นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตอนที่ 21 ดินแดนแห่งมารดา

 

 

          “ข้าขอยืนยันคำเดิม....  ข้าขอให้ท่านปล่อยตัวพวกเขาไป  เพื่อแลกกับตัวข้า”

          เสียงที่เปล่งออกจากปากของชายหนุ่มตรงหน้า  ทำให้ร็องดอร์ถึงกับเงียบไปเพราะต้องใช้ความคิดอย่างหนัก
เลยทีเดียวในการตัดสินใจ  ว่าจะแลกกับความได้เปรียบซึ่งกำไว้อยู่ในมือ หรือเลือกบุตรชายเพียงคนเดียวที่เขา
โหยหามานาน  เหตุการณ์เมื่อสิบหกปีที่แล้วย้อนกลับมาฉายในความคิดของเขาอีกครั้ง  มันเป็นวันแห่งความสูญเสีย
อย่างแท้จริง  การสูญเสียลูกน้องในการต่อสู้  การพ่ายแพ้ต่อราชินีเซ็นย่าที่ยอมสละชีวิตตนเองปกป้องเฮเวนน่า 
รวมถึงอาการบาดเจ็บของเขาเองที่ต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลานานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ

          แต่...ความสูญเสียและความเจ็บปวดใด ๆ กลับไม่ทำให้เขารู้สึกเสียใจหรือสิ้นหวังเท่ากับเมื่อกลับมาแล้ว
พบว่า  หญิงสาวอันเป็นที่รักยิ่งได้หนีจากเขาไปแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น นางยังได้พรากสายเลือดหนึ่งเดียวของเขา
ไปอีกด้วย  บุตรที่เขาไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้า   เขายังจำความรู้สึก  ณ วินาทีนั้นได้ดี  ว่ามันเป็นอย่างไร 
ความเจ็บปวดจนแทบคลั่ง  ความเสียใจและสำนึกผิดที่ปล่อยปละละเลยไม่ได้สนใจใยดีหญิงคนรักของตนเอง
สักเท่าไหร่  ถึงแม้การที่เขาต้องการครอบครองเฮเวนน่ามีสาเหตุใหญ่มาจากเรื่องอื่น  แต่นางกับลูกก็เป็นอีกแรงจูงใจ
ให้เขาต้องทำเช่นนั้น   หากเขาได้ครอบครองเฮเวนน่าก็เท่ากับจะได้เป็นใหญ่และครอบครองดินแดนพาร์ตรีไดส์
ทั้งหมด  นางกับลูกน้อยที่กำลังจะกำเนิดมาจะได้อยู่อย่างสุขสบายและยิ่งใหญ่ด้วยกันในดินแดนที่เป็นของเรา 
แต่ไม่นึกเลยว่านางจะไม่ได้คิดอย่างเขา

          “ว่าอย่างไร”  เสียงตะโกนของเจย์ ดึงความคิดของเขากลับมา

          “หากท่านไม่ปล่อยพวกเขาไป  ก็ฆ่าข้าซะก่อน  เพราะข้าจะทำทุกทางจนกว่าข้าจะตาย   ไม่ให้พวกท่านไป
ทำร้ายพวกเขาได้”  เสียงของเจย์ดังกังวานอย่างมั่นใจว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจกลับรู้สึกยากจะ
บรรยาย  เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสำคัญตัวผิดไปรึเปล่าที่ใช้ฐานะความเป็น ‘ลูก’  มาเป็นเครื่องต่อรอง  ในเมื่อทั้งเขา
และร็องดอร์เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก  แถมยังไม่เคยมีความผูกพันใด ๆ ต่อกัน

          “ได้.... เราจะปล่อยพวกมันไป  ขอเพียงเจ้ายอมกลับไปกับเรา”

          “ท่านร็องดอร์”  เสียงครางของเคลอิและโลนอฟ แทบจะกลายเป็นเสียงเดียวกัน

          “ท่านจะปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ   กว่าพวกเราจะหาที่นี่เจอ.....”  เคลอิต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อ
ร็องดอร์ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม  แต่ใจของเขากลับไม่หยุดคิด ตลอดเวลาที่เขาติดตามร็องดอร์มาก็เพื่อจะรอวันนี้ 
วันที่จะชำระหนี้แค้นให้กับครอบครัวของตนเอง ตั้งแต่วันแรกที่เจอกับท่านร็องดอร์  ก็เป็นท่านเองไม่ใช่หรอกหรือ
ที่พร่ำสอนและตอกย้ำมาตลอดว่าครอบครัวข้าถูกทรมานอย่างไรภายใต้เงื้อมมือของราชินีและคนสนิทอย่างผู้หยั่งรู้
ประจำเฮเวนน่า เป็นท่านเองไม่ใช่หรอกหรือที่เฝ้าบ่มเลี้ยงข้าให้โตมาเพื่อรอการแก้แค้น  มาวันนี้โอกาสนั้นมาอยู่
ตรงหน้าแท้ ๆ  แต่กลับกำลังจะลอยหายไป

          “ต่อให้ใช้เวลานานเพียงไหนกว่าจะหาที่ซ่อนนี้เจอ   หรืออาจต้องใช้เวลาอีกนานจากนี้ไปกว่าจะครอบครอง
ดินแดนทั้งสามได้   ข้าก็เต็มใจจะแลกเพื่อให้ได้ตัวเขามา เพราะอาจไม่มีเวลาเช่นนี้เพื่อให้ข้าได้ตัวเขามาอีกแล้ว” 
น้ำเสียงของร็องดอร์แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

          “ตกลง.... ข้าจะไปกับท่าน”

          “ไม่นะ...พี่เจย์... ไม่นะ”  เสียงซายน์ตะโกนห้ามทั้ง ๆ ที่ยังสะอื้น

          “เจย์... นายจะทิ้งพวกเราไปไม่ได้นะ”  แซนด์กล่าวรั้งไว้อีกคน

          “ห้ามคนของท่านทุกคนติดตามพวกเขาไป  ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม”  ประโยคสุดท้ายเจย์จงใจจ้องหน้า
ธรณีเทพโดยเฉพาะ

          “ข้ารับปาก”

          “ลาก่อน....  พวกท่านไปกันได้แล้ว”  เจย์หันกลับมากล่าวลาพร้อมด้วยรอยยิ้ม

          “ไม่... ซายน์จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าพี่เจย์ไม่ไปกับพวกเราด้วย”

          “ไปซะ... จากนี้ไป เราอยู่คนละฝั่งกันแล้ว”  น้ำเสียงของเจย์เด็ดขาดจนทำให้หญิงสาวที่กำลังร่ำร้อง
หยุดชะงักอย่างคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้

          “ไม่..ไม่.. เราจะไม่ทอดทิ้งกัน  จำไม่ได้เหรอพี่เจย์”  

          วายุเทพไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรอีก  แต่กลับจ้องตาแซนด์เพื่อวิงวอนให้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ ๆ ไป เขารับรู้ว่า
เพื่อนรักจะต้องเข้าใจและอ่านสายตาเขาออก

          “ขอให้นายโชคดี  หวังว่าเราคงมีโอกาสได้เจอกันอีก”

          “ทำไม...  ทำไม...  ทำไมพี่แซนด์พูดแบบนี้ล่ะ”  ซายน์หันกลับไปทุบตีพี่ชาย  “พี่แซนด์บ้า   บ้าที่สุดเลย 
จะปล่อยให้พี่เจย์กับเราแยกกันแบบนี้หรือไง”

          “พอได้แล้วซายน์”  พี่ชายพยายามรวบตัวน้องสาวไว้  “ขอบใจสำหรับทุกอย่างนะเจย์ ขอบใจจริง ๆ  เราไป
กันเถอะ”  พูดจบแซนด์พยายามลากตัวน้องสาวที่กำลังดิ้นรนเดินจากมาช้า ๆ โดยมีท่านผู้เฒ่าซึ่งมีราฟาเป็นผู้ช่วย
พยุงเดินตามไปพร้อม ๆ กับโฟร์ท

*****************************


          ทั้งหมดเดินลึกเข้าไปในป่าสน  เส้นทางที่ซายน์  แซนด์ และเจย์  เคยเดินเข้ามาเพื่อเริ่มต้นฝึกฝนตัวเอง
เป็นครั้งแรก  ซายน์ก็ยังโวยวายและไม่หยุดดิ้นรนที่จะกลับไปตามเจย์ จนกระทั่งท่านผู้เฒ่าต้องเอ่ยเตือนให้เธอ
สงบสติอารมณ์  นั่นเองถึงทำให้เธอเริ่มเลิกตีโพยตีพายเดินตามทุก ๆ คนพร้อมกับร้องไห้เงียบ ๆ ไปตลอดทาง
จนกระทั่งไปถึงสระบัว

          “ถึงแล้ว”  ราฟาเอ่ยขึ้นเบา ๆ  ก่อนจะร่ายเวทเสียงสะท้อนก้องกังวาน “โอเกเว..เฮเวนน่า”

          ทันทีที่เสียงของธาราเทพเงียบลง ใบบัวทั้งหลายในสระจมหายไปใต้น้ำ  เหลือเพียงบางส่วนจากริมตลิ่ง
ตรงที่ทุกคนยืนอยู่ยาวไปจนถึงดอกบัวใหญ่ที่อยู่กลางสระซึ่งกลายเป็นหินทันที  ดอกบัวตูมสีม่วงดอกใหญ่ค่อย ๆ
เริ่มผลิบานออก เกิดลำแสงสีทองส่องเป็นทางจากใจกลางดอกบัวพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

          ราฟาพยุงท่านผู้เฒ่าเดินนำไปบนใบบัวที่กลายเป็นหิน  จนเข้าไปยืนอยู่ในรัศมีสีทองเปล่งประกาย  รอซายน์
โฟร์ทและแซนด์ ให้เดินตามเข้าไป  เมื่อทั้งหมดไปหยุดยืนอยู่ในลำแสงนั้นแล้ว  ท่านผู้เฒ่าใช้ไม้เท้ากระทุ้งไปบน
พื้นดอกบัวแรง ๆ สามครั้งทำให้ลำแสงเริ่มเต้นสั่นไหวเหมือนมีชีวิต

          ซายน์รู้สึกเหมือนถูกดูดให้ลอยขึ้นจนทรงตัวไม่ได้  ก่อนจะรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงจนต้องหลับตาลงเพราะ
แสงสีทองสว่างจ้าระยิบระยับซึ่งรายล้อมรอบ ๆ ตัว

*****************************


           หากเป็นเวลาปกติเจย์คงจะรู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้นั่งอยู่บนหลังยูนิคอร์นสีดำเช่นนี้  มัน
ก้าวย่างอย่างสง่างามและนุ่มนวล แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ไปในทางสายหมอกอย่างรวดเร็ว   ตลอดทางที่
ผ่านมาเขาไม่ได้ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว  ในใจของเขาตอนนี้ได้แต่คอยพะวงถึงแต่พรรคพวกที่ต้องจากมา 
หวังว่าทั้งหมดคงจะเดินทางไปยังดินแดนที่เป็นถิ่นฐานที่แท้จริงได้อย่างปลอดภัย  สำหรับตัวเอง เขาก็ยังไม่รู้ว่า
จะต้องเผชิญกับอะไร และจะต้องทำอะไรต่อไป   แต่เมื่อได้ตัดสินใจเลือกทางเดินเส้นนี้แล้ว  ฉะนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
กับชีวิตต่อไปมันก็คงไม่ต่างกัน จะแปลกอะไรในเมื่อครั้งแรกที่ก้าวผ่านมายังโลกพาร์ตรีไดส์  เขาก็เหมือนเดินอยู่
ในความฝันอยู่แล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่มหัศจรรย์เกินกว่าที่เขาจะคาดถึง  

          เจย์สังเกตแผ่นหลังของชายที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง  บิดาบังเกิดเกล้าของตนเองซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางเช่นกัน 
เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่  แต่ก็อดทึ่งไม่ได้ว่าทั้ง ๆ ที่บาดเจ็บค่อนข้างมากขนาดนี้ แต่ชายตรงหน้าก็ไม่
แสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นเลย อากัปกิริยาที่นิ่งขรึม เงียบ  สงบ  แต่ดูทรงอำนาจเช่นนี้ คงเป็นที่น่าเกรงขาม
สำหรับบรรดาคนในปกครองอย่างมากทีเดียว  แต่ไมใช่สำหรับเขา  ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองไม่ได้รู้สึก
เกรงกลัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนแลนด์เดียร์ว่าคนนี้เลย แถมยังรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าตนเองเป็นต่ออีกด้วย คงเป็นเพราะคำว่า
“บุตรชาย”   ซึ่งเป็นสถานะที่เขาดำรงอยู่ตอนนี้

*****************************


           “ที่นี่....  ที่นี่คือ.......”  ซายน์กลั้นคำพูดไว้เพียงเท่านั้น  เมื่อเห็นภาพตรงหน้า  คงไม่ใช่เพราะปุยนุ่นสีม่วง
ที่กำลังปลิวละล่องตามสายลมจนมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในอากาศเป็นสีม่วงไปหมดนี้หรอกนะ ที่ทำให้เธอตาลาย
จนเห็นว่าที่นี่เป็นสวนที่สวยงามที่สุดเท่าที่จะมีได้ มันงดงามน่าหลงใหลเหมือนเดินอยู่ในวิมานของความฝันจริง ๆ 
 
           จุดที่ทุกคนกำลังยืนอยู่  เป็นลานกว้างแปดเหลี่ยม พื้นปูด้วยหินสีดำสนิทจนเป็นมัน กึ่งกลางลานเป็นบ่อน้ำ
สูงระดับสะโพก น้ำสีม่วงอ่อนกำลังกระเพื่อมสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนกำลังเต้นระบำและหยอกล้อกับรูปปั้นแมลงปอที่ทำ
จากวัสดุที่ใสและเปล่งประกายเหมือนเพชร ซึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำเป็นระยะ ๆ  ตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง โดยไม่สามารถ
คาดเดาได้ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้น ณ จุดใด         

           ไกลออกไปคือปราสาทแก้วแวววาว  มีจุดดึงดูดสายตาอยู่ที่ยอดโดมขนาดใหญ่ซึ่งสูงตระหง่านอยู่ตรงกลาง 
และโดมเล็ก ๆ ที่ลดหลั่นกันมาเป็นชั้นทั้งซ้ายขวา  ทางเดินจากลานแปดเหลี่ยมที่ตรงไปสู่ประตูโค้งมนของตัว
ปราสาท  ถูกขนาบไปด้วยไม้ยืนต้นสูงใหญ่ที่มีใบเรียวยาว  ออกดอกสีม่วงเข้มห้อยระย้าจากกิ่งจรดพื้นเรียงต่อกัน
จนเหมือนม่าน ทุกครั้งที่มีลมพัดพาผ่านมา มันจะพลิ้วไหวเป็นระลอกต่อกันไปเรื่อย ๆ  ส่วนรอบ ๆ ลานกว้างเป็น
ทุ่งดอกไม้สูงประมาณหัวเข่า  เต็มไปด้วยดอกไม้ทรงกลมสีม่วงอมฟ้าเบียดตัวหนาแน่นจนเหมือนพรมที่แผ่กว้าง
ไกลสุดลูกหูลูกตา

          ซายน์ก้มตัวลงไปตั้งใจจะสัมผัสกับดอกไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด  แต่ทันทีที่มือเธอแตะต้องถูกมันก็ฟุ้งกระจายไป
ในอากาศและส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เธอรู้สึกคุ้นเคย ก่อนที่จะมีดอกใหม่ผุดขึ้นมาแทนที่แทบจะทันที  และนั่นก็ทำให้
เธอรู้ทันทีว่าปุยนุ่นสีม่วงในอากาศทั้งหมดนี้คืออะไร

         “ดอกพ็อกเพอนี่”  ท่านผู้เฒ่าเอสโทส เอ่ยบอก “ปลูกได้ที่นี่แห่งเดียวเท่านั้น มันเป็นดอกไม้ที่มีประโยชน์
มหาศาล  อย่างน้อยตอนนี้กลิ่นของมันจะช่วยให้เราผ่อนคลาย”   พูดจบท่านผู้เฒ่าก็สูดหายใจเบา ๆ

          “แต่ละอองของมันที่ปลิวว่อนอยู่ในอากาศนี้จะไม่มีปัญหากับการหายใจของเราหรือคะ”

          “ไม่หรอก  ปุยนุ่นพวกนี้ทันทีที่สัมผัสถูกเรา มันก็จะสลายไปกับอากาศทันที  เอาละ ขอต้อนรับทุกท่านสู่ 
เฮเวนน่า  ดินแดนของชาวฟ้า.. บ้านที่แท้จริงของพวกเรา   และที่ ๆ เรากำลังยืนอยู่นี่ คือ  ลานศักดิ์สิทธิ์”  

          “ลานศักดิ์สิทธิ์”  แซนด์ทวนคำ  “ถ้าเช่นนั้น  น้ำในบ่อนี่ก็คือ..... รัซเทล”  

          “ใช่แล้ว... ข้าดีใจที่ท่านจำได้  เพราะต่อจากนี้ไป มีเรื่องให้พวกท่านต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยทีเดียว”

          “โฟร์ท!   ราฟา!  เป็นอะไร~~”  แซนด์ร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวและชายหนุ่มที่เขาเอ่ยเรียก
หลับตาปี๋ใช้มือกุมศีรษะ ทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนคนกำลังเจ็บปวด

          ท่านผู้เฒ่ารีบตรงเข้าหาคนทั้งคู่ ก่อนจะเอ่ยอะไรเบา ๆ สองสามคำ ทั้งสองคนก็เหมือนจะหายเป็นปกติ
อย่างน่าอัศจรรย์  มีเพียงรอยน้ำตาจาง ๆ บนใบหน้าของโฟร์ทเท่านั้นที่ฟ้องว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น

          “ราฟา...  ข้าเตือนเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าห้ามใช้ อายเพลส”   น้ำเสียงเคร่งเครียดของท่านผู้เฒ่าเอ่ยถาม

          “ขอโทษครับ  แต่ตอนนั้นมันจำเป็นจริง ๆ”

          “มีอะไรร้ายแรงหรือคะ”  ซายน์ถาม

          “อายเพลส  เป็นเวทที่ช่วยในการมองเห็น  ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คืออาศัยการมองเห็นของคนอื่น เหมือนที่
ราฟาใช้กับโฟร์ท   เขาก็จะเห็นทุกอย่างเหมือนที่เธอมองเห็น  ซึ่งมันก็ใช้ได้แค่ชั่วเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ไม่สามารถใช้
ได้ตลอดไป  แต่ผลกระทบที่จะตามมามันยิ่งกว่านั้น ข้าเตือนแล้วว่าไม่ควรคิดที่จะใช้เวทนี้ถ้าไม่เจอเหตุการณ์คอขาด
บาดตายจริง ๆ เพราะจะทำให้อาการทางดวงตาของราฟาเป็นหนักขึ้นกว่าเดิม  แถมผู้ที่เป็นเจ้าของดวงตาเช่นโฟร์ท
ก็จะมีปัญหาทางสายตาต่อไปแน่นอนในอนาคต”

          “ปัญหาทางสายตา”  ซายน์ทวนคำงง ๆ  “ขนาดไหนคะ”

          “ก็ไม่แน่นอนหรอก..ราชินีน้อย  อาจจะแค่พร่ามัว  มองไม่เห็นชั่วขณะ  หรืออาจจะมองไม่เห็นตลอดไป”

          “ข้า... ข้า.... ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ”   ร่องรอยของความเสียใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราฟา ก่อนที่จะ
โค้งตัวคำนับโฟร์ทแทนคำขอโทษ

          “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  โฟร์ทกลับดีใจซะอีกที่ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้  ส่วนเรื่องที่เหลือปล่อยให้มันเป็น
เรื่องของอนาคตเถอะค่ะ”

          “มีอะไรหรือคะท่านผู้เฒ่า”  ซายน์เอ่ยถามเมื่อเห็นชายชราถอนหายใจหนัก ๆ

          “การรักษาราฟาอาจจะต้องยุ่งยากกว่าเดิม ข้าขอพูดตรง ๆ ล่ะนะว่า ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”

          “อย่ากังวลเลยครับท่านผู้เฒ่า  ข้ายอมรับสภาพนี้ได้  ... ที่นี่เป็นอย่างไรบ้างราชินีน้อย”  ราฟายิ้มอย่างจริงใจ
ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา

          “สวย...ที่นี่สวยจังค่ะ” ซายน์รำพึงขึ้นเบา ๆ  ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับหมุนตัวไปรอบ ๆ  พยายาม
เปลี่ยนสถานการณ์ตึงเครียดให้สบายขึ้น  “ถ้าหากเราวิ่งเข้าไปในทุ่งดอกไม้...” เธอหยุดพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะหัน
มาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ท่านผู้เฒ่า

         เพียงครู่เดียวปุยนุ่นสีม่วงปลิวฟุ้งในอากาศหนาแน่นกว่าเดิม  เพราะการวิ่งเล่นกันของซายน์ แซนด์ โฟร์ท 
พอรู้สึกเหนื่อยทั้งสามคนก็พากันนอนแผ่หลาอยู่บนพรมดอกไม้ (ซึ่งมีก้านและใบที่แข็งแรงจนสามารถรองรับน้ำหนักตัว
ของทุกคนได้)  หัวเราะกันอย่างร่าเริง ลืมเรื่องร้ายที่เพิ่งผ่านมาจนหมดสิ้น

           “พวกเจ้าเป็นใคร   ทหาร!! ... ทหาร!!”

          เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก  ทำเอาทั้งสามคนถึงกับสะดุ้ง รีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปหาท่านผู้เฒ่า  ซึ่งขณะนี้
กำลังโค้งตัวคำนับใครบางคนอยู่  จนเมื่อเข้าไปใกล้ จึงได้เห็นว่า ตรงหน้าท่านผู้เฒ่ากับราฟา คือเด็กผู้หญิงอายุ
ประมาณสิบขวบ  ในอ้อมกอดมีแมวสีส้มตัวโตขนฟู เหลียวหน้ามองคู่สนทนาของเจ้าของมันเหมือนจะรู้เรื่องในสิ่ง
ที่มนุษย์พูดคุยกัน เด็กน้อยดูสง่างาม ภูมิฐานไปด้วยเครื่องแต่งกายชั้นเลิศ แต่ก็ดูโตเกินวัย  มงกุฎน้อย ๆ บนศีรษะ
ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเธอคือใคร

          “ท่านผู้เฒ่าเอสโทสบอกว่าคนพวกนี้มากับท่านหรือคะ”  นี่เป็นคำถามแรกที่ซายน์ได้ยินจากปากของเธอ 
“แล้วท่านก็อนุญาตให้พวกเขาวิ่งเล่นกันในสวน...”  ประโยคกึ่งคำถามที่มีความรู้สึกเหมือนจะเย้ยหยันอยู่ในน้ำเสียง 
ช่างขัดกับดวงหน้าที่ดูไร้เดียงสานั้นเหลือเกิน “สนุกกันใหญ่เลยนะคะ”  ประโยคสุดท้ายพร้อมรอยยิ้มน่ารัก  ทำเอา
ซายน์ปั้นหน้าไม่ถูก

          “ราชินีน้อย”  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเรียกซายน์ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าบัดนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นหุบยิ้มทันทีและมี
สีหน้าที่แปลกใจและตกใจในสรรพนามที่ได้ยินแค่ไหน  “นี่คือท่านหญิงโซรีน บุตรีของท่านหญิงซีเวียร์”

*****************************

          ทันทีที่เดินก้าวผ่านประตูโค้งมนซึ่งกั้นระหว่างพื้นที่สวนดอกไม้กับปราสาท  ซายน์เพิ่งจะรู้สึกจริง ๆ ว่า
ปราสาทแก้วมีขนาดใหญ่กว่าที่เห็นจากภายนอกมากมายนัก  ความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นมาว่า
ที่นี่คือ “บ้าน” ของแม่

          ทุกคนเดินตามท่านหญิงโซรีน ไปตามทางเดินหินขัดมัน ที่ด้านหนึ่งเป็นกำแพงแก้วของตัวปราสาทและอีก
ด้านเป็นเสาหินอ่อนสูงใหญ่ก่อนที่ส่วนปลายจะโค้งเข้าหากำแพง  ทั้งหมดเดินตามไปเงียบ ๆ จนถึงบันไดหินอ่อน
ขนาดมหึมาและก้าวเข้าสู่ห้องโถงทรงกลม  ทันทีที่ท่านหญิงตัวน้อยดีดนิ้วเบา ๆ  กำแพงแก้วก็ส่งแสงแวววาวทำให้
ทั้งห้องสว่างขึ้น และพริบตาเดียวเหล่าทหารในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีน้ำเงินแดงก็มายืนเข้าแถวเป็นระเบียบรอบ ๆ
ห้องทรงกลม

          ซายน์มองไปรอบ ๆ และรู้สึกคุ้นตาสำหรับสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์สีม่วงเข้มสลับกับสีทอง ที่
สลักเสลาลวดลายเถาวัลย์อย่างประณีตตั้งอยู่บนยกพื้นสี่เหลี่ยมสีทอง  เตาผิงขนาดใหญ่ซึ่งมีปล่องควันสูงขึ้นไป
ตามกำแพง  กรอบรูปภาพขนาดใหญ่อีกด้านของกำแพงซึ่งแสดงภาพเหล่าราชินีอดีตผู้ครองเฮเวนน่า  เธอเพ่งมอง
ไปยังรูปที่ปรากฏอยู่ท้ายสุดและจำได้ทันทีว่านั่นคือรูปของราชินีเซ็นย่า ท่านยายของเธอเอง  ทันใดนั้นซายน์ก็
นึกออกว่าทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นตา  เพราะที่แห่งนี้คือสถานที่เมื่อครั้งท่านผู้เฒ่าใช้เวททำให้เกิดภาพมายา  ทำให้
ทุกคนได้เห็นภาพเมื่อครั้งที่ท่านกำลังจะพาแม่และท่านป้าหนีไปจากเฮเวนน่านั่นเอง ห้องที่ท่านป้ายืนกรานว่าจะ
ไม่หนีไปไหน   ห้องที่แม่ร่ำลาจากมาด้วยน้ำตาและความเสียใจ   เสียงร้องเบา ๆ ของแมวในอ้อมกอดของท่านหญิง
โซรีน ดึงความคิดของซายน์กลับมาและทันได้เห็นท่านหญิงตัวน้อยเดินตรงไปยังทางเดินเข้าออก ซึ่งอยู่ทาง
ด้านซ้ายของบัลลังก์

          ท่านหญิงโซรีนย่อตัวถอนสายบัวก่อนจะหลีกทางให้หญิงร่างสูงโปร่งวัยกลางคนในชุดยาวกรอมข้อเท้าสี
ชมพูอ่อนก้าวเข้ามาในห้องโถง  และเดินตรงไปนั่งลงบนบัลลังก์ มงกุฎเพชรบนศีรษะของนางเปล่งประกายล้อ
แสงไฟระยิบระยับ  ช่วยเสริมให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น

          อีกคนที่เดินตามนางออกมาเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ศีรษะล้าน เดินค้อมตัวด้วยความประหม่า
ลงมาหยุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างท่านผู้เฒ่ากับสตรีผู้ครองบัลลังก์  สายตาของเขาไม่กล้าจ้องมองพวกท่านผู้เฒ่า
ตรง ๆ และยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ  ท่านผู้เฒ่าก็รีบเดินนำทุกคนไปหยุดยืนอยู่หน้าหญิงสูงศักดิ์ที่นั่ง
อยู่บนบัลลังก์ ก่อนจะโค้งคำนับ

          “ท่านหญิงซีเวียร์  สบายดีหรือไม่“

          “ข้าไม่ได้เจ็บป่วยประการใด แล้วท่านล่ะ  ท่านผู้เฒ่าเอสโทส   อดีต...ผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า” นางย้ำเสียง
ตรงคำว่า  ~อดีต~ อย่างจงใจ

          “ข้าก็เช่นกัน ไม่ได้เจ็บป่วยแต่ประการใด”

           “แต่ดูสภาพท่านตอนนี้แล้ว ข้าไม่เห็นด้วยเลยนะ”  นางเหลือบมองสภาพของท่านผู้เฒ่าในชุดกระดำกระด่าง
และขาดวิ่น จากศีรษะจรดเท้าอีกครั้ง

          “เกิดเหตุการณ์รุนแรงเล็กน้อยในการเดินทางกลับมาที่นี่  แต่ทุกอย่างได้เรียบร้อยดีแล้ว”

          “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”

           ซายน์เริ่มรู้สึกอึดอัดกับการสนทนาของทั้งสองคน  เพราะดูเหมือนจะเป็นการสนทนาอย่างเป็นทางการแบบ
เสียไม่ได้  ไม่ได้มีความเห็นใจ  ห่วงใยกันอย่างแท้จริงเลย  อีกทั้งเธอยังรู้สึกกลัวกับดวงหน้าที่เย็นชาและแววตาที่
ดูดุดันของหญิงผู้ที่เป็นท่านป้าของตัวเองอีกด้วย และแล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ ท่านหญิงซีเวียร์ก็เอ่ยถามถึง 
“เด็ก ๆ ที่ท่านพามา”  นั่นคือสรรพนามที่นางใช้เรียกพวกเธอ

          ท่านผู้เฒ่าใช้ทั้งมือซ้ายและมือขวารีบดึงมือซายน์และแซนด์มายืนอยู่ข้างหน้า  ก่อนจะกระซิบให้ทั้งสองคน
โค้งคำนับท่านป้า อย่างเป็นทางการครั้งแรก

          “ทั้งสองคนนี่คือ บุตรของท่านหญิงเซร่า”

          “อะ...อะไรนะ”   ท่านหญิงซีเวียร์ตกใจลุกขึ้นยืน

*****************************


          ท่านผู้เฒ่าเลือกที่จะเล่าให้ท่านหญิงซีเวียร์รับรู้เพียงบางเรื่องเท่านั้น   เริ่มจากการสูญเสียท่านหญิงเซร่า
ในอีกโลกหนึ่ง จนทำให้สองพี่น้องและนีย์ต้องเดินทางเข้าสู่โลกพาร์ตรีไดส์ เรื่องที่ราฟาต้องไปพิทักษ์ทุกคนใน
ทางสายหมอกให้ปลอดภัยจนได้มาเจอกันที่บ้านพักอันเป็นที่ลับ ก่อนที่นีย์จะขอแยกตัวไปเพื่อตามหาครอบครัว 
จนกระทั่งการถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากพวกของร็องดอร์ ทำให้ต้องพากันหลบหนีมาที่นี่

         ซายน์หันมามองหน้าท่านผู้เฒ่าด้วยความมึนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงไม่เล่าเรื่องรอยปรากฏบนหลังมือ
ด้านซ้ายของเธอ  รวมถึงไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ในการช่วงชิงผลึกแห่งแสงที่ปรากฏแล้วทั้งสามเลย  เรื่องเล่าของ
ท่านผู้เฒ่าฟังไปฟังมาเหมือนพวกเธอใช้เวลาพักผ่อนช่วงฤดูร้อนอย่างสะดวกสบายก่อนที่จะมีการต่อสู้ที่ดุเดือด

          “โอ้...ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือนี่”

          ด้วยน้ำเสียงที่เอื้ออาทร  ดึงให้ซายน์หันกลับมามองหน้าหญิงบนบัลลังก์อีกครั้ง  และขณะนี้ดวงตาที่เคยดู
ดุดันของเธอกลับมีน้ำใส ๆ เอ่อท่วมตา

          “หลาน... หลานของป้าจริง ๆ  หรือนี่”  นางกล่าวเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ช่างน่าเศร้านักที่เราต้อง
มาเจอกันในสภาพเช่นนี้   ไม่นึกเลยว่าน้องสาวอันเป็นที่รักของข้าจะจากไปแล้วจริง ๆ  ข้ายังคิดอยู่เสมอว่าสักวัน
นางจะต้องกลับมา  แต่คงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว” ท่านหญิงซีเวียร์พยายามกลั้นเสียงสะอื้น   ก่อนจะกล่าวต่อพร้อมกับ
ยื่นมือทั้งสองข้างกางออก  “แต่ถึงอย่างไร  ตอนนี้นางก็ส่งตัวแทนกลับมาแล้ว   มาสิ   มา... ขอป้ากอดหน่อย” 
 
         ซายน์กับแซนด์หันมามองหน้ากัน  ก่อนที่ผู้เป็นน้องสาวจะพยักหน้าและออกเดินเข้าสู่อ้อมแขนด้วยรอยยิ้ม
น้อย ๆ  โดยมีพี่ชายฝาแฝดเดินตามมาอย่างช้า ๆ  แถมยังรู้สึกขัดเขินเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เพิ่ง
เคยรู้จัก

          “โซรีน  ทำความเคารพท่านพี่ทั้งสองซะสิ”

          ท่านหญิงตัวน้อย เดินมายืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสามก่อนจะย่อตัวถอนสายบัวอย่างสวยงามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ดูเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาอีกครั้ง

          “วันนี้  ข้าว่าพวกเจ้าทุกคนไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า  ดูแต่ละคนสิ  สภาพดูไม่ได้เลย”

          เป็นครั้งแรกที่ซายน์ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านป้า รอยยิ้มที่ทำให้เธอต้องหวนกลับไปคิดถึงคน ๆ หนึ่ง
รอยยิ้มที่เหมือนจะถอดมาจากพิมพ์เดียวกัน  นั่นคือรอยยิ้มอันอบอุ่นของแม่

*****************************


           พวกผู้ชายถูกแยกตัวพาไปโดยเหล่าองครักษ์  เหลือเพียงซายน์และโฟร์ทที่กำลังเดินตามหญิงรับใช้คนหนึ่ง
ไปตามทางเข้าสู่ใจกลางของตัวปราสาท  และเมื่อถึงบันไดหินอ่อนสีชมพู นางก็หันกลับมาถอนสายบัวและกล่าว
เชิญทั้งสองคนขึ้นบันได

          “อ้าว... จะส่งพวกเราเพียงแค่นี้หรือคะ  แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าพวกเราจะต้องไปที่ไหน” โฟร์ทถามด้วยความงุนงง

          “ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปส่วนบนเจ้าค่ะ”

          “พวกเราคงไปกันเองไม่ได้หรอกนะ  ถ้าไม่มีคนคอยแนะนำ”  น้ำเสียงอันอ่อนโยนของซายน์ทำให้หญิงรับใช้
คลายความประหม่า

         “เชิญที่ชั้นสามเจ้าค่ะ  อีกสักครู่คงคัดตัวหญิงรับใช้ส่วนตัวให้พวกท่านได้  แล้วพวกนางจะไปหาท่านทั้งสอง
เอง  อ้อ.. ขอโทษเจ้าค่ะ  ลืมบอกไป ... เกาะราวแน่น ๆ แล้วบอกชั้นที่ต้องการ บันไดจะพาท่านขึ้นไปเองนะเจ้าคะ” 
พูดจบนางก็ถอนสายบัวถอยกลับไปโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกใด ๆ อีกเลย

          “เกาะราวแน่น ๆ”  ซายน์ทวนคำพร้อมกันเหลือบมองราวบันไดสีเงินขนาดเหมาะมือ  ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้น
ข้างบน  แต่ก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน  “บอกชั้นที่ต้องการอย่างนั้นเหรอ  พร้อมจะลุยกันรึยัง...โฟร์ท”

          “ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”  โฟร์ทพึมพำเบา ๆ

          “ชั้นสาม”  ซายน์เปล่งเสียงด้วยความไม่แน่ใจ  และได้ยินเสียงร้องเบา ๆ ด้วยความตื่นเต้นของคนข้าง ๆ
เมื่อบันไดเริ่มขยับและเลื่อนพาทั้งสองคนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ

          ชั่วอึดใจเดียวบันไดที่พาทั้งสองสูงขึ้นและวกไปวนมาผ่านรูปปั้นและภาพเขียนมากมายใหญ่น้อยก็พาทั้งคู่
มายืนอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่บานหนึ่ง  ซายน์ผลักประตูเข้าไปและพบกับห้องนั่งเล่นขนาดไม่ใหญ่นัก  ทั้งห้อง
ตกแต่งด้วยโทนสีครีม  มีโซฟายาวตั้งอยู่หน้าเตาผิงที่แกะสลักจากหินทรายเป็นลวดลายแปลก ๆ  โต๊ะและเก้าอี้
เข้าชุดตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่ปิดผ้าม่านฉลุลูกไม้ช่วยลดความร้อนแรงของแสงที่สาดส่องเข้ามา  อีกด้านที่ไกลออกไป
เป็นประตูไม้บานใหญ่อีกบาน

          “ห้องน่ารักจังเลยค่ะ”  โฟร์ทอดชื่นชมไม่ได้

          “อืม...”  ซายน์ไม่ได้ตอบอะไร  แต่หันมองไปรอบ ๆ ห้อง  อดคิดไม่ได้ว่ายิ่งที่นี่สุขสบายแค่ไหน  แม่ก็ต้อง
ยิ่งลำบากในการใช้ชีวิตในโลกโน้นมากขึ้นเท่านั้น   จากที่เคยมีคนดูแล กลับต้องลงมือทำเองทุกสิ่งทุกอย่าง   
ยิ่งต้องดูแลเธอสองคนพี่น้องมาลำพังตัวคนเดียว แม่จะต้องใช้ความพยายามมากมายเพียงไหนกันนะ
“คิดถึงแม่จังเลย”  เธอรำพึงออกมาเบา ๆ

          เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออก ท่านหญิงซีเวียร์
ท่านหญิงโซรีน เดินนำหญิงสาวที่ดูสง่างามคนหนึ่งและหญิงในชุดรับใช้ส่วนตัวอีกสองคนเข้ามา

          “นี่คือท่านหญิงซิลแคลล์  ท่านพี่ของเจ้า”

          ซายน์และโฟร์ทรีบถอนสายบัวเป็นการคำนับหญิงสาวที่ก้าวออกมายืนเคียงกับท่านหญิงตัวน้อย ก่อนที่ซายน์
จะจ้องมองหญิงสาวสวยในชุดยาวกรอมเท้าสีฟ้าอ่อนด้วยความชื่นชมในความงาม  ดวงตากลมโตสีม่วงอ่อน ๆ ช่าง
ดึงดูดและดูลึกลับ  ผมสีน้ำตาลเข้มรับกับมงกุฎขนาดพอเหมาะบนศีรษะ ช่วยส่งให้นางดูสวยสง่ายิ่งขึ้น  มีเพียง
สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกว่าช่างขัดกับดวงหน้าอันสวยงามนั้นคืออาการเฉยชาไม่ยินดียินร้ายใด ๆ  (~ซินแคลล์เหรอ~) 
ซายน์นึกย้อนชื่อในใจ  ก่อนจะนึกไปถึงเด็กหญิงอายุประมาณ  3-4  ขวบ  ที่เคยร่ำร้องจะตามแม่ของเธอเมื่อ
สิบหกปีที่แล้ว

          “สองคนนี่หรือคะ ที่ท่านแม่จะแนะนำให้ลูกรู้จัก  ถ้าหมดธุระแล้วลูกขอตัวนะคะ”

          “เดี๋ยว ซินแคลล์  มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่แม่ต้องเรียกเจ้ามา”  ท่านหญิงซีเวียร์เรียกเพื่อรั้งตัวลูกสาวคนสวย
ที่กำลังจะเดินออกจากห้องไป “ซายน์เป็นบุตรของท่านน้าเซร่า”

          “ท่านน้าเซร่า”  ซินแคลล์ทวนคำด้วยความตื่นตะลึง  “ท่านน้ากลับมาแล้วหรือคะ  แล้วท่านน้าอยู่ที่ไหนคะ”

          “เปล่าหรอกซินแคลล์  ท่านน้า...จากพวกเราไปแล้ว”

          “โธ่...ท่านน้าเซร่า  ข้าอุตส่าห์เฝ้าคอยว่าสักวันท่านน้าจะกลับมา”

          “ในเมื่อตอนนี้บุตรของนางกลับมาแล้ว  แม่คิดว่าเจ้าจะต้องคืนห้องนั้นให้กับเจ้าของที่เหมาะสมเสียที”

           “ท่านแม่!!” น้ำเสียงที่ออกจะประท้วงนิด ๆ ของซินแคลล์

          “ห้องของท่านน้าเซร่า  สมควรจะเป็นของซายน์เค้านะ  ได้เวลาที่เจ้าจะกลับไปอยู่ที่ห้องของเจ้าแล้ว”

          “เอ่อ...  ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”  ซายน์รีบตัดบท เมื่อรับรู้คร่าว ๆ ว่า ทั้งสองกำลังถกเถียงกันเรื่องที่พักของเธอ 
“ซายน์อยู่ที่ไหนก็ได้...ไม่........”   เธอต้องเงียบไปทันทีเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจที่ตวัดมองมา จากพี่สาวคนสวย

          “ก็ได้ค่ะ  ลูกจะให้โอเบไปจัดการให้เรียบร้อย  ขอตัวนะคะ...  ไปโอเบ”  และไม่รอฟังคำพูดใด ๆ ต่อ
ซิลแคลล์ก็เปิดประตูเดินออกไปทันที โดยมีหญิงสาวในชุดฟอร์มของหญิงรับใช้ส่วนตัวคนหนึ่งตามออกไปด้วย

          “ป้าแค่คิดว่าเจ้าคงอยากอยู่ในห้องที่แม่ของเจ้าเคยอยู่ซินะ  ส่วนเจ้า  ชื่ออะไรนะ โฟร์ทใช่มั้ย”  เมื่อเห็น
โฟร์ทรับคำ เธอก็เอ่ยต่อ  “เจ้าพักอยู่ห้องนี้แล้วกัน   อ้อ...ใช่  ซายน์นี่คือ  เกรซเน่  จะมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัว
ของเจ้า  ต่อไปนี้นางจะคอยติดตามดูแลเจ้าตลอดเวลา”

          หลังจากท่านหญิงซีเวียร์พูดจบ  ซายน์ก็เห็นหญิงวัยกลางคนดูจะอายุใกล้เคียงกับแม่ ซึ่งยืนเงียบ ๆ ตั้งแต่
ตามท่านป้าเข้ามา ก้าวออกมาถอนสายบัวให้  รอยยิ้มน้อย ๆ  ท่าทางใจดี ทำให้ซายน์รู้สึกถูกชะตายิ่งนัก

          “ซายน์  ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว” โฟร์ทเข้ามากระซิบกระซาบบอก

          “ท่านป้าคะ...  ขอให้โฟร์ทไปอยู่ห้องเดียวกับซายน์ได้มั้ยคะ”

           “แต่...”

          “ให้โฟร์ทไปเป็นคนรับใช้ส่วนตัวอีกคนของซายน์ก็ได้ค่ะ  นะคะท่านหญิง”   โฟร์ทขอร้อง

          “ในเมื่อนางถือเป็นคนของเจ้า   ก็แล้วแต่เจ้าแล้วกัน  หมดเรื่องแล้ว  ข้าไปล่ะ”

*****************************


           “ท่านหญิงน้อย”  เกรซเน่เอ่ยเบา ๆ ก่อนจะเข้ามาคุกเข่าลงข้างหนึ่งจับมือซ้ายของซายน์ที่มีรอยปรากฏ
รูปแมลงปอมาแตะไว้ที่หน้าผาก  ซายน์รู้สึกตกใจกับปฏิกิริยาที่เหมือนกันกับการพบกันครั้งแรกของเขากับท่าน
ผู้เฒ่าเอสโทสยิ่งนัก  และอดรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่เห็นผู้สูงอายุกว่ามาคุกเข่าตรงหน้าไม่ได้

          “ลุกขึ้นเถอะค่ะ  อย่าทำอย่างนี้เลย”

          “ทันทีที่ข้าได้ยินจากปากของเท็นซิน เอ่อ...สามีของข้า  ว่าท่านหญิงน้อย บุตรของท่านหญิงเซร่ากลับมา
พร้อมกับท่านผู้หยั่งรู้เอสโทส  ข้าก็รีบขอเสนอตัวมาเป็นหญิงรับใช้ของท่านทันที  ข้าไม่นึกเลย... ไม่นึกเลยจริง ๆ
ว่าจะมีวันนี้  ราชินีองค์ต่อไปของเฮเวนน่าได้กลับมาแล้ว”

         ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าของนาง  ทำให้ซายน์รับรู้ได้ว่า นางจริงใจในคำพูดเพียงใด หลังจากนั้นเกรซเน่ก็เชิญ
ทั้งสองคนขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องพักที่แท้จริงอีกครั้ง  “ชั้นหก” เป็นชั้นที่นางบอกกับบันได  และระหว่างที่มันพา
ทั้งสามคนขึ้นสูงและวกวนไปเรื่อย ๆ นั้น ซายน์ก็ได้รับรู้จากหญิงรับใช้ส่วนตัวว่า  ปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมดเก้าชั้น
ซึ่งก็คือยอดโดมทั้งเก้าที่ซายน์เห็นเมื่อครั้งอยู่ที่ลานศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง  ผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้ว  ซึ่งมีเพียงผู้สืบเชื้อสาย
ราชินีทุกคน  หญิงรับใช้ส่วนตัวที่ได้รับการแต่งตั้ง  แผนกทำความสะอาด  และผู้ได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ที่จะสามารถขึ้นมาส่วนบนนี้ได้  และไปได้สูงสุดเพียงชั้นที่แปดห้องพักสำหรับราชินีเท่านั้น  (ซึ่งขณะนี้เป็นห้องพัก
ของท่านหญิงซีเวียร์) สำหรับชั้นเก้า โดมขนาดใหญ่สุดซึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง  เป็นห้องพิธี จะมีเพียงราชินีแห่งเฮเวนน่า
เท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปได้ แต่ขณะนี้มันถูกปิดตายหลังจากสิ้นราชีนีเซ็นย่าท่านยายของเธอไป  ห้องนั้นก็ไม่มีใคร
ได้ย่างกรายเข้าไปอีก แม้แต่ท่านหญิงซีเวียร์

          “ทำไมหรือคะ”  โฟร์ทอดถามไม่ได้

          เกรซเน่ได้อธิบายให้ฟังต่อไปเรื่อย ๆ ว่า  อำนาจของราชินีแห่งเฮเวนน่าในดินแดนพาร์ตรีไดส์นี้คือการ
ควบคุมดินฟ้าอากาศ เพื่อดูแลให้ทุกฤดูกาลเป็นไปตามวัฏจักรที่กำหนดและอำนาจนั้นมีเพียงราชินีสูงสุดแห่ง
เฮเวนน่าจะพึงกระทำได้แต่เพียงผู้เดียว  ห้องพิธีคือห้องที่ใช้เพื่อการนั้น  และขณะนี้เฮเวนน่ายังไม่มีราชินีคนใหม่ 
ท่านหญิงซีเวียร์ยังไม่ได้ทำพิธีรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ  แต่ไม่ทันที่จะได้ซักถามรายละเอียดต่อ  บันไดก็มา
หยุดอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่อีกครั้ง

           “เชิญเจ้าค่ะ  ท่านหญิงน้อย”  เกรซเน่ เปิดประตูและหลีกทางให้สองสาวก้าวเข้าสู่ห้องหลังประตู

          ทันทีที่ก้าวเข้ามาซายน์ก็ต้องตกตะลึงกับห้องนั่งเล่นทรงครึ่งวงกลม  มีโคมแก้วระย้าห้อยลงมาจากเพดาน
ตกแต่งให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น  พื้นห้องปูด้วยพรมหนานุ่มสีม่วงเข้ม  รับกับผ้าม่านหนาหนักผืนใหญ่จรดพื้นสีเดียวกันที่
ถูกแหวกและรัดไว้ด้วยห่วงสีทอง  ปล่อยเพียงผ้าลูกไม้บางเบาสีขาวลงมาเพื่อบังแสงแดดร้อนแรงจากทางเดินออก
สู่ระเบียงแคบ ๆ   ที่มุมหนึ่งหน้าเตาผิงแกะสลักจากหินทรายเหมือนในห้องที่ชั้นสามแต่ขนาดใหญ่กว่ามีโซฟายาว
สีครีมและหมอนหนานุ่มสีม่วงอ่อนวางอยู่สามใบ  กึ่งกลางห้องมีโต๊ะทรงกลมและเก้าอี้บุนวมเข้าชุดจำนวนสี่ตัว บนโต๊ะ
มีหนังสือที่ถูกจัดวางซ้อนกันอยู่หนึ่งกอง พร้อมกับหมึกและปากกาขนนก อีกด้านฝั่งตรงข้ามเตาผิงเป็นประตูไม้ฉลุ
ขอบเป็นลายเถาวัลย์บานใหญ่

          “ห้องนี้สวยมากเลยค่ะ”   เป็นโฟร์ทที่เอ่ยปากชมอีกครั้ง ด้วยดวงตาเป็นประกาย

          “ห้องของท่านหญิงเซร่าเจ้าค่ะ  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปแม้แต่นิดเดียว”  เกรซเน่อธิบาย  “เพราะท่านหญิง
ซิลแคลล์ สั่งให้รักษาทุกอย่างไว้ให้คงเดิมที่สุด เพื่อรอวันที่ท่านหญิงเซร่าจะกลับมา”

          “ซายน์ดีใจที่สุดเลยค่ะ  ที่ได้มาอยู่ที่ห้องของแม่  เออใช่.. พี่แซนด์ล่ะคะ  พี่แซนด์ไปอยู่ที่ไหน”

           “พวกผู้ชายจะมีทางขึ้นอีกฝั่งเจ้าค่ะ... ซึ่งส่วนบนของฝ่ายชายก็จะขึ้นมาได้เฉพาะเท่าที่บอก ผู้สืบเชื้อสาย 
องครักษ์ส่วนตัวที่ได้รับการแต่งตั้ง  แผนกทำความสะอาด  และผู้ได้รับอนุญาต   อืม...ป่านนี้คงจะถึงห้องกันแล้ว 
มาทางนี้เจ้าค่ะ”  เกรซเน่เดินนำทั้งสองคนไปยังประตูไม้เพียงบานเดียวในห้อง

          “พวกเขาอยู่ในห้องนี้หรือคะ”  ซายน์ถามงง ๆ   “แต่ไม่เห็นมันจะมีที่เปิดประตูเลย  แล้วเราจะเข้าไปยังไง”

          “ประตูนี่คือทางไปยังห้องต่าง ๆ เจ้าค่ะ  อยากไปที่ไหนก็แค่บอก  เอาเป็นว่าเหมือนอย่างตอนนี้เราอยากจะ
ไปห้องของท่านชายน้อย  ก็ให้บอกประตูอย่างนี้”  พูดจบเกรซเน่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตู ใช้มือขวาแตะประตูเบา ๆ  
“ห้องท่านชายน้อย”

         ทันทีที่เกรซเน่พูดจบ  เหมือนจะมีแถบสีม่วงเริ่มวิ่งจากขอบประตูด้านบนซ้ายไปเรื่อย ๆ ตามลายเถาวัลย์ที่
ขอบประตู  จากบนลงล่าง และจากล่างขึ้นบนจนบรรจบกันในที่สุด  แต่ทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม  ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          “สงสัยยังไม่มีใครอยู่ในห้องเจ้าค่ะ” เกรซเน่หันมาบอกเบา ๆ  ก่อนจะอธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ว่า  หากอีกฝั่ง
อนุญาตให้เข้าไปได้ประตูก็จะเปิดออกเอง

          “อุ๊ย... “  เสียงโฟร์ทอุทานเมื่อมีแสงสว่างเปล่งออกมาจากประตู

          “มีคนขออนุญาตเข้ามาที่ห้องนี้เจ้าค่ะ”  เกรซเน่รีบบอก  “ท่านหญิงน้อยอนุญาตซิเจ้าคะ”

         “ทำยังไงล่ะคะ”

         “แค่กล่าวเชิญเจ้าค่ะ”

          “เชิญได้เลยค่ะ”   เสียงซายน์ตอบอนุญาต  ก่อนที่ประตูจะเปิดออก  และผู้ที่เดินหน้าตาตื่นก้าวเข้าห้องมา
คือพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง พร้อมกับองครักษ์ส่วนตัว

          “พี่แซนด์... นี่ห้องของแม่ล่ะ  ซายน์ได้อยู่ห้องของแม่  สวยใช่มั๊ย”  น้องสาวรีบอวด

          “อืม ... สวยมากเลยซายน์  แต่ห้องของพี่ก็สวยนะ  ตื่นเต้นจริง ๆ เลย  มีเรื่องแปลก ๆ  เต็มไปหมดไม่อยาก
เชื่อเลย”

          “ใช่ค่ะ...”

          “พี่กลับห้องก่อนนะ  นี่แค่ลองใช้ประตูน่ะ ยังต้องเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ จากเท็นซิน.. อ๋อใช่.. เท็นซิน องครักษ์
ส่วนตัวของเรา”  แซนด์แนะนำชายในชุดเครื่องแบบที่ยืนสงบนิ่งอย่างสง่าหลังตามเขาก้าวเข้าห้องมา

          “ของเราเหรอคะ”  ซายน์ทวนคำงง ๆ  แต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ  ผู้เป็นองครักษ์ก็เข้ามาทำความเคารพ 
คุกเข่าลงข้างหนึ่งจับมือซ้ายที่มีรอยปรากฏรูปแมลงปอมาแตะไว้ที่หน้าผาก  ราชินีน้อย  ยินดีเหลือเกินที่ได้รับใช้ท่าน”

          “อย่าเรียกซายน์แบบนี้เลยค่ะ  คนอื่นได้ยินเข้า คงจะไม่ดี”

          “เท็นซินเค้าเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์เลยนะซายน์    แต่ยอมทิ้งตำแหน่งเพื่อมาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเรา
สองคน  เพียงแต่เวลาที่อยู่ข้างบน เอ่อ.. ส่วนบนนี่ เค้าต้องอยู่กับพี่เพราะจะมาอยู่ในส่วนของฝ่ายหญิงไม่ได้ 
แต่ถ้าเป็นที่อื่นในพาร์ตรีไดส์เนี่ยเค้าก็ตามดูแลเราไปทุกที่ ใช่มั้ยเท็นซิน  ข้าอธิบายตามที่เจ้าบอกข้าถูกใช่มั้ย”

          “ครับท่านชาย”

          “พี่แซนด์ นี่คือ เกรซเน่”   ซายน์รีบแนะนำหญิงรับใช้ส่วนตัวเช่นกัน  และผู้ถูกแนะนำก็รีบถอนสายบัวคำนับ
อย่างสวยงาม

          “เกรซเน่คะ  ถ้าข้าเดาไม่ผิด องครักษ์ผู้นี้คือสามีของท่าน ที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อสักครู่ใช่มั้ยคะ”

          “เจ้าค่ะ  ท่านหญิงน้อย  เราสองคนรอเวลารับใช้ท่านทั้งสองมาเนิ่นนานแล้ว  ดีใจจริง ๆ ที่มีวันนี้ ไม่เช่นนั้น
เราสองคนคงรู้สึกผิดไป....”

          “เกรซเน่....”  เสียงเท็นซินปรามเบา ๆ  “ท่านชายกลับห้องเถอะครับ  มีอะไรอีกหลายอย่างที่ข้าต้องแนะนำ
ท่านเพิ่มเติม”

          ทันทีที่ชายสองคนก้าวข้ามประตูกลับออกไปแล้ว  ซายน์ก็ลองจะไปยังห้องพี่ชายอีกครั้งด้วยการไปยืน
หน้าประตู เอ่ยเบา ๆ “ห้องพี่แซนด์”  (เกรซเน่แนะนำว่าให้เรียกชื่อตามสบายส่วนตัวไม่ต้องใช้คำที่เป็นพิธีรีตอง
ก็ได้)  และครั้งนี้ก็ได้รับการอนุญาตเป็นอย่างดี  ประตูเปิดออก ให้ทั้งสามคนได้เดินเข้าไปในห้องของฝ่ายชาย

          ห้องของแซนด์ เป็นห้องเรียบ ๆ ไม่ได้มีอะไรมากมายเป็นพิเศษ  เป็นห้องมีลักษณะและการตกแต่งคล้าย ๆ
กับห้องของซายน์  แต่ตบแต่งไปด้วยโทนสีฟ้าขาว  พี่ชายรีบอวดทันทีว่าห้องนี้เปลี่ยนสีตัวมันเองทันทีที่เขาเข้ามา
เหมือนจะรู้ว่านี่คือสีโปรดของเขา  และถามน้องสาวว่าได้เข้าไปดูห้องอื่น ๆ ของตัวเองหรือยังทั้งห้องน้ำ ห้องนอน
หรือแม้แต่ห้องอื่น ๆ ในปราสาท  ซายน์เริ่มรู้สึกตื่นเต้นอยากเห็นห้องอื่น ๆ ตามคำของพี่ชาย จึง รีบจูงมือโฟร์ทและ
เกรซเน่กลับห้องทันที

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น