“ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ในเฮเวนน่าหรือเปล่า” นีย์เอ่ยถามราฟา เมื่อเดินทางมาได้สักครู่หนึ่ง
“เปล่าหรอกครับ ตั้งแต่เกิดเรื่อง ท่านไม่เคยกลับไปที่เฮเวนน่าเลย เราอยู่กันอย่างสงบในที่
ไม่มีผู้ใดหาพบ” ราฟาพูดเป็นปริศนา จนทำให้เจ้าของคำถามต้องหันกลับมามองคนตอบอย่างสงสัย
แต่ก็พบกับสีหน้านิ่งเฉยและแววตาจริงจัง “ท่านผู้เฒ่าเบื่อกับความวุ่นวายและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ที่เกิดขึ้น จึงไม่ต้องการพบใคร และไม่อยากให้ใครพบ ท่านจึงได้ใช้เวทขั้นสูงกำบังที่พักไว้ แต่การใช้
เวทครั้งนี้ก็ทำให้สุขภาพท่านแย่ลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน” ราฟาให้ความกระจ่าง
“อืม… เรื่องเมื่อสิบหกปีที่แล้ว มันแย่มากจริง ๆ “ นีย์พึมพำกับตัวเอง “เออ..ใช่ เจ้าเล่าให้ข้าฟัง
คร่าว ๆ ได้มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีที่แล้ว เจ้าหนู” นีย์ถามอย่างตื่นเต้น
“ข้าว่าท่านเลิกเรียกข้าว่าเจ้าหนู อย่างเมื่อก่อนเถอะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินเข้ม
ฟังดูเหมือนกำลังอาย “ข้าโตเกินกว่าจะใช้คำนี้ได้แล้ว”
“ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า..ขอโทษที มันติดปากน่ะ ตกลง ๆ ราฟา” นีย์ตอบกลับ
“อันที่จริงตอนเกิดเรื่องข้าก็ยังเด็กอยู่มาก พอจะรับรู้จากท่านผู้เฒ่าคร่าว ๆ ว่า ร็องดอร์ยังครอบครอง
พาร์ตรีไดส์ทั้งหมดไม่ได้เพราะการเสียสละตัวเองของราชินีเซ็นย่า ที่ยอมระเบิดตัวเองเพื่อปกป้องพาร์ตรีไดส์
การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ร็องดอร์เสียพลังลงไปมาก กว่าจะฟื้นตัวได้ก็ใช้เวลาหลายปี และเพราะการระเบิดตัวเอง
ครั้งนั้นทำให้เกิดเวทโบราณปกป้องเฮเวนน่าไว้ ทำให้ร็องดอร์ไม่สามารถเข้าในดินแดนเฮเวนน่าได้ มันจึง
ต้องตามหาผลึกแห่งแสงทั้งหก เพื่อทำลายเวทโบราณนั้น”
“อืม… ข้าพอจะเข้าใจ แล้วร็องดอร์มันไม่พยายามยึดริเวียร์ร่า เหรอ” นีย์ถาม
“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด การต่อสู้กับชาวน้ำในดินแดนของริเวียร์ร่า เป็นเรื่องไม่ถนัดนักของพวกชาวดิน
พวกมันจึงยังไม่กล้าลงมือ ถึงพวกมันจะมีผู้มีฝีมืออยู่มาก แต่ทางฝ่ายริเวียร์ร่าก็มีผู้มีฝีมือไม่ต่างกันเท่าไหร่
การต่อสู้ในดินแดนแห่งน้ำจึงเป็นปัญหาใหญ่ แต่ถ้าหากมันยึดเฮเวนน่าได้เมื่อไหร่ ริเวียร์ร่าก็ต้องยอมแพ้
ไปโดยปริยาย” ราฟาอธิบายให้เจ้ามังกรสีดำฟัง
“ข้าอยากเจอท่านผู้เฒ่าเอสโทสเร็ว ๆ ข้ามีเรื่องสำคัญอีกเรื่องอยากถามท่าน” นีย์เอ่ยด้วยความกังวล
“รอยปรากฏบนหลังมือของหญิงคนนั้น” ราฟาเอ่ยเหมือนจะรู้ใจ และเจ้ามังกรตัวโตก็หันกลับมายิ้มน้อยๆ
เป็นการตอบรับ
“จะถึงรึยังเนี่ย” แซนด์บ่น “เจ้าราฟาอะไรนั่น ก็เดินเร็วชะมัดเลย”
“พี่แซนด์ เลิกบ่นซะทีได้มั้ย ขี้เกียจจะฟังแล้วนะ ดูพี่เจย์ซิ ไม่เห็นจะโวยวายเลย”
“พี่ไม่อยากเถียงกันเป็นเด็ก ๆ เหมือนเธอสองคนพี่น้องต่างหาก อันที่จริงก็อยากจะบอกอยู่เหมือนกัน
นะเนี่ย” คำพูดเจย์กลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ตั้งใจจะแกล้งเย้าสองพี่น้องเล่น แต่อยู่ ๆ สีหน้าที่เปื้อนยิ้มก็ขรึมลง
เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ฟังดูหวาดหวั่น “ดีนะ ที่ได้ราฟามาช่วยไว้” แววตาของเจย์ทอดมองไปยัง
ร่างสูงโปร่งที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล “ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เราคง… เราคงจะตายไปแล้ว”
“อ้าว! เด็ก ๆ หยุดกันทำไมล่ะ” นีย์ตะโกนถามเมื่อหันมาเห็นว่า ขณะนี้ทั้งซายน์แซนด์ เจย์ หยุดนิ่ง
ยืนอยู่กับที่
“เอ่อ.. ไม่มีอะไรค่ะ” ซายน์ยิ้มให้สัตว์เลี้ยงตัวโตที่พูดได้ ก่อนจะหันกลับมาพูดเบาๆ พอให้แซนด์
กับเจย์ได้ยิน “ลืมมันเถอะค่ะ ยังไงซะตอนนี้เราทุกคนก็ปลอดภัยดี ทุก ๆ อย่างกำลังจะดีขึ้น เราต้อง
เข้มแข็งเอาไว้ ซายน์คิดว่ายังมีอะไรให้เราต้องพบเจออีกเยอะเลย อย่าให้เรื่องที่ผ่านมาบั่นทอนจิตใจของ
พวกเราเลยนะคะ ในเมื่อเราตัดสินใจมาที่นี่แล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป” หลังจากพูดจบทั้งสามก็ยิ้มให้กัน
“รอด้วยคะ” ซายน์ตะโกนก่อนจะรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ทันนีย์และราฟา โดยมีพี่ชายฝาแฝด
และเจย์วิ่งตามมา
*****************************
“เอาล่ะ ถึงแล้ว” อยู่ ๆ ราฟาก็โพล่งขึ้นมา หลังจากที่ทั้งหมดเดินทางกันมาแบบเงียบ ๆ ครู่ใหญ่
“หา!!~ ถึงแล้วเหรอ ไหนละ ไม่เห็นมีอะไรเลย บ้านคนก็ไม่มี นายล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย เราก็อยู่ใน
ทางสายหมอกเหมือนเดิม ไม่เห็นมีบ้านใครเลยนอกจากต้นฟูลฟีลเชี่ยนนี่” แซนด์ส่งเสียงดังโหวกเหวก
พร้อมกับเดินเข้าไปใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า
“ข้าไม่เคยล้อเล่น” ราฟาตอบนิ่ง ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปใต้ต้นฟูลฟีลเชี่ยน เด็ดผลฟูลฟีลเชี่ยนสีดำ
มากำไว้ในมือ ก่อนจะคุกเข่าลงตรงโคนต้น นำผลฟูลฟีลเชี่ยนสีดำนั้นใส่ลงในช่องเล็ก ๆ ตรงหน้า ซึ่งมี
ช่องว่างขนาดพอดีที่ผลกลม ๆ จะใส่ลงไปได้ ถ้าไม่สังเกตให้ดีคงไม่มีทางเห็นช่องเล็ก ๆ นั้นเลย จากนั้น
ชายหนุ่มก็ถอยออกมาสองสามก้าว
ซายน์ใจเต้นตึกตัก รู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดได้ว่ากำลังจะได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่อีกครั้ง พริบตานั้น
ต้นฟูลฟีลเชี่ยนเริ่มสั่นนิด ๆ ก่อนจะเริ่มมีรอยแยกเป็นทางยาวกลางลำต้น และค่อย ๆ ปรากฏแสงสีทอง
ส่องประกายตามรอยแยกนั้น ยิ่งรอยแยกเปิดกว้างขึ้นมากขึ้นเท่าไหร่ แสงสว่างก็เจิดจ้ามากขึ้นเท่านั้น
จนซายน์ แซนด์และเจย์ ต้องยกมือขึ้นป้องตากันแสงไว้
ซายน์หรี่ตามองเมื่อเห็นราฟาก้าวเข้าไปในรอยแยก ร่างของราฟาท่ามกลางแสงสีทองที่มองดูเหมือน
กำลังโอบล้อมตัวเขาไว้นั้นกลับทำให้เขาดูสง่างามมากขึ้น เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกกับภาพตรงหน้า
รู้สึกเชื่อมั่นว่าหากมีคน ๆ นี้อยู่ใกล้ ๆ คงไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว และเมื่อราฟาเดินเข้าไปจนลับตาแซนด์จึง
เดินตามเข้าไป โดยมีซายน์ เจย์ และนีย์ตามเข้าไปเป็นลำดับสุดท้าย
*****************************
“สวยจัง” หลังจากปรับสายตาให้ชินกับแสงได้ ทำให้ซายน์ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นกับ
ภาพตรงหน้า ตอนนี้ภาพที่ทุกคนมองเห็นเหมือนภาพวาดที่มีจิตรกรที่มีชื่อเสียงมาแต่งแต้มสีสันไว้ นับจาก
จุดที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ไกลออกไปจนสุดสายตาเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีแซมด้วยดอกไม้หลากสีสันที่แข่งกัน
ชูช่อแย่งความโดดเด่น ท่ามกลางหญ้าสีเขียวที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม แสงแดดที่เจิดจ้าทำให้ทุ่งหญ้าที่
ไกลออกไปดูระยิบระยับจับตา บนเนินขนาดไม่สูงนักทางด้านซ้ายมีบ้านขนาดกะทัดรัดหันหน้ามาทางที่
ทุกคนยืนอยู่ ล้อมรอบด้วยรั้วไม้สีขาว หลังบ้านเป็นป่าสนสูงโปร่ง ยิ่งทำให้บ้านนี้น่าอยู่และดูร่มรื่นมากขึ้น
“ใช่ สวยมาก สวยจริง ๆ สดชื่นจัง” เสียงเจย์ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ พร้อมด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
แห่งความยินดี
“เราจะอยู่ที่นี่กันใช่มั้ยคะ นีย์” ซายน์ถามนีย์ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ตอนนี้ นีย์คงตอบอะไรไม่ได้หรอก เราคงต้องพบกับท่านผู้เฒ่าเอสโทสก่อน” นีย์ตอบก่อนที่จะบิน
โฉบไป โดยมีราฟาเดินตามมุ่งตรงไปยังบ้านบนเนิน ทั้งสามจึงเดินตามไปด้วยอารมณ์ที่รู้สึกปลอดโปร่ง
กับบรรยากาศอันแตกต่างกับตอนเดินทางในทางสายหมอกอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่ก้าวเข้าไปใกล้ จนมองเห็นบ้านได้ชัดเจนขึ้น ซายน์เห็นชายชรารูปร่างผอมสูงอยู่ในชุดยาว
กรอมเท้าสีขาว ผมขาวยาวถึงกลางหลัง ทำให้บริเวณนั้นดูสว่างเจิดจ้าขึ้น เขากำลังยืนคุยอยู่กับนีย์ และเมื่อ
เดินเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซายน์รับรู้ได้ถึงความอ่อนโยน และมองเห็นถึงความใจดีที่ปรากฏให้เห็นอย่าง
เต็มเปี่ยมภายใต้รอยยิ้มอบอุ่นและแววตาอันเอื้ออาทรนั้น
ชายชราเดินตรงเข้ามาหาหญิงสาว คุกเข่าลงข้างหนึ่งจับมือซ้ายของซายน์ที่มีรอยปรากฏรูปแมลงปอ
มาแตะไว้ที่หน้าผาก ทำเอาเธอตกใจกับปฏิกิริยาของชายชราจนอยากจะชักมือกลับ แต่ทำไม่ได้ อีกทั้งรู้สึก
ตะขิดตะขวงใจที่เห็นผู้สูงอายุกว่ามาคุกเข่าตรงหน้า
“เอ่อ ลุกขึ้นเถอะค่ะ อย่าทำอย่างนี้เลย” ซายน์ทรุดตัวลงคุกเข่า
“ข้ารอท่านมานานเหลือเกิน ราชินีผู้กอบกู้” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเอ่ยขึ้น
“เอ่อ… ค่ะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ” ซายน์ยัง งง ๆ กับคำเรียกที่ได้ยิน แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดคือ อยากให้
ชายชราผู้นี้ลุกขึ้นมากกว่า
“แซนด์ ซายน์ เจย์ นี่คือท่านผู้เฒ่าเอสโทส” นีย์แนะนำ
“สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ” ทั้งสามทำความเคารพท่านผู้เฒ่าพร้อม ๆ กัน
“โอ…อย่าทำความเคารพข้า ท่านราชินี” ผู้เฒ่าเอสโทสรีบเข้ามาห้ามหญิงสาวเอาไว้
“ท่านผู้เฒ่า เราเข้าไปคุยในบ้านดีกว่า ข้าว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลย” นีย์เอ่ยขึ้นเบา ๆ ก่อนที่
ทุกคนจะเดินตามท่านผู้เฒ่าเข้าบ้านไป
************************************
“พวกมันหายไปไหนกันนะ” น้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดเอ่ยขึ้น
“ข้าว่าต้องซ่อนตัวอยู่กับเจ้าแก่นั่นแน่ ๆ เลย ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น ไม่เคยมีใครเจอมันสักครั้งเดียว
จะเจอก็เฉพาะเจ้าราฟา ที่มันจะส่งไปติดต่อผู้คนในเฮเวนน่า หรือปฏิบัติภารกิจอะไรพิเศษ”
“ไหนเจ้าบอกว่าพวกมันอยู่แถวนี้ไง เจ้ามั่นใจรึเปล่า”
“จากสัมผัสพิเศษของข้า มันต้องอยู่แถว ๆ นี้แน่ ๆ”
“ลองดูอีกสักครั้งซิ วาเรีย ใช้ความสามารถพิเศษของเจ้าให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้หน่อย”
“ก็ได้ เทอเรน ข้าจะลองอีกครั้ง” หลังจากพูดจบ หญิงสาวในชุดรัดรูปสีดำเป็นมัน นั่งขัดสมาธิลง
กับพื้น มือทั้งสองแนบลำตัว จรดฝ่ามือลงบนพื้นดิน ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวเจ้าของนามวาเรียก็ยังไม่
กระดุกกระดิก ทำให้ชายที่อยู่ด้วยกันเจ้าของนามเทอเรน อดรนทนไม่ไหว
“ว่าไงล่ะ”
“เจ้าอย่ารบกวนสมาธิข้าได้มั้ย” หญิงสาวในชุดดำลืมตาขึ้นมองอย่างโกรธ ๆ “ไม่มี ยังไงก็ไม่มี
ข้าไม่พบว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในทางสายหมอกสายนี้เลย”
“เป็นไปได้ยังไง พวกมันจะหายตัวไปได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไง”น้ำเสียงเทอเรนแสดงความงุนงง
“เราจะกลับไปรายงานท่านร็องดอร์ยังไง” วาเรียถามด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
“ต้องหาให้เจอ เรากลับไปแบบนี้ไม่ได้”
*****************************
“บ้านนี้สวยจังเลยเน๊อะ พี่เจย์” ซายน์กระซิบกับเจย์ หลังจากได้ขยับขยายย้ายโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้า
สีขาวขนาดไม่ใหญ่นัก ให้เขยิบมาอีกมุมหนึ่งให้มากยิ่งขึ้นเพื่อให้อีกด้านหนึ่งมีเนื้อที่เพียงพอสำหรับสัตว์ตัวโต
หัวโต๊ะด้านหนึ่งเป็นผู้เฒ่าเอสโทส ซ้ายมือของท่านผู้เฒ่าเป็นที่นั่งของราฟา ซึ่งขณะนี้กำลังสาละวนอยู่กับ
การเตรียมเครื่องดื่มในห้องครัว ถัดมาคือแซนด์ หัวโต๊ะด้านที่อยู่ตรงข้ามกับท่านผู้เฒ่า ถูกนีย์ครอบครอง
จนแทบไม่มีที่ว่างพอให้ใครเดินผ่าน ซายน์นั่งอยู่ติดกับผู้เฒ่าเอสโทสทางด้านขวามือถัดมาคือเจย์
“อืม… ดูตู้หนังสือขนาดใหญ่นั่นซิ “ เจย์ทำปากโบ้ยให้ซายน์ดูไปทางตู้หนังสือขนาดใหญ่สีขาวที่อยู่
ติดผนังอีกด้านหนึ่งของห้อง “ท่าทางจะมีหนังสือดี ๆ ให้อ่านเยอะน่าดู”
“ตอนเราเดินเข้ามาที่ห้องนี้ ซายน์แอบเห็นว่าห้องข้าง ๆ มีเปียโนสีขาวอยู่ด้วยล่ะ พี่เล่นเป็นใช่มั้ย
ถ้าเราได้อยู่ที่นี่ พี่ต้องเล่นให้ซายน์ฟังบ้างนะ หวังพึ่งพี่แซนด์คงไม่ได้เรื่องตามเคย”
“ได้แล้วครับ” ราฟาเอ่ยพร้อมกับยกถาดขนาดใหญ่มาด้วย เมื่อมาถึงโต๊ะ ราฟาหยิบเหยือกแก้วใส
ข้างในบรรจุน้ำสีม่วงอ่อน ๆ มาจนเกือบเต็มตั้งลงกลางโต๊ะ ตามด้วยแก้วเปล่าอีกห้าใบกับชามแก้วขนาด
กลาง ๆ สำหรับนีย์
ผู้เฒ่าเอสโทส ใช้นิ้วชี้ของมือขวา ชี้ไปที่เหยือก ก่อนเอ่ยเบา ๆ “โพดิแคน” เกิดแสงสว่างสีม่วงอ่อน
เพียงแว้บเดียวที่ปลายนิ้ว
“เหวอ!!!!” เสียงอุทานของแซนด์ดังขึ้น เมื่อเหยือกบรรจุน้ำลอยตัวขึ้นเอง ก่อนจะบรรจงรินน้ำ
สีม่วงอ่อน ๆ ลงในแก้วและชามจนครบทุกใบ แต่น้ำในเหยือกไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย
“รัซเทล ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้ดื่มมันอีกครั้ง” น้ำเสียงนีย์ดูตื่นเต้นดีใจ
“ได้เวลาดื่มด่ำกับมันแล้ว” ท่านผู้เฒ่ากล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะยกแก้วตรงหน้าขึ้นชู ราฟา
ทำตาม ส่วนนีย์ได้แต่ส่งยิ้มตาเป็นประกาย แซนด์ ซายน์และเจย์ จึงค่อย ๆ เอื้อมมือหยิบแก้วตรงหน้า
แต่ละคนยกชูขึ้น “โฮลี่ รัซเทล” ท่านผู้เฒ่าพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหันมาก้มศีรษะคำนับให้ซายน์ แล้วจรด
แก้วเข้ากับปาก ดื่มน้ำสีม่วงอ่อนจนหมดแก้ว
“โฮลี่ รัซเทล” ราฟากับนีย์พึมพำ ก่อนจะทำเช่นเดียวกัน
“อะไร เทล… เทล นะ” แซนด์กระซิบถามราฟา
“โฮ – ลี่ – รัซ - เทล” ราฟาตอบเน้นชัดถ้อยชัดคำ
“อ๋อ ๆ โอเค ๆ โฮลี่ รัซเทล” แซนด์พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำและดื่มน้ำจนหมดแก้ว
“โฮลี่ รัซเทล” ซายน์กับเจย์ พูดเกือบ ๆ จะพร้อมกัน และยกแก้วขึ้นดื่ม
“รัซเทล คือน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของเฮเวนน่า” นีย์เอ่ยขึ้นเพื่อต้องการบอกทั้งสามคน “มีน้อยคนนักที่จะ
มีโอกาสได้ลิ้มลอง”
“ทำไมเหรอคะ” ซายน์ถามด้วยความสงสัย
“เพราะว่ารัซเทลมีเฉพาะที่บ่อพิธีกรรม ในลานศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นราชินี ซึ่งต้องเข้าใจว่าสถานที่สำคัญ
แบบนั้น คงไม่ให้ใครเข้าไปง่าย ๆ หรอกใช่มั้ย” ท่านผู้เฒ่าหันมายิ้ม พร้อมกับให้คำตอบกับซายน์ ด้วยน้ำเสียง
อ่อนโยน
“รู้สึกสดชื่นจังเลยครับ คล้าย ๆ เวลาดื่มน้ำในผลฟูลฟีลเชี่ยนเหมือนกันนะเนี่ย” แซนด์เอ่ยอย่างร่าเริง
“ท่านราชินีคงรู้สึกแปลกกว่าใช่หรือไม่” ท่านผู้เฒ่าหันมาถามซายน์ด้วยแววตาตื่นเต้น “เพราะคนที่
พิเศษกว่าคนอื่น ถ้าได้ดื่มรัซเทลจะต้องรู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้น รัซเทลจะช่วยให้ฟื้นคืนพลัง”
“คือ … คือว่า เลิกเรียกหนูว่าราชินีเถอะค่ะ รู้สึกไม่ค่อยดีเลย” ซายน์บอกกับท่านผู้เฒ่าเบา ๆ
ท่านผู้เฒ่าจ้องมองหน้านีย์อย่าง งง ๆ โดยไม่ทันสังเกตอาการกระสับกระส่ายของเจย์
“เซร่าไม่ได้เล่าอะไรให้ลูก ๆ ของเธอได้รับรู้ไว้เลย ก่อนที่เธอจะจากไป” นีย์ตอบคำถามที่เกิดจากการ
แสดงอาการสงสัยในสีหน้านั้น
“งั้นหรอกหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเอง” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเรียบ ๆ
“พี่เจย์ เป็นอะไร” ซายน์กระซิบถามเจย์ เมื่อเห็นว่าเจย์ดูมีอาการแปลก ๆ
“เปล่า .. เปล่า” เจย์รีบปฏิเสธ พลางนึกในใจว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกเหมือนกับที่ท่านผู้เฒ่าเอ่ยถึง
อาการเมื่อได้ดื่มรัซเทล
“แต่ข้าได้เล่าให้พวกเขาฟังบ้างแล้วเกี่ยวกับเฮเวนน่า , ริเวียร์ร่า และ แลนด์เดียร์ว่า” นีย์ให้ข้อมูลเพิ่ม
ต่อท่านผู้เฒ่าโดยไม่ได้สนใจซายน์และเจย์ที่กำลังกระซิบกระซาบคุยกัน
“อืม… ข้าจะเล่าเรื่องเมืองทั้งสามให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ก่อน เมื่อก่อนนั้นเมืองทั้งสามอยู่ร่วมกัน
อย่างสงบสุข ทุกเมืองมีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน เพราะเรารู้กันดีว่าเราทั้งสามเมืองต้องพึ่งพากันและกัน”
สายตาท่านผู้เฒ่าทอดมองออกไปแสนไกล “เฮเวนน่า เมืองของชาวฟ้า เป็นเมืองที่มีอำนาจควบคุม
ดินฟ้าอากาศ มีท่านราชินีเป็นผู้ปกครองสูงสุด ท่านต้องดูแลให้ทุกฤดูกาลเป็นไปตามวัฏจักรที่กำหนด
พลเมืองในดินแดนเฮเวนน่ามีความสามารถพิเศษ คือการใช้เวทมนตร์ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการ
ฝึกฝนและสายเลือดที่มีอยู่ในตัว ส่วนเมืองริเวียร์ร่า เมืองของชาวน้ำ เป็นเมืองที่มีอำนาจในการดูแล
สายน้ำต่าง ๆ ในเฮเวนน่าและแลนด์เดียร์ว่า ไม่ให้เอ่อล้นท่วมเมืองในหน้าฝนหรือแห้งขอดในหน้าร้อน
ริเวียร์ร่ามีราชาเป็นผู้ปกครองสูงสุด พลเมืองของริเวียร์ร่าอาศัยอยู่ในเมืองซึ่งอยู่ลึกลงไปในทะเลสาบ
ถ้าไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีคนของริเวียร์ร่าพาลงไป ก็เป็นการยากที่ใครจะเข้าไปในดินแดนริเวียร์ร่าได้”
ท่านผู้เฒ่าหยุดชะงักเรื่องที่จะพูดต่อ เมื่อเห็นว่าเจย์คงมีคำถามที่ต้องการคำตอบ “เจ้ามีอะไรอยากถามข้ารึเปล่า”
“ครับ… ผมอยากรู้ว่าพลเมืองของริเวียร์ร่ามีรูปร่างเหมือนมนุษย์อย่างเรารึเปล่า และถ้าหากเมือง
ริเวียร์ร่าอยู่ใต้น้ำจริง พลเมืองของเฮเวนน่าและแลนด์เดียร์ว่าก็ไม่สามารถเข้าไปในเมืองได้ซิครับ”
เจย์ถามด้วยความสงสัย พยายามลืมเรื่องอาการเมื่อครู่เพราะคิดว่าคงคิดมากไปเอง
“อ้อ… เรื่องนี้เอง เมืองริเวียร์ร่าอยู่ใต้น้ำก็จริง แต่ก็มีอาณาเขตเมือง ข้าจะสมมติตัวอย่างง่าย ๆ
ให้เจ้าดู” พูดจบท่านผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่ชามแก้วที่ว่างเปล่าตรงหน้านีย์ ๆ งอนิ้วเหมือนการกระดิกนิ้วนิดเดียว
ชามก็เคลื่อนที่มา เมื่อท่านผู้เฒ่าพลิกนิ้วคว่ำมือลง มันก็คว่ำลงบนกึ่งกลางโต๊ะพอดี “หากโต๊ะตัวนี้เป็น
ทะเลสาบ พื้นที่ภายในชามแก้วนี้ก็คืออาณาเขตเมือง ซึ่งภายในอาณาเขตเมืองก็มีบรรยากาศไม่แตกต่าง
จากบนบกเท่าไหร่นัก ใครก็ตามที่ได้รับอนุญาตจากท่านราชา หรือมีคนของริเวียร์ร่าพาลงไปในเมือง ก็
สามารถอยู่ในเมืองได้อย่างปกติ แต่ถ้าเกิดเผลอหรือพลาดพาตัวเองออกจากอาณาเขตเมืองเมื่อไหร่
เมื่อนั้นก็คือการจบชีวิตด้วยการจมน้ำตาย เพราะฉะนั้นคำถามแรกของเจ้าเรื่องรูปร่างของพลเมืองริเวียร์ร่า
ข้าก็ขอตอบว่า เป็นเหมือนพวกเรานี่แหละ แต่จะพิเศษกว่าก็คือ เมื่อใดที่พลเมืองของริเวียร์ร่าออกจาก
อาณาเขตเมือง พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ในน้ำได้เหมือนนางเงือก สัญลักษณ์ประจำเมืองของพวกเขา”
“แล้วสัญลักษณ์ของเฮเวนน่าล่ะครับ” แซนด์ถามด้วยความอยากรู้
“คำตอบอยู่ที่มือของท่านราชิ…เอ่อ นี่ไง” ผู้เฒ่าเอสโทสชะงักที่จะเรียกซายน์ว่าราชินี เมื่อเห็นว่า
มีสายตาร้องขอส่งมาจากดวงตาของเธอ ก่อนจะชี้ไปที่มือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะแทน
“แมลงปอนี่เอง มิน่าท่านแม่ถึงให้ของขวัญเราเป็นสร้อยรูปแมลงปอ” แซนด์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะยกมือขึ้นมาเหมือนกับจะโชว์สร้อยข้อมือที่สวมใส่อยู่
“แล้วเรื่องของแลนด์เดียร์ว่าล่ะคะ” ซายน์ถามเมื่อนึกได้ว่ายังมีอีกเมืองที่ท่านผู้เฒ่ายังไม่ได้กล่าวถึง
“แลนด์เดียร์ว่า เมืองของชาวดิน ในบรรดาเมืองทั้งสาม แลนด์เดียร์ว่าเป็นเมืองที่อีกสองเมือง
ต้องพึ่งพาน้อยที่สุด หรือแทบจะไม่ได้พึ่งพาอะไรเป็นพิเศษเลย ทั้งสองเมืองจึงตกลงร่วมกันให้ราชาของ
แลนด์เดียร์ว่ามีอำนาจในการตรวจตราทางสายหมอก แต่ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากมาย เพราะโดยปกติคนที่
จะไปมาหาสู่กันในเมืองทั้งสามจะเป็นระดับบุคคลสำคัญของปราสาทแต่ละแห่ง ซึ่งจะมีวิธีเข้าเมืองเป็นการ
พิเศษของแต่ละคนไป ถ้าเป็นชาวเมืองธรรมดานาน ๆ จึงจะมีการเดินทางโดยใช้ทางสายหมอกสักครั้ง”
“แล้วสัญลักษณ์ของเมืองล่ะครับ” แซนด์ถามโพล่งขึ้นมา
“ยูนิคอร์น” เสียงผู้เฒ่าเอสโทสเจือด้วยความเศร้า “เมื่อก่อนมันเป็นยูนิคอร์นสีขาว แต่บัดนี้มัน
กลับกลายเป็นยูนิคอร์นสีดำ”
“ทำไมล่ะคะ” “ทำไมครับ” ทั้งสามถามเกือบจะพร้อมกัน
“เพราะตอนนี้แลนด์เดียร์ว่าไม่มีราชาปกครองเหมือนอดีต เชื้อสายท่านราชาถูกจับคุมขังรวมถึง
โดนสังหารไปจนหมด ตอนนี้พลเมืองของแลนด์เดียร์ว่า แบ่งแยกกันเป็นเหมือนชนเผ่า ต่างปกครองตนเอง
เกิดการต่อสู้กันระหว่างเผ่า เพื่อการอยู่รอด”
“เกิดอะไรขึ้นคะ เกี่ยวกับที่ท่านแม่ต้องไปจากที่นี่ด้วยใช่มั้ย” ซายน์ถามด้วยความอยากรู้
“ใช่แล้ว” ท่านผู้เฒ่าตอบพร้อมกับพยักหน้าช้า ๆ “เรื่องมันเกิดเมื่อประมาณสิบหกปีที่แล้ว มีชาย
ในชุดดำปกปิดหน้าตามิดชิด พาพรรคพวกมากลุ่มใหญ่ บุกขึ้นมาที่เฮเวนน่า ประกาศก้องว่าได้ยึด
แลนด์เดียร์ว่าไว้ได้แล้ว และจะมายึดเฮเวนน่าเป็นเมืองต่อไป ตอนนั้นทุกอย่างโกลาหลไปหมด
เกิดการต่อสู้กันทุกหย่อมหญ้า มีชาวเมืองบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากทั้งสองฝ่าย ราชินีเซ็นย่า
ทนดูเหตุการณ์ไม่ได้ต้องลงมาเจรจากับชายชุดดำด้วยตนเอง” น้ำเสียงท่านผู้เฒ่ามีแววเศร้าสลด
ซายน์จับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้เฒ่า ซึ่งบัดนี้ดูมีแต่ความเหม่อลอย แววตาไม่ได้จับจ้องไปที่จุดใด
เป็นพิเศษ ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่ง ถอนหายใจ พร้อมกับบอกให้ทุกคนหลับตา จับมือกันไว้และตั้งสมาธิ
ให้ดีอย่าวอกแวก ในความมืดขณะที่กำลังหลับตาอยู่ ซายน์รู้สึกว่าตอนนี้เหมือนตัวเองกำลังดำดิ่งลงไป
ในความมืดมิดมากขึ้น มากขึ้น ….
*****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น