นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 6 เรื่องเล่าจากผู้เฒ่า



 

         “ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ในเฮเวนน่าหรือเปล่า”    นีย์เอ่ยถามราฟา เมื่อเดินทางมาได้สักครู่หนึ่ง

         “เปล่าหรอกครับ  ตั้งแต่เกิดเรื่อง ท่านไม่เคยกลับไปที่เฮเวนน่าเลย  เราอยู่กันอย่างสงบในที่
ไม่มีผู้ใดหาพบ”  ราฟาพูดเป็นปริศนา จนทำให้เจ้าของคำถามต้องหันกลับมามองคนตอบอย่างสงสัย 
แต่ก็พบกับสีหน้านิ่งเฉยและแววตาจริงจัง   “ท่านผู้เฒ่าเบื่อกับความวุ่นวายและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ที่เกิดขึ้น  จึงไม่ต้องการพบใคร และไม่อยากให้ใครพบ  ท่านจึงได้ใช้เวทขั้นสูงกำบังที่พักไว้  แต่การใช้
เวทครั้งนี้ก็ทำให้สุขภาพท่านแย่ลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน”  ราฟาให้ความกระจ่าง

          “อืม… เรื่องเมื่อสิบหกปีที่แล้ว  มันแย่มากจริง ๆ “  นีย์พึมพำกับตัวเอง  “เออ..ใช่ เจ้าเล่าให้ข้าฟัง
คร่าว ๆ ได้มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีที่แล้ว  เจ้าหนู”  นีย์ถามอย่างตื่นเต้น

         “ข้าว่าท่านเลิกเรียกข้าว่าเจ้าหนู อย่างเมื่อก่อนเถอะ”  น้ำเสียงของชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเข้ม
ฟังดูเหมือนกำลังอาย  “ข้าโตเกินกว่าจะใช้คำนี้ได้แล้ว”

         “ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า..ขอโทษที  มันติดปากน่ะ   ตกลง ๆ  ราฟา”   นีย์ตอบกลับ

         “อันที่จริงตอนเกิดเรื่องข้าก็ยังเด็กอยู่มาก  พอจะรับรู้จากท่านผู้เฒ่าคร่าว ๆ ว่า ร็องดอร์ยังครอบครอง
พาร์ตรีไดส์ทั้งหมดไม่ได้เพราะการเสียสละตัวเองของราชินีเซ็นย่า ที่ยอมระเบิดตัวเองเพื่อปกป้องพาร์ตรีไดส์
การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ร็องดอร์เสียพลังลงไปมาก กว่าจะฟื้นตัวได้ก็ใช้เวลาหลายปี  และเพราะการระเบิดตัวเอง
ครั้งนั้นทำให้เกิดเวทโบราณปกป้องเฮเวนน่าไว้ ทำให้ร็องดอร์ไม่สามารถเข้าในดินแดนเฮเวนน่าได้  มันจึง
ต้องตามหาผลึกแห่งแสงทั้งหก เพื่อทำลายเวทโบราณนั้น”

         “อืม…  ข้าพอจะเข้าใจ  แล้วร็องดอร์มันไม่พยายามยึดริเวียร์ร่า เหรอ”  นีย์ถาม

          “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด   การต่อสู้กับชาวน้ำในดินแดนของริเวียร์ร่า เป็นเรื่องไม่ถนัดนักของพวกชาวดิน 
พวกมันจึงยังไม่กล้าลงมือ  ถึงพวกมันจะมีผู้มีฝีมืออยู่มาก แต่ทางฝ่ายริเวียร์ร่าก็มีผู้มีฝีมือไม่ต่างกันเท่าไหร่  
การต่อสู้ในดินแดนแห่งน้ำจึงเป็นปัญหาใหญ่   แต่ถ้าหากมันยึดเฮเวนน่าได้เมื่อไหร่  ริเวียร์ร่าก็ต้องยอมแพ้
ไปโดยปริยาย”  ราฟาอธิบายให้เจ้ามังกรสีดำฟัง

        “ข้าอยากเจอท่านผู้เฒ่าเอสโทสเร็ว ๆ ข้ามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องอยากถามท่าน”   นีย์เอ่ยด้วยความกังวล

        “รอยปรากฏบนหลังมือของหญิงคนนั้น”   ราฟาเอ่ยเหมือนจะรู้ใจ  และเจ้ามังกรตัวโตก็หันกลับมายิ้มน้อยๆ
เป็นการตอบรับ


         “จะถึงรึยังเนี่ย”     แซนด์บ่น    “เจ้าราฟาอะไรนั่น ก็เดินเร็วชะมัดเลย”

          “พี่แซนด์  เลิกบ่นซะทีได้มั้ย ขี้เกียจจะฟังแล้วนะ  ดูพี่เจย์ซิ ไม่เห็นจะโวยวายเลย”

          “พี่ไม่อยากเถียงกันเป็นเด็ก ๆ เหมือนเธอสองคนพี่น้องต่างหาก อันที่จริงก็อยากจะบอกอยู่เหมือนกัน
นะเนี่ย”  คำพูดเจย์กลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ตั้งใจจะแกล้งเย้าสองพี่น้องเล่น แต่อยู่ ๆ สีหน้าที่เปื้อนยิ้มก็ขรึมลง
เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ฟังดูหวาดหวั่น  “ดีนะ ที่ได้ราฟามาช่วยไว้”  แววตาของเจย์ทอดมองไปยัง
ร่างสูงโปร่งที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล “ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เราคง… เราคงจะตายไปแล้ว”

          “อ้าว!  เด็ก ๆ หยุดกันทำไมล่ะ”  นีย์ตะโกนถามเมื่อหันมาเห็นว่า ขณะนี้ทั้งซายน์แซนด์  เจย์  หยุดนิ่ง
ยืนอยู่กับที่

          “เอ่อ..  ไม่มีอะไรค่ะ”  ซายน์ยิ้มให้สัตว์เลี้ยงตัวโตที่พูดได้  ก่อนจะหันกลับมาพูดเบาๆ พอให้แซนด์
กับเจย์ได้ยิน  “ลืมมันเถอะค่ะ ยังไงซะตอนนี้เราทุกคนก็ปลอดภัยดี  ทุก  ๆ  อย่างกำลังจะดีขึ้น เราต้อง
เข้มแข็งเอาไว้  ซายน์คิดว่ายังมีอะไรให้เราต้องพบเจออีกเยอะเลย อย่าให้เรื่องที่ผ่านมาบั่นทอนจิตใจของ
พวกเราเลยนะคะ  ในเมื่อเราตัดสินใจมาที่นี่แล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป”  หลังจากพูดจบทั้งสามก็ยิ้มให้กัน

          “รอด้วยคะ”   ซายน์ตะโกนก่อนจะรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ทันนีย์และราฟา  โดยมีพี่ชายฝาแฝด
และเจย์วิ่งตามมา

*****************************

          “เอาล่ะ  ถึงแล้ว”  อยู่ ๆ ราฟาก็โพล่งขึ้นมา หลังจากที่ทั้งหมดเดินทางกันมาแบบเงียบ ๆ ครู่ใหญ่

         “หา!!~  ถึงแล้วเหรอ  ไหนละ  ไม่เห็นมีอะไรเลย  บ้านคนก็ไม่มี นายล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย  เราก็อยู่ใน
ทางสายหมอกเหมือนเดิม ไม่เห็นมีบ้านใครเลยนอกจากต้นฟูลฟีลเชี่ยนนี่” แซนด์ส่งเสียงดังโหวกเหวก
พร้อมกับเดินเข้าไปใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า

          “ข้าไม่เคยล้อเล่น”  ราฟาตอบนิ่ง ๆ  ก่อนจะเดินเข้าไปใต้ต้นฟูลฟีลเชี่ยน  เด็ดผลฟูลฟีลเชี่ยนสีดำ
มากำไว้ในมือ  ก่อนจะคุกเข่าลงตรงโคนต้น  นำผลฟูลฟีลเชี่ยนสีดำนั้นใส่ลงในช่องเล็ก ๆ ตรงหน้า ซึ่งมี
ช่องว่างขนาดพอดีที่ผลกลม ๆ จะใส่ลงไปได้   ถ้าไม่สังเกตให้ดีคงไม่มีทางเห็นช่องเล็ก ๆ นั้นเลย   จากนั้น
ชายหนุ่มก็ถอยออกมาสองสามก้าว

         ซายน์ใจเต้นตึกตัก  รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดได้ว่ากำลังจะได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่อีกครั้ง พริบตานั้น
ต้นฟูลฟีลเชี่ยนเริ่มสั่นนิด ๆ  ก่อนจะเริ่มมีรอยแยกเป็นทางยาวกลางลำต้น  และค่อย ๆ ปรากฏแสงสีทอง
ส่องประกายตามรอยแยกนั้น  ยิ่งรอยแยกเปิดกว้างขึ้นมากขึ้นเท่าไหร่ แสงสว่างก็เจิดจ้ามากขึ้นเท่านั้น 
จนซายน์  แซนด์และเจย์ ต้องยกมือขึ้นป้องตากันแสงไว้

         ซายน์หรี่ตามองเมื่อเห็นราฟาก้าวเข้าไปในรอยแยก  ร่างของราฟาท่ามกลางแสงสีทองที่มองดูเหมือน
กำลังโอบล้อมตัวเขาไว้นั้นกลับทำให้เขาดูสง่างามมากขึ้น  เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกกับภาพตรงหน้า
รู้สึกเชื่อมั่นว่าหากมีคน ๆ นี้อยู่ใกล้ ๆ คงไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว และเมื่อราฟาเดินเข้าไปจนลับตาแซนด์จึง
เดินตามเข้าไป โดยมีซายน์  เจย์  และนีย์ตามเข้าไปเป็นลำดับสุดท้าย

*****************************


          “สวยจัง”   หลังจากปรับสายตาให้ชินกับแสงได้  ทำให้ซายน์ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นกับ
ภาพตรงหน้า  ตอนนี้ภาพที่ทุกคนมองเห็นเหมือนภาพวาดที่มีจิตรกรที่มีชื่อเสียงมาแต่งแต้มสีสันไว้  นับจาก
จุดที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ไกลออกไปจนสุดสายตาเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้หลากสีสันที่แข่งกัน
ชูช่อแย่งความโดดเด่น ท่ามกลางหญ้าสีเขียวที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม แสงแดดที่เจิดจ้าทำให้ทุ่งหญ้าที่
ไกลออกไปดูระยิบระยับจับตา   บนเนินขนาดไม่สูงนักทางด้านซ้ายมีบ้านขนาดกะทัดรัดหันหน้ามาทางที่
ทุกคนยืนอยู่  ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สีขาว หลังบ้านเป็นป่าสนสูงโปร่ง  ยิ่งทำให้บ้านนี้น่าอยู่และดูร่มรื่นมากขึ้น

          “ใช่ สวยมาก สวยจริง ๆ สดชื่นจัง”  เสียงเจย์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ พร้อมด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
แห่งความยินดี  

          “เราจะอยู่ที่นี่กันใช่มั้ยคะ นีย์”  ซายน์ถามนีย์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

          “ตอนนี้ นีย์คงตอบอะไรไม่ได้หรอก เราคงต้องพบกับท่านผู้เฒ่าเอสโทสก่อน”  นีย์ตอบก่อนที่จะบิน
โฉบไป  โดยมีราฟาเดินตามมุ่งตรงไปยังบ้านบนเนิน  ทั้งสามจึงเดินตามไปด้วยอารมณ์ที่รู้สึกปลอดโปร่ง
กับบรรยากาศอันแตกต่างกับตอนเดินทางในทางสายหมอกอย่างสิ้นเชิง

          ทันทีที่ก้าวเข้าไปใกล้ จนมองเห็นบ้านได้ชัดเจนขึ้น  ซายน์เห็นชายชรารูปร่างผอมสูงอยู่ในชุดยาว
กรอมเท้าสีขาว  ผมขาวยาวถึงกลางหลัง ทำให้บริเวณนั้นดูสว่างเจิดจ้าขึ้น เขากำลังยืนคุยอยู่กับนีย์ และเมื่อ
เดินเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ  ซายน์รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยน และมองเห็นถึงความใจดีที่ปรากฏให้เห็นอย่าง
เต็มเปี่ยมภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นและแววตาอันเอื้ออาทรนั้น

          ชายชราเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาว  คุกเข่าลงข้างหนึ่งจับมือซ้ายของซายน์ที่มีรอยปรากฏรูปแมลงปอ
มาแตะไว้ที่หน้าผาก  ทำเอาเธอตกใจกับปฏิกิริยาของชายชราจนอยากจะชักมือกลับ แต่ทำไม่ได้ อีกทั้งรู้สึก
ตะขิดตะขวงใจที่เห็นผู้สูงอายุกว่ามาคุกเข่าตรงหน้า

          “เอ่อ  ลุกขึ้นเถอะค่ะ  อย่าทำอย่างนี้เลย”   ซายน์ทรุดตัวลงคุกเข่า

          “ข้ารอท่านมานานเหลือเกิน ราชินีผู้กอบกู้”  เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยขึ้น

          “เอ่อ… ค่ะ  ลุกขึ้นเถอะค่ะ”  ซายน์ยัง งง ๆ กับคำเรียกที่ได้ยิน แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดคือ อยากให้
ชายชราผู้นี้ลุกขึ้นมากกว่า

           “แซนด์  ซายน์  เจย์  นี่คือท่านผู้เฒ่าเอสโทส”  นีย์แนะนำ

          “สวัสดีค่ะ  สวัสดีครับ”  ทั้งสามทำความเคารพท่านผู้เฒ่าพร้อม ๆ กัน

          “โอ…อย่าทำความเคารพข้า  ท่านราชินี”  ผู้เฒ่าเอสโทสรีบเข้ามาห้ามหญิงสาวเอาไว้

          “ท่านผู้เฒ่า  เราเข้าไปคุยในบ้านดีกว่า  ข้าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลย”   นีย์เอ่ยขึ้นเบา ๆ  ก่อนที่
ทุกคนจะเดินตามท่านผู้เฒ่าเข้าบ้านไป

************************************

          “พวกมันหายไปไหนกันนะ”  น้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดเอ่ยขึ้น

          “ข้าว่าต้องซ่อนตัวอยู่กับเจ้าแก่นั่นแน่ ๆ เลย  ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ไม่เคยมีใครเจอมันสักครั้งเดียว 
จะเจอก็เฉพาะเจ้าราฟา ที่มันจะส่งไปติดต่อผู้คนในเฮเวนน่า หรือปฏิบัติภารกิจอะไรพิเศษ”  

          “ไหนเจ้าบอกว่าพวกมันอยู่แถวนี้ไง   เจ้ามั่นใจรึเปล่า”

          “จากสัมผัสพิเศษของข้า  มันต้องอยู่แถว ๆ นี้แน่ ๆ”

          “ลองดูอีกสักครั้งซิ  วาเรีย  ใช้ความสามารถพิเศษของเจ้าให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้หน่อย”

          “ก็ได้  เทอเรน ข้าจะลองอีกครั้ง”   หลังจากพูดจบ หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำเป็นมัน นั่งขัดสมาธิลง
กับพื้น มือทั้งสองแนบลำตัว  จรดฝ่ามือลงบนพื้นดิน  ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวเจ้าของนามวาเรียก็ยังไม่
กระดุกกระดิก  ทำให้ชายที่อยู่ด้วยกันเจ้าของนามเทอเรน อดรนทนไม่ไหว

          “ว่าไงล่ะ”

          “เจ้าอย่ารบกวนสมาธิข้าได้มั้ย”   หญิงสาวในชุดดำลืมตาขึ้นมองอย่างโกรธ ๆ  “ไม่มี  ยังไงก็ไม่มี
ข้าไม่พบว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในทางสายหมอกสายนี้เลย”

          “เป็นไปได้ยังไง  พวกมันจะหายตัวไปได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง”น้ำเสียงเทอเรนแสดงความงุนงง

          “เราจะกลับไปรายงานท่านร็องดอร์ยังไง”  วาเรียถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

          “ต้องหาให้เจอ เรากลับไปแบบนี้ไม่ได้”

*****************************

          “บ้านนี้สวยจังเลยเน๊อะ พี่เจย์”  ซายน์กระซิบกับเจย์  หลังจากได้ขยับขยายย้ายโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า
สีขาวขนาดไม่ใหญ่นัก ให้เขยิบมาอีกมุมหนึ่งให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้อีกด้านหนึ่งมีเนื้อที่เพียงพอสำหรับสัตว์ตัวโต  
หัวโต๊ะด้านหนึ่งเป็นผู้เฒ่าเอสโทส ซ้ายมือของท่านผู้เฒ่าเป็นที่นั่งของราฟา ซึ่งขณะนี้กำลังสาละวนอยู่กับ
การเตรียมเครื่องดื่มในห้องครัว  ถัดมาคือแซนด์  หัวโต๊ะด้านที่อยู่ตรงข้ามกับท่านผู้เฒ่า ถูกนีย์ครอบครอง
จนแทบไม่มีที่ว่างพอให้ใครเดินผ่าน  ซายน์นั่งอยู่ติดกับผู้เฒ่าเอสโทสทางด้านขวามือถัดมาคือเจย์

          “อืม…  ดูตู้หนังสือขนาดใหญ่นั่นซิ “  เจย์ทำปากโบ้ยให้ซายน์ดูไปทางตู้หนังสือขนาดใหญ่สีขาวที่อยู่
ติดผนังอีกด้านหนึ่งของห้อง  “ท่าทางจะมีหนังสือดี ๆ ให้อ่านเยอะน่าดู”

          “ตอนเราเดินเข้ามาที่ห้องนี้  ซายน์แอบเห็นว่าห้องข้าง ๆ มีเปียโนสีขาวอยู่ด้วยล่ะ  พี่เล่นเป็นใช่มั้ย 
ถ้าเราได้อยู่ที่นี่ พี่ต้องเล่นให้ซายน์ฟังบ้างนะ  หวังพึ่งพี่แซนด์คงไม่ได้เรื่องตามเคย”  

          “ได้แล้วครับ”   ราฟาเอ่ยพร้อมกับยกถาดขนาดใหญ่มาด้วย   เมื่อมาถึงโต๊ะ ราฟาหยิบเหยือกแก้วใส
ข้างในบรรจุน้ำสีม่วงอ่อน ๆ มาจนเกือบเต็มตั้งลงกลางโต๊ะ ตามด้วยแก้วเปล่าอีกห้าใบกับชามแก้วขนาด
กลาง ๆ สำหรับนีย์

         ผู้เฒ่าเอสโทส   ใช้นิ้วชี้ของมือขวา  ชี้ไปที่เหยือก ก่อนเอ่ยเบา ๆ  “โพดิแคน” เกิดแสงสว่างสีม่วงอ่อน
เพียงแว้บเดียวที่ปลายนิ้ว

          “เหวอ!!!!” เสียงอุทานของแซนด์ดังขึ้น  เมื่อเหยือกบรรจุน้ำลอยตัวขึ้นเอง ก่อนจะบรรจงรินน้ำ
สีม่วงอ่อน ๆ ลงในแก้วและชามจนครบทุกใบ  แต่น้ำในเหยือกไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย

          “รัซเทล  ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้ดื่มมันอีกครั้ง”   น้ำเสียงนีย์ดูตื่นเต้นดีใจ

          “ได้เวลาดื่มด่ำกับมันแล้ว”  ท่านผู้เฒ่ากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะยกแก้วตรงหน้าขึ้นชู  ราฟา
ทำตาม ส่วนนีย์ได้แต่ส่งยิ้มตาเป็นประกาย  แซนด์  ซายน์และเจย์ จึงค่อย ๆ เอื้อมมือหยิบแก้วตรงหน้า
แต่ละคนยกชูขึ้น “โฮลี่ รัซเทล”   ท่านผู้เฒ่าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหันมาก้มศีรษะคำนับให้ซายน์ แล้วจรด
แก้วเข้ากับปาก ดื่มน้ำสีม่วงอ่อนจนหมดแก้ว

          “โฮลี่  รัซเทล”  ราฟากับนีย์พึมพำ ก่อนจะทำเช่นเดียวกัน

          “อะไร เทล… เทล นะ”  แซนด์กระซิบถามราฟา  

          “โฮ – ลี่ – รัซ - เทล”  ราฟาตอบเน้นชัดถ้อยชัดคำ

          “อ๋อ ๆ  โอเค ๆ  โฮลี่ รัซเทล”  แซนด์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำและดื่มน้ำจนหมดแก้ว

          “โฮลี่ รัซเทล”  ซายน์กับเจย์ พูดเกือบ ๆ จะพร้อมกัน  และยกแก้วขึ้นดื่ม

          “รัซเทล  คือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของเฮเวนน่า”  นีย์เอ่ยขึ้นเพื่อต้องการบอกทั้งสามคน  “มีน้อยคนนักที่จะ
มีโอกาสได้ลิ้มลอง”

         “ทำไมเหรอคะ”  ซายน์ถามด้วยความสงสัย

           “เพราะว่ารัซเทลมีเฉพาะที่บ่อพิธีกรรม  ในลานศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นราชินี   ซึ่งต้องเข้าใจว่าสถานที่สำคัญ
แบบนั้น คงไม่ให้ใครเข้าไปง่าย ๆ หรอกใช่มั้ย”  ท่านผู้เฒ่าหันมายิ้ม พร้อมกับให้คำตอบกับซายน์  ด้วยน้ำเสียง
อ่อนโยน

          “รู้สึกสดชื่นจังเลยครับ  คล้าย ๆ เวลาดื่มน้ำในผลฟูลฟีลเชี่ยนเหมือนกันนะเนี่ย”  แซนด์เอ่ยอย่างร่าเริง

          “ท่านราชินีคงรู้สึกแปลกกว่าใช่หรือไม่”  ท่านผู้เฒ่าหันมาถามซายน์ด้วยแววตาตื่นเต้น  “เพราะคนที่
พิเศษกว่าคนอื่น ถ้าได้ดื่มรัซเทลจะต้องรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น  รัซเทลจะช่วยให้ฟื้นคืนพลัง”

         “คือ … คือว่า เลิกเรียกหนูว่าราชินีเถอะค่ะ  รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”  ซายน์บอกกับท่านผู้เฒ่าเบา ๆ

          ท่านผู้เฒ่าจ้องมองหน้านีย์อย่าง งง ๆ  โดยไม่ทันสังเกตอาการกระสับกระส่ายของเจย์

          “เซร่าไม่ได้เล่าอะไรให้ลูก ๆ ของเธอได้รับรู้ไว้เลย ก่อนที่เธอจะจากไป”  นีย์ตอบคำถามที่เกิดจากการ
แสดงอาการสงสัยในสีหน้านั้น

          “งั้นหรอกหรือ  ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเอง”  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเรียบ ๆ

          “พี่เจย์ เป็นอะไร” ซายน์กระซิบถามเจย์ เมื่อเห็นว่าเจย์ดูมีอาการแปลก ๆ

          “เปล่า .. เปล่า”  เจย์รีบปฏิเสธ  พลางนึกในใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเหมือนกับที่ท่านผู้เฒ่าเอ่ยถึง
อาการเมื่อได้ดื่มรัซเทล

         “แต่ข้าได้เล่าให้พวกเขาฟังบ้างแล้วเกี่ยวกับเฮเวนน่า , ริเวียร์ร่า และ แลนด์เดียร์ว่า”  นีย์ให้ข้อมูลเพิ่ม
ต่อท่านผู้เฒ่าโดยไม่ได้สนใจซายน์และเจย์ที่กำลังกระซิบกระซาบคุยกัน

          “อืม…  ข้าจะเล่าเรื่องเมืองทั้งสามให้ฟังอย่างคร่าว ๆ  ก่อน เมื่อก่อนนั้นเมืองทั้งสามอยู่ร่วมกัน
อย่างสงบสุข  ทุกเมืองมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน เพราะเรารู้กันดีว่าเราทั้งสามเมืองต้องพึ่งพากันและกัน”
สายตาท่านผู้เฒ่าทอดมองออกไปแสนไกล  “เฮเวนน่า เมืองของชาวฟ้า เป็นเมืองที่มีอำนาจควบคุม
ดินฟ้าอากาศ มีท่านราชินีเป็นผู้ปกครองสูงสุด   ท่านต้องดูแลให้ทุกฤดูกาลเป็นไปตามวัฏจักรที่กำหนด 
พลเมืองในดินแดนเฮเวนน่ามีความสามารถพิเศษ คือการใช้เวทมนตร์  แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการ
ฝึกฝนและสายเลือดที่มีอยู่ในตัว  ส่วนเมืองริเวียร์ร่า เมืองของชาวน้ำ  เป็นเมืองที่มีอำนาจในการดูแล
สายน้ำต่าง ๆ ในเฮเวนน่าและแลนด์เดียร์ว่า  ไม่ให้เอ่อล้นท่วมเมืองในหน้าฝนหรือแห้งขอดในหน้าร้อน
ริเวียร์ร่ามีราชาเป็นผู้ปกครองสูงสุด  พลเมืองของริเวียร์ร่าอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งอยู่ลึกลงไปในทะเลสาบ
ถ้าไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีคนของริเวียร์ร่าพาลงไป ก็เป็นการยากที่ใครจะเข้าไปในดินแดนริเวียร์ร่าได้” 
ท่านผู้เฒ่าหยุดชะงักเรื่องที่จะพูดต่อ เมื่อเห็นว่าเจย์คงมีคำถามที่ต้องการคำตอบ  “เจ้ามีอะไรอยากถามข้ารึเปล่า”
 
         “ครับ… ผมอยากรู้ว่าพลเมืองของริเวียร์ร่ามีรูปร่างเหมือนมนุษย์อย่างเรารึเปล่า และถ้าหากเมือง
ริเวียร์ร่าอยู่ใต้น้ำจริง พลเมืองของเฮเวนน่าและแลนด์เดียร์ว่าก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ซิครับ” 
เจย์ถามด้วยความสงสัย  พยายามลืมเรื่องอาการเมื่อครู่เพราะคิดว่าคงคิดมากไปเอง

          “อ้อ… เรื่องนี้เอง   เมืองริเวียร์ร่าอยู่ใต้น้ำก็จริง แต่ก็มีอาณาเขตเมือง   ข้าจะสมมติตัวอย่างง่าย ๆ
ให้เจ้าดู”  พูดจบท่านผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่ชามแก้วที่ว่างเปล่าตรงหน้านีย์ ๆ   งอนิ้วเหมือนการกระดิกนิ้วนิดเดียว
ชามก็เคลื่อนที่มา เมื่อท่านผู้เฒ่าพลิกนิ้วคว่ำมือลง มันก็คว่ำลงบนกึ่งกลางโต๊ะพอดี   “หากโต๊ะตัวนี้เป็น
ทะเลสาบ   พื้นที่ภายในชามแก้วนี้ก็คืออาณาเขตเมือง  ซึ่งภายในอาณาเขตเมืองก็มีบรรยากาศไม่แตกต่าง
จากบนบกเท่าไหร่นัก  ใครก็ตามที่ได้รับอนุญาตจากท่านราชา หรือมีคนของริเวียร์ร่าพาลงไปในเมือง ก็
สามารถอยู่ในเมืองได้อย่างปกติ  แต่ถ้าเกิดเผลอหรือพลาดพาตัวเองออกจากอาณาเขตเมืองเมื่อไหร่ 
เมื่อนั้นก็คือการจบชีวิตด้วยการจมน้ำตาย  เพราะฉะนั้นคำถามแรกของเจ้าเรื่องรูปร่างของพลเมืองริเวียร์ร่า
ข้าก็ขอตอบว่า เป็นเหมือนพวกเรานี่แหละ  แต่จะพิเศษกว่าก็คือ เมื่อใดที่พลเมืองของริเวียร์ร่าออกจาก
อาณาเขตเมือง พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำได้เหมือนนางเงือก สัญลักษณ์ประจำเมืองของพวกเขา”  

         “แล้วสัญลักษณ์ของเฮเวนน่าล่ะครับ”  แซนด์ถามด้วยความอยากรู้

          “คำตอบอยู่ที่มือของท่านราชิ…เอ่อ  นี่ไง”   ผู้เฒ่าเอสโทสชะงักที่จะเรียกซายน์ว่าราชินี เมื่อเห็นว่า
มีสายตาร้องขอส่งมาจากดวงตาของเธอ  ก่อนจะชี้ไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะแทน

         “แมลงปอนี่เอง  มิน่าท่านแม่ถึงให้ของขวัญเราเป็นสร้อยรูปแมลงปอ” แซนด์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะยกมือขึ้นมาเหมือนกับจะโชว์สร้อยข้อมือที่สวมใส่อยู่

          “แล้วเรื่องของแลนด์เดียร์ว่าล่ะคะ”    ซายน์ถามเมื่อนึกได้ว่ายังมีอีกเมืองที่ท่านผู้เฒ่ายังไม่ได้กล่าวถึง

         “แลนด์เดียร์ว่า เมืองของชาวดิน  ในบรรดาเมืองทั้งสาม  แลนด์เดียร์ว่าเป็นเมืองที่อีกสองเมือง
ต้องพึ่งพาน้อยที่สุด  หรือแทบจะไม่ได้พึ่งพาอะไรเป็นพิเศษเลย ทั้งสองเมืองจึงตกลงร่วมกันให้ราชาของ
แลนด์เดียร์ว่ามีอำนาจในการตรวจตราทางสายหมอก แต่ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากมาย   เพราะโดยปกติคนที่
จะไปมาหาสู่กันในเมืองทั้งสามจะเป็นระดับบุคคลสำคัญของปราสาทแต่ละแห่ง ซึ่งจะมีวิธีเข้าเมืองเป็นการ
พิเศษของแต่ละคนไป ถ้าเป็นชาวเมืองธรรมดานาน ๆ จึงจะมีการเดินทางโดยใช้ทางสายหมอกสักครั้ง”

         “แล้วสัญลักษณ์ของเมืองล่ะครับ”  แซนด์ถามโพล่งขึ้นมา

         “ยูนิคอร์น”  เสียงผู้เฒ่าเอสโทสเจือด้วยความเศร้า  “เมื่อก่อนมันเป็นยูนิคอร์นสีขาว แต่บัดนี้มัน
กลับกลายเป็นยูนิคอร์นสีดำ”

         “ทำไมล่ะคะ”   “ทำไมครับ”  ทั้งสามถามเกือบจะพร้อมกัน

         “เพราะตอนนี้แลนด์เดียร์ว่าไม่มีราชาปกครองเหมือนอดีต  เชื้อสายท่านราชาถูกจับคุมขังรวมถึง
โดนสังหารไปจนหมด  ตอนนี้พลเมืองของแลนด์เดียร์ว่า แบ่งแยกกันเป็นเหมือนชนเผ่า ต่างปกครองตนเอง 
เกิดการต่อสู้กันระหว่างเผ่า เพื่อการอยู่รอด”

         “เกิดอะไรขึ้นคะ  เกี่ยวกับที่ท่านแม่ต้องไปจากที่นี่ด้วยใช่มั้ย”  ซายน์ถามด้วยความอยากรู้

          “ใช่แล้ว”  ท่านผู้เฒ่าตอบพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ   “เรื่องมันเกิดเมื่อประมาณสิบหกปีที่แล้ว มีชาย
ในชุดดำปกปิดหน้าตามิดชิด พาพรรคพวกมากลุ่มใหญ่ บุกขึ้นมาที่เฮเวนน่า  ประกาศก้องว่าได้ยึด
แลนด์เดียร์ว่าไว้ได้แล้ว  และจะมายึดเฮเวนน่าเป็นเมืองต่อไป  ตอนนั้นทุกอย่างโกลาหลไปหมด
เกิดการต่อสู้กันทุกหย่อมหญ้า  มีชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่าย  ราชินีเซ็นย่า
ทนดูเหตุการณ์ไม่ได้ต้องลงมาเจรจากับชายชุดดำด้วยตนเอง”  น้ำเสียงท่านผู้เฒ่ามีแววเศร้าสลด

          ซายน์จับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้เฒ่า ซึ่งบัดนี้ดูมีแต่ความเหม่อลอย  แววตาไม่ได้จับจ้องไปที่จุดใด
เป็นพิเศษ  ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่ง ถอนหายใจ  พร้อมกับบอกให้ทุกคนหลับตา  จับมือกันไว้และตั้งสมาธิ
ให้ดีอย่าวอกแวก  ในความมืดขณะที่กำลังหลับตาอยู่ ซายน์รู้สึกว่าตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังดำดิ่งลงไป
ในความมืดมิดมากขึ้น  มากขึ้น ….

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น