นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 2 การสูญเสียและการเริ่มต้น

 

 

           “แม่….. แม่คะ” เสียงซายน์ตะโกนอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นมาจากในบ้าน ทำให้แซนด์ที่กำลัง
จะปลดโซ่นีย์ ถึงกับชะงักและรีบวิ่งกลับเข้าบ้าน

          “เกิดอะไรขึ้นซายน์” พี่ชายตะโกนถามทันทีที่เปิดประตูบ้านออกและรีบวิ่งไปยังห้องของแม่

          “พี่แซนด์   แม่….. แม่เป็นอะไรไม่รู้   ฮือ….ฮือ….. พี่แซนด์ ฮือ…ฮือ…..” หญิงสาวได้แต่พร่ำ
พูดซ้ำไปซ้ำมาขณะยืนอยู่ข้าง ๆ เตียงแม่แล้วเอาแต่ร้องไห้

          เมื่อแซนด์วิ่งเข้ามาถึง รีบวิ่งตรงไปยังเตียง  ภาพที่เห็น แม่นอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียง  ใบหน้าแม่
ดูงดงามปานรูปวาด สีหน้าขาวซีดแต่กลับดูมีความสุข กระนั้นสิ่งที่ทำให้แซนด์ถึงกลับทรุดตัวลง
ข้างเตียงจับมือแม่ไว้ ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม คือร่างที่นอนอยู่ตรงหน้า ไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว

          “พี่แซนด์” เสียงเล็ก ๆ ที่เรียก ทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อต้องรีบเงยหน้ามองน้องสาว ที่ได้แต่
ยืนร้องไห้ น้ำตาไหลมาเป็นทาง โดยที่ไม่ขยับเข้ามาแม้แต่จะจับตัวหญิงที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง

          “แม่นอนหลับใช่มั้ย เมื่อไหร่แม่จะตื่นล่ะ” ซายน์ถามพร้อม ๆ น้ำตาที่ยังไหลไม่หยุด เสียงที่
เธอถามเหมือนรอความหวังให้พี่ชายตอบกลับมาว่า แม่เพียงแค่นอนหลับ เธอยังคงทำใจไม่ได้
ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะจากไปโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

          “ซายน์ … ซายน์ฟังพี่นะ แม่ไม่ต้องทนเหนื่อยต่อไปอีกแล้ว แม่มีความสุขมากเห็นมั้ย แม่ยิ้ม
ให้เราด้วย   ดูซิ แม่มีความสุขแค่ไหน”   แซนด์เดินเข้ามากอดปลอบซายน์ไว้ และพาหญิงสาวที่
กำลังตัวสั่นเทาเดินมาที่เตียง จับมือน้อย ๆ วางไปบนมือขาวซีดของผู้เป็นมารดา

          “แม่คะ หนูรักแม่ค่ะ หนูรักแม่ค่ะ” ซายน์ได้แต่พูดซ้ำไป ซ้ำมาก้มลงซบกับอกแม่ พร้อมกับ
ร้องไห้โฮ

          “แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุด” แซนด์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก้มหน้าซบลง
พร้อมกับโอบกอดร่างของแม่และน้องไว้ในอ้อมแขน ด้วยน้ำตาที่รินไหลอาบแก้ม

                                                               ***********************


           “แม่คงอยากให้เราไปที่ พาร์ตรีไดส์ มากกว่า”

          “แต่เราไม่รู้จักที่นั่นนะคะ เราไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง เป็นแบบไหน เราจะอยู่ได้เหรอ” เสียงซายน์
ตอบกลับ ทั้งคู่ยังไม่รู้ว่าทำยังไงกันต่อไป เมื่อขณะนี้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนอยู่กันลำพังสองคนบนโลกใบใหญ่นี้

          สองพี่น้องนำร่างไร้วิญญาณฝังไว้ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ ที่เจ้าของร่างชอบนั่งเป็นประจำ  สองวัน
ที่ผ่านมาตั้งแต่เสียเสาหลักของครอบครัวไป ทั้งคู่อยู่แต่ในบ้านได้แต่นั่งซึมอยู่กันอย่างเงียบ ๆ อย่าง
ผู้สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตอันใหญ่หลวง วันที่นำร่างแม่ลงฝังยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจคนทั้งสอง
แม่ดูสวยราวกับเทพธิดา ใบหน้าแม่ดูสวยงามราวรูปวาดในสมัยโบราณ รอยยิ้มน้อย ๆ บนหน้าขาวซีดนั้นยังคงติดตาอยู่ ภาพนีย์ที่เอาแต่นอนหมอบอยู่ปลายหลุมโดยไม่มีเสียงใด ๆ จากปากของมัน ชั่วขณะหนึ่ง
ที่ซายน์หันไปมอง ถ้าตาของเธอไม่ฝาดเพราะน้ำตาที่เอ่อไหลอยู่ตลอด เธอค่อนข้างแน่ใจว่า เธอเห็น
น้ำตาของนีย์ มันคงรับรู้ว่าแม่ได้จากพวกเราไปแล้ว วันนี้เป็นวันที่สามของการสูญเสีย หลังจากที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนักเมื่อสองวันที่ผ่านมา เพราะต่างคนต่างรู้สึกแย่ ๆ และอยู่ในช่วงทำใจ อยู่ ๆ วันนี้
พี่ชายเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่ ก็พูดเชิงปรึกษาหารือกับเธอว่าจะทำยังไงกันต่อไป

          “แต่ถ้าเราคิดเรื่องที่แม่พูดกับเราไว้ก่อนท่านจากไปให้ดี อยู่ ๆ ท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง และยัง
บอกอีกว่าเราคงจะได้รู้จักมันเร็ว ๆ นี้   แม่บอกว่ามันขึ้นอยู่กับเราว่าจะตัดสินใจยังไง อยากจะอยู่ที่นี่
ต่อไป หรืออยากจะรู้จักพาร์ตรีไดส์ และคงถึงเวลาของเราแล้ว จำได้หรือเปล่าล่ะ” แซนด์ถามซายน์
ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แฝงความกังวล  หากวันนี้ยังคงเป็นเหมือนเมื่อวันที่ได้รับฟังเรื่องนี้ และผู้เล่ายังคง
อยู่ตอนนี้ แซนด์คงเห็นเป็นเรื่องสนุกและคงตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ลองอะไรที่แปลกใหม่ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่เหมือนกับเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ เป็นการลิขิตเส้นทางชีวิตที่จะต้องเดินต่อไปในอนาคต
ทั้งของตัวเองและน้องสาวที่เหลืออยู่

          “แต่…. แต่…. เราไม่เคยเห็นที่นั่น ไม่รู้ว่ามันมีจริงรึเปล่านะคะ ถ้าเราจะไปที่นั่น เราต้องเข้าไป
ในนั้น …  ในอุโมงค์กินคน”   น้ำเสียงซายน์แสดงความลังเลและหวาดหวั่น

          “ซายน์ไม่เชื่อที่แม่เล่าให้ฟังเหรอ”

          “ไม่ใช่ไม่เชื่อค่ะ แต่มันไม่มีรายละเอียดอะไรเลยนะคะ เราไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า พาร์ตรีไดส์ คืออะไร
จะเข้าไปได้ยังไงแล้วต้องทำอะไร ยังไงบ้าง”

          “ยังไงพี่ก็ยังคิดว่าแม่คงต้องการให้เราไป แต่ถึงยังไงก็แล้วแต่ ทุกอย่างพี่ให้ซายน์ตัดสินใจ
หากซายน์ไม่ต้องการไปพาร์ตรีไดส์และอยากอยู่ที่นี่ พี่ก็จะตามใจ ซายน์คิดดูให้ดีแล้วกัน”

          “เราจะไปพาร์ตรีไดส์ค่ะ พี่แซนด์” น้ำเสียงแสดงความเด็ดเดี่ยว หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง
และเมื่อแซนด์มองสบตาผู้เป็นน้องสาว ก็พบกับสีหน้าที่มุ่งมั่น และการตัดสินใจที่เด็ดขาด

          “ได้ ตกลง เราจะไปที่นั่น เราจะไปบ้านของแม่กัน” แซนด์ตอบตกลงอย่างตัดสินใจแล้ว
เช่นเดียวกัน

                                                               *************************


           “แน่ใจแล้วนะ ว่าจะไม่เสียใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”  แซนด์ถามขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนอยู่
หน้าปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งในป่า ที่ได้รับขนาดนามว่า ‘อุโมงค์กินคน’

          “ค่ะพี่แซนด์” เสียงซายน์ตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ลึก ๆ ในใจแล้ว เธอก็ยังรู้สึกกลัวและ
เป็นกังวลอยู่ดี

         “นีย์ เดี๋ยวซิ ขอเวลาทำใจหน่อย” เสียงแซนด์ตะโกนขึ้นพร้อมกับออกแรงดึงโซ่ไว้ เมื่อสัตว์เลี้ยง
ที่อยู่อีกปลายด้านหนึ่งของโซ่ พยายามที่จะลากเขาเข้าไปในอุโมงค์ให้ได้

          “โฮ่ง…. โฮ่ง….”

          “ดูท่าทางมันอยากเข้าไปข้างในนั่นมากเลยนะพี่แซนด์” หญิงสาวพูดพลางพยักเพยิดให้ชายหนุ่ม
ดูเจ้าสุนัขสีดำขลับ ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตา ทำท่าจะวิ่งเข้าไปในอุโมงค์ให้ได้

          “อืม เหมือนมันดีใจที่จะได้เข้าไปข้างในนั่น” แซนด์ตอบพลางออกแรงดึงโซ่ให้มากขึ้นอีก

          “นี่พวกนายกำลังทำอะไรกัน” เสียงดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งและหันหลังกลับไปมองยัง
ต้นเสียงพร้อมกัน

          “เจย์” “พี่เจย์” เสียงทั้งคู่ประสานกันเบา ๆ ต่างหันกลับมามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับ
คนที่มาใหม่ดี

          “ว่าไง กำลังจะทำอะไร อย่าบอกนะว่าวันนี้จะเล่นเข้าไปในอุโมงค์นั่นกันน่ะ มันไม่ใช่เรื่อง
เล่น ๆ นะ มันอันตรายขนาดไหนก็รู้กันดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเล่นอะไรเสี่ยง ๆ และอันตรายแบบนี้
ไม่นึกถึงคุณป้าบ้างเหรอ” เสียงเจย์ดุพอๆ กับหน้าที่ตอนนี้ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

          “เราไม่ได้เล่นกันค่ะ พี่เจย์” หญิงสาวเป็นคนตอบ

          “นายรู้ได้ไงว่าเราอยู่กันที่นี่ “ แซนด์ถามด้วยความอยากรู้

          “ฉันก็ไปหานายที่บ้านไง แต่ไม่เห็นมีคนอยู่ ก็เลยลองเดินมาเรื่อย ๆ คิดว่าคงเล่นอะไรกันอยู่ที่
ชายป่า  แล้วก็ได้ยินเสียงนีย์เข้า เลยรีบวิ่งมาเนี่ย” เสียงเจย์ยังคงไม่เป็นปกตินัก น้ำเสียงที่เจือไปด้วยอารมณ์ยังคงคาดคั้นเอาคำตอบ   “ตกลงพวกนายจะบอกได้หรือยังว่ากำลังเล่นอะไรกัน"

          “เราไม่ได้เล่นค่ะ พี่เจย์” เสียงซายน์ยังคงยืนยันคำพูดเดิม

          “ฟังนะเจย์ เราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าให้นายฟังยังไงดี แต่คราวนี้เราไม่ได้เล่นกัน ใช่... เรากำลังจะ
เข้าไปในอุโมงค์นั่น เรากำลังกลับบ้าน บ้านของแม่ เจย์”

          “บ้านของแม่” ชายหนุ่มที่จู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาใหม่ทวนคำ “นี่ พวกนายเป็นบ้าอะไรไปแล้ว บ้านของ
แม่ที่ไหน บ้านนายอยู่ที่โน่นไง” เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำยกมือชี้ไปทางด้านหนึ่งของป่าที่เป็นที่ตั้งของกระท่อม “แล้วนี่คุณป้าไปไหน ที่บ้านก็ไม่อยู่ ฉันจะไปฟ้องคุณป้า ว่านายกับน้องเล่นอะไรเลยเถิดเกินไปแล้ว”   เสียงเจย์ดุขึ้นมาอีก

          “แม่จากพวกเราไปแล้วค่ะ พี่เจย์” เสียงซายน์ตอบเบา ๆ ก้มหน้าลง พยายามบังคับไม่ให้น้ำตา
ไหลออกมา

          “อะ …อะไรนะ” เจย์ตกใจ

          “แม่เสียเมื่อสามวันที่แล้ว เราให้แม่พักผ่อนอย่างสงบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน”   เสียงแซนด์ตอบกลับอย่างเบาๆ เช่นกัน

          “เกิดอะไรขึ้น นี่มันอะไรกัน ฉันงง ไปหมดแล้ว คุณป้า เอ่อ.. เสียชีวิตแล้ว ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ทำไมนายไม่บอกกันเลยล่ะแซนด์” เจย์ได้แต่ยืนงง และทำหน้าเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

          “ฟังน่ะเจย์ ก่อนที่แม่จะเสีย แม่เล่าให้พวกเราฟังว่า แม่มาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งอยู่อีกฝั่งของอุโมงค์นี่
แม่ไม่ใช่คนที่นี่ และในอุโมงค์ไม่ได้มีปีศาจอย่างที่ชาวบ้านพูดกัน แต่มันคือโลกอีกโลกหนึ่งต่างหาก”

          “หา….” เจย์ยังคงได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น และทำหน้างุนงงหนักขึ้นไปอีก

          “เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีแม่ เราจึงตัดสินใจกันว่า เราจะลองไปยังเมืองของแม่ดู เราจะเข้าไปใน
อุโมงค์นั่นค่ะ ไปโลกของแม่ ไปยังพาร์ตรีไดส์” ซายน์พูดต่อ พร้อมกับหันหน้ากลับไปมองที่อุโมงค์
อีกครั้ง

          “นายสองคนไม่สบายรึเปล่า” เจย์ยังคงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินอยู่ดี

          “เราพูดเรื่องจริง ลาก่อนนะเจย์ เราคงไม่ได้พบกันอีก ฉันดีใจมากที่ได้รู้จักนายนะ” แซนด์เดิน
เข้ามาจับบ่าเจย์ พร้อมกับยิ้มกว้างเพื่อยืนยันคำพูด

          “เฮ้ย… ตกลงนี่ เอาจริงเหรอ พวกนายจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ”

          “ค่ะ เราพูดเรื่องจริง และเราก็กำลังจะทำอย่างนั้นจริง ๆ ลาก่อนนะคะพี่เจย์” หญิงสาวคนเดียว
ในกลุ่มพูดจบพร้อมกับหันหลังกลับเตรียมตัวจะก้าวเข้าไปในอุโมงค์พร้อมๆ กับพี่ชายฝาแฝด และนีย์
ที่ขณะนี้ยังตั้งหน้าตั้งตาจะวิ่งเข้าไปในอุโมงค์ท่าเดียว

          “เฮ้ย…เดี๋ยว ๆ ๆ ไปด้วย ฉันไปกับพวกนายด้วย”  เสียงเจย์พูดอย่างจริงจัง หลังจากที่ทั้งคู่
เดินเข้าไปใกล้อุโมงค์มากแล้ว

          “นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะคะพี่เจย์” ซายน์หันกลับมามองเจย์ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนห้ามเด็ก
ที่กำลังจะเล่นอะไรที่อันตราย ๆ

          “ใช่ ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เรายังไม่รู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง นายไปกับเราไม่ได้หรอก” แซนด์
ยืนยันคำพูดของน้องสาว

          “ก็รู้แล้วไง ว่าไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นี่มันเรื่องใหญ่ และใหญ่มากด้วย พวกนายจะไปกันสองคนนี่นะ
ไม่ได้หรอก ยังไง ๆ ฉันก็ต้องไปด้วย ไม่ต้องห่วงฉันรับผิดชอบตัวเอง แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้
ฉันต้องห่วงด้วย พ่อแม่ฉันก็ไม่มี อยู่ไปวัน ๆ ก็เท่านั้น แล้วชีวิตฉันตอนนี้ก็มีพวกนายเป็นเพื่อนที่สนิท
ที่สุด  ถ้าไม่มีพวกนายแล้วฉันอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่รู้ล่ะ ยังไง ๆ ฉันก็ต้องไปด้วยให้ได้”
พูดพลาง  เจ้าของประโยคยาว ๆ ก็เดินเข้ามายืนข้าง ๆ กับสองพี่น้อง

          ขณะนี้ทั้งสามคน ยืนหันหน้าเข้าหาอุโมงค์ แต่ละคนเงียบมองเข้าไปในความมืดมิดในอุโมงค์นั่น
ไม่มีใครพูดอะไร เหมือนกับตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด นีย์ยังคงพยายาม
เข้าไปในอุโมงค์ให้ได้ แซนด์หันมามองหน้าซายน์และเจย์อีกครั้งก่อนจะถอนหายใจและพนักหน้าให้กับ
ทั้งสองคน

          “ไป เราไปกันได้แล้ว พาร์ตรีไดส์ รอเราอยู่” พูดจบแซนด์ก็เดินตามนีย์เข้าไปในอุโมงค์ นำหน้า
ทั้งสองคนเข้าไป โดยมีซายน์เดินตรงกลางและเจย์เดินปิดท้าย

                                                             **********************


             ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ในอุโมงค์ยิ่งมืดมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ทุก ๆ อย่างรอบตัวซายน์มีแต่
ความมืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย เธอรู้แต่ว่าการก้าวเดินของทุกคน ช้าลงเรื่อย ๆ เพราะมองไม่เห็น
ทางข้างหน้า หญิงสาวได้แต่จับชายเสื้อข้างหลังของพี่ชายไว้ และก็รู้สึกเหมือนกันว่าชายซึ่งนับเป็นพี่
อีกคนก็คงเดินอยู่ข้างหลังไม่ห่าง ถึงแม้เขาจะไม่ได้จับเสื้อเธอไว้เหมือนที่เธอทำกับพี่ชาย แต่ก็รู้สึกได้
ว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าอากาศข้างในนี้จะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และผนังของอุโมงค์คงกว้างออกจากตอนเดินเข้ามาแรก ๆ เพราะไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนตอนเดินเข้ามาใหม่ ๆ เอ๊ะ...หรือว่าจะชิน
กับกลิ่นอับชื้นของอากาศข้างในนี้กันแน่ เธอเองก็ไม่แน่ใจ แต่ที่รู้ ๆ คือ เธอไม่กล้าที่จะลองยื่นมือ
ออกไปข้าง ๆ เพื่อลองสัมผัสกับผนังของอุโมงค์ดูหรอก เพราะกลัวว่ามันจะไปเจอเข้ากับอะไรสักอย่าง
ที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังกลัวอะไร

          ทุกย่างก้าวที่เดิน แซนด์ก็ได้แต่คิดไปมาว่า ตัวเองกำลังทำผิดหรือเปล่า ทำให้น้องกับเพื่อนอีกคน
ตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งสับสน ถึงตอนนี้ความกลัวก็พุ่งขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะยิ่งเดิน
ต่อไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งมืดมิดเท่านั้น แถมรู้สึกเหมือนจะต้องเดินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สิ้นสุด นี่ก็เดินมา
สักพักแล้ว แต่ยังมองไม่เห็นทางออกเลย เราจะพากันมาตายในนี้รึเปล่านะ พ่อ ใช่แล้ว แล้วพ่อล่ะ
ตอนพ่อเดินมาในนี้  พ่อจะเป็นยังไง พ่อคงจะไม่กลัวเหมือนเราแน่ ๆ เพราะพ่อคงคิดแต่จะหาทางช่วย
แม่กับเราที่อยู่ในท้อง  แล้วตอนนั้นพ่อจะต้องเดินอยู่ในนี้นานเท่าไหร่นะ แล้วต้องเจอกับอะไรบ้าง
ทำไมพ่อถึงหายไปเฉย ๆ  ไม่กลับไปหาแม่ คิดได้เท่านี้เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีก จะทำยังไงดี คิดซิ ๆ 
ตั้งสติให้ดี แซนด์ได้แต่ท่องอยู่ในใจอย่างนั้น

          นี่เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เจย์ได้แต่คิดวนเวียนไปมา มันไม่ใช่การเล่นสนุกเหมือนที่เคยเป็นมา
ครั้งแรกที่ได้ยินสองคนพี่น้องพูดถึงโลกอีกโลกหนึ่งที่ปลายอุโมงค์ข้างหน้า เขาได้แต่คิดว่ามันคง
เป็นเรื่องล้อเล่นธรรมดา แต่เมื่อทั้งคู่ยืนยัน และดูจากสีหน้าท่าทางทั้งคู่แล้ว มันดูจริงจังมากกว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่นธรรมดา ๆ ได้ ตอนนั้นเขารู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ ความรู้สึกอีก
ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมา คือ ความดีใจ ซึ่งตัวเองก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม เขากลับรู้สึกยินดีที่ได้ยินว่าอีกด้าน
ของอุโมงค์มีโลกอีกโลกหนึ่ง  โลกที่ไม่มีใครรู้จัก และกำลังจะเชื้อเชิญทั้งสามคนเข้าไปหามัน นี่คง
เป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเขาเองตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะต้องมากับทั้งสองคนพี่น้องนี้ด้วย และจะไม่ยอมพลาดโอกาสอันนี้ไปเด็ดขาด โดยเขาตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะไม่มีทางเสียใจกับการ
ตัดสินใจครั้งนี้เลย อีกไม่นานคงจะได้รู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น

                                                                  *******************


            “เหนื่อยรึเปล่า ซายน์ จะพักมั้ย” เสียงพี่ชายถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่า แรงดึงของเสื้อข้างหลัง ดูจะ
แรงขึ้นเหมือนคนดึงเริ่มล้าแล้ว

          “ไม่เป็นไรค่ะพี่แซนด์ รีบเดินต่อไปดีกว่า ซายน์ไม่ชอบในนี้เลย มันมืดสนิท มองอะไรไม่เห็นเลย ซายน์อยากพ้นจากอุโมงค์นี่เร็ว ๆ”

          “เอางั้นเหรอ เจย์ นายล่ะ ว่าไง”

          “แล้วแต่เหอะ ยังไงก็ได้ ฉันไม่เป็นไร” เจย์ตอบกลับมาเบา ๆ

          “โฮ่ง…. โฮ่ง….”

          “เสียงนีย์ เหมือนบอกจะให้เราไปต่อนะคะ”

          “อืม ไป เราเดินกันต่อดีกว่า พี่ว่าอีกไม่นานเราคงเจอทางออกแล้วล่ะ ทนหน่อยน่ะซายน์”

          “ค่ะพี่” ซายน์ตอบ และหวังว่าคงจะอีกไม่นานเหมือนที่พี่ชายพูดไว้ แม่คะ แม่ช่วยพวกเรา
ด้วยนะคะ ช่วยคุ้มครองให้พวกเราไปยังพาร์ตรีไดส์ บ้านของแม่โดยปลอดภัย หนูเชื่อว่าขณะนี้
แม่คงเฝ้ามองเราและคุ้มครองเราอยู่

          “นีย์ อย่าวิ่งซิ อย่าวิ่ง ช้า ๆ ได้ยินมั้ย” เสียงแซนด์ทำให้ซายน์หลุดจากความคิด และรู้สึกได้ว่า
ร่างของชายหนุ่มข้างหน้ากระตุกไปตามแรงฉุดของนีย์ แต่เมื่อแซนด์ออกแรงฉุดเจ้าสุนัขตัวโตไว้ได้
ทั้งหมดก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ ตามเคย

          “พี่คะ พี่ว่าแม่กำลังเฝ้ามองดูเราอยู่รึเปล่าคะ” เสียงซายน์ถามขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นว่า เดินกันมาสักพัก
ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น

          “แน่นอน แม่ต้องกำลังมองดูพวกเรา และคุ้มครองพวกเราทุกคน เชื่อพี่ซิ”

          “โฮ่ง… โฮ่ง….”

          “คงใกล้ถึงทางออกแล้วล่ะ ไม่เชื่อลองสูดอากาศซิ หอมจัง กลิ่นอะไรนะ” เสียงแซนด์ตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้น

          “อืม.. จริง ๆ ด้วย หอมมากเลย” เสียงเจย์ดังขึ้น

          “กลิ่น….กลิ่น…..” เสียงซายน์พูดได้แค่นั้น ก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย

                                                                 **********************


           “กรี๊ด………….”

          “พี่….พี่แซนด์…. ช่วย…. ช่วยด้วย” เสียงซายน์หวีดร้อง เมื่อรู้สึกตัวและลืมตาขึ้นมาพบว่ามีเงา
ของตัวอะไรซักอย่างชะโงกหน้ามาอยู่ห่างจากหน้าตนเองไม่มากนัก

          “ไม่ต้องตกใจ ซายน์ …ซายน์” เสียงทุ้มหนัก ๆ พูดขึ้น แต่นั่นมันยิ่งทำให้ซายน์ผวาหนักกว่าเก่า

          “ช่วยด้วย พี่แซนด์…” เสียงแหลม ๆ ของหญิงสาวยังคงกรีดร้องต่อไป พร้อมกับการหลับตาปี๋
เพื่อหนีภาพตรงหน้า

          “อะไรกันซายน์ ลืมตาขึ้นสิ นี่พี่ไง ซายน์…. ซายน์” แซนด์เขย่าตัวน้องสาวเบา ๆ

          “พี่แซนด์ ช่วยด้วย ๆ ตัวอะไรก็ไม่รู้”   เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือพี่ชายตนเอง ซายน์ผวาเข้าไปกอด
ไว้แน่น   “ตัวอะไรไม่รู้ เมื่อกี้อยู่ตรงนี้” ซายน์บอก พร้อมกับชี้มือไปตรงหน้า

          “นีย์ไง” แซนด์ตอบกลับ พร้อมกับทำหน้าตื่นเต้น

          “นีย์เหรอ ไม่ใช่หรอกพี่แซนด์ ไม่ใช่นีย์” หญิงสาวยังยืนยัน

          “นีย์จริง ๆ ไม่เชื่อเหรอ นีย์… นีย์ …. มาซิ ซายน์หายตกใจแล้ว” เสียงแซนด์ตะโกน

           “นะ…นะ…นีย์… นีย์…จริง ๆ เหรอ” เสียงซายน์ขาด ๆ หาย ๆ และยิ่งเขยิบเข้าใกล้และกอดแซนด์
แน่นขึ้น เมื่อเห็นว่าตรงหน้าตนนั้น คืออะไร

          “ใช่ นีย์เอง” เจ้าของเสียงทุ้มหนักที่ซายน์ได้ยินครั้งแรก เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เธอเห็นได้ชัดว่า
ออกมาจากปากเจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้า ใช่... ต้องเรียกว่า ‘ตัว’

          “นีย์ เป็น.. เป็น.. มังกร” เสียงซายน์ยังตื่นตระหนก “เป็นมังกร แถม..แถมยังพูดได้ด้วย ไม่นะ
ฝันไป ต้องฝันไปแน่ ๆ เลย นีย์เป็นหมาไม่ใช่มังกร”

          “ไม่ใช่ฝันซายน์ ตอนนี้เราอยู่ที่ พาร์ตรีไดส์ ไงซายน์ แล้วนี่ก็คือนีย์จริง ๆ” เสียงแซนด์เจือไปด้วยความร่าเริงและสดใส

          “นีย์เป็นมังกร” ซายน์ยังคงพึมพำกับร่างตรงหน้า เมื่อได้เพ่งมองให้ชัด ภาพตรงหน้าคือมังกร
ขนาดไม่ใหญ่นัก ขณะที่มันหุบปีกอยู่นี้ตัวมันใหญ่พอ ๆ กับม้าตัวใหญ่ ๆ ตัวนึงเท่านั้นเอง ไม่เหมือน
กับมังกรที่เธอเคยนึกไว้เวลาอ่านหนังสือแล้วจินตนาการถึง แต่สิ่งที่เหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเดียวของบ้านเธอที่สุดคือ  สีดำเป็นมันของผิวมังกรนั่น สีเหมือนนีย์จริง ๆ แต่เป็นไปได้ยังไง นีย์คือมังกร ยิ่งคิดเธอก็ยิ่ง
ไม่เข้าใจ

          “เมื่ออยู่ในโลกโน้น ร่างของนีย์จะกลายร่างเองโดยอัตโนมัติ ไม่เช่นนั้น ผู้คนจะแตกตื่น”
เหมือนเจ้ามังกรตัวโตจะอ่านความคิดหญิงสาวออก

          “ถ้าเช่นนั้น นีย์ก็ไปจากโลกนี้ พร้อม ๆ กับแม่ล่ะซิ นีย์อยู่กับแม่มานานแล้วซิ ใช่มั้ย” เสียงซายน์
เริ่มกลับมาเป็นปกติ

          “ใช่ เราไปจากที่นี่ด้วยกัน นีย์เป็นสัตว์เลี้ยงประจำตัวของเซร่า”

          “เซร่า” เสียงซายน์กับแซนด์เอ่ยขึ้นพร้อม ๆ กัน

          “เซร่า เป็นชื่อของแม่เมื่อตอนอยู่ที่โลกนี้ไง” นีย์ตอบกลับมาเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของทั้งคู่

          “แล้วทุกคนใน พาร์ตรีไดส์ ต้องมีสัตว์เลี้ยงประจำตัวทุกคนเลยรึเปล่าครับ” แซนด์ถามอย่าง
กระตือรือร้น ด้วยความอยากรู้   เพราะอยากมีสัตว์เลี้ยงแปลก ๆ แบบนี้บ้าง

          “ไม่หรอก แซนด์ คนที่จะมีสัตว์เลี้ยงประจำตัวได้ แสดงว่าต้องเป็นบุคคลสำคัญในด้านใดด้านหนึ่ง
ของพาร์ตรีไดส์เท่านั้น และส่วนมากจะไม่รู้ตัวมาก่อนหรอกว่าจะมีสัตว์ใดเป็นสัตว์เลี้ยงประจำตัว”

          “พี่เจย์ล่ะ พี่เจย์หายไปไหนแล้ว พี่แซนด์” อยู่ ๆ หญิงสาวก็ถามขึ้นเมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวแล้วเห็นว่า
มีแค่ตัวเอง พี่ชาย แล้วก็นีย์ที่อยู่ตรงนี้

          “อ๋อ เจย์เห็นว่าซายน์ยังไม่ตื่น เลยขอไปเดินดูรอบ ๆ นี้ และนีย์ก็อนุญาตแล้วด้วย” แซนด์ตอบกลับ
พร้อมกันหันไปยิ้มกับมังกรสีดำขลับที่กำลังอ้าปากเหมือนจะยิ้มตอบกลับมา

          เมื่อซายน์ลุกขึ้นยืน เธอเพิ่งจะได้สังเกตรอบ ๆ ตัว อย่างละเอียดอีกครั้ง อากาศที่นี่เย็นสบาย
รอบ ๆ ตัว มีหมอกอยู่เต็มไปหมด ทำให้มองเห็นออกไปได้ระยะไม่ไกลนัก ขณะนี้แม้จะเป็นเวลากลางวัน
แต่ด้วยเพราะหมอกหนาเลยทำให้ดูว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวดูขมุกขมัวไม่สดใสเอาเสียเลย

          “นี่เหรอ พาร์ตรีไดส์” เสียงซายน์ถามขึ้นเบา ๆ

          “นี่ยังไม่เรียกว่าเราอยู่ในดินแดนพาร์ตรีไดส์ เต็มตัวหรอกนะ เรายังอยู่ในทางสายหมอกอยู่เลย”
นีย์เอ่ยขึ้น “ทางสายหมอกก็คือทางซึ่งยังคงเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างโลกสองโลก เราต้องเดินทางต่อไปอีกเพื่อเข้าสู่โลกพาร์ตรีไดส์” นีย์กล่าวต่อเมื่อเห็นสีหน้างง ๆ ของทั้งสองคน

          “เอ่อ.. เอ่อ.. คือ หนูมีคำถามเต็มไปหมดเลย จะถามนีย์ได้มั้ยคะ” เสียงซายน์ถามขึ้นแบบเขิน ๆ

          “เราจะคุยกันไปเรื่อย ๆ ตลอดทางที่เราจะเดินทางต่อไปนะจ๊ะ ซายน์” เสียงอบอุ่นของนีย์
ตอบกลับมา

          “เอ่อ… เอ่อ…”

          “อะไรอีกล่ะ แม่ตัวยุ่ง” เสียงแซนด์เย้าแหย่น้องสาวเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มจะมีคำถามอีกครั้ง

          “ซายน์จะกอดนีย์ เหมือนกับตอนที่อยู่ที่โลกโน้นได้อีกมั้ยคะ” เสียงซายน์เขินยิ่งกว่าเก่า

          “ฮ่า…ฮ่า… ได้สิ นีย์ยังคงเป็นนีย์ของซายน์กับแซนด์เหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าอาจจะตัวโต
กว่าแต่ก่อนเยอะไปหน่อยนะ” เสียงนีย์ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี ทำให้มังกรตัวนี้ดูไม่น่ากลัวเอาซะเลย
ทั้งซายน์และแซนด์ต่างวิ่งเข้ามากอดนีย์พร้อม ๆ กัน ทั้งคู่รู้สึกเหมือนมีคนที่คอยให้ความคุ้มครอง
ให้การดูแล  และให้ความอบอุ่นอีกครั้ง

          เจย์ที่กลับมาทันได้เห็นภาพนี้ ได้แต่ยืนมองพร้อมรอยยิ้มอย่างรู้สึกมีความสุขไปพร้อมกับคนทั้งคู่
แต่เมื่อเห็นสายตาที่นีย์มองมา มันเป็นสายตาที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปกอดเจ้ามังกรตัวโตด้วยเช่นกัน

                                                    ********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น