นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

20 บุตรชายที่หายไป

 

 

          การต่อสู้ที่จริงจังเพิ่งจะเริ่มต้น  หลังจากบ้านอันแสนสุขของทุกคนถูกเวท  “แอคมิบอมบ์” ของร็องดอร์
ทำลายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่มีใครระวังและคาดคิดไว้ก่อน  เกิดหลุมขนาดใหญ่ในส่วนที่เคยเป็นบ้านไม้
หลังงาม  รั้วสีขาวบริสุทธิ์เหลือเพียงแต่ซากปลักหักพังมีควันจากการเผาไหม้ลอยให้เห็นเป็นหย่อม ๆ  ซายน์
แทบจะร้องไห้เมื่อเห็นสภาพเหล่านี้  สถานที่ที่เธอเรียกมันว่า  “บ้าน” หลังแรกเมื่อก้าวเข้าสู่โลกพาร์ตรีไดส์ 
บัดนี้หายวับไปกับตา ไม่หลงเหลือเค้าแห่งความสวยงามและร่มเย็นไว้เลย

          ท่านผู้เฒ่าเป็นผู้รับมือกับร็องดอร์อยู่หลังม่านน้ำแข็งขนาดใหญ่  ซึ่งเป็นฝีมือของราฟาและเจย์  ซายน์ไม่รู้
ว่าท่านผู้เฒ่าและทั้งสองคนได้ตกลงกันไว้ก่อนรึเปล่า เพราะทันทีที่บ้านถูกบอมบ์ไป  เธอได้ยินเสียงร่ายเวท
แทบจะพร้อมกันของวายุเทพและธาราเทพ  เมื่อคนหนึ่งทำให้ฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นทางยาวขวางระหว่าง
สองฝ่ายไว้  และเกือบทันทีนั้นเองที่อีกคนหนึ่งทำให้น้ำฝนเหล่านั้นจับตัวกันจนเป็นม่านน้ำแข็งขนาดใหญ่  และ
เธอก็คาดว่าคงเป็นท่านผู้เฒ่าที่ใช้เวทเคลื่อนย้ายเพื่อป้องกันอันตรายจากร็องดอร์   เมื่ออยู่ ๆ ท่านก็หายไป 
แต่มีพวกของฝั่งตรงข้ามมาแทนที่  เธอเชื่อว่า ณ  อีกฝั่งของม่านน้ำแข็ง  ท่านผู้เฒ่าคงกำลังต่อสู้เพื่อป้องกัน
ไม่ให้คนชั่วคนนั้นเข้ามาทำอันตรายพวกเธอได้

          แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แค่มีเพียง เคลอิ  ครูเอล  โลนอฟ  และไซเทรน   ก็ต้องถือว่าเป็นงานหนักสำหรับซายน์ 
แซนด์ และเจย์อยู่ดี    ในเมื่อไม่มีราฟาคอยช่วยอยู่เช่นเคย  

          โฟร์ทยืนอยู่กับราฟา คอยกระซิบบอกเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้ ใครจับคู่ต่อสู้อยู่กับใคร
ใครเป็นฝ่ายรุก และใครเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ  นาน ๆ ที ที่จังหวะดี ๆ ราฟาถึงจะได้ใช้เวทช่วยไปบ้างตามแต่
สถานการณ์และเสียงบอกของโฟร์ท

          โลนอฟและไซเทรนเป็นความรับผิดชอบของแซนด์   ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องง่ายเลยทีเดียวกับการ
ต่อสู้กับคนที่ไม่ใช้เวทใด ๆ และเพราะพลังที่ได้รับจาก ผลึกรูไทล์  ควอตซ์   ตามที่ท่านผู้เฒ่าบอกไว้ว่า
ผลึกสีขาวนี้สามารถดึงพลังความสามารถหรือศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวของผู้สวมใส่ออกมาได้ และนี่คงเป็น
เหตุผลที่ผลึกเลือกที่จะมาอยู่กับเขา ผู้ซึ่งอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม  ซึ่งเขาสามารถใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวก็
สามารถทำให้ชายตัวโตอย่างไซเทรนยืนแข็งนิ่งเป็นหุ่นด้วยเวท “ซาโนมูทีฟ”  แต่สำหรับโลนอฟก็ต้องถือว่า
ไม่กระจอกอย่างที่คิด  การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าเป็นห่วงนัก  เมื่อแซนด์
ร่ายเวทใส่  โลนอฟจะใช้ดาบที่มีขนาดใหญ่มาบังและสะท้อนเวทนั้น ๆ  ออกไปได้  เขาจึงต้องพยายามต่อไป
เรื่อย ๆ เพื่อหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้

          ซายน์จับคู่อยู่กับครูเอล  ต้องถือว่าเป็นการประลองเวทย่อม ๆ เพราะต่างผลัดกันรุก ผลัดกันรับไม่มีใคร
ได้เปรียบเสียเปรียบใคร  เสียงร่ายเวทโต้ตอบกันไปมาอย่างไม่ลดละ

          “ลงมือจริงจังซะที”  อยู่ ๆ ครูเอลก็ตะโกนขึ้นมา  เพราะเขารับรู้ได้ว่าบรรดาเวทที่ซายน์ใช้ต่อสู้กับเขา
ช่างไร้ซึ่งพลังเพราะไม่ได้หมายปลิดชีพเขาอย่างจริงจัง

          “ท่านเป็นคนของเฮเวนน่า  กลับตัวกลับใจซะเถอะ  กลับไปกับข้า”  น้ำเสียงอ่อนโยนของซายน์ ไม่ได้
ทำให้อะไรดีขึ้นเลย  กลับยิ่งยิ่งทำให้ครูเอลรู้สึกอัปยศมากขึ้นไปอีก

          “ข้าไม่ใช่คนของเฮเวนน่า  นับตั้งแต่วันที่ข้าเลือกจะไปอยู่กับท่านร็องดอร์แล้ว”   น้ำเสียงที่พยายามแสดง
ความเชื่อมั่น แต่หางเสียงกลับแสดงความขมขื่นจนจับได้  

          “ให้มันจริงใจหน่อยซิ ครูเอล”  โลนอฟตะโกนล้อกลับมา ก่อนจะหันไปรับมือแซนด์ต่อ

          “เปลี่ยนใจเถอะ  ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของเราที่จะกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมา  ท่านจะได้ลบล้าง
ความผิดที่ท่านเคยก่อไว้”

         “ซิวิฟบั้ม”    ครูเอลใช้เวททำให้ซายน์กระเด็นล้มลงไปกองกับพื้นแทนคำตอบ

         แต่ซายน์ลุกขึ้นมายืนพร้อมกับปัดฝุ่นและเศษดินตามตัวอย่างใจเย็นแถมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ จนพี่ชายฝาแฝด
ประหลาดใจ ตะโกนโหวกเหวกว่าศีรษะกระแทกอะไรรึเปล่า  ถึงได้ลุกขึ้นมายิ้มหวานแบบนั้น  แต่เธอกลับตอบ
พี่ชายด้วยการยกนิ้วหัวแม่มือให้ว่ายังปกติดีอยู่  เพราะเธอรู้ดีว่าคู่ต่อสู้กำลังสับสนลังเลใจ  ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคง
ใช้เวทอื่นที่รุนแรงและฆ่าเธอได้ในจังหวะที่เธอไม่ระวังตัวเช่นนี้  แต่นี่  เขากลับแค่ทำให้เธอกระเด็นถอยหลังไป
นอนกับพื้นแทน  ซึ่งต้องถือว่ามันไม่รุนแรงแต่อย่างใดเลย

          “ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่จะกอบกู้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา”   ครูเอลรำพันออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยากจะจับ
ความรู้สึก

          “ไม่มีอะไรสายเกินไปที่จะแก้ไข  เชื่อข้าสิ  เราจะแก้ไขทุกอย่างด้วยกัน กลับไปเฮเวนน่าด้วยกัน  กลับบ้าน
ของเรา”  ซายน์ยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป และเริ่มมีหวังขึ้นเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ตรงหน้าก้มหน้าเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก

          “ซายน์กำลังชะล่าใจเกินไปคะ  พวกมันไว้ใจไม่ได้”  โฟร์ทกระซิบบอกราฟา

           “เฮ้ย....ซายน์...ระวัง”  แซนด์ตะโกนเตือนเมื่อรัศมีจากดาบของโลนอฟที่ตนเองกระโดดหลบ  พุ่งตรง
ไปยังทางที่น้องสาวยืนอยู่  “ซะ...ซายน์...ทำได้ยังไง”   เสียงครางจากปากของพี่ชายดังขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเห็น
เกราะสีเงินแวววาวเหมือนสารปรอท ปรากฏหุ้มตัวซายน์ไว้เพื่อป้องกันรัศมีของดาบที่พุ่งเข้าใส่เธอ  แถมยัง
สะท้อนรัศมีอันตรายนั้นกลับไปหาเจ้าของด้วย

          “มะ..มะ..ไม่รู้เหมือนกันพี่แซนด์”   เจ้าตัวพึมพำงง ๆ  ก้มมองเกราะที่ยังห่อหุ้มอยู่รอบ ๆ ตัว   ก่อนจะขยับมือ
ทั้งซ้ายและขวาเข้ามาดูใกล้ ๆ  และลองนำมือทั้งสองข้างมาแตะกัน เกราะที่ห่อหุ้มมือแต่ละข้างก็ประสานกันเป็น
เนื้อเดียว  เธอคิดถึงราฟาขึ้นมาทันทีจึงรีบหันกลับไปมองที่เขาแต่ดูเหมือนว่าทั้งโฟร์ทและราฟาไม่ได้สนใจมองมา
ที่เธอเลย  ทั้งสองคนกำลังหันไปมองการต่อสู้อีกด้าน  ทางฝั่งของเคลอิและเจย์  ซึ่งกำลังเกิดลมพายุขนาดใหญ่
จนฝุ่นตลบ

          “ซายน์”  เสียงพี่ชายดังขึ้นในโสตประสาท  เธอจึงได้สติหันกลับมามองก็พบว่าขณะนี้ แซนด์มายืนอยู่ใกล้ ๆ 
ส่วนอีกฝั่งครูเอลและโลนอฟก็ยังดูงง ๆ และสงสัยเกราะสีเงินนี้เช่นกัน

          “เกิดอะไรขึ้น”  เสียงของเจย์เหมือนลอยมาตามลม  แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครตอบอะไร   อากาศข้าง ๆ ซายน์
และแซนด์เริ่มจับตัวกันเป็นรูปเป็นร่างก่อนจะชัดเจนขึ้นจนรู้ว่าคือเจ้าของเสียงนั่นเอง

         “กำลังสงสัยเกราะสีเงินรอบ ๆ ตัวซายน์นี่ไง”  แซนด์อธิบาย  ก่อนจะนึกขึ้นได้  “ว่าแต่นายเถอะ  หายตัวมา
แบบนี้ได้ยังไง”

          “เกราะนี่เหรอ”  เจย์ลองยื่นมือไปจิ้มดู  แต่ก็เข้าไปไม่ถูกตัวของซายน์  มันหยุดติดอยู่แค่ส่วนของเกราะนั่น
ซึ่งก็ยืดหยุ่นไปตามแรงกด แต่ก็ไม่ถึงตัวซายน์อยู่ดี   “โอเคดีนี่”

         “ของเล่นใหม่ของพวกเจ้าหรือไง”  เสียงทุ้ม ๆ เอ่ยขึ้นขัดจังหวะการสนทนา  “ส่วนเจ้า...”  เคลอิ ปรายตา
มองมายังหน้าเจย์   “คือวายุเทพซินะ... ใช้ได้นี่”   คำชมที่แฝงไปด้วยความจริงใจ  เพราะจากการต่อสู้แบบ
ผลัดกันรุกผลัดกันรับเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาก่อนที่เจย์จะสลายร่างเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับลมพัดมาที่ซายน์และแซนด์  
ทำให้เขาปรามาสฝีมือและความมุ่งมั่นของชายคนนี้ไม่ได้เลย

          “ลองเชิงกันมาพอหรือยัง  เมื่อไหร่จะได้เวลาเอาจริงสักที”  โลนอฟเริ่มหงุดหงิด “ตกลงจะยืนคุยกันอีก
นานไหม ท่านก็เหมือนกันครูเอล  ถ้าคิดจะเชื่อเจ้าเด็กผู้หญิงนั่น ก็ไปอยู่กับพวกมันซะเลย”

          ผู้ถูกพาดพิงถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนจะส่งเสียงแหบ ๆ แต่หนักแน่นว่า.....”ไม่”

          “เห็นทีจะหมดเวลาสนุกแล้ว”   ธรณีเทพเป็นฝ่ายเปิดเกมรุก  “ซับไซด์”

          ทันทีที่เสียงร่ายเวทของเคลอิจบลง  ทั้งห้าคน (ซายน์  แซนด์  เจย์  โฟร์ทและราฟา) ก็รู้สึกว่าผืนดิน
ใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง  ก่อนที่จะยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว  และด้วยเวท “โซวิน” ของเจย์ที่ร่ายออกมาทัน
ทำให้ทั้งหมดไม่หล่นไปนอนอยู่ก้นหลุมที่มองไม่เห็นนั่น แต่ยังลอยอยู่ได้ด้วยลมที่คอยพยุงและพาพวกเขา
เคลื่อนย้ายมายังผืนดินส่วนที่ยังปกติอยู่แทน

          เกราะสีเงินของซายน์หายไปแล้ว  โดยที่ยังไม่รู้ว่ามันมาจากไหน  แต่สิ่งที่น่าคิดกว่าตอนนี้คือจะรับมือ
ธรณีเทพอย่างไร  ในเมื่อคนที่น่าจะมีฝีมือสูสีมากที่สุดอย่างธาราเทพก็ไม่สามารถต่อกรได้แล้ว  หวังจะพึ่งวายุเทพ
ก็ยังมือใหม่เกินไป

*****************************


          “เอสโทส... ท่านก็น่าจะรู้ดีว่า ระดับฝีมือของท่านถึงยังไงก็ไม่สามารถต่อกรกับข้าได้อยู่แล้ว อย่าเหนื่อย
เปล่าเลย”  ร็องดอร์เริ่มใช้วาจาถากถาง  เมื่อผ่านการต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาครู่ใหญ่ จนทำให้ทุ่งหญ้าที่เคย
เขียวขจีและเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันที่เคยแข่งกันชูช่อเพื่ออวดโฉมความงามเหลือเพียงภาพในความทรงจำ 
เพราะขณะนี้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นผืนดินที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อจากแรงระเบิดและการต่อสู้

          “สิ่งเดียวที่ท่านจะได้ไปจากพวกเรา คือความว่างเปล่า”  ท่านผู้เฒ่าตอบเรียบ ๆ

          “ความว่างเปล่างั้นรึ....ฮึ...ฮึ..”  ผู้รุกรานทวนคำพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ   “แต่ข้ามั่นใจว่าข้าจะกลับไปพร้อมกับ
หนึ่งในผลึกแห่งแสงและสาวน้อยผู้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความยิ่งใหญ่ของข้า ผู้ก้าวเข้ามาเริ่มวงจรแห่งอำนาจนี่อีกครั้ง 
แค่เธอกลับมา ผลึกแห่งแสงทั้งหกก็เริ่มทยอยปรากฏออกมา  อีกไม่นานเมื่อข้าสามารถรวบรวมได้ทั้งหมด  ข้าก็
กลับไปครองเฮเวนน่า  เมื่อนั้นโลกพาร์ตรีไดส์ก็จะเป็นของข้าทั้งหมด”

          “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก  เมื่อสิบหกปีที่แล้วเจ้าทำไม่สำเร็จ  มาถึงตอนนี้ผลมันก็จะไม่ต่างกัน”

         “ท่านคิดว่าจะมีใครที่จะมีฝีมือพอจะต่อต้านข้าได้อีกหรือไง  ในเมื่อผู้แข็งแกร่งอย่างราชินีเซ็นย่าก็ยังปราชัย
ต่อข้ามาแล้ว  ตัวท่านเองรึ..ข้าก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรดี  หรือจะเป็นเด็ก ๆ พวกนั้น   ข้าชักอยากเห็นแล้วสิ  ว่าจะ
มีฝีมือกันแค่ไหน”

         “โฮโลเชน”   สิ้นเสียงท่านผู้เฒ่า  ปรากฏโซ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนแรงพุ่งออกจากไม้เท้าในมือเข้ามัด
ตัวชายในเสื้อคลุมสีดำอย่างรวดเร็ว  “เจ้าจะได้เข้าใกล้พวกเขาก็ต่อเมื่อไม่มีข้าเท่านั้น”   ผู้เฒ่าเอสโทส ประกาศ
ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว


*****************************


          “ทำยังไงกันต่อละคราวนี้...”  เสียงถามด้วยความกังวลของน้องสาวฝาแฝด ขณะที่ทุกคนกำลังลอยตัว
อยู่ในอากาศอีกครั้ง ด้วยพลังของเจย์ “ดูสิ มันควบคุมผืนดินไว้ได้หมดเลย”

          “นั่นสิ  แค่เราจะลงไปยืน ดินตรงนั้นก็หายวับไปเลย”  แซนด์เอ่ยเครียด ๆ  “พลังของนายจะช่วยพยุงเรา
ทุกคนไปได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้”  ประโยคสุดท้ายเจ้าของเสียงหันกลับไปถามชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงกลางและ
กำลังกางมือทั้งสองไปข้างหน้า

          “ชั้นก็ไม่แน่ใจ”  วายุเทพตอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหนักใจ  คิ้วที่เหมือนจะขมวดเป็นปมแสดงให้รู้
ว่าการทดสอบบทนี้ช่างน่าเป็นห่วงนัก

         “ว่าไงล่ะ  ท่านเทพแห่งน้ำและลม  จะลอยตัวกันอยู่เฉย ๆ เช่นนั้นหรือไง”

          เสียงเยาะเย้ยจากธรณีเทพทำเอาราฟารู้สึกโมโหและหงุดหงิดเพิ่มขึ้น โมโหที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ในสภาวะ
ที่ตามองไม่เห็นเช่นนี้  หงุดหงิดที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและกลายเป็นภาระของผู้อื่น  ถ้าเพียงแต่เขาจะมองเห็น
สักหน่อย  ให้เขาได้มีโอกาสประลองฝีมือกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยผ่อนแรงของท่านผู้เฒ่าในการปกป้องทุก ๆ คน   
ถึงแม้ผลจะออกมาแบบไหนก็ยังจะดีกว่ามาทนฟังคำเยาะเย้ยโดยไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่อย่างนี้  ทั้งสามคนยังใหม่
เกินไปในสนามของการต่อสู้    คงไม่สามารถต้านทานฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้  

           “เวิลวิน”  เสียงเบา ๆ ข้าง ๆ ตัว  ซึ่งเขารู้ว่าเจย์เป็นผู้เอ่ยเวทนี้ออกมา คงกำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง  
แล้วโฟร์ทก็เป็นคนกระซิบบอกเขาว่า เจย์ใช้เวททำให้เกิดลมที่หมุนเป็นพายุอย่างรุนแรงพัดพาครูเอล  ไซเทรน 
โลนอฟ ลอยสูงเป็นวงขึ้นไปในอากาศ  ยกเว้นแต่เคลอิที่ยังคงพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ล้มลงเพราะขณะนี้ส่วนขา
ของเขากลายเป็นเนื้อเดียวไปกับผืนดินใต้เท้า ถ้าเพียงแต่เขาจะมองเห็นเหตุการณ์สักนิด  เขาคงช่วยทุกคนได้ดี
กว่านี้  ถ้าเพียงแต่.......

          “ใช่สิ!!...”  เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของราฟา  ทำเอาโฟร์ทถึงกับสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะเอ่ยปากถาม
ว่าเกิดอะไรขึ้น

          “ช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย”

          “ได้สิคะ...บอกมาได้เลยโฟร์ทเต็มใจทำทุกอย่างคะ”

          “ขอใช้ดวงตาหน่อย”

          “หา!!!...”   เสียงอุทานอย่างตกใจ  “ดวงตานี่นะคะ”

          “ไม่ต้องตกใจ”  ราฟาจับน้ำเสียงนั่นได้  “แค่เธอมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปอย่างปกติ ข้าก็จะเห็นทุกอย่าง
ด้วย  แต่...  แต่มันอาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย  และอาจจะมีความเสี่ยงเล็กน้อยในภายหน้า”

          “ไม่เป็นไรคะ  โฟร์ทอยากจะช่วย  เริ่มได้เลยคะ  จะทำยังไงบอกมาเลย”

          “อายเพลส”   สิ้นเสียงร่ายเวทของราฟาที่ใช้มือข้างหนึ่งจับด้านหลังของศีรษะโฟร์ทไว้ เธอถึงกับต้อง
เอามือกุมขมับ  เพราะปวดจี๊ดไปทั่วทั้งศีรษะ   หยาดน้ำตาเริ่มไหลออกมาช้า ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงตายังปิดสนิท

          “ลืมตาขึ้นสิโฟร์ท...พยายามอีกนิด”  ราฟาส่งเสียงกระตุ้นเบา ๆ รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดนี้ได้เสมือน
คน ๆ เดียวกัน  ขณะนี้ตาทั้งสองคู่พยายามกระพริบช้า ๆ ก่อนจะถี่ขึ้น และค่อย ๆ เปิดกว้างพร้อม ๆ กัน

*****************************


          “โอ๊ย..”
  ถึงแม้เสียงร้องจะค่อนข้างเบาจนแทบไม่ได้ยิน  แต่ก็พอจะทำให้รับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงพยายาม
เต็มที่  ที่จะข่มความเจ็บปวดที่ได้รับ และพยายามที่จะกลั้นเสียงซึ่งแสดงถึงความอ่อนแอออกมา   “ท่าน...ท่าน
คิดว่า...ฉลาดแล้วหรือไง.... ที่ใช้โซ่ไฟกัลป์นี่...”   ผู้ถูกพันธนาการไปด้วยโซ่ที่เปล่งประกายไฟร้อนแรง พยายาม
เค้นคำพูดออกมาด้วยความยากลำบาก

          “ข้าจะใช้ทุกทางที่จะหยุดเจ้าไว้  ไม่ว่าทางนั้นจะเป็นอย่างไร”

          “โซ่ไฟกัลป์นี่....  กักข้าไว้....  ไม่ได้นานหรอก...  ทะ...ท่าน...  จะเสียพลัง..... โดยเปล่า... ประโยชน์” 
น้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่ยังแสดงความโอ้อวดไม่หาย

          “อย่างน้อยข้าก็ทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียพลังไปด้วยเช่นกัน”  น้ำเสียงของท่านผู้เฒ่ายามนี้
เต็มไปด้วยเสียงหอบหายใจหนัก ๆ

          “เจ็บ..ปวด..งั้นหรือ”  ร็องดอร์ทวนคำด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน   “ไม่...ไม่มีวัน”  น้ำเสียงของผู้ถูกพันธนาการ
ขาดหายไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ  ด้วยดวงตาที่วาวโรจน์  และทันทีที่ปากขยับร่ายเวท 
“เบิซพาว” ด้วยเสียงอันดังเหมือนจะปลดปล่อยความเจ็บปวดและพลังที่ปะทุขึ้นในตัว โซ่ไฟกัลป์ที่เปล่งประกาย
ร้อนแรงก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระเด็นไปทั่วบริเวณ

           ชายทั้งสองคนที่กำลังยืนเผชิญหน้า  หอบหายใจหนัก ๆ ด้วยกันทั้งคู่เพราะได้ใช้พลังไปอย่างมหาศาลใน
ชั่วเวลาที่ผ่านมา

*****************************


          “ยอดไปเลย”  แซนด์เอ่ยชมธาราเทพ ที่ทำให้ทุกคนกลับมายืนได้อีกครั้ง  แม้ไม่ใช่บนผืนดินแต่เป็นผืนน้ำ

          ราฟาที่ขณะนี้กลับมามองเห็นได้ดังเดิมผ่านสายตาของโฟร์ท  ซึ่งไม่ว่าเธอจะมองอะไรหรือเห็นอะไร เขาก็
เห็นเช่นนั้นด้วย สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เขาได้รับรู้คร่าว ๆ จากคำบอกเล่าของโฟร์ทเมื่อครั้งยังมองไม่เห็น  บัดนี้เขา
ได้เห็นและรับรู้ทุกอย่างได้อย่างเต็มที่เสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับตาของเขามาก่อน  และทันทีที่เขามองเห็น
ภาพตรงหน้า  เขาก็รับรู้ว่าเจย์คงใช้พลังในการช่วยให้ทุกคนไม่ต้องตกลงไปยังก้นหลุมนี่ได้อีกไม่นาน   สิ่งแรก
ที่เขาทำในขณะที่วายุเทพกำลังใช้ลมพายุเล่นงานฝ่ายตรงข้ามคือ ใช้ความสามารถในการควบคุมน้ำของเขา
เติมเต็มหลุมนั่น

          มีน้ำผุดขึ้นมาจากก้นหลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นอย่างช้า ๆ จนเต็มหลุมขนาดใหญ่   เมื่อเจย์ปล่อยให้คู่ต่อสู้
ทั้งสามคนที่ลอยละลิ่วอยู่ในพายุหมุนหล่นลงมานอนกองกับพื้น  ตัวเขาเองก็แทบจะสิ้นแรงในการพยุงทุกคนต่อ  
ทั้งหมดรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง มีความรู้สึกวูบในท้องน้อย ก่อนจะลงมายืนนิ่งอย่างสง่างามบนผืนน้ำของราฟา 
และเป็นที่มาของคำกล่าวชมจากปากของแซนด์

          “ก็แค่การเอาตัวรอดแบบเด็ก ๆ   ข้าจะดูซิว่าถ้าไม่มีน้ำพวกเจ้าจะอยู่กันยังไง”  สิ้นเสียงของเคลอิ ที่กางมือ
ออกมาข้างหน้าและพึมพำร่ายเวทเบา ๆ สองสามคำ น้ำก็ค่อย ๆ เหือดแห้งลงอย่างช้า ๆ

          “เจ้าคิดผิดแล้วเคลอิ  ดินของเจ้าดูดน้ำพวกนี้ไปไม่ได้หรอก”  ราฟาดูจะไม่อนาทรร้อนใจกับปริมาณของน้ำ
ที่กำลังลดลงแม้แต่น้อย  “ข้าสามารถควบคุมน้ำได้ทั่วไปในอาณาเขตเหล่านี้  เหมือนกับที่เจ้าควบคุมดิน  และเจย์
ที่ควบคุมลมฝนในอากาศ  ถึงดินของเจ้าจะดูดน้ำเหล่านี้ไป  ข้าก็สามารถหากลับมาเติมเต็มมันได้อีกหลายวิธี 
อย่างเช่น”  ราฟาเว้นวรรค หันหน้ามาหาวายุเทพ ก่อนจะเอ่ยปาก  “ขอฝนให้ข้าสักหน่อยซิเจย์”  และนั่นก็ทำให้
ผู้ควบคุมฝนยิ้มกว้างอย่างยินดีก่อนจะร่ายเวทเบา ๆ ทำให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่

          ซายน์เงยหน้าขึ้นมองดูฝน  ที่ตกลงมาอย่างแปลกใจ  เพราะมันโปรยปรายมาจากท้องฟ้าแต่กลับหายไป
เฉย ๆ เหนือศีรษะของทุกคน ไม่มีใครเปียกฝน  หรือจะเรียกให้ถูก ไม่มีใครถูกละอองฝนนั่นแม้แต่คนเดียว  พร้อม ๆ
กันนั้น น้ำในหลุมก็เริ่มจะกลับเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง  และนั่นก็ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าน้ำฝนเหล่านั้นไปอยู่ที่ใด

         คู่ต่อสู้ทั้งสามที่ถูกวายุเทพส่งขึ้นไปหมุนเล่นกับพายุ  เริ่มกลับมาทรงตัวได้ดีขึ้น ยกเว้นก็แต่คนที่ตัวใหญ่
ที่สุดอย่างไซเทรนที่ยังนอนหงายไม่เป็นท่า มึนเวียนศีรษะจนลุกไม่ขึ้น  ครูเอลกลับมายืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ เคลอิ
พยายามเก็บอาการจนดูไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร  ส่วนโลนอฟใช้ดาบขนาดใหญ่ของตัวเองปักลงบนพื้นดิน
ตรงหน้า  ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกำด้ามดาบไว้แน่นเพื่อพยุงตัวเองไม่ใช้เซล้ม

          “ธอนดูลัม” เสียงทุ้ม ๆ ของธรณีเทพเรียกอาวุธประจำตัวออกมา  มันเป็นท่อนเหล็กยาวประมาณหนึ่งวา
ที่ปลายทั้งสองด้านเป็นลูกตุ้มที่เต็มไปด้วยปุ่มหนามอันแหลมคม  ครึ่งหนึ่งตั้งแต่กลางท่อนเหล็กไปเป็นสีขาวสว่าง
ที่ตัดกับอีกครึ่งซึ่งเป็นสีดำสนิท   ด้วยความรวดเร็วเคลอิถือพลองลูกตุ้มหมุนควงเบา ๆ รอบหนึ่งก่อนจะใช้ด้านที่
เป็นสีดำทุบลงบนพื้น

          ชั่วขณะนั้น  ซายน์รู้สึกเหมือนโลกจะถล่ม  พื้นดินสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะเกิดรอยแยกเป็นทางยาวอย่าง
รวดเร็วจากจุดที่พลองลูกตุ้มจรดพื้นวิ่งตรงมายังหลุมน้ำที่พวกเธอยืนอยู่  ทันทีที่รอยแยกของพื้นดินมาจรดกับ
ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ  เกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นในอากาศก่อนที่จะม้วนตัวเหมือนจะซัดเข้าใส่พวกเธอ  
ราฟารีบคุกเข่าลงใช้ฝ่ามือกดลงบนผืนน้ำ เหมือนจะสั่งให้มันหยุดนิ่งและกลับมาสงบอีกครั้ง คลื่นสูงหดตัวกลับลง
สู่ผืนน้ำอย่างรวดเร็ว  แต่ราฟากลับกระเด็นจนเกือบหลุดออกไปจากบริเวณหลุมน้ำของตัวเอง
  
          “เปรี๊ยะ~~!!.....คลืนนนนน”

          “ว้าย!~”   “เฮ้ย!~”   เสียงร้องแทบจะพร้อมกันของโฟร์ทและแซนด์  เมื่อมีเสียงแตกและเกิดการพังทลาย
ของกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างพวกเขาและท่านผู้เฒ่าไว้  ก่อนที่จะมีร่าง ๆ หนึ่งลอยทะลุกองภูเขา
น้ำแข็งมา

          “ท่านผู้เฒ่า~~!”   เสียงร้องด้วยความตกใจของทุกคนดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าร่างนั้นคือชายชรา
ในชุดที่ต้องบอกว่าเคยเป็นสีขาว  เพราะขณะนี้มันกลับกระดำกระด่างและขาดวิ่นแถมยังมีสีแดงของเลือดปะปนอยู่
เป็นหย่อม ๆ  ตามร่างกายมีรอยบาดแผลเล็กใหญ่ไปทั่ว

          ทั้งห้าคน  (ราฟา  ซายน์  แซนด์  เจย์ และโฟร์ท)  ลืมคู่ต่อสู้ข้างหน้าจนสิ้น  รีบวิ่งถลาไปยังร่างของชายชรา
ที่กำลังพยายามจะยันกายขึ้นอย่างยากลำบาก   แต่ยังไม่ทันจะมีใครได้ช่วยอะไรก็มีเสียงระเบิดจากกองภูเขาน้ำแข็ง
อีกครั้ง  ซึ่งครั้งนี้มันกลับระเบิดออกเป็นทางเดินเพื่อให้ชายอีกคนเดินข้ามมาจากอีกฟากฝั่ง   ถึงแม้จะไม่ได้เป็น
ฝ่ายพลาดท่าข้ามมาอย่างคนแรก  แต่เขาก็มีสภาพไม่แตกต่างไปสักเท่าไหร่  ชุดสีดำมีร่องรอยฉีกขาดหลายแห่ง 
ผ้าคลุมกำมะหยี่ทั้งขาดทั้งมีริ้วรอยจากการเผาไหม้  ฮู้ดที่เคยปกปิดใบหน้ามิดชิดกลับเผยให้เห็นริมฝีปากที่เหยียด
จนแทบเป็นเส้นตรงภายใต้หนวดเคราจาง ๆ

          “ท่านร็องดอร์”  เสียงครางเบา ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาของธรณีเทพ  “ท่าน......” จากที่ตั้งใจจะเอ่ยต่อ
ก็ต้องชะงักคำพูดไว้เพียงแค่นั้น  เมื่อคนที่ถูกเอ่ยนามได้ยกมือขึ้นห้าม

          “ข้าบอกท่านแล้ว”  ร็องดอร์ตั้งใจเอ่ยช้า ๆ เน้นคำพูดทุกคำ  “ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

          “ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้ ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะได้สิ่งที่ต้องการกลับไป”  ท่านผู้เฒ่าโต้ตอบอย่างไม่เกรงกลัว 
แม้ขณะนี้เรี่ยวแรงจะยืนยังแทบจะไม่มี  ต้องให้ราฟาและเจย์คอยพยุงไว้

          “เช่นนั้น...”  ร็องดอร์เว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง  “ท่านก็ตายซะเถอะ...  โม.”

          “หยุดนะ”  เสียงเจย์ตะโกนแทรกขัดจังหวะการร่ายเวท  ก่อนจะก้าวเดินออกมาข้างหน้าสองสามก้าว  โดย
ไม่ฟังเสียงเรียกอย่างทัดทาน ของซายน์และแซนด์

          “มีอะไรเจ้าเด็กน้อย  หรืออยากจะตายก่อนคนอื่น ๆ  ข้าจะสงเคราะห์ให้”

          “วายุเทพคงอยากจะแสดงพลังให้ท่านดู”   น้ำเสียงเคลอิเหมือนจะเยาะเย้ยถากถาง

          “วายุเทพงั้นรึ”  ร็องดอร์ทวนคำ   “หน่วยก้านไม่เลว”

          “ข้า...”  เจย์ลังเล  ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ และเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว  “ข้าขอให้ท่านปล่อยตัวพวกเขาไป 
เพื่อแลกกับตัวข้า”

          “ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....”   เสียงหัวเราะแทบจะพร้อมกันของฝ่ายตรงข้าม  

          “เจ้าคิดว่าตัวเองมีดีขนาดนั้นเชียว”   โลนอฟพยายามกลั้นเสียงหัวเราะถามออกไป

          เจย์ไม่ตอบอะไร  นอกจากเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น  เสียงหัวเราะเริ่มหายไปกลับกลายเป็นความ
แปลกใจเข้ามาแทนที่  เมื่ออยู่ ๆ เจย์ซึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย ร่ายเวทเบา ๆ สองสามคำ 
เกิดอ่างแก้วขนาดฝ่ามือบรรจุน้ำสีม่วงอ่อนและเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวที่ดูเหมือนจะแบ่งตัวออกเป็นสามส่วน
กำลังลอยเอื่อยพันกันไปมาคล้ายจะหยอกล้อกันอยู่ ที่ขอบอ่างมีลวดลายเถาวัลย์สีทองเปล่งประกายระยิบระยับ
อยู่โดยรอบ เจย์ยื่นมันออกไปข้างหน้า และจงใจเอ่ยถามหัวหน้าของอีกฝ่ายว่า  “ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ามันคืออะไร”

         “ไลน์เอจ”    ร็องดอร์และครูเอลครางออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน

          “ท่านรู้ก็ดี  เช่นนั้นข้าจะเริ่มก่อน”  พูดจบเจย์จุ่มมือข้างที่ว่างลงไปในอ่างแก้ว น้ำสีม่วงอ่อนเปลี่ยนเป็น
สีแดงจาง ๆ  ก่อนที่ควันสีขาวจะบิดตัวพัดหมุนรุนแรงขึ้น  จากนั้นเขาก็ดึงมือขึ้นมาก่อนเอ่ยเรียกชายผู้เป็นหัวหน้า
ของอีกฝ่ายให้ก้าวเข้ามาที่อ่างแก้ว

         “เจ้า...  เจ้า...”   ร็องดอร์ทั้งตกใจและแปลกใจเมื่อรู้ว่าการกระทำเหล่านี้คืออะไรและหากผลที่กำลังจะเกิดขึ้น
เป็นอย่างที่เขาคิด  ไม่..ไม่..เขาพยายามปฏิเสธตัวเอง ขณะที่กำลังก้าวเข้าไปหาเด็กหนุ่มผู้ท้าทายอย่างช้า ๆ 
เขากำลังจะหลงกลเด็กนั่น แต่ไลน์เอจไม่เคยโกหก   กลัว... เขากำลังเกิดความรู้สึกนี้  หลังจากที่ไม่รู้จักมันมา
หลายปี  เขาก็ไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรกันแน่ ระหว่างกลัวว่าผลที่จะออกมาเป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ หรือกลัวว่าจะ
ผิดหวัง    “เชิญ”  น้ำเสียงที่ค่อนข้างเบา ยากจะจับความรู้สึกเอ่ยบอกเมื่อเขาก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าอ่างแก้ว

          ร็องดอร์  กลั้นหายใจขณะจุ่มมือลงไปในน้ำสีแดงจาง ๆ  ทั้ง ๆ ที่ดวงตาภายใต้ฮู้ดของเขาจับจ้องไปยัง
ใบหน้าหนุ่มน้อยตรงหน้า  ใบหน้าที่ดูคุ้นตา  แววตาเหมือนใครคนหนึ่งที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอดสิบหกปี  แต่ยัง
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปไกลกว่านี้  น้ำในอ่างแก้วเริ่มกลายเป็นสีแดงดุจเลือด  เขารีบชักมือกลับและหันหลัง
เดินกลับไปหาลูกน้องที่กำลังจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดแบบงง ๆ

          ควันสีขาวหมุนเป็นเกลียวอยู่ในอ่างแก้วเหมือนมีพายุ  ก่อนจะพุ่งขึ้นเหนือศีรษะของเจย์แล้วแตกยอดออก
เป็นสามสาย  ที่ปลายของสายแรกกลุ่มควันเริ่มจับตัวหนาขึ้นใหญ่ขึ้น จนพอจะเห็นเค้ารางว่ามันกำลังจะกลาย
เป็นใบหน้าคน  และแล้วเมื่อกลุ่มควันหยุดเคลื่อนไหว ทุกคนจึงเห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่กำลังปรากฏอยู่คือใบหน้า
ของเจย์ ชายผู้ซึ่งกำลังถืออ่างแก้วนั่นเอง และเพียงชั่วอึดใจเดียวควันสายที่สองเริ่มจับตัวและแปรสภาพเหมือน
ควันสายแรก แต่ครั้งนี้ใบหน้าที่ปรากฏเป็นหน้าของร็องดอร์  ชายผู้จุ่มมือในอ่างแก้วเป็นรายที่สอง

          “แล้วอีกอันจะเป็นหน้าของใครละ”  แซนด์เอ่ยปากเปรยขึ้นมาลอย ๆ ด้วยความสงสัย เมื่อเห็นกลุ่มควัน
ของปลายสายสุดท้ายเริ่มจับตัวเป็นรูปร่างอีกครั้ง

          เจย์ เงยมองใบหน้าสุดท้ายที่กำลังปรากฏอยู่เหนือศีรษะ พยามกลั้นไม่ให้น้ำตาที่กำลังคลอเบ้าไหลออกมา
เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอในขณะนี้  ความรู้สึกหลากหลายปะดังปะเดเข้ามา รอบตัวเขาเหมือนไม่มีใครอยู่
มีแต่ความเงียบสงบที่มาพร้อมกับความสับสนในจิตใจ มันเหมือนกับวันที่ได้ยินท่านผู้เฒ่าเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ
ตัวเขาให้ฟัง  เรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงแต่เขาไม่เคยรับรู้  วันนั้นโลกทั้งโลกเหมือนจะหยุดหมุน  มันจับต้นชนปลาย
ไม่ถูก  เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันร้าย  ซึ่งร้ายซะจนไม่อาจจะทนฟังได้อีก  อยากจะรีบตื่นและหลุดออกจากฝันนี้
ซะที  แต่ไม่ใช่  เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เขาจะต้องรู้และฟังอย่างตั้งใจที่สุด  และที่สำคัญต้องยอมรับมันให้ได้

          หลังจากคืนนั้น  เขาก็พยายามเก็บตัวและหนีหน้าสองพี่น้องฝาแฝดที่พากันข้ามอุโมงค์จากโลกหนึ่งมา
ด้วยกัน  เขาไม่รู้ว่าถ้าหากสองคนนี่รู้ความจริงในสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้รับรู้สองคนนั่นจะเป็นยังไง  จะรู้สึกกับเขา
เหมือนเดิมรึเปล่า  เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นสายตาที่มองมาด้วยความเย็นชาหรือท่าทีรังเกียจ  ไม่นึกเลยว่า 
ความดีใจ  ที่เขารู้สึกในตอนที่ตัดสินใจตามสองพี่น้องเข้าอุโมงค์มา  เมื่อคราวได้ยินว่าอีกด้านของอุโมงค์ 
มีโลกอีกโลกหนึ่งมันจะเป็นจิตใต้สำนึกหรือสัญชาติญาณลึก ๆ ว่าเขาจะได้กลับบ้าน  โลกที่เป็นถิ่นกำเนิดของเขา
อย่างแท้จริง

          “นึกออกแล้ว  ผู้หญิงคนนี้  ผู้หญิงคนนี้”   เสียงซายน์เรียกสติเจย์กลับมาอีกครั้ง

          “ใครกันหรอซายน์”  พี่ชายเอ่ยถาม

          “ผู้หญิงคนนี้ไงพี่แซนด์  คนที่เราเห็นในภาพมายา  ตอนที่ท่านผู้เฒ่าทำให้เราเห็นภาพตอนท่านแม่กับนีย์
หนีเข้าอุโมงค์ไป”  ซายน์หันกลับมามองหน้าพี่ชาย  “ผู้หญิงคนนี้กับลูกของเขา ที่หนีเข้าอุโมงค์ก่อนท่านแม่
แค่ครู่เดียว  จำได้หรือยัง”

           “ใช่...  ใช่จริง ๆ ด้วย”  แซนด์ครางเบา ๆ เมื่อหันกลับไปมองใบหน้าซึ่งปรากฏจากควันสายสุดท้ายอีกครั้ง 
“แล้วสามหน้านี้เกี่ยวกันได้ยังไงล่ะ  อย่า.... อย่าบอกนะว่า....”  เขาชะงักคำพูดไว้แค่นั้น  อ้าปากค้างก่อนจะ
หันกลับไปมองท่านผู้เฒ่า

          “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”  โฟร์ทเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เมื่อเห็นสีหน้าของซายน์  แซนด์และราฟา

          “ถูกแล้ว... เจย์คือบุตรชายของร็องดอร์และจูเลีย  เจย์เป็นเด็กที่ผู้หญิงคนนั้นพาหนีเข้าอุโมงค์นั่นไป” 
เสียงของท่านผู้เฒ่าเหมือนจะดังก้องไปทั่วบริเวณ  สองพี่น้องตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ยิน มองหน้ากันอย่างงง ๆ
ก่อนจะหันมองไปที่เจย์  ซึ่งก็เห็นแต่เพียงด้านหลัง เพราะขณะนี้เขากำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับอีกฝ่าย ไม่ได้
เห็นว่าขณะนี้เจย์หลับตาลงด้วยความปวดร้าวพึมพำอะไรสองสามคำ  ถ้วยแก้วในมือก็หายวับไป ทำให้ภาพ
ใบหน้าทั้งสามหายไปด้วย

          “จูเลีย”  เสียงร็องดอร์ตะโกนเรียกทันทีที่ภาพใบหน้ากลางอากาศหายไป  “นางอยู่ที่ไหน นางมากับเจ้า
ด้วยหรือไม่”  เสียงถามด้วยความละล่ำละลัก

          “นางจากโลกของเราไปนานแล้ว ... จากไปตั้งแต่ข้าอายุได้เพียงขวบเดียว ... นาน...จนแม้แต่หน้าของ
นางข้าก็จำไม่ได้ ... จำไม่ได้แม้กระทั่งอ้อมกอด  รอยยิ้มหรือเสียงขับกล่อม  ...จำไม่ได้แม้แต่สัมผัสหรือแววตา 
จำไม่ได้  จำไม่ได้  จำอะไรไม่ได้เลย”   เจย์ตะโกนด้วยความปวดร้าว

          “พี่เจย์”  ซายน์เอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง

          “เจ้ากลับมาอยู่กับข้าเถอะ  กลับมาอยู่กับ...พ่อ”  ท้ายเสียงของร็องดอร์แผ่วเบาเหมือนจะไม่กล้าเอื้อยเอ่ย

          เจย์หันกลับไปมองกลุ่มที่ยืนข้างหลัง  ไล่ไปจากท่านผู้เฒ่า  ราฟา  โฟร์ท  และสองพี่น้องฝาแฝด  มองเห็น
ความห่วงใยและสามารถรับรู้ความรู้สึกของทุกคน  เห็นหญิงสาวที่เขารู้จักและผูกพันมาตั้งแต่โลกอีกด้านหนึ่ง
จนมาถึงโลกนี้กำลังร้องไห้และส่ายศีรษะเพื่อบอกให้เขารู้ว่าไม่ต้องการให้เขาไป  มองเห็นแววตาที่ยังคงความ
เป็นเพื่อนจากสายตาของชายผู้ซึ่งสนิทสนมกลมเกลียว เคยเที่ยวเล่นและเฮฮามาด้วยกัน  เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขา
ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

“ข้าขอยืนยันคำเดิม....  ข้าขอให้ท่านปล่อยตัวพวกเขาไป  เพื่อแลกกับตัวข้า”

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น