การต่อสู้ที่จริงจังเพิ่งจะเริ่มต้น หลังจากบ้านอันแสนสุขของทุกคนถูกเวท “แอคมิบอมบ์” ของร็องดอร์
ทำลายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่มีใครระวังและคาดคิดไว้ก่อน เกิดหลุมขนาดใหญ่ในส่วนที่เคยเป็นบ้านไม้
หลังงาม รั้วสีขาวบริสุทธิ์เหลือเพียงแต่ซากปลักหักพังมีควันจากการเผาไหม้ลอยให้เห็นเป็นหย่อม ๆ ซายน์
แทบจะร้องไห้เมื่อเห็นสภาพเหล่านี้ สถานที่ที่เธอเรียกมันว่า “บ้าน” หลังแรกเมื่อก้าวเข้าสู่โลกพาร์ตรีไดส์
บัดนี้หายวับไปกับตา ไม่หลงเหลือเค้าแห่งความสวยงามและร่มเย็นไว้เลย
ท่านผู้เฒ่าเป็นผู้รับมือกับร็องดอร์อยู่หลังม่านน้ำแข็งขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นฝีมือของราฟาและเจย์ ซายน์ไม่รู้
ว่าท่านผู้เฒ่าและทั้งสองคนได้ตกลงกันไว้ก่อนรึเปล่า เพราะทันทีที่บ้านถูกบอมบ์ไป เธอได้ยินเสียงร่ายเวท
แทบจะพร้อมกันของวายุเทพและธาราเทพ เมื่อคนหนึ่งทำให้ฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นทางยาวขวางระหว่าง
สองฝ่ายไว้ และเกือบทันทีนั้นเองที่อีกคนหนึ่งทำให้น้ำฝนเหล่านั้นจับตัวกันจนเป็นม่านน้ำแข็งขนาดใหญ่ และ
เธอก็คาดว่าคงเป็นท่านผู้เฒ่าที่ใช้เวทเคลื่อนย้ายเพื่อป้องกันอันตรายจากร็องดอร์ เมื่ออยู่ ๆ ท่านก็หายไป
แต่มีพวกของฝั่งตรงข้ามมาแทนที่ เธอเชื่อว่า ณ อีกฝั่งของม่านน้ำแข็ง ท่านผู้เฒ่าคงกำลังต่อสู้เพื่อป้องกัน
ไม่ให้คนชั่วคนนั้นเข้ามาทำอันตรายพวกเธอได้
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แค่มีเพียง เคลอิ ครูเอล โลนอฟ และไซเทรน ก็ต้องถือว่าเป็นงานหนักสำหรับซายน์
แซนด์ และเจย์อยู่ดี ในเมื่อไม่มีราฟาคอยช่วยอยู่เช่นเคย
โฟร์ทยืนอยู่กับราฟา คอยกระซิบบอกเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้ ใครจับคู่ต่อสู้อยู่กับใคร
ใครเป็นฝ่ายรุก และใครเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ นาน ๆ ที ที่จังหวะดี ๆ ราฟาถึงจะได้ใช้เวทช่วยไปบ้างตามแต่
สถานการณ์และเสียงบอกของโฟร์ท
โลนอฟและไซเทรนเป็นความรับผิดชอบของแซนด์ ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องง่ายเลยทีเดียวกับการ
ต่อสู้กับคนที่ไม่ใช้เวทใด ๆ และเพราะพลังที่ได้รับจาก ผลึกรูไทล์ ควอตซ์ ตามที่ท่านผู้เฒ่าบอกไว้ว่า
ผลึกสีขาวนี้สามารถดึงพลังความสามารถหรือศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวของผู้สวมใส่ออกมาได้ และนี่คงเป็น
เหตุผลที่ผลึกเลือกที่จะมาอยู่กับเขา ผู้ซึ่งอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม ซึ่งเขาสามารถใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวก็
สามารถทำให้ชายตัวโตอย่างไซเทรนยืนแข็งนิ่งเป็นหุ่นด้วยเวท “ซาโนมูทีฟ” แต่สำหรับโลนอฟก็ต้องถือว่า
ไม่กระจอกอย่างที่คิด การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าเป็นห่วงนัก เมื่อแซนด์
ร่ายเวทใส่ โลนอฟจะใช้ดาบที่มีขนาดใหญ่มาบังและสะท้อนเวทนั้น ๆ ออกไปได้ เขาจึงต้องพยายามต่อไป
เรื่อย ๆ เพื่อหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้
ซายน์จับคู่อยู่กับครูเอล ต้องถือว่าเป็นการประลองเวทย่อม ๆ เพราะต่างผลัดกันรุก ผลัดกันรับไม่มีใคร
ได้เปรียบเสียเปรียบใคร เสียงร่ายเวทโต้ตอบกันไปมาอย่างไม่ลดละ
“ลงมือจริงจังซะที” อยู่ ๆ ครูเอลก็ตะโกนขึ้นมา เพราะเขารับรู้ได้ว่าบรรดาเวทที่ซายน์ใช้ต่อสู้กับเขา
ช่างไร้ซึ่งพลังเพราะไม่ได้หมายปลิดชีพเขาอย่างจริงจัง
“ท่านเป็นคนของเฮเวนน่า กลับตัวกลับใจซะเถอะ กลับไปกับข้า” น้ำเสียงอ่อนโยนของซายน์ ไม่ได้
ทำให้อะไรดีขึ้นเลย กลับยิ่งยิ่งทำให้ครูเอลรู้สึกอัปยศมากขึ้นไปอีก
“ข้าไม่ใช่คนของเฮเวนน่า นับตั้งแต่วันที่ข้าเลือกจะไปอยู่กับท่านร็องดอร์แล้ว” น้ำเสียงที่พยายามแสดง
ความเชื่อมั่น แต่หางเสียงกลับแสดงความขมขื่นจนจับได้
“ให้มันจริงใจหน่อยซิ ครูเอล” โลนอฟตะโกนล้อกลับมา ก่อนจะหันไปรับมือแซนด์ต่อ
“เปลี่ยนใจเถอะ ท่านจะเป็นกำลังสำคัญของเราที่จะกอบกู้ทุกอย่างกลับคืนมา ท่านจะได้ลบล้าง
ความผิดที่ท่านเคยก่อไว้”
“ซิวิฟบั้ม” ครูเอลใช้เวททำให้ซายน์กระเด็นล้มลงไปกองกับพื้นแทนคำตอบ
แต่ซายน์ลุกขึ้นมายืนพร้อมกับปัดฝุ่นและเศษดินตามตัวอย่างใจเย็นแถมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ จนพี่ชายฝาแฝด
ประหลาดใจ ตะโกนโหวกเหวกว่าศีรษะกระแทกอะไรรึเปล่า ถึงได้ลุกขึ้นมายิ้มหวานแบบนั้น แต่เธอกลับตอบ
พี่ชายด้วยการยกนิ้วหัวแม่มือให้ว่ายังปกติดีอยู่ เพราะเธอรู้ดีว่าคู่ต่อสู้กำลังสับสนลังเลใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคง
ใช้เวทอื่นที่รุนแรงและฆ่าเธอได้ในจังหวะที่เธอไม่ระวังตัวเช่นนี้ แต่นี่ เขากลับแค่ทำให้เธอกระเด็นถอยหลังไป
นอนกับพื้นแทน ซึ่งต้องถือว่ามันไม่รุนแรงแต่อย่างใดเลย
“ไม่มีวัน...ไม่มีวันที่จะกอบกู้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมา” ครูเอลรำพันออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยากจะจับ
ความรู้สึก
“ไม่มีอะไรสายเกินไปที่จะแก้ไข เชื่อข้าสิ เราจะแก้ไขทุกอย่างด้วยกัน กลับไปเฮเวนน่าด้วยกัน กลับบ้าน
ของเรา” ซายน์ยังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป และเริ่มมีหวังขึ้นเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ตรงหน้าก้มหน้าเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก
“ซายน์กำลังชะล่าใจเกินไปคะ พวกมันไว้ใจไม่ได้” โฟร์ทกระซิบบอกราฟา
“เฮ้ย....ซายน์...ระวัง” แซนด์ตะโกนเตือนเมื่อรัศมีจากดาบของโลนอฟที่ตนเองกระโดดหลบ พุ่งตรง
ไปยังทางที่น้องสาวยืนอยู่ “ซะ...ซายน์...ทำได้ยังไง” เสียงครางจากปากของพี่ชายดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็น
เกราะสีเงินแวววาวเหมือนสารปรอท ปรากฏหุ้มตัวซายน์ไว้เพื่อป้องกันรัศมีของดาบที่พุ่งเข้าใส่เธอ แถมยัง
สะท้อนรัศมีอันตรายนั้นกลับไปหาเจ้าของด้วย
“มะ..มะ..ไม่รู้เหมือนกันพี่แซนด์” เจ้าตัวพึมพำงง ๆ ก้มมองเกราะที่ยังห่อหุ้มอยู่รอบ ๆ ตัว ก่อนจะขยับมือ
ทั้งซ้ายและขวาเข้ามาดูใกล้ ๆ และลองนำมือทั้งสองข้างมาแตะกัน เกราะที่ห่อหุ้มมือแต่ละข้างก็ประสานกันเป็น
เนื้อเดียว เธอคิดถึงราฟาขึ้นมาทันทีจึงรีบหันกลับไปมองที่เขาแต่ดูเหมือนว่าทั้งโฟร์ทและราฟาไม่ได้สนใจมองมา
ที่เธอเลย ทั้งสองคนกำลังหันไปมองการต่อสู้อีกด้าน ทางฝั่งของเคลอิและเจย์ ซึ่งกำลังเกิดลมพายุขนาดใหญ่
จนฝุ่นตลบ
“ซายน์” เสียงพี่ชายดังขึ้นในโสตประสาท เธอจึงได้สติหันกลับมามองก็พบว่าขณะนี้ แซนด์มายืนอยู่ใกล้ ๆ
ส่วนอีกฝั่งครูเอลและโลนอฟก็ยังดูงง ๆ และสงสัยเกราะสีเงินนี้เช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงของเจย์เหมือนลอยมาตามลม แต่ยังไม่ทันที่จะมีใครตอบอะไร อากาศข้าง ๆ ซายน์
และแซนด์เริ่มจับตัวกันเป็นรูปเป็นร่างก่อนจะชัดเจนขึ้นจนรู้ว่าคือเจ้าของเสียงนั่นเอง
“กำลังสงสัยเกราะสีเงินรอบ ๆ ตัวซายน์นี่ไง” แซนด์อธิบาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ “ว่าแต่นายเถอะ หายตัวมา
แบบนี้ได้ยังไง”
“เกราะนี่เหรอ” เจย์ลองยื่นมือไปจิ้มดู แต่ก็เข้าไปไม่ถูกตัวของซายน์ มันหยุดติดอยู่แค่ส่วนของเกราะนั่น
ซึ่งก็ยืดหยุ่นไปตามแรงกด แต่ก็ไม่ถึงตัวซายน์อยู่ดี “โอเคดีนี่”
“ของเล่นใหม่ของพวกเจ้าหรือไง” เสียงทุ้ม ๆ เอ่ยขึ้นขัดจังหวะการสนทนา “ส่วนเจ้า...” เคลอิ ปรายตา
มองมายังหน้าเจย์ “คือวายุเทพซินะ... ใช้ได้นี่” คำชมที่แฝงไปด้วยความจริงใจ เพราะจากการต่อสู้แบบ
ผลัดกันรุกผลัดกันรับเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาก่อนที่เจย์จะสลายร่างเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับลมพัดมาที่ซายน์และแซนด์
ทำให้เขาปรามาสฝีมือและความมุ่งมั่นของชายคนนี้ไม่ได้เลย
“ลองเชิงกันมาพอหรือยัง เมื่อไหร่จะได้เวลาเอาจริงสักที” โลนอฟเริ่มหงุดหงิด “ตกลงจะยืนคุยกันอีก
นานไหม ท่านก็เหมือนกันครูเอล ถ้าคิดจะเชื่อเจ้าเด็กผู้หญิงนั่น ก็ไปอยู่กับพวกมันซะเลย”
ผู้ถูกพาดพิงถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนจะส่งเสียงแหบ ๆ แต่หนักแน่นว่า.....”ไม่”
“เห็นทีจะหมดเวลาสนุกแล้ว” ธรณีเทพเป็นฝ่ายเปิดเกมรุก “ซับไซด์”
ทันทีที่เสียงร่ายเวทของเคลอิจบลง ทั้งห้าคน (ซายน์ แซนด์ เจย์ โฟร์ทและราฟา) ก็รู้สึกว่าผืนดิน
ใต้เท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่จะยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว และด้วยเวท “โซวิน” ของเจย์ที่ร่ายออกมาทัน
ทำให้ทั้งหมดไม่หล่นไปนอนอยู่ก้นหลุมที่มองไม่เห็นนั่น แต่ยังลอยอยู่ได้ด้วยลมที่คอยพยุงและพาพวกเขา
เคลื่อนย้ายมายังผืนดินส่วนที่ยังปกติอยู่แทน
เกราะสีเงินของซายน์หายไปแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่สิ่งที่น่าคิดกว่าตอนนี้คือจะรับมือ
ธรณีเทพอย่างไร ในเมื่อคนที่น่าจะมีฝีมือสูสีมากที่สุดอย่างธาราเทพก็ไม่สามารถต่อกรได้แล้ว หวังจะพึ่งวายุเทพ
ก็ยังมือใหม่เกินไป
*****************************
“เอสโทส... ท่านก็น่าจะรู้ดีว่า ระดับฝีมือของท่านถึงยังไงก็ไม่สามารถต่อกรกับข้าได้อยู่แล้ว อย่าเหนื่อย
เปล่าเลย” ร็องดอร์เริ่มใช้วาจาถากถาง เมื่อผ่านการต่อสู้กันอย่างดุเดือดมาครู่ใหญ่ จนทำให้ทุ่งหญ้าที่เคย
เขียวขจีและเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันที่เคยแข่งกันชูช่อเพื่ออวดโฉมความงามเหลือเพียงภาพในความทรงจำ
เพราะขณะนี้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นผืนดินที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อจากแรงระเบิดและการต่อสู้
“สิ่งเดียวที่ท่านจะได้ไปจากพวกเรา คือความว่างเปล่า” ท่านผู้เฒ่าตอบเรียบ ๆ
“ความว่างเปล่างั้นรึ....ฮึ...ฮึ..” ผู้รุกรานทวนคำพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “แต่ข้ามั่นใจว่าข้าจะกลับไปพร้อมกับ
หนึ่งในผลึกแห่งแสงและสาวน้อยผู้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความยิ่งใหญ่ของข้า ผู้ก้าวเข้ามาเริ่มวงจรแห่งอำนาจนี่อีกครั้ง
แค่เธอกลับมา ผลึกแห่งแสงทั้งหกก็เริ่มทยอยปรากฏออกมา อีกไม่นานเมื่อข้าสามารถรวบรวมได้ทั้งหมด ข้าก็
กลับไปครองเฮเวนน่า เมื่อนั้นโลกพาร์ตรีไดส์ก็จะเป็นของข้าทั้งหมด”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก เมื่อสิบหกปีที่แล้วเจ้าทำไม่สำเร็จ มาถึงตอนนี้ผลมันก็จะไม่ต่างกัน”
“ท่านคิดว่าจะมีใครที่จะมีฝีมือพอจะต่อต้านข้าได้อีกหรือไง ในเมื่อผู้แข็งแกร่งอย่างราชินีเซ็นย่าก็ยังปราชัย
ต่อข้ามาแล้ว ตัวท่านเองรึ..ข้าก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรดี หรือจะเป็นเด็ก ๆ พวกนั้น ข้าชักอยากเห็นแล้วสิ ว่าจะ
มีฝีมือกันแค่ไหน”
“โฮโลเชน” สิ้นเสียงท่านผู้เฒ่า ปรากฏโซ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟร้อนแรงพุ่งออกจากไม้เท้าในมือเข้ามัด
ตัวชายในเสื้อคลุมสีดำอย่างรวดเร็ว “เจ้าจะได้เข้าใกล้พวกเขาก็ต่อเมื่อไม่มีข้าเท่านั้น” ผู้เฒ่าเอสโทส ประกาศ
ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
*****************************
“ทำยังไงกันต่อละคราวนี้...” เสียงถามด้วยความกังวลของน้องสาวฝาแฝด ขณะที่ทุกคนกำลังลอยตัว
อยู่ในอากาศอีกครั้ง ด้วยพลังของเจย์ “ดูสิ มันควบคุมผืนดินไว้ได้หมดเลย”
“นั่นสิ แค่เราจะลงไปยืน ดินตรงนั้นก็หายวับไปเลย” แซนด์เอ่ยเครียด ๆ “พลังของนายจะช่วยพยุงเรา
ทุกคนไปได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้” ประโยคสุดท้ายเจ้าของเสียงหันกลับไปถามชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงกลางและ
กำลังกางมือทั้งสองไปข้างหน้า
“ชั้นก็ไม่แน่ใจ” วายุเทพตอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหนักใจ คิ้วที่เหมือนจะขมวดเป็นปมแสดงให้รู้
ว่าการทดสอบบทนี้ช่างน่าเป็นห่วงนัก
“ว่าไงล่ะ ท่านเทพแห่งน้ำและลม จะลอยตัวกันอยู่เฉย ๆ เช่นนั้นหรือไง”
เสียงเยาะเย้ยจากธรณีเทพทำเอาราฟารู้สึกโมโหและหงุดหงิดเพิ่มขึ้น โมโหที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ในสภาวะ
ที่ตามองไม่เห็นเช่นนี้ หงุดหงิดที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและกลายเป็นภาระของผู้อื่น ถ้าเพียงแต่เขาจะมองเห็น
สักหน่อย ให้เขาได้มีโอกาสประลองฝีมือกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยผ่อนแรงของท่านผู้เฒ่าในการปกป้องทุก ๆ คน
ถึงแม้ผลจะออกมาแบบไหนก็ยังจะดีกว่ามาทนฟังคำเยาะเย้ยโดยไม่ได้ทำอะไรเลยอยู่อย่างนี้ ทั้งสามคนยังใหม่
เกินไปในสนามของการต่อสู้ คงไม่สามารถต้านทานฝีมือของฝ่ายตรงข้ามได้
“เวิลวิน” เสียงเบา ๆ ข้าง ๆ ตัว ซึ่งเขารู้ว่าเจย์เป็นผู้เอ่ยเวทนี้ออกมา คงกำลังพยายามทำอะไรสักอย่าง
แล้วโฟร์ทก็เป็นคนกระซิบบอกเขาว่า เจย์ใช้เวททำให้เกิดลมที่หมุนเป็นพายุอย่างรุนแรงพัดพาครูเอล ไซเทรน
โลนอฟ ลอยสูงเป็นวงขึ้นไปในอากาศ ยกเว้นแต่เคลอิที่ยังคงพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ล้มลงเพราะขณะนี้ส่วนขา
ของเขากลายเป็นเนื้อเดียวไปกับผืนดินใต้เท้า ถ้าเพียงแต่เขาจะมองเห็นเหตุการณ์สักนิด เขาคงช่วยทุกคนได้ดี
กว่านี้ ถ้าเพียงแต่.......
“ใช่สิ!!...” เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของราฟา ทำเอาโฟร์ทถึงกับสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะเอ่ยปากถาม
ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ช่วยอะไรหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิคะ...บอกมาได้เลยโฟร์ทเต็มใจทำทุกอย่างคะ”
“ขอใช้ดวงตาหน่อย”
“หา!!!...” เสียงอุทานอย่างตกใจ “ดวงตานี่นะคะ”
“ไม่ต้องตกใจ” ราฟาจับน้ำเสียงนั่นได้ “แค่เธอมองเหตุการณ์ต่าง ๆ ต่อไปอย่างปกติ ข้าก็จะเห็นทุกอย่าง
ด้วย แต่... แต่มันอาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย และอาจจะมีความเสี่ยงเล็กน้อยในภายหน้า”
“ไม่เป็นไรคะ โฟร์ทอยากจะช่วย เริ่มได้เลยคะ จะทำยังไงบอกมาเลย”
“อายเพลส” สิ้นเสียงร่ายเวทของราฟาที่ใช้มือข้างหนึ่งจับด้านหลังของศีรษะโฟร์ทไว้ เธอถึงกับต้อง
เอามือกุมขมับ เพราะปวดจี๊ดไปทั่วทั้งศีรษะ หยาดน้ำตาเริ่มไหลออกมาช้า ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงตายังปิดสนิท
“ลืมตาขึ้นสิโฟร์ท...พยายามอีกนิด” ราฟาส่งเสียงกระตุ้นเบา ๆ รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดนี้ได้เสมือน
คน ๆ เดียวกัน ขณะนี้ตาทั้งสองคู่พยายามกระพริบช้า ๆ ก่อนจะถี่ขึ้น และค่อย ๆ เปิดกว้างพร้อม ๆ กัน
*****************************
“โอ๊ย..” ถึงแม้เสียงร้องจะค่อนข้างเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ก็พอจะทำให้รับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงพยายาม
เต็มที่ ที่จะข่มความเจ็บปวดที่ได้รับ และพยายามที่จะกลั้นเสียงซึ่งแสดงถึงความอ่อนแอออกมา “ท่าน...ท่าน
คิดว่า...ฉลาดแล้วหรือไง.... ที่ใช้โซ่ไฟกัลป์นี่...” ผู้ถูกพันธนาการไปด้วยโซ่ที่เปล่งประกายไฟร้อนแรง พยายาม
เค้นคำพูดออกมาด้วยความยากลำบาก
“ข้าจะใช้ทุกทางที่จะหยุดเจ้าไว้ ไม่ว่าทางนั้นจะเป็นอย่างไร”
“โซ่ไฟกัลป์นี่.... กักข้าไว้.... ไม่ได้นานหรอก... ทะ...ท่าน... จะเสียพลัง..... โดยเปล่า... ประโยชน์”
น้ำเสียงตะกุกตะกัก แต่ยังแสดงความโอ้อวดไม่หาย
“อย่างน้อยข้าก็ทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียพลังไปด้วยเช่นกัน” น้ำเสียงของท่านผู้เฒ่ายามนี้
เต็มไปด้วยเสียงหอบหายใจหนัก ๆ
“เจ็บ..ปวด..งั้นหรือ” ร็องดอร์ทวนคำด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน “ไม่...ไม่มีวัน” น้ำเสียงของผู้ถูกพันธนาการ
ขาดหายไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ ด้วยดวงตาที่วาวโรจน์ และทันทีที่ปากขยับร่ายเวท
“เบิซพาว” ด้วยเสียงอันดังเหมือนจะปลดปล่อยความเจ็บปวดและพลังที่ปะทุขึ้นในตัว โซ่ไฟกัลป์ที่เปล่งประกาย
ร้อนแรงก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระเด็นไปทั่วบริเวณ
ชายทั้งสองคนที่กำลังยืนเผชิญหน้า หอบหายใจหนัก ๆ ด้วยกันทั้งคู่เพราะได้ใช้พลังไปอย่างมหาศาลใน
ชั่วเวลาที่ผ่านมา
*****************************
“ยอดไปเลย” แซนด์เอ่ยชมธาราเทพ ที่ทำให้ทุกคนกลับมายืนได้อีกครั้ง แม้ไม่ใช่บนผืนดินแต่เป็นผืนน้ำ
ราฟาที่ขณะนี้กลับมามองเห็นได้ดังเดิมผ่านสายตาของโฟร์ท ซึ่งไม่ว่าเธอจะมองอะไรหรือเห็นอะไร เขาก็
เห็นเช่นนั้นด้วย สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เขาได้รับรู้คร่าว ๆ จากคำบอกเล่าของโฟร์ทเมื่อครั้งยังมองไม่เห็น บัดนี้เขา
ได้เห็นและรับรู้ทุกอย่างได้อย่างเต็มที่เสมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกับตาของเขามาก่อน และทันทีที่เขามองเห็น
ภาพตรงหน้า เขาก็รับรู้ว่าเจย์คงใช้พลังในการช่วยให้ทุกคนไม่ต้องตกลงไปยังก้นหลุมนี่ได้อีกไม่นาน สิ่งแรก
ที่เขาทำในขณะที่วายุเทพกำลังใช้ลมพายุเล่นงานฝ่ายตรงข้ามคือ ใช้ความสามารถในการควบคุมน้ำของเขา
เติมเต็มหลุมนั่น
มีน้ำผุดขึ้นมาจากก้นหลุมที่ลึกจนมองไม่เห็นอย่างช้า ๆ จนเต็มหลุมขนาดใหญ่ เมื่อเจย์ปล่อยให้คู่ต่อสู้
ทั้งสามคนที่ลอยละลิ่วอยู่ในพายุหมุนหล่นลงมานอนกองกับพื้น ตัวเขาเองก็แทบจะสิ้นแรงในการพยุงทุกคนต่อ
ทั้งหมดรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง มีความรู้สึกวูบในท้องน้อย ก่อนจะลงมายืนนิ่งอย่างสง่างามบนผืนน้ำของราฟา
และเป็นที่มาของคำกล่าวชมจากปากของแซนด์
“ก็แค่การเอาตัวรอดแบบเด็ก ๆ ข้าจะดูซิว่าถ้าไม่มีน้ำพวกเจ้าจะอยู่กันยังไง” สิ้นเสียงของเคลอิ ที่กางมือ
ออกมาข้างหน้าและพึมพำร่ายเวทเบา ๆ สองสามคำ น้ำก็ค่อย ๆ เหือดแห้งลงอย่างช้า ๆ
“เจ้าคิดผิดแล้วเคลอิ ดินของเจ้าดูดน้ำพวกนี้ไปไม่ได้หรอก” ราฟาดูจะไม่อนาทรร้อนใจกับปริมาณของน้ำ
ที่กำลังลดลงแม้แต่น้อย “ข้าสามารถควบคุมน้ำได้ทั่วไปในอาณาเขตเหล่านี้ เหมือนกับที่เจ้าควบคุมดิน และเจย์
ที่ควบคุมลมฝนในอากาศ ถึงดินของเจ้าจะดูดน้ำเหล่านี้ไป ข้าก็สามารถหากลับมาเติมเต็มมันได้อีกหลายวิธี
อย่างเช่น” ราฟาเว้นวรรค หันหน้ามาหาวายุเทพ ก่อนจะเอ่ยปาก “ขอฝนให้ข้าสักหน่อยซิเจย์” และนั่นก็ทำให้
ผู้ควบคุมฝนยิ้มกว้างอย่างยินดีก่อนจะร่ายเวทเบา ๆ ทำให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่
ซายน์เงยหน้าขึ้นมองดูฝน ที่ตกลงมาอย่างแปลกใจ เพราะมันโปรยปรายมาจากท้องฟ้าแต่กลับหายไป
เฉย ๆ เหนือศีรษะของทุกคน ไม่มีใครเปียกฝน หรือจะเรียกให้ถูก ไม่มีใครถูกละอองฝนนั่นแม้แต่คนเดียว พร้อม ๆ
กันนั้น น้ำในหลุมก็เริ่มจะกลับเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าน้ำฝนเหล่านั้นไปอยู่ที่ใด
คู่ต่อสู้ทั้งสามที่ถูกวายุเทพส่งขึ้นไปหมุนเล่นกับพายุ เริ่มกลับมาทรงตัวได้ดีขึ้น ยกเว้นก็แต่คนที่ตัวใหญ่
ที่สุดอย่างไซเทรนที่ยังนอนหงายไม่เป็นท่า มึนเวียนศีรษะจนลุกไม่ขึ้น ครูเอลกลับมายืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ เคลอิ
พยายามเก็บอาการจนดูไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ส่วนโลนอฟใช้ดาบขนาดใหญ่ของตัวเองปักลงบนพื้นดิน
ตรงหน้า ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกำด้ามดาบไว้แน่นเพื่อพยุงตัวเองไม่ใช้เซล้ม
“ธอนดูลัม” เสียงทุ้ม ๆ ของธรณีเทพเรียกอาวุธประจำตัวออกมา มันเป็นท่อนเหล็กยาวประมาณหนึ่งวา
ที่ปลายทั้งสองด้านเป็นลูกตุ้มที่เต็มไปด้วยปุ่มหนามอันแหลมคม ครึ่งหนึ่งตั้งแต่กลางท่อนเหล็กไปเป็นสีขาวสว่าง
ที่ตัดกับอีกครึ่งซึ่งเป็นสีดำสนิท ด้วยความรวดเร็วเคลอิถือพลองลูกตุ้มหมุนควงเบา ๆ รอบหนึ่งก่อนจะใช้ด้านที่
เป็นสีดำทุบลงบนพื้น
ชั่วขณะนั้น ซายน์รู้สึกเหมือนโลกจะถล่ม พื้นดินสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะเกิดรอยแยกเป็นทางยาวอย่าง
รวดเร็วจากจุดที่พลองลูกตุ้มจรดพื้นวิ่งตรงมายังหลุมน้ำที่พวกเธอยืนอยู่ ทันทีที่รอยแยกของพื้นดินมาจรดกับ
ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ เกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่พุ่งสูงขึ้นในอากาศก่อนที่จะม้วนตัวเหมือนจะซัดเข้าใส่พวกเธอ
ราฟารีบคุกเข่าลงใช้ฝ่ามือกดลงบนผืนน้ำ เหมือนจะสั่งให้มันหยุดนิ่งและกลับมาสงบอีกครั้ง คลื่นสูงหดตัวกลับลง
สู่ผืนน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ราฟากลับกระเด็นจนเกือบหลุดออกไปจากบริเวณหลุมน้ำของตัวเอง
“เปรี๊ยะ~~!!.....คลืนนนนน”
“ว้าย!~” “เฮ้ย!~” เสียงร้องแทบจะพร้อมกันของโฟร์ทและแซนด์ เมื่อมีเสียงแตกและเกิดการพังทลาย
ของกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างพวกเขาและท่านผู้เฒ่าไว้ ก่อนที่จะมีร่าง ๆ หนึ่งลอยทะลุกองภูเขา
น้ำแข็งมา
“ท่านผู้เฒ่า~~!” เสียงร้องด้วยความตกใจของทุกคนดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าร่างนั้นคือชายชรา
ในชุดที่ต้องบอกว่าเคยเป็นสีขาว เพราะขณะนี้มันกลับกระดำกระด่างและขาดวิ่นแถมยังมีสีแดงของเลือดปะปนอยู่
เป็นหย่อม ๆ ตามร่างกายมีรอยบาดแผลเล็กใหญ่ไปทั่ว
ทั้งห้าคน (ราฟา ซายน์ แซนด์ เจย์ และโฟร์ท) ลืมคู่ต่อสู้ข้างหน้าจนสิ้น รีบวิ่งถลาไปยังร่างของชายชรา
ที่กำลังพยายามจะยันกายขึ้นอย่างยากลำบาก แต่ยังไม่ทันจะมีใครได้ช่วยอะไรก็มีเสียงระเบิดจากกองภูเขาน้ำแข็ง
อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันกลับระเบิดออกเป็นทางเดินเพื่อให้ชายอีกคนเดินข้ามมาจากอีกฟากฝั่ง ถึงแม้จะไม่ได้เป็น
ฝ่ายพลาดท่าข้ามมาอย่างคนแรก แต่เขาก็มีสภาพไม่แตกต่างไปสักเท่าไหร่ ชุดสีดำมีร่องรอยฉีกขาดหลายแห่ง
ผ้าคลุมกำมะหยี่ทั้งขาดทั้งมีริ้วรอยจากการเผาไหม้ ฮู้ดที่เคยปกปิดใบหน้ามิดชิดกลับเผยให้เห็นริมฝีปากที่เหยียด
จนแทบเป็นเส้นตรงภายใต้หนวดเคราจาง ๆ
“ท่านร็องดอร์” เสียงครางเบา ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาของธรณีเทพ “ท่าน......” จากที่ตั้งใจจะเอ่ยต่อ
ก็ต้องชะงักคำพูดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อคนที่ถูกเอ่ยนามได้ยกมือขึ้นห้าม
“ข้าบอกท่านแล้ว” ร็องดอร์ตั้งใจเอ่ยช้า ๆ เน้นคำพูดทุกคำ “ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้ ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะได้สิ่งที่ต้องการกลับไป” ท่านผู้เฒ่าโต้ตอบอย่างไม่เกรงกลัว
แม้ขณะนี้เรี่ยวแรงจะยืนยังแทบจะไม่มี ต้องให้ราฟาและเจย์คอยพยุงไว้
“เช่นนั้น...” ร็องดอร์เว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “ท่านก็ตายซะเถอะ... โม.”
“หยุดนะ” เสียงเจย์ตะโกนแทรกขัดจังหวะการร่ายเวท ก่อนจะก้าวเดินออกมาข้างหน้าสองสามก้าว โดย
ไม่ฟังเสียงเรียกอย่างทัดทาน ของซายน์และแซนด์
“มีอะไรเจ้าเด็กน้อย หรืออยากจะตายก่อนคนอื่น ๆ ข้าจะสงเคราะห์ให้”
“วายุเทพคงอยากจะแสดงพลังให้ท่านดู” น้ำเสียงเคลอิเหมือนจะเยาะเย้ยถากถาง
“วายุเทพงั้นรึ” ร็องดอร์ทวนคำ “หน่วยก้านไม่เลว”
“ข้า...” เจย์ลังเล ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ และเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ข้าขอให้ท่านปล่อยตัวพวกเขาไป
เพื่อแลกกับตัวข้า”
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า....” เสียงหัวเราะแทบจะพร้อมกันของฝ่ายตรงข้าม
“เจ้าคิดว่าตัวเองมีดีขนาดนั้นเชียว” โลนอฟพยายามกลั้นเสียงหัวเราะถามออกไป
เจย์ไม่ตอบอะไร นอกจากเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น เสียงหัวเราะเริ่มหายไปกลับกลายเป็นความ
แปลกใจเข้ามาแทนที่ เมื่ออยู่ ๆ เจย์ซึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย ร่ายเวทเบา ๆ สองสามคำ
เกิดอ่างแก้วขนาดฝ่ามือบรรจุน้ำสีม่วงอ่อนและเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวที่ดูเหมือนจะแบ่งตัวออกเป็นสามส่วน
กำลังลอยเอื่อยพันกันไปมาคล้ายจะหยอกล้อกันอยู่ ที่ขอบอ่างมีลวดลายเถาวัลย์สีทองเปล่งประกายระยิบระยับ
อยู่โดยรอบ เจย์ยื่นมันออกไปข้างหน้า และจงใจเอ่ยถามหัวหน้าของอีกฝ่ายว่า “ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่ามันคืออะไร”
“ไลน์เอจ” ร็องดอร์และครูเอลครางออกมาแทบจะพร้อม ๆ กัน
“ท่านรู้ก็ดี เช่นนั้นข้าจะเริ่มก่อน” พูดจบเจย์จุ่มมือข้างที่ว่างลงไปในอ่างแก้ว น้ำสีม่วงอ่อนเปลี่ยนเป็น
สีแดงจาง ๆ ก่อนที่ควันสีขาวจะบิดตัวพัดหมุนรุนแรงขึ้น จากนั้นเขาก็ดึงมือขึ้นมาก่อนเอ่ยเรียกชายผู้เป็นหัวหน้า
ของอีกฝ่ายให้ก้าวเข้ามาที่อ่างแก้ว
“เจ้า... เจ้า...” ร็องดอร์ทั้งตกใจและแปลกใจเมื่อรู้ว่าการกระทำเหล่านี้คืออะไรและหากผลที่กำลังจะเกิดขึ้น
เป็นอย่างที่เขาคิด ไม่..ไม่..เขาพยายามปฏิเสธตัวเอง ขณะที่กำลังก้าวเข้าไปหาเด็กหนุ่มผู้ท้าทายอย่างช้า ๆ
เขากำลังจะหลงกลเด็กนั่น แต่ไลน์เอจไม่เคยโกหก กลัว... เขากำลังเกิดความรู้สึกนี้ หลังจากที่ไม่รู้จักมันมา
หลายปี เขาก็ไม่รู้ว่าเขากลัวอะไรกันแน่ ระหว่างกลัวว่าผลที่จะออกมาเป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ หรือกลัวว่าจะ
ผิดหวัง “เชิญ” น้ำเสียงที่ค่อนข้างเบา ยากจะจับความรู้สึกเอ่ยบอกเมื่อเขาก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าอ่างแก้ว
ร็องดอร์ กลั้นหายใจขณะจุ่มมือลงไปในน้ำสีแดงจาง ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงตาภายใต้ฮู้ดของเขาจับจ้องไปยัง
ใบหน้าหนุ่มน้อยตรงหน้า ใบหน้าที่ดูคุ้นตา แววตาเหมือนใครคนหนึ่งที่เขาเฝ้าคิดถึงมาตลอดสิบหกปี แต่ยัง
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปไกลกว่านี้ น้ำในอ่างแก้วเริ่มกลายเป็นสีแดงดุจเลือด เขารีบชักมือกลับและหันหลัง
เดินกลับไปหาลูกน้องที่กำลังจ้องมองเหตุการณ์ทั้งหมดแบบงง ๆ
ควันสีขาวหมุนเป็นเกลียวอยู่ในอ่างแก้วเหมือนมีพายุ ก่อนจะพุ่งขึ้นเหนือศีรษะของเจย์แล้วแตกยอดออก
เป็นสามสาย ที่ปลายของสายแรกกลุ่มควันเริ่มจับตัวหนาขึ้นใหญ่ขึ้น จนพอจะเห็นเค้ารางว่ามันกำลังจะกลาย
เป็นใบหน้าคน และแล้วเมื่อกลุ่มควันหยุดเคลื่อนไหว ทุกคนจึงเห็นได้ชัดว่าใบหน้าที่กำลังปรากฏอยู่คือใบหน้า
ของเจย์ ชายผู้ซึ่งกำลังถืออ่างแก้วนั่นเอง และเพียงชั่วอึดใจเดียวควันสายที่สองเริ่มจับตัวและแปรสภาพเหมือน
ควันสายแรก แต่ครั้งนี้ใบหน้าที่ปรากฏเป็นหน้าของร็องดอร์ ชายผู้จุ่มมือในอ่างแก้วเป็นรายที่สอง
“แล้วอีกอันจะเป็นหน้าของใครละ” แซนด์เอ่ยปากเปรยขึ้นมาลอย ๆ ด้วยความสงสัย เมื่อเห็นกลุ่มควัน
ของปลายสายสุดท้ายเริ่มจับตัวเป็นรูปร่างอีกครั้ง
เจย์ เงยมองใบหน้าสุดท้ายที่กำลังปรากฏอยู่เหนือศีรษะ พยามกลั้นไม่ให้น้ำตาที่กำลังคลอเบ้าไหลออกมา
เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอในขณะนี้ ความรู้สึกหลากหลายปะดังปะเดเข้ามา รอบตัวเขาเหมือนไม่มีใครอยู่
มีแต่ความเงียบสงบที่มาพร้อมกับความสับสนในจิตใจ มันเหมือนกับวันที่ได้ยินท่านผู้เฒ่าเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ
ตัวเขาให้ฟัง เรื่องราวที่เป็นเรื่องจริงแต่เขาไม่เคยรับรู้ วันนั้นโลกทั้งโลกเหมือนจะหยุดหมุน มันจับต้นชนปลาย
ไม่ถูก เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันร้าย ซึ่งร้ายซะจนไม่อาจจะทนฟังได้อีก อยากจะรีบตื่นและหลุดออกจากฝันนี้
ซะที แต่ไม่ใช่ เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เขาจะต้องรู้และฟังอย่างตั้งใจที่สุด และที่สำคัญต้องยอมรับมันให้ได้
หลังจากคืนนั้น เขาก็พยายามเก็บตัวและหนีหน้าสองพี่น้องฝาแฝดที่พากันข้ามอุโมงค์จากโลกหนึ่งมา
ด้วยกัน เขาไม่รู้ว่าถ้าหากสองคนนี่รู้ความจริงในสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้รับรู้สองคนนั่นจะเป็นยังไง จะรู้สึกกับเขา
เหมือนเดิมรึเปล่า เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นสายตาที่มองมาด้วยความเย็นชาหรือท่าทีรังเกียจ ไม่นึกเลยว่า
ความดีใจ ที่เขารู้สึกในตอนที่ตัดสินใจตามสองพี่น้องเข้าอุโมงค์มา เมื่อคราวได้ยินว่าอีกด้านของอุโมงค์
มีโลกอีกโลกหนึ่งมันจะเป็นจิตใต้สำนึกหรือสัญชาติญาณลึก ๆ ว่าเขาจะได้กลับบ้าน โลกที่เป็นถิ่นกำเนิดของเขา
อย่างแท้จริง
“นึกออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้” เสียงซายน์เรียกสติเจย์กลับมาอีกครั้ง
“ใครกันหรอซายน์” พี่ชายเอ่ยถาม
“ผู้หญิงคนนี้ไงพี่แซนด์ คนที่เราเห็นในภาพมายา ตอนที่ท่านผู้เฒ่าทำให้เราเห็นภาพตอนท่านแม่กับนีย์
หนีเข้าอุโมงค์ไป” ซายน์หันกลับมามองหน้าพี่ชาย “ผู้หญิงคนนี้กับลูกของเขา ที่หนีเข้าอุโมงค์ก่อนท่านแม่
แค่ครู่เดียว จำได้หรือยัง”
“ใช่... ใช่จริง ๆ ด้วย” แซนด์ครางเบา ๆ เมื่อหันกลับไปมองใบหน้าซึ่งปรากฏจากควันสายสุดท้ายอีกครั้ง
“แล้วสามหน้านี้เกี่ยวกันได้ยังไงล่ะ อย่า.... อย่าบอกนะว่า....” เขาชะงักคำพูดไว้แค่นั้น อ้าปากค้างก่อนจะ
หันกลับไปมองท่านผู้เฒ่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ” โฟร์ทเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เมื่อเห็นสีหน้าของซายน์ แซนด์และราฟา
“ถูกแล้ว... เจย์คือบุตรชายของร็องดอร์และจูเลีย เจย์เป็นเด็กที่ผู้หญิงคนนั้นพาหนีเข้าอุโมงค์นั่นไป”
เสียงของท่านผู้เฒ่าเหมือนจะดังก้องไปทั่วบริเวณ สองพี่น้องตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ยิน มองหน้ากันอย่างงง ๆ
ก่อนจะหันมองไปที่เจย์ ซึ่งก็เห็นแต่เพียงด้านหลัง เพราะขณะนี้เขากำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับอีกฝ่าย ไม่ได้
เห็นว่าขณะนี้เจย์หลับตาลงด้วยความปวดร้าวพึมพำอะไรสองสามคำ ถ้วยแก้วในมือก็หายวับไป ทำให้ภาพ
ใบหน้าทั้งสามหายไปด้วย
“จูเลีย” เสียงร็องดอร์ตะโกนเรียกทันทีที่ภาพใบหน้ากลางอากาศหายไป “นางอยู่ที่ไหน นางมากับเจ้า
ด้วยหรือไม่” เสียงถามด้วยความละล่ำละลัก
“นางจากโลกของเราไปนานแล้ว ... จากไปตั้งแต่ข้าอายุได้เพียงขวบเดียว ... นาน...จนแม้แต่หน้าของ
นางข้าก็จำไม่ได้ ... จำไม่ได้แม้กระทั่งอ้อมกอด รอยยิ้มหรือเสียงขับกล่อม ...จำไม่ได้แม้แต่สัมผัสหรือแววตา
จำไม่ได้ จำไม่ได้ จำอะไรไม่ได้เลย” เจย์ตะโกนด้วยความปวดร้าว
“พี่เจย์” ซายน์เอ่ยเรียกด้วยความเป็นห่วง
“เจ้ากลับมาอยู่กับข้าเถอะ กลับมาอยู่กับ...พ่อ” ท้ายเสียงของร็องดอร์แผ่วเบาเหมือนจะไม่กล้าเอื้อยเอ่ย
เจย์หันกลับไปมองกลุ่มที่ยืนข้างหลัง ไล่ไปจากท่านผู้เฒ่า ราฟา โฟร์ท และสองพี่น้องฝาแฝด มองเห็น
ความห่วงใยและสามารถรับรู้ความรู้สึกของทุกคน เห็นหญิงสาวที่เขารู้จักและผูกพันมาตั้งแต่โลกอีกด้านหนึ่ง
จนมาถึงโลกนี้กำลังร้องไห้และส่ายศีรษะเพื่อบอกให้เขารู้ว่าไม่ต้องการให้เขาไป มองเห็นแววตาที่ยังคงความ
เป็นเพื่อนจากสายตาของชายผู้ซึ่งสนิทสนมกลมเกลียว เคยเที่ยวเล่นและเฮฮามาด้วยกัน เพียงแค่นี้ก็ทำให้เขา
ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด
“ข้าขอยืนยันคำเดิม.... ข้าขอให้ท่านปล่อยตัวพวกเขาไป เพื่อแลกกับตัวข้า”
*****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น