่าเสียดายชะมัด นายดูซิ
วันนี้ท้องฟ้าสวยจะตายไป เป็นวันแรกในรอบสัปดาห์เลยนะเนี่ย ที่ท้องฟ้าไม่มืดครึ้ม ฝนไม่ตก”

          “ฉันไม่มีเวลามานั่งซึมซับบรรยากาศแบบนายหรอก” เด็กหนุ่มเจ้าของนัยต์ตาสีเขียวมรกต
ซึ่งขุ่นมัวเมื่ออยู่ในอาการที่หงุดหงิดเช่นนี้ ยังคงยืนหายใจหนัก ๆ แสดงอาการเหนื่อยจากการที่ต้อง
ออกแรงเมื่อสักครู่ “เหนื่อยจะแย่ ร้อนก็ร้อน เฮ้อ! ฉันต้องแพ้ยัยนั่นอีกแน่ ๆ เลย บ้าชะมัด ….”

          “แล้วเที่ยวนี้ นายไปท้าแข่งอะไรกับน้องอีกล่ะ” เจย์ยังคงถามต่อด้วยน้ำเสียงและสีหน้า
ราบเรียบ อย่างเห็นเป็นเรื่องปกติ

          “ก็ .. ก็.. ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไร้สาระน่ะ นายอย่าสนใจเลย” แซนด์รีบตัดบท   “แล้วตกลง
นายมาทำอะไรอยู่บนนี้ล่ะ”

          “ก็บอกแล้วไง ว่าขึ้นมาพักผ่อน ชมวิว บรรยากาศดีอย่างนี้ มัวอยู่แต่ในบ้านเสียดายตายเลย“   
เจย์ตอบคำถามขณะที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า พร้อมกับยิ้มสดใส นั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้ ดูน่ามอง
ยิ่งขึ้นไปอีก

          แซนด์ มองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ถึงเค้าจะเป็นรุ่นพี่ แต่ก็อายุมากกว่าแซนด์แค่ปีเดียว ทั้งสอง
จึงสนิทกันเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทั้งคู่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ และมักจะได้รับคำชม
อยู่บ่อย ๆ  ว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีทั้งคู่ เจย์เป็นเจ้าของร่างสูงโปร่ง ตาสีน้ำตาลเข้มรับกับผม
สีดำขลับ คิ้ว จมูก ปาก ช่างประกอบกันอย่างลงตัวบนใบหน้าที่คมเข้มนั้น ส่วนแซนด์ ถึงจะไม่สูง
เท่าเจย์ แต่ก็ไม่ได้เตี้ยไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แต่ด้วยผมสีม่วงอ่อน ๆ และนัตย์ตาสีเขียวมรกต ซึ่งถือ
เป็นจุดเด่นที่ทำให้แซนด์ดูแตกต่างจากเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้าน

          “เฮ้… ว่าไง” เสียงเจย์ดังขึ้น ทำให้แซนด์สะดุ้ง หลุดจากภวังค์

          “หา… นายว่าอะไรนะ”

          “ฉันถามนายว่า” เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำเริ่มต้นเน้นประโยคคำถามชัด ๆ ทุกคำ ก่อนจะ
เอ่ยเรียบ ๆ เมื่อเห็นสติของคนตรงหน้ากลับมาอีกครั้ง “นายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า ฉันจะได้ช่วย
นายเข็นเกวียนลงเขาไปไง”

          “อืม… ก็ดีซิ มีนายช่วยอีกแรง จะได้ไม่ไถลวืดไปแบบเมื่อกี้นี้อีก”

          ว่าแล้วทั้งคู่ก็เริ่มออกแรงเข็นเกวียนบรรทุกไม้ฟืนลงเขาไปตามทางที่ขรุขระอย่างทุลักทุเล 
โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่กระท่อมขนาดย่อม ๆ ที่ตีนเขา

          “จะว่าไปแล้ว นายก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่บ้านฉันนานแล้วนะเนี่ย แม่ยังบ่นถึงนายอยู่เลย” แซนด์พูดพลาง ขณะที่ต้องก้มหัวหลบกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากข้างทาง

          “ก็ช่วงนี้ ฝกตกทุกวันเลย นายก็เห็น อย่างที่ฉันบอกไง วันนี้อากาศดีจริง ๆ เลย”  เจย์ตอบพลาง
ทำท่าสูดอากาศหายใจฟอดใหญ่ “นี่ถามจริงเหอะ ทำไมนายถึงคิดกลับบ้านทางนี้ล่ะ ทางดี ๆ มี
ไม่ยอมใช้ นายก็รู้ทางสายนี้ ธรรมดาแล้วไม่มีใครเค้าใช้แล้วนะ มันทั้งรก ทั้งขรุขระขนาดนี้”

          “ฉันคิดว่าทางนี้น่าจะกลับบ้านได้เร็วกว่าทางข้ามแม่น้ำในหมู่บ้าน ก็เลยจะลองดู ไม่นึกว่า
มันจะชันขนาดนี้"

          “แล้วผลที่ออกมา ดันช้ากว่าเก่า แถมเกือบทำฉันซวยไปด้วย คิดแบบนี้ซิน๊า… ถึงได้มีเรื่อง
ปวดหัวแทบทุกวัน”

          “อย่ามัวบ่นเลยน่า นายน่ะรู้ตัวมั๊ย ทำตัวเป็นคนแก่ขึ้นทุกวันแล้ว รีบ ๆ เข็นเข้าเถอะ จะได้
ถึงบ้านเร็ว ๆ วันนี้แม่ทำขนมไว้ด้วยนะ”

          “จริงเหรอ ลาภปากอีกแล้ว กำลังคิดถึงขนมฝีมือคุณป้าอยู่พอดี โชคดีจริง ๆ เล้ย…..”

          “เอ้า.. ก็รีบ ๆ เข้าสิ เจย์ วิ่ง… เร็ว นึกถึงขนมเข้าไว้ ขนม…..ขนม….ขนม…..”
แซนด์เร่งพร้อมกับเข็นเกวียนวิ่งเร็วขึ้น

                                                     ************************

           “มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะลูก”

          “คอยพี่ค่ะแม่ น่าจะถึงได้แล้ว ไม่รู้มัวแต่ไปเถลไถลที่ไหน สงสัยรู้ตัวว่าแพ้ เลยไม่กล้ากลับมา
สมน้ำหน้า”

          “จริง ๆ เลย พี่น้องคู่นี้ คราวนี้แข่งอะไรกันอีกล่ะ หืม…”

          “ก็แข่งกันว่า ใครจะกลับถึงบ้านก่อนค่ะ”

          “อ้าว! พี่เค้าไปตัดไม้ที่ด้านโน้นของป่าไม่ใช่เหรอ ทางก็ต้องไกลกว่าลูกที่ไปตักน้ำที่แม่น้ำ
อยู่แล้ว ยังไง ๆ พี่เค้าก็ต้องแพ้หนูอยู่ดี ทำไมถึงรับคำท้ากันล่ะ”

          “อ๋อ.. ก็หนูต่อให้นี่คะ หนูขนน้ำสองเที่ยว ให้พี่ขนไม้ฟืนแค่เที่ยวเดียว อันที่จริงหนูเสียเปรียบ
กว่าด้วยนะคะเนี่ย ยังเสร็จก่อนพี่เค้าเลย กลับมาคราวนี้จะทำโทษอะไรคนที่แพ้ดีน๊า…. แม่ช่วยหนู
คิดหน่อยซิคะ นะคะแม่ นะคะ”

          “ไม่ต้องมาอ้อนแม่หรอก ไม่ยุ่งด้วยแล้ว พี่น้องคู่นี้ มีเรื่องกันได้ทุกวี่ทุกวัน หนูน่ะจะคอยพี่
ก็เข้ามาคอยในบ้านดีกว่า มาเร็ว อย่ามัวยืนตากแดดอยู่ เดี๋ยวไม่สบาย พานีย์เข้ามาด้วยนะ”

          “ค่ะ แม่ … ไป นีย์ เข้าบ้าน “ เด็กสาวตอบแม่ พร้อมกับหันไปลากสุนัขตัวใหญ่ที่ทั้งตัว
ปกคลุมไปด้วยขนสีดำเป็นมัน ซึ่งกำลังจ้องมองมาเหมือนกับรู้ว่ามีคำสั่งให้พามันเข้าบ้านไปด้วย

                                                       ***********************

          “โฮ่ง…..โฮ่ง…..”

          “แม่คะ เสียงนีย์ สงสัยพี่จะกลับมาแล้ว หนูไปดูนะคะ” เสียงเด็กสาวร่างโปร่งบางพูดด้วยความ
ตื่นเต้น ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องครัวไปในทันที

          “ว่าไง คนขี้แพ้ กลับมาแล้วเหรอ อ้าว…..” เสียงเด็กสาวชะงักไป เมื่อเห็นคนตรงหน้า

          “หวัดดี ซายน์” เจย์ทัก

          “พี่เจย์ มาได้ยังไง นึกว่าแซนด์ซะอีก”

          “ซายน์” เสียงแม่ดุมาจากในครัว

          “ค่ะแม่ … พี่แซนด์ก็ได้” ซายน์ตอบกลับเบา ๆ แล้วหันหน้ากลับมาทางเจย์ด้วยสีหน้าเบื่อ ๆ

          “อยู่นี่ “ เสียงพี่ชายตะโกนมาจากด้านข้างของกระท่อม

          “ทำไมช้าอย่างนี้ล่ะ เค้ากลับมาตั้งนานแล้วนะ “ ซายน์รีบเยาะทันทีที่เห็นหน้าแซนด์
พร้อมด้วยท่าทางยืนกอดอก ยิ้มมุมปาก ซึ่งเป็นท่าที่ซายน์คิดว่าคงจะกวนอารมณ์แซนด์ได้ดีที่สุด

          “สวัสดีครับ คุณป้า” เจย์รีบเดินเข้าไปทักแม่ของคู่แฝดทันทีเมื่อเห็นท่านเดินออกมาจาก
ห้องครัว พร้อมกับยกถาดใส่ขนมออกมาด้วย

          “อ้าว เจย์ ไม่ได้เจอซะตั้งนาน.. พอดีเลย มา มาทานขนมด้วยกัน”

          “ขอบคุณครับ” เจย์ตอบ พร้อมกับรีบปรี่เข้าไปช่วยถือถาดใส่ขนมไปวางไว้บนโต๊ะ

          “เอ้า …. สองคนนั่น จะเถียงกันอีกนานมั้ย” ผู้เป็นแม่หันไปถามลูก ๆ ที่กำลังยืนเถียงกัน
อย่างเอาเป็นเอาตายที่ประตูบ้าน

          “แม่คะ ก็พี่เค้าไม่ยอมรับว่าแพ้นี่คะ บอกว่าครั้งนี้ให้ถือเป็นโมฆะ เพราะพี่เค้าไปเจอพี่เจย์
ระหว่างทาง เลยแวะคุยกัน ทำให้กลับมาช้า ขี้โกงชะมัดเลย” ซายน์พูดด้วยน้ำเสียงงอน ๆ แล้ว
เดินมานั่งที่โต๊ะ เอื้อมมือหยิบขนมเข้าปากทันที

          “นี่นายโกงน้อง โดยเอาฉันเป็นข้ออ้างเหรอ” เจย์แอบกระซิบกับแซนด์ ขณะที่แซนด์เดินมา
นั่งข้าง ๆ พร้อมกับหยิบขนมเข้าปาก

          “นายอย่าเสียงดังซิ ดีนะที่ฉันหัวไว คิดข้อแก้ตัวนี้ได้สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อกี้นี้เอง รอดตัวไป ไม่งั้น
โดนยัยนั่นหาวิธีแปลก ๆ มาทำโทษอีกแน่ ๆ” แซนด์กระซิบกลับพร้อมกับเคี้ยวขนมไปด้วย

          “คุณป้า ไม่มาทานขนมด้วยกันเหรอครับ” เจย์หันกลับไปทักแม่ของเพื่อน เมื่อเห็นว่าท่าน
นั่งเหม่อมองมาที่โต๊ะ ด้วยสีหน้าเศร้า ๆ

         “ไม่ล่ะจ๊ะ ตามสบายน่ะ ลูก ๆ ทานกันเถอะ” พูดจบ นางก็หันกลับไปมองเหม่อออกไปนอก
หน้าต่าง ด้วยสีหน้าเศร้า ๆ ตามเคย

                                                          ***********************

          “เอาอาหารให้นีย์ แล้วเหรอลูก” แม่เอ่ยถาม ขณะที่แซนด์กำลังล้างมือเพื่อจะเตรียมตัว
รับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน

          “ครับแม่ วันนี้นีย์ไม่รู้เป็นอะไรฮ่ะ วิ่งไปวิ่งมา ไม่ยอมให้จับเลย กว่าจะจับตัวไปผูกกับที่ได้
เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่” แซนด์ตอบขณะเดินมานั่งที่โต๊ะ

          “อย่าโกรธนีย์เลยน่ะลูก มันอยู่กับเรามานานแล้ว ต่อไปนีย์อาจจะช่วยลูก ๆ ได้มาก โดยที่
ลูกนึกไม่ถึงเลยก็ได้”

          “ช่วยอะไรคะแม่” ซายน์ถามพลางเริ่มต้นกินแซนด์วิชในมือ

          “เอาเถอะ อย่าถามเลย รีบ ๆ ทานอาหารเช้ากันเร็วเข้า กลับจากโรงเรียนวันนี้แม่มีเรื่อง
สำคัญจะคุยกับลูก ๆ ด้วยนะ”

          แซนด์กับซายน์มองหน้ากันอย่าง งง ๆ กับพฤติกรรมของแม่ในวันนี้ แม่ดูเลื่อนลอย และมี
สีหน้าที่ดูวิตกกังวล อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งคู่จึงรีบกินแซนด์วิชในจานของตนเอง และดื่มนม
จนหมดแก้วเก็บความสงสัยไว้ในใจและไปทำกิจกรรมตามปกติ

          ตกเย็น เมื่อทั้งคู่กลับจากโรงเรียนในหมู่บ้าน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว พี่น้อง
ฝาแฝดก็ออกเดินตามหาผู้เป็นมารดาซึ่งไม่เห็นอยู่ในบ้าน จนกระทั่งมาพบว่าท่านนั่งอยู่บนตอไม้
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาเป็นบริเวณกว้าง นีย์นอนหมอบอยู่แทบเท้าแหงนหน้ามองผู้เป็นนายที่
กำลังเหม่อมองไปในทุ่งหญ้าเบื้องหน้า

          ซายน์เพิ่งจะเห็นว่ามองแม่จากมุมนี้ แม่ดูบอบบาง และดูแก่ลงไปมาก วันนี้แม่ดูแปลก ๆ
ไปจริง ๆ แม่ดูห่อเหี่ยว ไร้ชีวิตชีวา และดูเศร้าหมอง ท้อแท้ สิ้นหวัง

          “แม่คะ “ ซายน์เรียกแม่เบา ๆ ขณะเดินเข้าไปใกล้แม่ ก้มลงกอดแม่ไว้ เหมือนจะปลอบประโลม

          “นั่งลงสิ ทั้งสองคน แม่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย แม่อยากให้ทั้งคู่ตั้งใจฟังสิ่งที่แม่จะพูดนี้ให้ดี
เข้าใจมั้ย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นเช่นเคย

          “ค่ะ” “ครับ” ทั้งคู่ตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

          “วันพรุ่งนี้ ลูก ๆ ก็จะมีอายุครบ 15 ปีกันแล้วซินะ”

          “เออ….ใช่ จริง ๆ ด้วย พรุ่งนี้วันเกิดพวกเรานี่นา ลืมซะสนิทเลยเน๊อะซายน์” แซนด์ตะโกน
ทะลุกลางปล้องขึ้นมา แต่ก็รีบเงียบเสียงลงทันที เมื่อเห็นสายตาของแม่ที่มองปรามมา

          “อายุ 15 กันแล้วซินะ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ” แม่เหม่อมองไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ
อย่างไม่ได้มีเจตนาจะพูดกับแซนด์และซายน์

          “แม่คะ” ซายน์เรียกแม่เบา ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เมื่อเห็นแม่พูดไปพร้อม ๆ กับน้ำตาที่คลอหน่วย

          “มันเร็วจริง ๆ แม่ยังไม่ทันจะคิดเลยว่าจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ลูกฟังอย่างไร ลูก ๆ ถึงจะเข้าใจ
ในสิ่งที่แม่จะเล่าให้ฟัง แม่จะเริ่มต้นตรงไหนดีนะ เพราะแม่มัวแต่คิดว่ายังมีเวลา แล้วค่อย ๆ อธิบายให้
ลูกฟังไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่เผลอแป๊บเดียว ก็ถึงวันพรุ่งนี้แล้ว มันเร็วจริงๆ”

          “แม่กำลังจะบอกอะไรกับเราน่ะ เธอรู้เรื่องรึเปล่าซายน์” แซนด์กระซิบถามซายน์อย่าง งง ๆ
ทั้ง ๆ ที่สายตายังคงจ้องไปที่แม่ ซึ่งตอนนี้นั่งเหม่อมองออกไปแสนไกล ซายน์ได้แต่ส่ายหัวไปมา
โดยที่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าของผู้เป็นมารดาตรงหน้า

          “แม่จำได้ว่าเมื่อตอนเล็กๆ ลูกๆ เคยสงสัยและถามแม่เสมอว่าทำไมเราถึงไม่ไปอยู่ในหมู่บ้าน
เหมือนคนอื่น ๆ ทำไมชาวบ้านถึงชอบมองลูกแปลก ๆ ทำไมแม่ไม่เคยเข้าไปในหมู่บ้านเลย แต่แม่
ก็ไม่เคยตอบคำถามเหล่านั้น บอกแต่ว่าสักวันหนึ่งลูก ๆ จะรู้เอง” แม่ยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย
น้ำเสียงราบเรียบ

          “อุโมงค์กินคน” อยู่ ๆ แม่ก็พูดโพล่งขึ้นมา

          “ค๊ะ” “อะ..อะไรครับ” ทั้งซายน์และแซนด์สะดุ้งโหยง พร้อมกับปล่อยเสียงออกมา

          “อุโมงค์ที่อยู่หลังป่าด้านโน้น ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าอุโมงค์กินคน ลูก ๆ รู้จักใช่มั้ย ลูกรู้มั้ย
ทำไมชาวบ้านจึงเรียกมันว่าอุโมงค์กินคน” แม่เงียบไปอึดใจ เมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ ต่างนั่งนิ่งจ้องมอง
มายังตนเป็นตาเดียว โดยไม่เอ่ยปากอะไรออกมา จึงเริ่มต้นพูดต่อโดยสายตายังทอดมองออกไป
แสนไกล  “นั่นเป็นเพราะไม่ว่าใครที่เข้าไปในอุโมงค์นั่นแล้ว ไม่เคยจะกลับออกมา ชาวบ้านกลัว
อุโมงค์นั่นมาก ว่ากันว่าเป็นที่อยู่ของปีศาจที่ต้องกินคนเป็นอาหาร”

          “พ่อด้วยใช่มั้ยคะแม่ พ่อก็หายไปในอุโมงค์นั่น”  อยู่ๆ ซายน์ก็พูดขึ้นมา

          แม่ชะงักคำพูดที่กำลังจะพูดต่อ ตวัดสายตากลับมามองหน้าซายน์ที่กำลังจ้องมองมาและเมื่อ
เบนสายตาไปมองอีกคนหนึ่งก็เห็นแซนด์กำลังจ้องมองแบบรอคอยคำตอบเช่นกัน   “จ๊ะ ลูก”
แม่ตอบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลงมา “ฟังแม่ดี ๆ นะลูก ทุก ๆ อย่างมันเริ่มจากแม่ไม่ใช่คนที่นี่
แม่จากอุโมงค์นั่น” แม่พูดพร้อม ๆ กับหันหน้ามองไปทางชายป่า ซึ่งลึกเข้าไปคือที่ตั้งของอุโมงค์นั่น อุโมงค์ที่ชาวบ้าน ขนานนามให้ว่า อุโมงค์กินคน

          “พ่อมาเจอแม่สลบอยู่หน้าอุโมงค์ แล้วพ่อก็พาแม่กลับมาอยู่ในหมู่บ้าน แต่พอชาวบ้านรู้ว่า
พ่อเจอแม่ที่ไหน ทุกๆ คนก็รังเกียจแม่ พากันว่าแม่คือปีศาจ จะนำภัยพิบัติมาสู่หมู่บ้านไม่มีใครต้อนรับ
แม่ พากันขับไล่ พ่อจึงต้องพาแม่มาสร้างบ้านอยู่กันที่นี่ นี่คือสาเหตุต่าง ๆ ที่ลูกเฝ้าถามกันมาตลอด”

          “แม่… คือว่า…. แล้วแม่คือใครครับ” แซนด์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แทบจะเป็นเสียงกระซิบ

          “ต่อมาไม่นาน แม่ก็ตั้งท้อง” แม่ยังคงเล่าต่อ โดยมีสายตาอับอบอุ่น แต่ดูปวดร้าวจ้องมองมายัง
ทั้งสองคน ซึ่งตอนนี้มีแต่สีหน้าที่ดูงุนงงปรากฏอยู่บนใบหน้า “แต่ตอนแม่ใกล้จะคลอด แม่ก็ไม่รู้ว่า
แม่เป็นอะไร แม่เหมือนคนไม่สบายมาก มีไข้สูง และมักจะเพ้อแต่ว่าจะกลับบ้าน จนทำให้พ่อ
พลอยเป็นกังวลไปด้วย พ่อพยายามหาวิธีรักษาแม่ทุกทางแต่ไม่สำเร็จ อาการแม่หนักมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนกระทั่งพ่อทนไม่ไหวกลัวว่าจะเสียทั้งแม่และลูกไป พ่อจึงตัดสินใจเข้าไปในอุโมงค์ เพราะคิดว่า
น่าจะมีอะไรในอุโมงค์ หรือมีวิธีใดที่จะรักษาแม่ได้  แต่นับตั้งแต่นั้น พ่อก็ไม่กลับมาอีกเลย ถ้าแม่
มีแรงมากพอ แม่จะห้ามพ่อ ห้ามไม่ให้พ่อเข้าไปที่นั่น” แม่กล่าวจบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

          “แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ แม่หายได้ยังไง แล้ว … แล้วตกลง แม่เป็นใครคะ” เสียงซายน์ถามขึ้น

          “จนกระทั่งวันหนึ่ง” ผู้เป็นมารดายังคงเล่าความหลังไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจต่อคำซักถามของ
เด็กน้อยทั้งสองตรงหน้า “แม่คิดว่าคงเป็นวันที่แม่ต้องตายแน่แล้ว แม่เจ็บปวดไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือน
ตัวแม่จะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และแล้วแม่ก็คลอดลูกทั้งสองออกมา  และนั่นก็ทำให้อาการทุกอย่าง
ของแม่หายเป็นปกติ แม่ไม่รู้ว่าทำไม เกิดอะไรขึ้นกับแม่ แต่แม่คิดว่าคงเป็นเพราะที่นี่ ในโลกนี้
ทำให้แม่มีอาการผิดปกติตอนจะคลอด เมื่อคลอดลูกแล้วแม่จึงกลับเป็นปกติ เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย
ถ้าแม่ห้ามพ่อทัน พ่อก็คงไม่จากเราไป”  เสียงแม่เริ่มสะอื้น

          “แม่คะ …. “ “แม่ครับ….” ทั้งสองลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดแม่พร้อม ๆ กัน

          “พ่อเป็นมนุษย์ธรรมดา พ่อจึงไม่ได้กลับออกมา แม่ก็ไม่รู้ว่าพ่อเข้าไปที่นั่นแล้วพ่อจะเป็นอย่างไร
บ้าง เพราะฉะนั้น หนูทั้งสองเป็นเสมือนตัวแทนความรักที่พ่อมีให้แม่เสมอมา  เพราะไม่ว่าแม่จะ
เป็นใครมาจากไหน พ่อก็ไม่เคยคิดจะถามแม่เลย พ่อมีแต่ความรักให้แม่ตลอดจนกระทั่งวันสุดท้าย
ที่พ่อจากไป พ่อก็จากไปเพราะความรักที่พ่อมีให้กับแม่  แม่รักหนูทั้งสองมากนะลูก” แม่กล่าวต่อ
พร้อมกับลูบหัวแซนด์และซายน์ไปด้วย

          “แม่ครับ ผมมีเรื่องจะถามหน่อยได้มั้ยครับ” แซนด์ถามขึ้น และเมื่อเห็นว่าแม่มองกลับมา
เหมือนจะรอฟังอยู่ แซนด์ก็ถามต่อ “แล้วตกลงแม่มาจากไหนครับ ในอุโมงค์นั่นมีอะไรกันแน่”

          “อุโมงค์นั่นเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างโลกนี้กับโลกที่แม่มา  โลกนั้นชื่อว่าพาร์ตรีไดส์

          “พาร์ตรีไดส์” ทั้งคู่ประสานเสียงออกมาพร้อม ๆ กัน แบบงง ๆ

          “ใช่จ๊ะ พาร์ตรีไดส์ และแม่คิดว่าลูก ๆ คงจะได้รู้จักมันเร็ว ๆ นี้”

          “ทำไมคะแม่ แม่จะพาเราไปที่นั่นเหรอคะ” ซายน์ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

          “มันขึ้นอยู่กับลูกจ๊ะ อยู่ที่การตัดสินใจของลูกทั้งสอง ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไป หรืออยากจะรู้จัก
พาร์ตรีไดส์” แม่ตอบด้วยสายตาเลื่อนลอย

          “แล้วทำไม แม่ไม่พาพวกเราไปตั้งแต่ที่พ่อหายไปละครับ ที่จริงแม่ไม่ต้องทนอยู่ที่นี่ให้คนใน
หมู่บ้านทำอย่างนี้กับแม่ เรากลับไปอยู่บ้านของแม่กันก็ได้ เน๊อะซายน์” แซนด์ถามด้วยน้ำเสียง
กระตือรือร้น อย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ

          “ไม่ได้หรอกลูก มันยังไม่ถึงเวลา พาร์ตรีไดส์ ไม่ใช่สถานที่ ที่ใครอยากจะมา หรืออยากจะไป
ตามใจชอบได้ ทุกอย่างมีข้อกำหนดและแม่ก็คิดว่านี่คงถึงเวลาของลูก ๆ แล้ว ซายน์ เข้ามาใกล้ ๆ
แม่ซิลูก” แม่พูดพลางก้มลงหยิบของที่อยู่ในกล่องเล็ก ๆ ข้าง ๆ ตัว

          “ของขวัญวันเกิด ปีที่ 15 ของลูกจ๊ะ ลูกต้องสวมมันไว้ตลอดเวลานะ ห้ามถอดมันออกจากตัว
เด็ดขาด” แม่พูดพลางสวมสร้อยสีเงินเส้นเล็ก ๆ ให้ซายน์

          “ขอบคุณค่ะแม่” ซายน์ก้มดูสร้อยที่อยู่บนคอตนเอง เป็นสร้อยที่สวยมาก เธอนึกในใจ  สวยจน
บอกไม่ถูก และรู้เพียงแค่ว่าเธอชอบมันมาก มันเป็นสร้อยสีเงินเส้นเล็ก ๆ ดูบอบบางเหมือนกับจะ
ขาดได้ง่าย ๆ สายเล็ก ๆ ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ ซายน์จับจี้ที่ห้อยอยู่กับสร้อยขึ้นมาดู มันเป็น
คริสตันใสสีม่วงอ่อน ๆ รูปแมลงปอกางปีก แต่ที่สะดุดตาที่สุดคือส่วนหางของแมลงปอ กลับกลาย
เป็นโลหะสีเงิน ซึ่งเป็นสี่เหลี่ยมหนามีปุ่มแหลมที่ไม่เท่ากันยื่นออกมา  3 ปุ่ม

          “แซนด์ นี่ของลูกจ๊ะ” เสียงแม่ดังขึ้น เรียกให้ซานย์เงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้า แม่กำลัง
สวมสร้อยข้อมือให้พี่ชาย มันเป็นสร้อยแบบเดียวกันกับที่เธอได้รับ แต่มีขนาดใหญ่กว่า สร้อยข้อมือ
ของแซนด์เมื่อนำตะขอมาเกี่ยวกันแล้วจะกลายเป็นรูปแมลงปอเหมือนของซายน์เพียงแต่มีลักษณะ
ที่เล็กกว่า และไม่มีปุ่มโลหะสีเงินที่หาง

          “ขอบคุณครับแม่” แซนด์ตอบขณะที่ตายังจ้องมองที่อยู่สร้องข้อมือของตนเอง

          “ลูกทั้งสองคน ต้องดูแลกันดี ๆ นะ อย่าทิ้งกัน รักกันมาก ๆ แซนด์ ลูกเป็นพี่ต้องดูแลน้องด้วย
นะลูก  แม่รักลูกทั้งสองคนมากนะจ๊ะ” แม่พูดเป็นครั้งสุดท้าย

                                                            ********************

             “ซายน์ ตื่นเร็ว วันนี้วันเกิดเรานะ ไปดูดีกว่าว่าแม่เตรียมอะไรให้เรากินบ้าง เร็ว ๆ ซิ” เสียง
แซนด์ตะโกนปลุกแต่เช้า

          “โห … พี่แซนด์ ไม่ค่อยบ้าเห่อเลยนะ ปกตินอนตื่นซะสาย วันนี้ทำไมเป็นฝ่ายมาปลุกได้ล่ะเนี่ย” ซายน์งัวเงียตอบ แต่ก็ลุกขึ้นเก็บที่นอนให้เป็นระเบียบ เหมือนเช่นที่ทำทุกวัน

          “แหม วันนี้วันพิเศษทั้งที ก็ต้องมีอะไรพิเศษ ๆ หน่อย เร็ว ๆ เข้าสิ ยายอืดอาด ไม่งั้นไม่รอ
แล้วนะ เดี๋ยวถ้าออกไปก่อนเจออะไรอร่อย ๆ จะกินให้หมด ไม่เหลือให้เลย” แซนด์ตอบกลับมา
ด้วยน้ำเสียงร่าเริง

          “รอด้วย แป๊บเดียว นะ.. นะ...”

                                                                       **************

           “แม่คะ” “แม่ครับ” ทั้งคู่ประสานเสียงเรียกแม่ เมื่อเห็นว่าในห้องครัวไม่มีใครอยู่

          “แม่หายไปไหนล่ะเนี่ย หรือจะเซอร์ไพส์อะไรเรารึเปล่าน๊า” เสียงแซนด์ดูตื่นเต้นกับเรื่องแปลก
ของวันนี้

          “ไม่น่าจะใช่นะพี่แซนด์ ตามปกติแล้วป่านนี้แม่ต้องอยู่ในครัวแล้วนี่นา แยกกันหาแม่ดีกว่า
พี่ไปดูข้างนอกก็แล้วกัน เดี๋ยวซายน์จะเข้าไปดูแม่ที่ห้อง เผื่อว่าแม่จะไม่สบาย” น้องสาวจัดการกับ
สถานการณ์เฉพาะหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

          “อืม ก็ได้” แซนด์ตอบ แล้วทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปตามทางที่ตกลงกันไว้


           “แม่….. แม่คะ”

1 ความคิดเห็น:

  1. ที่มาของชื่อต่าง ๆ

    - พาร์ตรีไดส์ (pathreedise) = ชื่อเรื่องคิดไว้หลายชื่อมาก แต่มาจบลงตัวที่ชื่อ ๆ นี้ ซึ่งเป็นชื่อสถานที่ ที่เกิดเรื่องราวทั้งหมด มาจากการผสมคำสองคำ คือ Threeworld และ paradise

    - ซายน์ และ แซนด์ = ชื่อของสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ ไม่มีที่มาที่ไปจากไหนเลย บอกไม่ได้ว่าได้ชื่อนี้มาจากไหน แต่ชอบเป็นการส่วนตัว ตอนแรกที่คิดจะเขียนเรื่องนี้ ชื่อตัวเอกสองพี่น้อง ก็ลอยขึ้นมาเองซะงั้น

    - เจย์ = ได้มาจากคำว่า JAY ซึ่งเป็นคำเรียกนกในตระกูลอีกาของยุโรป

    ตอบลบ