“ข้าขอยืนยันคำเดิม.... ข้าขอให้ท่านปล่อยตัวพวกเขาไป เพื่อแลกกับตัวข้า”
เสียงที่เปล่งออกจากปากของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ร็องดอร์ถึงกับเงียบไปเพราะต้องใช้ความคิดอย่างหนัก
เลยทีเดียวในการตัดสินใจ ว่าจะแลกกับความได้เปรียบซึ่งกำไว้อยู่ในมือ หรือเลือกบุตรชายเพียงคนเดียวที่เขา
โหยหามานาน เหตุการณ์เมื่อสิบหกปีที่แล้วย้อนกลับมาฉายในความคิดของเขาอีกครั้ง มันเป็นวันแห่งความสูญเสีย
อย่างแท้จริง การสูญเสียลูกน้องในการต่อสู้ การพ่ายแพ้ต่อราชินีเซ็นย่าที่ยอมสละชีวิตตนเองปกป้องเฮเวนน่า
รวมถึงอาการบาดเจ็บของเขาเองที่ต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลานานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ
แต่...ความสูญเสียและความเจ็บปวดใด ๆ กลับไม่ทำให้เขารู้สึกเสียใจหรือสิ้นหวังเท่ากับเมื่อกลับมาแล้ว
พบว่า หญิงสาวอันเป็นที่รักยิ่งได้หนีจากเขาไปแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น นางยังได้พรากสายเลือดหนึ่งเดียวของเขา
ไปอีกด้วย บุตรที่เขาไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้า เขายังจำความรู้สึก ณ วินาทีนั้นได้ดี ว่ามันเป็นอย่างไร
ความเจ็บปวดจนแทบคลั่ง ความเสียใจและสำนึกผิดที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้สนใจใยดีหญิงคนรักของตนเอง
สักเท่าไหร่ ถึงแม้การที่เขาต้องการครอบครองเฮเวนน่ามีสาเหตุใหญ่มาจากเรื่องอื่น แต่นางกับลูกก็เป็นอีกแรงจูงใจ
ให้เขาต้องทำเช่นนั้น หากเขาได้ครอบครองเฮเวนน่าก็เท่ากับจะได้เป็นใหญ่และครอบครองดินแดนพาร์ตรีไดส์
ทั้งหมด นางกับลูกน้อยที่กำลังจะกำเนิดมาจะได้อยู่อย่างสุขสบายและยิ่งใหญ่ด้วยกันในดินแดนที่เป็นของเรา
แต่ไม่นึกเลยว่านางจะไม่ได้คิดอย่างเขา
“ว่าอย่างไร” เสียงตะโกนของเจย์ ดึงความคิดของเขากลับมา
“หากท่านไม่ปล่อยพวกเขาไป ก็ฆ่าข้าซะก่อน เพราะข้าจะทำทุกทางจนกว่าข้าจะตาย ไม่ให้พวกท่านไป
ทำร้ายพวกเขาได้” เสียงของเจย์ดังกังวานอย่างมั่นใจว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจกลับรู้สึกยากจะ
บรรยาย เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสำคัญตัวผิดไปรึเปล่าที่ใช้ฐานะความเป็น ‘ลูก’ มาเป็นเครื่องต่อรอง ในเมื่อทั้งเขา
และร็องดอร์เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก แถมยังไม่เคยมีความผูกพันใด ๆ ต่อกัน
“ได้.... เราจะปล่อยพวกมันไป ขอเพียงเจ้ายอมกลับไปกับเรา”
“ท่านร็องดอร์” เสียงครางของเคลอิและโลนอฟ แทบจะกลายเป็นเสียงเดียวกัน
“ท่านจะปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ กว่าพวกเราจะหาที่นี่เจอ.....” เคลอิต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อ
ร็องดอร์ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม แต่ใจของเขากลับไม่หยุดคิด ตลอดเวลาที่เขาติดตามร็องดอร์มาก็เพื่อจะรอวันนี้
วันที่จะชำระหนี้แค้นให้กับครอบครัวของตนเอง ตั้งแต่วันแรกที่เจอกับท่านร็องดอร์ ก็เป็นท่านเองไม่ใช่หรอกหรือ
ที่พร่ำสอนและตอกย้ำมาตลอดว่าครอบครัวข้าถูกทรมานอย่างไรภายใต้เงื้อมมือของราชินีและคนสนิทอย่างผู้หยั่งรู้
ประจำเฮเวนน่า เป็นท่านเองไม่ใช่หรอกหรือที่เฝ้าบ่มเลี้ยงข้าให้โตมาเพื่อรอการแก้แค้น มาวันนี้โอกาสนั้นมาอยู่
ตรงหน้าแท้ ๆ แต่กลับกำลังจะลอยหายไป
“ต่อให้ใช้เวลานานเพียงไหนกว่าจะหาที่ซ่อนนี้เจอ หรืออาจต้องใช้เวลาอีกนานจากนี้ไปกว่าจะครอบครอง
ดินแดนทั้งสามได้ ข้าก็เต็มใจจะแลกเพื่อให้ได้ตัวเขามา เพราะอาจไม่มีเวลาเช่นนี้เพื่อให้ข้าได้ตัวเขามาอีกแล้ว”
น้ำเสียงของร็องดอร์แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ตกลง.... ข้าจะไปกับท่าน”
“ไม่นะ...พี่เจย์... ไม่นะ” เสียงซายน์ตะโกนห้ามทั้ง ๆ ที่ยังสะอื้น
“เจย์... นายจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะ” แซนด์กล่าวรั้งไว้อีกคน
“ห้ามคนของท่านทุกคนติดตามพวกเขาไป ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม” ประโยคสุดท้ายเจย์จงใจจ้องหน้า
ธรณีเทพโดยเฉพาะ
“ข้ารับปาก”
“ลาก่อน.... พวกท่านไปกันได้แล้ว” เจย์หันกลับมากล่าวลาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ไม่... ซายน์จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าพี่เจย์ไม่ไปกับพวกเราด้วย”
“ไปซะ... จากนี้ไป เราอยู่คนละฝั่งกันแล้ว” น้ำเสียงของเจย์เด็ดขาดจนทำให้หญิงสาวที่กำลังร่ำร้อง
หยุดชะงักอย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้
“ไม่..ไม่.. เราจะไม่ทอดทิ้งกัน จำไม่ได้เหรอพี่เจย์”
วายุเทพไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรอีก แต่กลับจ้องตาแซนด์เพื่อวิงวอนให้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ ๆ ไป เขารับรู้ว่า
เพื่อนรักจะต้องเข้าใจและอ่านสายตาเขาออก
“ขอให้นายโชคดี หวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันอีก”
“ทำไม... ทำไม... ทำไมพี่แซนด์พูดแบบนี้ล่ะ” ซายน์หันกลับไปทุบตีพี่ชาย “พี่แซนด์บ้า บ้าที่สุดเลย
จะปล่อยให้พี่เจย์กับเราแยกกันแบบนี้หรือไง”
“พอได้แล้วซายน์” พี่ชายพยายามรวบตัวน้องสาวไว้ “ขอบใจสำหรับทุกอย่างนะเจย์ ขอบใจจริง ๆ เราไป
กันเถอะ” พูดจบแซนด์พยายามลากตัวน้องสาวที่กำลังดิ้นรนเดินจากมาช้า ๆ โดยมีท่านผู้เฒ่าซึ่งมีราฟาเป็นผู้ช่วย
พยุงเดินตามไปพร้อม ๆ กับโฟร์ท
*****************************
ทั้งหมดเดินลึกเข้าไปในป่าสน เส้นทางที่ซายน์ แซนด์ และเจย์ เคยเดินเข้ามาเพื่อเริ่มต้นฝึกฝนตัวเอง
เป็นครั้งแรก ซายน์ก็ยังโวยวายและไม่หยุดดิ้นรนที่จะกลับไปตามเจย์ จนกระทั่งท่านผู้เฒ่าต้องเอ่ยเตือนให้เธอ
สงบสติอารมณ์ นั่นเองถึงทำให้เธอเริ่มเลิกตีโพยตีพายเดินตามทุก ๆ คนพร้อมกับร้องไห้เงียบ ๆ ไปตลอดทาง
จนกระทั่งไปถึงสระบัว
“ถึงแล้ว” ราฟาเอ่ยขึ้นเบา ๆ ก่อนจะร่ายเวทเสียงสะท้อนก้องกังวาน “โอเกเว..เฮเวนน่า”
ทันทีที่เสียงของธาราเทพเงียบลง ใบบัวทั้งหลายในสระจมหายไปใต้น้ำ เหลือเพียงบางส่วนจากริมตลิ่ง
ตรงที่ทุกคนยืนอยู่ยาวไปจนถึงดอกบัวใหญ่ที่อยู่กลางสระซึ่งกลายเป็นหินทันที ดอกบัวตูมสีม่วงดอกใหญ่ค่อย ๆ
เริ่มผลิบานออก เกิดลำแสงสีทองส่องเป็นทางจากใจกลางดอกบัวพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ราฟาพยุงท่านผู้เฒ่าเดินนำไปบนใบบัวที่กลายเป็นหิน จนเข้าไปยืนอยู่ในรัศมีสีทองเปล่งประกาย รอซายน์
โฟร์ทและแซนด์ ให้เดินตามเข้าไป เมื่อทั้งหมดไปหยุดยืนอยู่ในลำแสงนั้นแล้ว ท่านผู้เฒ่าใช้ไม้เท้ากระทุ้งไปบน
พื้นดอกบัวแรง ๆ สามครั้งทำให้ลำแสงเริ่มเต้นสั่นไหวเหมือนมีชีวิต
ซายน์รู้สึกเหมือนถูกดูดให้ลอยขึ้นจนทรงตัวไม่ได้ ก่อนจะรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงจนต้องหลับตาลงเพราะ
แสงสีทองสว่างจ้าระยิบระยับซึ่งรายล้อมรอบ ๆ ตัว
*****************************
หากเป็นเวลาปกติเจย์คงจะรู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้นั่งอยู่บนหลังยูนิคอร์นสีดำเช่นนี้ มัน
ก้าวย่างอย่างสง่างามและนุ่มนวล แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ไปในทางสายหมอกอย่างรวดเร็ว ตลอดทางที่
ผ่านมาเขาไม่ได้ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ในใจของเขาตอนนี้ได้แต่คอยพะวงถึงแต่พรรคพวกที่ต้องจากมา
หวังว่าทั้งหมดคงจะเดินทางไปยังดินแดนที่เป็นถิ่นฐานที่แท้จริงได้อย่างปลอดภัย สำหรับตัวเอง เขาก็ยังไม่รู้ว่า
จะต้องเผชิญกับอะไร และจะต้องทำอะไรต่อไป แต่เมื่อได้ตัดสินใจเลือกทางเดินเส้นนี้แล้ว ฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
กับชีวิตต่อไปมันก็คงไม่ต่างกัน จะแปลกอะไรในเมื่อครั้งแรกที่ก้าวผ่านมายังโลกพาร์ตรีไดส์ เขาก็เหมือนเดินอยู่
ในความฝันอยู่แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่มหัศจรรย์เกินกว่าที่เขาจะคาดถึง
เจย์สังเกตแผ่นหลังของชายที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง บิดาบังเกิดเกล้าของตนเองซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางเช่นกัน
เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็อดทึ่งไม่ได้ว่าทั้ง ๆ ที่บาดเจ็บค่อนข้างมากขนาดนี้ แต่ชายตรงหน้าก็ไม่
แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นเลย อากัปกิริยาที่นิ่งขรึม เงียบ สงบ แต่ดูทรงอำนาจเช่นนี้ คงเป็นที่น่าเกรงขาม
สำหรับบรรดาคนในปกครองอย่างมากทีเดียว แต่ไมใช่สำหรับเขา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองไม่ได้รู้สึก
เกรงกลัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนแลนด์เดียร์ว่าคนนี้เลย แถมยังรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าตนเองเป็นต่ออีกด้วย คงเป็นเพราะคำว่า
“บุตรชาย” ซึ่งเป็นสถานะที่เขาดำรงอยู่ตอนนี้
*****************************
“ที่นี่.... ที่นี่คือ.......” ซายน์กลั้นคำพูดไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้า คงไม่ใช่เพราะปุยนุ่นสีม่วง
ที่กำลังปลิวละล่องตามสายลมจนมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในอากาศเป็นสีม่วงไปหมดนี้หรอกนะ ที่ทำให้เธอตาลาย
จนเห็นว่าที่นี่เป็นสวนที่สวยงามที่สุดเท่าที่จะมีได้ มันงดงามน่าหลงใหลเหมือนเดินอยู่ในวิมานของความฝันจริง ๆ
จุดที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ เป็นลานกว้างแปดเหลี่ยม พื้นปูด้วยหินสีดำสนิทจนเป็นมัน กึ่งกลางลานเป็นบ่อน้ำ
สูงระดับสะโพก น้ำสีม่วงอ่อนกำลังกระเพื่อมสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนกำลังเต้นระบำและหยอกล้อกับรูปปั้นแมลงปอที่ทำ
จากวัสดุที่ใสและเปล่งประกายเหมือนเพชร ซึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำเป็นระยะ ๆ ตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง โดยไม่สามารถ
คาดเดาได้ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้น ณ จุดใด
ไกลออกไปคือปราสาทแก้วแวววาว มีจุดดึงดูดสายตาอยู่ที่ยอดโดมขนาดใหญ่ซึ่งสูงตระหง่านอยู่ตรงกลาง
และโดมเล็ก ๆ ที่ลดหลั่นกันมาเป็นชั้นทั้งซ้ายขวา ทางเดินจากลานแปดเหลี่ยมที่ตรงไปสู่ประตูโค้งมนของตัว
ปราสาท ถูกขนาบไปด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่ที่มีใบเรียวยาว ออกดอกสีม่วงเข้มห้อยระย้าจากกิ่งจรดพื้นเรียงต่อกัน
จนเหมือนม่าน ทุกครั้งที่มีลมพัดพาผ่านมา มันจะพลิ้วไหวเป็นระลอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ส่วนรอบ ๆ ลานกว้างเป็น
ทุ่งดอกไม้สูงประมาณหัวเข่า เต็มไปด้วยดอกไม้ทรงกลมสีม่วงอมฟ้าเบียดตัวหนาแน่นจนเหมือนพรมที่แผ่กว้าง
ไกลสุดลูกหูลูกตา
ซายน์ก้มตัวลงไปตั้งใจจะสัมผัสกับดอกไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ทันทีที่มือเธอแตะต้องถูกมันก็ฟุ้งกระจายไป
ในอากาศและส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เธอรู้สึกคุ้นเคย ก่อนที่จะมีดอกใหม่ผุดขึ้นมาแทนที่แทบจะทันที และนั่นก็ทำให้
เธอรู้ทันทีว่าปุยนุ่นสีม่วงในอากาศทั้งหมดนี้คืออะไร
“ดอกพ็อกเพอนี่” ท่านผู้เฒ่าเอสโทส เอ่ยบอก “ปลูกได้ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น มันเป็นดอกไม้ที่มีประโยชน์
มหาศาล อย่างน้อยตอนนี้กลิ่นของมันจะช่วยให้เราผ่อนคลาย” พูดจบท่านผู้เฒ่าก็สูดหายใจเบา ๆ
“แต่ละอองของมันที่ปลิวว่อนอยู่ในอากาศนี้จะไม่มีปัญหากับการหายใจของเราหรือคะ”
“ไม่หรอก ปุยนุ่นพวกนี้ทันทีที่สัมผัสถูกเรา มันก็จะสลายไปกับอากาศทันที เอาละ ขอต้อนรับทุกท่านสู่
เฮเวนน่า ดินแดนของชาวฟ้า.. บ้านที่แท้จริงของพวกเรา และที่ ๆ เรากำลังยืนอยู่นี่ คือ ลานศักดิ์สิทธิ์”
“ลานศักดิ์สิทธิ์” แซนด์ทวนคำ “ถ้าเช่นนั้น น้ำในบ่อนี่ก็คือ..... รัซเทล”
“ใช่แล้ว... ข้าดีใจที่ท่านจำได้ เพราะต่อจากนี้ไป มีเรื่องให้พวกท่านต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยทีเดียว”
“โฟร์ท! ราฟา! เป็นอะไร~~” แซนด์ร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวและชายหนุ่มที่เขาเอ่ยเรียก
หลับตาปี๋ใช้มือกุมศีรษะ ทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนคนกำลังเจ็บปวด
ท่านผู้เฒ่ารีบตรงเข้าหาคนทั้งคู่ ก่อนจะเอ่ยอะไรเบา ๆ สองสามคำ ทั้งสองคนก็เหมือนจะหายเป็นปกติ
อย่างน่าอัศจรรย์ มีเพียงรอยน้ำตาจาง ๆ บนใบหน้าของโฟร์ทเท่านั้นที่ฟ้องว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น
“ราฟา... ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามใช้ อายเพลส” น้ำเสียงเคร่งเครียดของท่านผู้เฒ่าเอ่ยถาม
“ขอโทษครับ แต่ตอนนั้นมันจำเป็นจริง ๆ”
“มีอะไรร้ายแรงหรือคะ” ซายน์ถาม
“อายเพลส เป็นเวทที่ช่วยในการมองเห็น ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คืออาศัยการมองเห็นของคนอื่น เหมือนที่
ราฟาใช้กับโฟร์ท เขาก็จะเห็นทุกอย่างเหมือนที่เธอมองเห็น ซึ่งมันก็ใช้ได้แค่ชั่วเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถใช้
ได้ตลอดไป แต่ผลกระทบที่จะตามมามันยิ่งกว่านั้น ข้าเตือนแล้วว่าไม่ควรคิดที่จะใช้เวทนี้ถ้าไม่เจอเหตุการณ์คอขาด
บาดตายจริง ๆ เพราะจะทำให้อาการทางดวงตาของราฟาเป็นหนักขึ้นกว่าเดิม แถมผู้ที่เป็นเจ้าของดวงตาเช่นโฟร์ท
ก็จะมีปัญหาทางสายตาต่อไปแน่นอนในอนาคต”
“ปัญหาทางสายตา” ซายน์ทวนคำงง ๆ “ขนาดไหนคะ”
“ก็ไม่แน่นอนหรอก..ราชินีน้อย อาจจะแค่พร่ามัว มองไม่เห็นชั่วขณะ หรืออาจจะมองไม่เห็นตลอดไป”
“ข้า... ข้า.... ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” ร่องรอยของความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราฟา ก่อนที่จะ
โค้งตัวคำนับโฟร์ทแทนคำขอโทษ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โฟร์ทกลับดีใจซะอีกที่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ ส่วนเรื่องที่เหลือปล่อยให้มันเป็น
เรื่องของอนาคตเถอะค่ะ”
“มีอะไรหรือคะท่านผู้เฒ่า” ซายน์เอ่ยถามเมื่อเห็นชายชราถอนหายใจหนัก ๆ
“การรักษาราฟาอาจจะต้องยุ่งยากกว่าเดิม ข้าขอพูดตรง ๆ ล่ะนะว่า ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
“อย่ากังวลเลยครับท่านผู้เฒ่า ข้ายอมรับสภาพนี้ได้ ... ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างราชินีน้อย” ราฟายิ้มอย่างจริงใจ
ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“สวย...ที่นี่สวยจังค่ะ” ซายน์รำพึงขึ้นเบา ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับหมุนตัวไปรอบ ๆ พยายาม
เปลี่ยนสถานการณ์ตึงเครียดให้สบายขึ้น “ถ้าหากเราวิ่งเข้าไปในทุ่งดอกไม้...” เธอหยุดพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหัน
มาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ท่านผู้เฒ่า
เพียงครู่เดียวปุยนุ่นสีม่วงปลิวฟุ้งในอากาศหนาแน่นกว่าเดิม เพราะการวิ่งเล่นกันของซายน์ แซนด์ โฟร์ท
พอรู้สึกเหนื่อยทั้งสามคนก็พากันนอนแผ่หลาอยู่บนพรมดอกไม้ (ซึ่งมีก้านและใบที่แข็งแรงจนสามารถรองรับน้ำหนักตัว
ของทุกคนได้) หัวเราะกันอย่างร่าเริง ลืมเรื่องร้ายที่เพิ่งผ่านมาจนหมดสิ้น
“พวกเจ้าเป็นใคร ทหาร!! ... ทหาร!!”
เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก ทำเอาทั้งสามคนถึงกับสะดุ้ง รีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปหาท่านผู้เฒ่า ซึ่งขณะนี้
กำลังโค้งตัวคำนับใครบางคนอยู่ จนเมื่อเข้าไปใกล้ จึงได้เห็นว่า ตรงหน้าท่านผู้เฒ่ากับราฟา คือเด็กผู้หญิงอายุ
ประมาณสิบขวบ ในอ้อมกอดมีแมวสีส้มตัวโตขนฟู เหลียวหน้ามองคู่สนทนาของเจ้าของมันเหมือนจะรู้เรื่องในสิ่ง
ที่มนุษย์พูดคุยกัน เด็กน้อยดูสง่างาม ภูมิฐานไปด้วยเครื่องแต่งกายชั้นเลิศ แต่ก็ดูโตเกินวัย มงกุฎน้อย ๆ บนศีรษะ
ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเธอคือใคร
“ท่านผู้เฒ่าเอสโทสบอกว่าคนพวกนี้มากับท่านหรือคะ” นี่เป็นคำถามแรกที่ซายน์ได้ยินจากปากของเธอ
“แล้วท่านก็อนุญาตให้พวกเขาวิ่งเล่นกันในสวน...” ประโยคกึ่งคำถามที่มีความรู้สึกเหมือนจะเย้ยหยันอยู่ในน้ำเสียง
ช่างขัดกับดวงหน้าที่ดูไร้เดียงสานั้นเหลือเกิน “สนุกกันใหญ่เลยนะคะ” ประโยคสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มน่ารัก ทำเอา
ซายน์ปั้นหน้าไม่ถูก
“ราชินีน้อย” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเรียกซายน์ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าบัดนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นหุบยิ้มทันทีและมี
สีหน้าที่แปลกใจและตกใจในสรรพนามที่ได้ยินแค่ไหน “นี่คือท่านหญิงโซรีน บุตรีของท่านหญิงซีเวียร์”
*****************************
ทันทีที่เดินก้าวผ่านประตูโค้งมนซึ่งกั้นระหว่างพื้นที่สวนดอกไม้กับปราสาท ซายน์เพิ่งจะรู้สึกจริง ๆ ว่า
ปราสาทแก้วมีขนาดใหญ่กว่าที่เห็นจากภายนอกมากมายนัก ความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นมาว่า
ที่นี่คือ “บ้าน” ของแม่
ทุกคนเดินตามท่านหญิงโซรีน ไปตามทางเดินหินขัดมัน ที่ด้านหนึ่งเป็นกำแพงแก้วของตัวปราสาทและอีก
ด้านเป็นเสาหินอ่อนสูงใหญ่ก่อนที่ส่วนปลายจะโค้งเข้าหากำแพง ทั้งหมดเดินตามไปเงียบ ๆ จนถึงบันไดหินอ่อน
ขนาดมหึมาและก้าวเข้าสู่ห้องโถงทรงกลม ทันทีที่ท่านหญิงตัวน้อยดีดนิ้วเบา ๆ กำแพงแก้วก็ส่งแสงแวววาวทำให้
ทั้งห้องสว่างขึ้น และพริบตาเดียวเหล่าทหารในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีน้ำเงินแดงก็มายืนเข้าแถวเป็นระเบียบรอบ ๆ
ห้องทรงกลม
ซายน์มองไปรอบ ๆ และรู้สึกคุ้นตาสำหรับสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์สีม่วงเข้มสลับกับสีทอง ที่
สลักเสลาลวดลายเถาวัลย์อย่างประณีตตั้งอยู่บนยกพื้นสี่เหลี่ยมสีทอง เตาผิงขนาดใหญ่ซึ่งมีปล่องควันสูงขึ้นไป
ตามกำแพง กรอบรูปภาพขนาดใหญ่อีกด้านของกำแพงซึ่งแสดงภาพเหล่าราชินีอดีตผู้ครองเฮเวนน่า เธอเพ่งมอง
ไปยังรูปที่ปรากฏอยู่ท้ายสุดและจำได้ทันทีว่านั่นคือรูปของราชินีเซ็นย่า ท่านยายของเธอเอง ทันใดนั้นซายน์ก็
นึกออกว่าทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นตา เพราะที่แห่งนี้คือสถานที่เมื่อครั้งท่านผู้เฒ่าใช้เวททำให้เกิดภาพมายา ทำให้
ทุกคนได้เห็นภาพเมื่อครั้งที่ท่านกำลังจะพาแม่และท่านป้าหนีไปจากเฮเวนน่านั่นเอง ห้องที่ท่านป้ายืนกรานว่าจะ
ไม่หนีไปไหน ห้องที่แม่ร่ำลาจากมาด้วยน้ำตาและความเสียใจ เสียงร้องเบา ๆ ของแมวในอ้อมกอดของท่านหญิง
โซรีน ดึงความคิดของซายน์กลับมาและทันได้เห็นท่านหญิงตัวน้อยเดินตรงไปยังทางเดินเข้าออก ซึ่งอยู่ทาง
ด้านซ้ายของบัลลังก์
ท่านหญิงโซรีนย่อตัวถอนสายบัวก่อนจะหลีกทางให้หญิงร่างสูงโปร่งวัยกลางคนในชุดยาวกรอมข้อเท้าสี
ชมพูอ่อนก้าวเข้ามาในห้องโถง และเดินตรงไปนั่งลงบนบัลลังก์ มงกุฎเพชรบนศีรษะของนางเปล่งประกายล้อ
แสงไฟระยิบระยับ ช่วยเสริมให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น
อีกคนที่เดินตามนางออกมาเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ศีรษะล้าน เดินค้อมตัวด้วยความประหม่า
ลงมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างท่านผู้เฒ่ากับสตรีผู้ครองบัลลังก์ สายตาของเขาไม่กล้าจ้องมองพวกท่านผู้เฒ่า
ตรง ๆ และยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ ท่านผู้เฒ่าก็รีบเดินนำทุกคนไปหยุดยืนอยู่หน้าหญิงสูงศักดิ์ที่นั่ง
อยู่บนบัลลังก์ ก่อนจะโค้งคำนับ
“ท่านหญิงซีเวียร์ สบายดีหรือไม่“
“ข้าไม่ได้เจ็บป่วยประการใด แล้วท่านล่ะ ท่านผู้เฒ่าเอสโทส อดีต...ผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า” นางย้ำเสียง
ตรงคำว่า ~อดีต~ อย่างจงใจ
“ข้าก็เช่นกัน ไม่ได้เจ็บป่วยแต่ประการใด”
“แต่ดูสภาพท่านตอนนี้แล้ว ข้าไม่เห็นด้วยเลยนะ” นางเหลือบมองสภาพของท่านผู้เฒ่าในชุดกระดำกระด่าง
และขาดวิ่น จากศีรษะจรดเท้าอีกครั้ง
“เกิดเหตุการณ์รุนแรงเล็กน้อยในการเดินทางกลับมาที่นี่ แต่ทุกอย่างได้เรียบร้อยดีแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
ซายน์เริ่มรู้สึกอึดอัดกับการสนทนาของทั้งสองคน เพราะดูเหมือนจะเป็นการสนทนาอย่างเป็นทางการแบบ
เสียไม่ได้ ไม่ได้มีความเห็นใจ ห่วงใยกันอย่างแท้จริงเลย อีกทั้งเธอยังรู้สึกกลัวกับดวงหน้าที่เย็นชาและแววตาที่
ดูดุดันของหญิงผู้ที่เป็นท่านป้าของตัวเองอีกด้วย และแล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ ท่านหญิงซีเวียร์ก็เอ่ยถามถึง
“เด็ก ๆ ที่ท่านพามา” นั่นคือสรรพนามที่นางใช้เรียกพวกเธอ
ท่านผู้เฒ่าใช้ทั้งมือซ้ายและมือขวารีบดึงมือซายน์และแซนด์มายืนอยู่ข้างหน้า ก่อนจะกระซิบให้ทั้งสองคน
โค้งคำนับท่านป้า อย่างเป็นทางการครั้งแรก
“ทั้งสองคนนี่คือ บุตรของท่านหญิงเซร่า”
“อะ...อะไรนะ” ท่านหญิงซีเวียร์ตกใจลุกขึ้นยืน
*****************************
ท่านผู้เฒ่าเลือกที่จะเล่าให้ท่านหญิงซีเวียร์รับรู้เพียงบางเรื่องเท่านั้น เริ่มจากการสูญเสียท่านหญิงเซร่า
ในอีกโลกหนึ่ง จนทำให้สองพี่น้องและนีย์ต้องเดินทางเข้าสู่โลกพาร์ตรีไดส์ เรื่องที่ราฟาต้องไปพิทักษ์ทุกคนใน
ทางสายหมอกให้ปลอดภัยจนได้มาเจอกันที่บ้านพักอันเป็นที่ลับ ก่อนที่นีย์จะขอแยกตัวไปเพื่อตามหาครอบครัว
จนกระทั่งการถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากพวกของร็องดอร์ ทำให้ต้องพากันหลบหนีมาที่นี่
ซายน์หันมามองหน้าท่านผู้เฒ่าด้วยความมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงไม่เล่าเรื่องรอยปรากฏบนหลังมือ
ด้านซ้ายของเธอ รวมถึงไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ในการช่วงชิงผลึกแห่งแสงที่ปรากฏแล้วทั้งสามเลย เรื่องเล่าของ
ท่านผู้เฒ่าฟังไปฟังมาเหมือนพวกเธอใช้เวลาพักผ่อนช่วงฤดูร้อนอย่างสะดวกสบายก่อนที่จะมีการต่อสู้ที่ดุเดือด
“โอ้...ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือนี่”
ด้วยน้ำเสียงที่เอื้ออาทร ดึงให้ซายน์หันกลับมามองหน้าหญิงบนบัลลังก์อีกครั้ง และขณะนี้ดวงตาที่เคยดู
ดุดันของเธอกลับมีน้ำใส ๆ เอ่อท่วมตา
“หลาน... หลานของป้าจริง ๆ หรือนี่” นางกล่าวเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ช่างน่าเศร้านักที่เราต้อง
มาเจอกันในสภาพเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าน้องสาวอันเป็นที่รักของข้าจะจากไปแล้วจริง ๆ ข้ายังคิดอยู่เสมอว่าสักวัน
นางจะต้องกลับมา แต่คงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว” ท่านหญิงซีเวียร์พยายามกลั้นเสียงสะอื้น ก่อนจะกล่าวต่อพร้อมกับ
ยื่นมือทั้งสองข้างกางออก “แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้นางก็ส่งตัวแทนกลับมาแล้ว มาสิ มา... ขอป้ากอดหน่อย”
ซายน์กับแซนด์หันมามองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นน้องสาวจะพยักหน้าและออกเดินเข้าสู่อ้อมแขนด้วยรอยยิ้ม
น้อย ๆ โดยมีพี่ชายฝาแฝดเดินตามมาอย่างช้า ๆ แถมยังรู้สึกขัดเขินเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เพิ่ง
เคยรู้จัก
“โซรีน ทำความเคารพท่านพี่ทั้งสองซะสิ”
ท่านหญิงตัวน้อย เดินมายืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสามก่อนจะย่อตัวถอนสายบัวอย่างสวยงามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ดูเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง
“วันนี้ ข้าว่าพวกเจ้าทุกคนไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า ดูแต่ละคนสิ สภาพดูไม่ได้เลย”
เป็นครั้งแรกที่ซายน์ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านป้า รอยยิ้มที่ทำให้เธอต้องหวนกลับไปคิดถึงคน ๆ หนึ่ง
รอยยิ้มที่เหมือนจะถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน นั่นคือรอยยิ้มอันอบอุ่นของแม่
*****************************
พวกผู้ชายถูกแยกตัวพาไปโดยเหล่าองครักษ์ เหลือเพียงซายน์และโฟร์ทที่กำลังเดินตามหญิงรับใช้คนหนึ่ง
ไปตามทางเข้าสู่ใจกลางของตัวปราสาท และเมื่อถึงบันไดหินอ่อนสีชมพู นางก็หันกลับมาถอนสายบัวและกล่าว
เชิญทั้งสองคนขึ้นบันได
“อ้าว... จะส่งพวกเราเพียงแค่นี้หรือคะ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าพวกเราจะต้องไปที่ไหน” โฟร์ทถามด้วยความงุนงง
“ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปส่วนบนเจ้าค่ะ”
“พวกเราคงไปกันเองไม่ได้หรอกนะ ถ้าไม่มีคนคอยแนะนำ” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของซายน์ทำให้หญิงรับใช้
คลายความประหม่า
“เชิญที่ชั้นสามเจ้าค่ะ อีกสักครู่คงคัดตัวหญิงรับใช้ส่วนตัวให้พวกท่านได้ แล้วพวกนางจะไปหาท่านทั้งสอง
เอง อ้อ.. ขอโทษเจ้าค่ะ ลืมบอกไป ... เกาะราวแน่น ๆ แล้วบอกชั้นที่ต้องการ บันไดจะพาท่านขึ้นไปเองนะเจ้าคะ”
พูดจบนางก็ถอนสายบัวถอยกลับไปโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกใด ๆ อีกเลย
“เกาะราวแน่น ๆ” ซายน์ทวนคำพร้อมกันเหลือบมองราวบันไดสีเงินขนาดเหมาะมือ ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้น
ข้างบน แต่ก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน “บอกชั้นที่ต้องการอย่างนั้นเหรอ พร้อมจะลุยกันรึยัง...โฟร์ท”
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่” โฟร์ทพึมพำเบา ๆ
“ชั้นสาม” ซายน์เปล่งเสียงด้วยความไม่แน่ใจ และได้ยินเสียงร้องเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้นของคนข้าง ๆ
เมื่อบันไดเริ่มขยับและเลื่อนพาทั้งสองคนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ชั่วอึดใจเดียวบันไดที่พาทั้งสองสูงขึ้นและวกไปวนมาผ่านรูปปั้นและภาพเขียนมากมายใหญ่น้อยก็พาทั้งคู่
มายืนอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่บานหนึ่ง ซายน์ผลักประตูเข้าไปและพบกับห้องนั่งเล่นขนาดไม่ใหญ่นัก ทั้งห้อง
ตกแต่งด้วยโทนสีครีม มีโซฟายาวตั้งอยู่หน้าเตาผิงที่แกะสลักจากหินทรายเป็นลวดลายแปลก ๆ โต๊ะและเก้าอี้
เข้าชุดตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่ปิดผ้าม่านฉลุลูกไม้ช่วยลดความร้อนแรงของแสงที่สาดส่องเข้ามา อีกด้านที่ไกลออกไป
เป็นประตูไม้บานใหญ่อีกบาน
“ห้องน่ารักจังเลยค่ะ” โฟร์ทอดชื่นชมไม่ได้
“อืม...” ซายน์ไม่ได้ตอบอะไร แต่หันมองไปรอบ ๆ ห้อง อดคิดไม่ได้ว่ายิ่งที่นี่สุขสบายแค่ไหน แม่ก็ต้อง
ยิ่งลำบากในการใช้ชีวิตในโลกโน้นมากขึ้นเท่านั้น จากที่เคยมีคนดูแล กลับต้องลงมือทำเองทุกสิ่งทุกอย่าง
ยิ่งต้องดูแลเธอสองคนพี่น้องมาลำพังตัวคนเดียว แม่จะต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงไหนกันนะ
“คิดถึงแม่จังเลย” เธอรำพึงออกมาเบา ๆ
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออก ท่านหญิงซีเวียร์
ท่านหญิงโซรีน เดินนำหญิงสาวที่ดูสง่างามคนหนึ่งและหญิงในชุดรับใช้ส่วนตัวอีกสองคนเข้ามา
“นี่คือท่านหญิงซิลแคลล์ ท่านพี่ของเจ้า”
ซายน์และโฟร์ทรีบถอนสายบัวเป็นการคำนับหญิงสาวที่ก้าวออกมายืนเคียงกับท่านหญิงตัวน้อย ก่อนที่ซายน์
จะจ้องมองหญิงสาวสวยในชุดยาวกรอมเท้าสีฟ้าอ่อนด้วยความชื่นชมในความงาม ดวงตากลมโตสีม่วงอ่อน ๆ ช่าง
ดึงดูดและดูลึกลับ ผมสีน้ำตาลเข้มรับกับมงกุฎขนาดพอเหมาะบนศีรษะ ช่วยส่งให้นางดูสวยสง่ายิ่งขึ้น มีเพียง
สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าช่างขัดกับดวงหน้าอันสวยงามนั้นคืออาการเฉยชาไม่ยินดียินร้ายใด ๆ (~ซินแคลล์เหรอ~)
ซายน์นึกย้อนชื่อในใจ ก่อนจะนึกไปถึงเด็กหญิงอายุประมาณ 3-4 ขวบ ที่เคยร่ำร้องจะตามแม่ของเธอเมื่อ
สิบหกปีที่แล้ว
“สองคนนี่หรือคะ ที่ท่านแม่จะแนะนำให้ลูกรู้จัก ถ้าหมดธุระแล้วลูกขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยว ซินแคลล์ มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่แม่ต้องเรียกเจ้ามา” ท่านหญิงซีเวียร์เรียกเพื่อรั้งตัวลูกสาวคนสวย
ที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป “ซายน์เป็นบุตรของท่านน้าเซร่า”
“ท่านน้าเซร่า” ซินแคลล์ทวนคำด้วยความตื่นตะลึง “ท่านน้ากลับมาแล้วหรือคะ แล้วท่านน้าอยู่ที่ไหนคะ”
“เปล่าหรอกซินแคลล์ ท่านน้า...จากพวกเราไปแล้ว”
“โธ่...ท่านน้าเซร่า ข้าอุตส่าห์เฝ้าคอยว่าสักวันท่านน้าจะกลับมา”
“ในเมื่อตอนนี้บุตรของนางกลับมาแล้ว แม่คิดว่าเจ้าจะต้องคืนห้องนั้นให้กับเจ้าของที่เหมาะสมเสียที”
“ท่านแม่!!” น้ำเสียงที่ออกจะประท้วงนิด ๆ ของซินแคลล์
“ห้องของท่านน้าเซร่า สมควรจะเป็นของซายน์เค้านะ ได้เวลาที่เจ้าจะกลับไปอยู่ที่ห้องของเจ้าแล้ว”
“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ซายน์รีบตัดบท เมื่อรับรู้คร่าว ๆ ว่า ทั้งสองกำลังถกเถียงกันเรื่องที่พักของเธอ
“ซายน์อยู่ที่ไหนก็ได้...ไม่........” เธอต้องเงียบไปทันทีเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจที่ตวัดมองมา จากพี่สาวคนสวย
“ก็ได้ค่ะ ลูกจะให้โอเบไปจัดการให้เรียบร้อย ขอตัวนะคะ... ไปโอเบ” และไม่รอฟังคำพูดใด ๆ ต่อ
ซิลแคลล์ก็เปิดประตูเดินออกไปทันที โดยมีหญิงสาวในชุดฟอร์มของหญิงรับใช้ส่วนตัวคนหนึ่งตามออกไปด้วย
“ป้าแค่คิดว่าเจ้าคงอยากอยู่ในห้องที่แม่ของเจ้าเคยอยู่ซินะ ส่วนเจ้า ชื่ออะไรนะ โฟร์ทใช่มั้ย” เมื่อเห็น
โฟร์ทรับคำ เธอก็เอ่ยต่อ “เจ้าพักอยู่ห้องนี้แล้วกัน อ้อ...ใช่ ซายน์นี่คือ เกรซเน่ จะมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัว
ของเจ้า ต่อไปนี้นางจะคอยติดตามดูแลเจ้าตลอดเวลา”
หลังจากท่านหญิงซีเวียร์พูดจบ ซายน์ก็เห็นหญิงวัยกลางคนดูจะอายุใกล้เคียงกับแม่ ซึ่งยืนเงียบ ๆ ตั้งแต่
ตามท่านป้าเข้ามา ก้าวออกมาถอนสายบัวให้ รอยยิ้มน้อย ๆ ท่าทางใจดี ทำให้ซายน์รู้สึกถูกชะตายิ่งนัก
“ซายน์ ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว” โฟร์ทเข้ามากระซิบกระซาบบอก
“ท่านป้าคะ... ขอให้โฟร์ทไปอยู่ห้องเดียวกับซายน์ได้มั้ยคะ”
“แต่...”
“ให้โฟร์ทไปเป็นคนรับใช้ส่วนตัวอีกคนของซายน์ก็ได้ค่ะ นะคะท่านหญิง” โฟร์ทขอร้อง
“ในเมื่อนางถือเป็นคนของเจ้า ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน หมดเรื่องแล้ว ข้าไปล่ะ”
*****************************
“ท่านหญิงน้อย” เกรซเน่เอ่ยเบา ๆ ก่อนจะเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่งจับมือซ้ายของซายน์ที่มีรอยปรากฏ
รูปแมลงปอมาแตะไว้ที่หน้าผาก ซายน์รู้สึกตกใจกับปฏิกิริยาที่เหมือนกันกับการพบกันครั้งแรกของเขากับท่าน
ผู้เฒ่าเอสโทสยิ่งนัก และอดรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่เห็นผู้สูงอายุกว่ามาคุกเข่าตรงหน้าไม่ได้
“ลุกขึ้นเถอะค่ะ อย่าทำอย่างนี้เลย”
“ทันทีที่ข้าได้ยินจากปากของเท็นซิน เอ่อ...สามีของข้า ว่าท่านหญิงน้อย บุตรของท่านหญิงเซร่ากลับมา
พร้อมกับท่านผู้หยั่งรู้เอสโทส ข้าก็รีบขอเสนอตัวมาเป็นหญิงรับใช้ของท่านทันที ข้าไม่นึกเลย... ไม่นึกเลยจริง ๆ
ว่าจะมีวันนี้ ราชินีองค์ต่อไปของเฮเวนน่าได้กลับมาแล้ว”
ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าของนาง ทำให้ซายน์รับรู้ได้ว่า นางจริงใจในคำพูดเพียงใด หลังจากนั้นเกรซเน่ก็เชิญ
ทั้งสองคนขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องพักที่แท้จริงอีกครั้ง “ชั้นหก” เป็นชั้นที่นางบอกกับบันได และระหว่างที่มันพา
ทั้งสามคนขึ้นสูงและวกวนไปเรื่อย ๆ นั้น ซายน์ก็ได้รับรู้จากหญิงรับใช้ส่วนตัวว่า ปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมดเก้าชั้น
ซึ่งก็คือยอดโดมทั้งเก้าที่ซายน์เห็นเมื่อครั้งอยู่ที่ลานศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้ว ซึ่งมีเพียงผู้สืบเชื้อสาย
ราชินีทุกคน หญิงรับใช้ส่วนตัวที่ได้รับการแต่งตั้ง แผนกทำความสะอาด และผู้ได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ที่จะสามารถขึ้นมาส่วนบนนี้ได้ และไปได้สูงสุดเพียงชั้นที่แปดห้องพักสำหรับราชินีเท่านั้น (ซึ่งขณะนี้เป็นห้องพัก
ของท่านหญิงซีเวียร์) สำหรับชั้นเก้า โดมขนาดใหญ่สุดซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นห้องพิธี จะมีเพียงราชินีแห่งเฮเวนน่า
เท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปได้ แต่ขณะนี้มันถูกปิดตายหลังจากสิ้นราชีนีเซ็นย่าท่านยายของเธอไป ห้องนั้นก็ไม่มีใคร
ได้ย่างกรายเข้าไปอีก แม้แต่ท่านหญิงซีเวียร์
“ทำไมหรือคะ” โฟร์ทอดถามไม่ได้
เกรซเน่ได้อธิบายให้ฟังต่อไปเรื่อย ๆ ว่า อำนาจของราชินีแห่งเฮเวนน่าในดินแดนพาร์ตรีไดส์นี้คือการ
ควบคุมดินฟ้าอากาศ เพื่อดูแลให้ทุกฤดูกาลเป็นไปตามวัฏจักรที่กำหนดและอำนาจนั้นมีเพียงราชินีสูงสุดแห่ง
เฮเวนน่าจะพึงกระทำได้แต่เพียงผู้เดียว ห้องพิธีคือห้องที่ใช้เพื่อการนั้น และขณะนี้เฮเวนน่ายังไม่มีราชินีคนใหม่
ท่านหญิงซีเวียร์ยังไม่ได้ทำพิธีรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ทันที่จะได้ซักถามรายละเอียดต่อ บันไดก็มา
หยุดอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่อีกครั้ง
“เชิญเจ้าค่ะ ท่านหญิงน้อย” เกรซเน่ เปิดประตูและหลีกทางให้สองสาวก้าวเข้าสู่ห้องหลังประตู
ทันทีที่ก้าวเข้ามาซายน์ก็ต้องตกตะลึงกับห้องนั่งเล่นทรงครึ่งวงกลม มีโคมแก้วระย้าห้อยลงมาจากเพดาน
ตกแต่งให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น พื้นห้องปูด้วยพรมหนานุ่มสีม่วงเข้ม รับกับผ้าม่านหนาหนักผืนใหญ่จรดพื้นสีเดียวกันที่
ถูกแหวกและรัดไว้ด้วยห่วงสีทอง ปล่อยเพียงผ้าลูกไม้บางเบาสีขาวลงมาเพื่อบังแสงแดดร้อนแรงจากทางเดินออก
สู่ระเบียงแคบ ๆ ที่มุมหนึ่งหน้าเตาผิงแกะสลักจากหินทรายเหมือนในห้องที่ชั้นสามแต่ขนาดใหญ่กว่ามีโซฟายาว
สีครีมและหมอนหนานุ่มสีม่วงอ่อนวางอยู่สามใบ กึ่งกลางห้องมีโต๊ะทรงกลมและเก้าอี้บุนวมเข้าชุดจำนวนสี่ตัว บนโต๊ะ
มีหนังสือที่ถูกจัดวางซ้อนกันอยู่หนึ่งกอง พร้อมกับหมึกและปากกาขนนก อีกด้านฝั่งตรงข้ามเตาผิงเป็นประตูไม้ฉลุ
ขอบเป็นลายเถาวัลย์บานใหญ่
“ห้องนี้สวยมากเลยค่ะ” เป็นโฟร์ทที่เอ่ยปากชมอีกครั้ง ด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ห้องของท่านหญิงเซร่าเจ้าค่ะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปแม้แต่นิดเดียว” เกรซเน่อธิบาย “เพราะท่านหญิง
ซิลแคลล์ สั่งให้รักษาทุกอย่างไว้ให้คงเดิมที่สุด เพื่อรอวันที่ท่านหญิงเซร่าจะกลับมา”
“ซายน์ดีใจที่สุดเลยค่ะ ที่ได้มาอยู่ที่ห้องของแม่ เออใช่.. พี่แซนด์ล่ะคะ พี่แซนด์ไปอยู่ที่ไหน”
“พวกผู้ชายจะมีทางขึ้นอีกฝั่งเจ้าค่ะ... ซึ่งส่วนบนของฝ่ายชายก็จะขึ้นมาได้เฉพาะเท่าที่บอก ผู้สืบเชื้อสาย
องครักษ์ส่วนตัวที่ได้รับการแต่งตั้ง แผนกทำความสะอาด และผู้ได้รับอนุญาต อืม...ป่านนี้คงจะถึงห้องกันแล้ว
มาทางนี้เจ้าค่ะ” เกรซเน่เดินนำทั้งสองคนไปยังประตูไม้เพียงบานเดียวในห้อง
“พวกเขาอยู่ในห้องนี้หรือคะ” ซายน์ถามงง ๆ “แต่ไม่เห็นมันจะมีที่เปิดประตูเลย แล้วเราจะเข้าไปยังไง”
“ประตูนี่คือทางไปยังห้องต่าง ๆ เจ้าค่ะ อยากไปที่ไหนก็แค่บอก เอาเป็นว่าเหมือนอย่างตอนนี้เราอยากจะ
ไปห้องของท่านชายน้อย ก็ให้บอกประตูอย่างนี้” พูดจบเกรซเน่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตู ใช้มือขวาแตะประตูเบา ๆ
“ห้องท่านชายน้อย”
ทันทีที่เกรซเน่พูดจบ เหมือนจะมีแถบสีม่วงเริ่มวิ่งจากขอบประตูด้านบนซ้ายไปเรื่อย ๆ ตามลายเถาวัลย์ที่
ขอบประตู จากบนลงล่าง และจากล่างขึ้นบนจนบรรจบกันในที่สุด แต่ทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สงสัยยังไม่มีใครอยู่ในห้องเจ้าค่ะ” เกรซเน่หันมาบอกเบา ๆ ก่อนจะอธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ว่า หากอีกฝั่ง
อนุญาตให้เข้าไปได้ประตูก็จะเปิดออกเอง
“อุ๊ย... “ เสียงโฟร์ทอุทานเมื่อมีแสงสว่างเปล่งออกมาจากประตู
“มีคนขออนุญาตเข้ามาที่ห้องนี้เจ้าค่ะ” เกรซเน่รีบบอก “ท่านหญิงน้อยอนุญาตซิเจ้าคะ”
“ทำยังไงล่ะคะ”
“แค่กล่าวเชิญเจ้าค่ะ”
“เชิญได้เลยค่ะ” เสียงซายน์ตอบอนุญาต ก่อนที่ประตูจะเปิดออก และผู้ที่เดินหน้าตาตื่นก้าวเข้าห้องมา
คือพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง พร้อมกับองครักษ์ส่วนตัว
“พี่แซนด์... นี่ห้องของแม่ล่ะ ซายน์ได้อยู่ห้องของแม่ สวยใช่มั๊ย” น้องสาวรีบอวด
“อืม ... สวยมากเลยซายน์ แต่ห้องของพี่ก็สวยนะ ตื่นเต้นจริง ๆ เลย มีเรื่องแปลก ๆ เต็มไปหมดไม่อยาก
เชื่อเลย”
“ใช่ค่ะ...”
“พี่กลับห้องก่อนนะ นี่แค่ลองใช้ประตูน่ะ ยังต้องเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ จากเท็นซิน.. อ๋อใช่.. เท็นซิน องครักษ์
ส่วนตัวของเรา” แซนด์แนะนำชายในชุดเครื่องแบบที่ยืนสงบนิ่งอย่างสง่าหลังตามเขาก้าวเข้าห้องมา
“ของเราเหรอคะ” ซายน์ทวนคำงง ๆ แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ ผู้เป็นองครักษ์ก็เข้ามาทำความเคารพ
คุกเข่าลงข้างหนึ่งจับมือซ้ายที่มีรอยปรากฏรูปแมลงปอมาแตะไว้ที่หน้าผาก ราชินีน้อย ยินดีเหลือเกินที่ได้รับใช้ท่าน”
“อย่าเรียกซายน์แบบนี้เลยค่ะ คนอื่นได้ยินเข้า คงจะไม่ดี”
“เท็นซินเค้าเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์เลยนะซายน์ แต่ยอมทิ้งตำแหน่งเพื่อมาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเรา
สองคน เพียงแต่เวลาที่อยู่ข้างบน เอ่อ.. ส่วนบนนี่ เค้าต้องอยู่กับพี่เพราะจะมาอยู่ในส่วนของฝ่ายหญิงไม่ได้
แต่ถ้าเป็นที่อื่นในพาร์ตรีไดส์เนี่ยเค้าก็ตามดูแลเราไปทุกที่ ใช่มั้ยเท็นซิน ข้าอธิบายตามที่เจ้าบอกข้าถูกใช่มั้ย”
“ครับท่านชาย”
“พี่แซนด์ นี่คือ เกรซเน่” ซายน์รีบแนะนำหญิงรับใช้ส่วนตัวเช่นกัน และผู้ถูกแนะนำก็รีบถอนสายบัวคำนับ
อย่างสวยงาม
“เกรซเน่คะ ถ้าข้าเดาไม่ผิด องครักษ์ผู้นี้คือสามีของท่าน ที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อสักครู่ใช่มั้ยคะ”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิงน้อย เราสองคนรอเวลารับใช้ท่านทั้งสองมาเนิ่นนานแล้ว ดีใจจริง ๆ ที่มีวันนี้ ไม่เช่นนั้น
เราสองคนคงรู้สึกผิดไป....”
“เกรซเน่....” เสียงเท็นซินปรามเบา ๆ “ท่านชายกลับห้องเถอะครับ มีอะไรอีกหลายอย่างที่ข้าต้องแนะนำ
ท่านเพิ่มเติม”
ทันทีที่ชายสองคนก้าวข้ามประตูกลับออกไปแล้ว ซายน์ก็ลองจะไปยังห้องพี่ชายอีกครั้งด้วยการไปยืน
หน้าประตู เอ่ยเบา ๆ “ห้องพี่แซนด์” (เกรซเน่แนะนำว่าให้เรียกชื่อตามสบายส่วนตัวไม่ต้องใช้คำที่เป็นพิธีรีตอง
ก็ได้) และครั้งนี้ก็ได้รับการอนุญาตเป็นอย่างดี ประตูเปิดออก ให้ทั้งสามคนได้เดินเข้าไปในห้องของฝ่ายชาย
ห้องของแซนด์ เป็นห้องเรียบ ๆ ไม่ได้มีอะไรมากมายเป็นพิเศษ เป็นห้องมีลักษณะและการตกแต่งคล้าย ๆ
กับห้องของซายน์ แต่ตบแต่งไปด้วยโทนสีฟ้าขาว พี่ชายรีบอวดทันทีว่าห้องนี้เปลี่ยนสีตัวมันเองทันทีที่เขาเข้ามา
เหมือนจะรู้ว่านี่คือสีโปรดของเขา และถามน้องสาวว่าได้เข้าไปดูห้องอื่น ๆ ของตัวเองหรือยังทั้งห้องน้ำ ห้องนอน
หรือแม้แต่ห้องอื่น ๆ ในปราสาท ซายน์เริ่มรู้สึกตื่นเต้นอยากเห็นห้องอื่น ๆ ตามคำของพี่ชาย จึง รีบจูงมือโฟร์ทและ
เกรซเน่กลับห้องทันที
*****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น