นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 22 ท่านหญิงคนใหม่

 

           ตั้งแต่กลับออกมาจากห้องของพี่ชาย  ซายน์กับโฟร์ทสนุกสนานกับการท่องเที่ยวไปยังห้องต่าง ๆ ผ่าน
บานประตูโดยมีเกรซเน่ติดสอยห้อยตามคอยดูแลและให้คำแนะนำ  ทั้งสามเข้า ๆ ออก ๆ ห้องต่าง ๆ ของปราสาท
ไปมากมาย ตั้งแต่ “ห้องรับประทานอาหารกลาง”  ซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่นัก  โต๊ะไม้ตัวยาว
ตั้งเด่นอยู่กึ่งกลางห้อง  เกรซเน่บอกว่าหากวันไหนที่มีการเลี้ยงรับรองพิเศษ หรืองานที่จำเป็นต้องมีแขกเหรื่อ
มากมาย  ห้องนี้ก็สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ตามความประสงค์    หญิงรับใช้ในชุดสีขาวพร้อมผ้ากันเปื้อน
หลายคนกำลังวุ่นวาย เดินผ่านเข้าออกช่องประตูโค้งมนซึ่งขนาบอยู่สองข้างซ้ายขวาของผนังเพื่อจัดเตรียม
โต๊ะอาหารสำหรับมื้อค่ำที่กำลังจะมาถึง   ไม่มีใครสนใจคนแปลกหน้าที่เข้ามาในห้องเลย 

         “ขาว...บอกให้ขาวไง”   หญิงรับใช้คนหนึ่งดูจะมีอายุมากที่สุดในกลุ่ม ส่งเสียงอย่างอารมณ์เสีย  พร้อมกับ
ใช้ไม้ยาว ๆ ตีไปบนม่านสีเขียวอ่อนซึ่งห้อยระย้าจากเพดานสูง ๆ ต่ำ ๆ ไปทั่วทั้งห้อง  และยังไม่ทันที่ซายน์จะ
เอ่ยปากถามอะไรกับหญิงรับใช้ส่วนตัว ก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นว่าผ้าม่านสีเขียวกำลังเปลี่ยนสีตัวเองเป็นสีขาว
ไล่ไปเรื่อย ๆ จากจุดที่โดนตีจนมาบรรจบกัน  “ดื้อจริง ๆ เชียว  ต้องให้ลงไม้ลงมืออยู่เรื่อย”  หลังจากบ่นเสร็จ
หญิงคนนั้นก็เดินตรวจตราความเรียบร้อยของโต๊ะอาหารต่อไป  ซายน์ได้แต่หันมายิ้มแหย ๆ กับเกรซเน่ กับสิ่ง
ที่ได้เห็น

          จากนั้นทั้งสามคนก็เปลี่ยนไปดู “ห้องครัว”  ขนาดใหญ่  โดยก้าวผ่านจากประตูห้องรับประทานอาหารกลาง
ได้ทันทีเพียงแค่เอ่ยสถานที่ที่ต้องการไปเหมือนกับประตูที่ห้องส่วนตัว ซึ่งทันทีที่ประตูเปิดออก เหล่าพ่อครัว แม่ครัว
และลูกมือจำนวนมากถึงกับตกใจและชะงักการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตรงหน้าลงพร้อม ๆ กัน ก่อนจะตั้งสติได้จึง
ถอนสายบัวและโค้งคำนับผู้มาเยือน  เกรซเน่อธิบายให้ฟังว่าไม่เคยมีใครเข้าไปในห้องครัวมานานแล้ว  ทุกคน
คงเลยรู้สึกแปลกใจ  ซายน์คิดว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะอยู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าโผล่เข้ามา  และคงยัง
ไม่มีใครในปราสาทรู้ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน  กลิ่นอาหารหอมยั่วน้ำลายโชยเข้าจมูกทำเอารู้สึกหิวขึ้นมาทันที 
ทุกคนในครัวกำลังขะมักเขม้นจัดเตรียมอาหารจำนวนมากมาย  เท่าที่เธอกะดูคร่าว ๆ ด้วยสายตา  จำนวนคนใน
ห้องครัวรวมถึงกองวัตถุดิบต่าง ๆ ที่อยู่สุดปลายห้องไกลออกไป  คงจะสามารถทำอาหารเลี้ยงคนในกองทัพขนาด
ย่อม ๆ ได้อย่างอิ่มหมีพีมันเลยทีเดียว โฟร์ทถึงกับบ่นอุบว่าหิวจนแสบท้อง และรีบชวนออกไปจากห้องครัวทันที
ก่อนที่จะอดใจไม่ไหวแล้วหยิบอาหารที่ดูน่ารับประทานตรงหน้าเข้าปาก

          “ห้องหนังสือ”  เป็นห้องต่อไปที่ทั้งสามเข้าไปสำรวจ  ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่โตกว้างขวาง
ผนังทุกฝั่งเรียงรายไปด้วยตู้หนังสือขนาดยักษ์สูงท่วมหัว  ซึ่งบรรจุหนังสือมากมายทุกขนาด  ทุกแบบและทุกสี 
กลางห้องมีโต๊ะไม้ตัวใหญ่กับเก้าอี้นวมบุหนังหลายตัว  กึ่งกลางโต๊ะมีรอยปูดนูนขึ้นมาเหมือนมีอะไรดันอยู่ข้างใต้  
และเหมือนเกรซเน่จะรู้ว่าซายน์กำลังรู้สึกสงสัยถึงสาเหตุของมัน  เธอจึงแสดงให้เห็นว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น 

           “เรเดียน”   สิ้นเสียงของหญิงรับใช้  รอยปูดนูนนั้นได้แยกออกเป็นแฉก ๆ เหมือนกลีบดอกไม้ที่บานออก 
ก่อนจะปรากฏแท่งแก้วทรงกลมเรืองแสงสีขาวที่ค่อย ๆ สูงขึ้น ๆ จรดเพดาน  ทำให้ห้องทั้งห้องค่อย ๆ  สว่างไสว
แต่ส่งแสงนวลตา

          “หนังสือเยอะขนาดนี้  เมื่อไหร่จะอ่านหมดล่ะเนี่ย”  เสียงโฟร์ทบ่นพึมพำ

          “แล้วหนังสือบนชั้นสูง ๆ เหล่านั้น จะหยิบยังไงคะ”   ซายน์อดจะถามไม่ได้เมื่อสังเกตว่าไม่เห็นจะมีบันได
หรืออะไรที่จะช่วยให้ขึ้นไปหยิบได้เลย

          “ตอนนี้ท่านหญิงอยากได้หนังสือเล่มไหนเจ้าค่ะ”

          “โน่นค่ะ  เล่มสีฟ้าคราม หนา ๆ ที่อยู่บนชั้นสูงสุด”   สิ้นเสียงซายน์  หนังสือเล่มนั้นก็ค่อย ๆ ลอยลงมา
อยู่ตรงหน้า

         “แค่ต้องการเจ้าค่ะ  เพียงแค่คิดและประสงค์  ได้คงเช่นดั่งใจหวัง”

          “ดวงดาราใต้ฟ้าคราม”   ซายน์อ่านชื่อหนังสือที่อยู่ในมือ  ก่อนจะนำไปวางบนโต๊ะ และเปิดไปหน้าแรก  

                                                      “ดวงดารา  โอ้....  ดวงดารา
                                                       ล่องลอยบนฟากฟ้า...สุขไฉน
                                                       บอกเล่า เรื่องราวเจ้า หน่อยเป็นไร
                                                       เพื่อข้าไซร้..ได้รู้ค่า ดารางาม”

           เธอไล่สายตาอ่านตามตัวหนังสือไปทีละบรรทัด  ทันทีที่อ่านจบหนังสือก็พลิกหน้าต่อไปด้วยตัวมันเอง 
จากนั้นพระจันทร์เต็มดวงสีม่วงขนาดไม่ใหญ่นักก็ลอยขึ้นมาจากหนังสือ  แต่มันไม่ใช่ดวงจันทร์ที่ปกตินัก
เนื่องจากกึ่งกลางของวงกลม มีเส้นบาง  ๆ ที่กำลังขยับเขยื้อนอยู่

          “เราเป็นผู้ส่องแสงแห่งดินแดนพาร์ตรีไดส์  อยากพบเราก็เพียงแหงนหน้ามองดูเรา  ท่านจะพบเห็นเราได้
ทั้งวันและทั้งคืน  เรามีกันเจ็ดพี่น้อง  ดูดี ๆ นะ ข้าชื่อ ไวโอเล็ต”  พระจันทร์สีม่วงกำลังส่งเสียง ซายน์ตาโตหันไป
มองหน้าที่กำลังอมยิ้มของเกรซเน่  ก่อนจะหันไปเห็นสีหน้าสงสัยของโฟร์ท

          “มันกำลังทำอะไรคะ  ทำไมส่วนที่เป็นเหมือนปากมันขยับเหมือนจะพูด  แต่โฟร์ทไม่ได้ยินอะไรเลย”

          “มันกำลังทำหน้าที่ของหนังสือไงเจ้าคะ  ผู้อ่านเท่านั้นที่จะรู้เรื่อง  คนอื่น ๆ จะไม่ได้ยินในสิ่งที่ท่านหญิง
ได้ยิน  แบบนี้จะทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องได้รับรู้ในสิ่งที่ตนต้องการ  โดยไม่มีเสียงของหนังสือเล่มอื่น ๆ มากวน
ให้วุ่นวาย”

          “ส่วนข้าชื่ออินดิโก้” พระจันทร์ที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีครามเอ่ย  “ข้าชื่อบลู...   ข้าชื่อกรีน...  ข้าชื่อเยนโล่... 
ข้าชื่อ................” พระจันทร์ที่กำลังเปลี่ยนสีตัวเองไป ตามสีของรุ้งทั้งเจ็ดแนะนำตัวเองไปเป็นทอด ๆ

          ซายน์ปิดหนังสือลงเบา ๆ ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบก่อนจะหันไปยิ้มล้อ ๆ กับหญิงรับใช้ส่วนตัว “ต่อไปนี้ถ้าซายน์
หายไป  มาหาได้ที่ห้องนี้นะคะ”  

          หลังจากนั้นทั้งสามคนก็กลับมาที่ห้อง เนื่องจากเกรซเน่เตือนให้รีบกลับมาเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะลงไป
รับประทานอาหารเย็น  ห้องทุกห้องในปราสาทสามารถเปิดถึงกันได้หมดด้วยประตูเพียงบานเดียวของห้องนั้น ๆ  
ยกเว้นห้องนอนและห้องอาบน้ำของแต่ละคนที่จะสามารถเปิดได้จากประตูในห้องส่วนตัวเท่านั้น  เมื่อซายน์กลับมา
ถึงห้องและแตะประตูไม้ในห้องพร้อมเอ่ยเบา ๆ “ห้องนอน”  มันก็เปิดออกให้เห็นห้องขนาดพอเหมาะ   เตียงสี่เสา
ขนาดใหญ่ที่มีม่านลูกไม้ห้อยระย้าตั้งเด่นอยู่มุมหนึ่ง  ฟูกสีขาวดูนุ่มฟูอยู่บนเตียงพร้อมหมอนใบใหญ่  ทั้งห้องไม่มี
สิ่งตกแต่งใด ๆ เพิ่มเติมเหมือนต้องการให้เป็นห้องที่มีไว้สำหรับพักผ่อนอย่างแท้จริง   เจ้าของห้องยิ้มด้วยความ
พึงพอใจก่อนจะเดินตรงไปที่เตียง  ยกมือสัมผัสเบา ๆ ไปบนฟูก รู้สึกถึงความนุ่มนวล

          “ใยของต้นพ็อกเพอนี่เจ้าค่ะ”

          “ต้นพ็อกเพอนี่หรอคะ ...”  โฟร์ทถามด้วยความงุนงง  เมื่อคิดถึงปุยนุ่นที่ฟุ้งกระจายของดอกไม้สีม่วงอมฟ้า 
“น่าเสียดายนะคะที่สามารถใช้ประโยชน์ได้แต่ส่วนที่เป็นลำต้น  เพราะดอกของมัน พอเราสัมผัส..มันก็จะสลาย
ไปในอากาศ”

          “ไม่หรอกเจ้าค่ะ  มีวิธีเก็บดอกพ็อกเพอนี่เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย  ไว้วันหน้าถ้าท่านหญิงและคุณ
ต้องการ  เราจะลงไปลองเก็บกันก็ได้เจ้าค่ะ”

          “นี่คงเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการใช้ประโยชน์ของพ็อกเพอนี่ใช่มั้ยคะ”  ซายน์เปรยพร้อม ๆ กับนึกไปถึงประโยค
ของท่านผู้เฒ่าที่บอกว่ามันมีประโยชน์มหาศาล

          “เจ้าค่ะ  แล้วท่านหญิงจะได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ อีกมากในเฮเวนน่านี้  ไปอาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ ใกล้เวลา
อาหารแล้ว”

          “ห้องอาบน้ำ”   เป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก  กั้นเป็นสองส่วนด้วยผ้าม่านผืนใหญ่  แยกเป็นส่วนที่ใช้สำหรับ
เปลี่ยนเสื้อผ้าและส่วนสำหรับเป็นที่อาบน้ำ  ซายน์ก้าวเข้าไปในส่วนแรกและพบกับผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่พับวาง
ไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยหลายผืน  ตู้ไม้ข้าง ๆ แขวนชุดยาวกรอมเท้าไว้หลายชุดต่างสี  ต่างขนาดกัน  อีกตู้ที่อยู่
ข้าง ๆ โต๊ะเครื่องแป้งเป็นตู้ที่แบ่งเป็นลิ้นชักกว่าสิบชั้น  ซายน์ไล่สายตาอ่านป้ายชื่อที่สลักบนเนื้อไม้ดูสองสามชั้น
พบว่ามันเป็นลิ้นชักที่ใช้เก็บของจำพวกเครื่องประดับ

          หลังจากผลัดชุดเก่าออกนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เดินมาอีกฝั่ง  เธอก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับความหรูหราของมัน 
โคมไฟระย้าที่มีเทียนหอมจุดไว้ ห้อยอยู่เหนือศีรษะ  อ่างอาบน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัสทำด้วยหินอ่อนสีชมพูฝังอยู่
ตรงกลางห้อง  ทางด้านหนึ่งของขอบอ่างมีปุ่มสี่เหลี่ยมนูนขึ้นมาสามปุ่ม เป็นปุ่มสีแดง  สีน้ำเงิน และสีรุ้ง

          ซายน์คุกเข่าลงลองสัมผัสปุ่มสีน้ำเงินเบา ๆ  ทำให้น้ำเริ่มเอ่อขึ้นมาในอ่าง  เมื่อเธอลองจุ่มมือลงไปก็รู้สึก
ได้ถึงความเย็นฉ่ำของน้ำ  จึงลองสัมผัสปุ่มสีแดงดูบ้าง  น้ำในอ่างกลับอุ่นขึ้น   และเมื่อน้ำเกือบเต็มอ่าง  เธอก็
ปลดผ้าขนหนูออกและเลื่อนตัวลงไปในน้ำ  จากนั้นก็อดไม่ได้ที่ลองสัมผัสลงบนปุ่มสีรุ้ง

           ทันทีที่มันได้รับการสัมผัสปุ่มสีรุ้งแตกตัวออกเป็นปุ่มเล็ก ๆ เจ็ดสีเจ็ดปุ่ม ส่งสายใยบาง ๆ ตามสีของมัน
ตั้งฉากกับพื้นแต่ส่วนปลายโค้งงอเข้าหาอ่างอาบน้ำ  ซายน์ยื่นมือกดลงบนปุ่มสีแดง ส่วนปลายของเส้นใยสีแดง
จุ่มลงในน้ำเกิดฟองสบู่ลอยเต็มผืนน้ำพร้อมส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกกุหลาบกรุ่นกระจายทั่วห้อง

          “ยอดไปเลย....”  ซายน์อุทานด้วยความดีใจและอาบน้ำอย่างมีความสุข


*****************************


          “เจ้าว่าอะไรนะ...”  เสียงถามด้วยความตกใจจากหญิงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

          “ท่านหญิง... ขะ..ข้าเห็นจริง ๆ นะ ว่า... ว่าที่หลังมือด้านซ้ายของเด็กผู้หญิงคนนั้น...เอ่อ...ท่านหญิงซายน์
มะ.. มีรอยปรากฏ”  ชายค่อนข้างเจ้าเนื้อ ศีรษะล้านยืนค้อมตัวอยู่ข้าง ๆ โต๊ะ เอ่ยตะกุกตะกัก

          “รอยนั่น...มีรอยนั่นจริง ๆ หรือนี่”   เสียงพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

          “นางต้องเป็นคนในคำทำนายนั่น ไม่เช่นนั้นเอสโทส คงไม่พากลับมาด้วยตัวเองเช่นนี้”

          “ทำไม...  ทำไมต้องเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้น”

          “ท่านหญิงซีเวียร์”  ชายผู้รับใช้พยายามเตือนให้เบาเสียงลง

          “โคเฟ็น... เจ้าก็รู้ว่าข้ารอคอยการเป็นราชินีแห่งเฮเวนน่ามาเนิ่นนานแค่ไหน”  ถึงแม้น้ำเสียงนั้นจะเบาลง
แต่ไม่ได้ลดความเกรี้ยวกราดลงเลย  “แล้วเด็กนั่น... อยู่ดี ๆ มันก็จะมาเป็นราชินีครอบครองที่นี่  เจ้าจะให้ข้าใจเย็น
ได้อีกหรือไง”

         “ข้า...ข้า....”

          “ตอนนี้ท่านดำรงตำแหน่งผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่าแทนที่ตาเฒ่าเอสโทสนั่น... ท่านไม่มีหนทางช่วยข้าเลย
หรือไง”

          “ต้องกำจัดนาง...  ต้องกำจัดนางให้พ้นทาง”  โคเฟ็นกระซิบกระซาบ

          “อะ... อะไรนะ...”  ท่านหญิงซีเวียร์ตาโตด้วยความตกใจ  “มะ..ไม่มี ทางอื่นเลยหรือไง  อย่างน้อยนางก็เป็น
หลานของข้า”

          “ท่านหญิงซีเวียร์..  การจะเป็นใหญ่   ท่านจะใจอ่อนกับเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ไม่ได้”  ชายที่เคยดูขาดความมั่นใจ
กลับมีสีหน้าที่ดูเอาจริงเอาจังมากขึ้น  “ท่านต้องเด็ดขาด  อย่างน้อยก็นึกถึงท่านหญิงทั้งสองไว้  เพราะถ้าหากนาง
ได้เป็นราชินีขึ้นมาจริง ๆ  ไม่เพียงแต่ท่านเท่านั้นที่ต้องต้อยต่ำลง แม้แต่ท่านหญิงซินแคลล์ และท่านหญิงโซรีน
ก็จะไม่มีที่ยืนในเฮเวนน่าด้วย”

          “ใครอยู่ตรงนั้น!!!”  เสียงท่านหญิงซีเวียร์ดังขึ้นด้วยความตกใจ  ก่อนจะเห็นแมวตัวโตสีส้มกำลังเดิน
เยื้องย่างเข้ามา   “คินคิน”  เธอเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจตามมา

          “คินคิน... คินคิน..อยู่ไหน..  มานี่เร็ว...”  เสียงที่ดังมาก่อนจะเห็นเด็กหญิงวัยสิบขวบ ก้าวเข้ามาในห้อง 
และพบว่าเจ้าแมวสีส้มกำลังเดินไปนั่งประจำที่ของตัวเอง  “อยู่นี่เอง  หิวล่ะซิ” 

          “โซรีน...เจ้ามาที่นี่นานหรือยัง”  น้ำเสียงของท่านหญิงซีเวียร์แฝงไปด้วยความกังวลใจ กลัวว่าบุตรสาว
ของตนเองจะมาได้ยินการสนทนาเมื่อสักครู่นี้เข้า  ก่อนจะรีบโบกมือให้ผู้หยั่งรู้คนใหม่ของเฮเวนน่าออกจากห้องไป

          “ลูกเดินตามหาคินคินซะทั่ว  เพิ่งจะวิ่งมาถึงนี่แหละค่ะ”

          “อืม...แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ  นี่ก็ได้เวลาอาหารแล้ว ยังไม่เห็นใครเลยสักคน  อ้าว...ซิลแคลล์  ทำไมมาทางนี้ล่ะ” 
ผู้เป็นแม่เอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อบุตรสาวคนโตเข้ามาในห้องอาหารผ่านทางโค้งด้านข้างแทนที่จะเป็นประตู

          “ลูกเดินมาจากเรือนสมุนไพรค่ะ”

          “จะ...จะ...เจ้า  มาถึงที่นี่นานหรือยัง”

         “ทำไมหรือคะ”   ซินแคลล์ถามกลับด้วยสีหน้าที่เฉยเมย

         “ก็... ก็ไม่มีอะไรหรอก...  อ้าว... พวกเขาคงมากันแล้ว”  ท่านหญิงซีเวียร์รีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นแสงสว่าง
เปล่งออกมาจากประตู

          ซายน์เดินเข้ามาในห้องด้วยชุดยาวกรอมเท้าสีม่วงอ่อนและถุงมือเนื้อบางเบาสีเดียวกัน  ตามติดมาด้วยโฟร์ท
ในชุดคล้าย ๆ กันแต่เป็นสีเขียวขี้ม้าและทันทีที่เธอเห็นสายตาซึ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจของท่านหญิงที่หัวโต๊ะ 
ก็ทำเอาเธอก้าวขาแทบไม่ออก  รีบจับเสื้อด้านหลังของหญิงตรงหน้าไว้ 

          “ท่านป้าคะ  ถ้าจะกรุณา  ซายน์ขออนุญาตให้โฟร์ทอยู่ที่นี่ในฐานะ “เพื่อน” นะคะ  ไม่ใช่หญิงรับใช้ส่วนตัว 
และซายน์รับรองว่าเราจะไม่ขออภิสิทธิ์ใด ๆ ให้วุ่นวาย”

          “ก็...ก็แล้วแต่หลานซิ “  ท่านหญิงซีเวียร์ตอบเบา ๆ และส่งยิ้มที่ดูฝืน ๆ มาให้   “แล้วนี่พี่ชายของเจ้ายัง
ไม่มาอีกรึ”

          ทันใดนั้นประตูก็ส่องแสงอีกครั้งและเปิดออกอย่างรวดเร็ว  ก่อนพี่ชายฝาแฝดจะรีบถลาเข้ามาสีหน้าตื่น ๆ 
“เอ่อ...ขอโทษครับ   ขอโทษครับ  อะ..อะ...อาบน้ำเพลินไปหน่อย”  ประโยคหลังเสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ
เมื่อเห็นบรรยากาศที่ดูแปลก ๆ

*****************************


             เมื่อทุกคนเข้าประจำที่ในโต๊ะอาหาร  ซายน์ก็ต้องทึ่งกับชุดอาหารบนโต๊ะ  เนื่องจากเป็นชุดเครื่องเงิน
เงาวับที่สวยงามจนแทบไม่กล้าจะสัมผัสลวดลายเถาวัลย์สีทองที่ล้อมรอบขอบจานสะท้อนแสงแวววาว  ช้อนส้อม
และมีดที่มีลวดลายอันอ่อนช้อยสีทองตรงด้ามจับ แก้วน้ำคริสตัลทรงสูงซึ่งก้านยาว ๆ ของมันถูกพันไปด้วย
เถาวัลย์สีทองเส้นเล็ก ๆ   ช่วยส่งให้โต๊ะอาหารดูหรูหรายิ่งขึ้นไปอีก  ท่านหญิงซีเวียร์นั่งประจำอยู่ที่หัวโต๊ะ หยิบ
ช้อนเคาะไปเบา ๆ ที่แก้วน้ำ ส่งเสียงใสกังวานเป็นสัญญาณให้หญิงรับใช้ในชุดสีขาวพร้อมผ้ากันเปื้อนทยอยกัน
มาปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นระบบ  เพราะถึงแม้จะมีคนหลายคนเดินสวนกันไปมา แต่ทุกคนก็รู้ว่าหน้าที่
ของตนเองต้องทำอะไร  ทำให้ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบร้อยและรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่น่าจะชุลมุนวุ่นวาย

          “มองหาใครหรือ  ซายน์”  ท่านหญิงซีเวียร์อดถามไม่ได้เมื่อเห็นว่าหลานสาว ดูลุกลี้ลุกลนจ้องมองไปที่
ประตูบ่อย ๆ

          “แล้ว...แล้ว  เอ่อ... คนอื่น ๆ จะไม่มาร่วมโต๊ะกับเราหรือคะ”  ซายน์ตอบพลางนึกไปถึงท่านผู้เฒ่ากับราฟา

         “ไม่จ๊ะ... อาหารค่ำมื้อนี้ จะมีแต่ ครอบครัวเรา  เท่านั้น”

          ซายน์ได้แต่ยิ้มรับกับคำตอบ เมื่อมองอาหารบนโต๊ะซึ่งบัดนี้หญิงรับใช้ได้นำมาวางจนเต็มละลานตา 
เธอได้แต่แอบถอนหายใจน้อย ๆ นึกเสียดายอาหารมากมายเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่มีผู้ร่วมโต๊ะอาหารเพียงหกคนกับอีก
หนึ่งตัว โดยมีท่านหญิงซีเวียร์นั่งอยู่หัวโต๊ะ ถัดมาทางด้านซ้ายมือเป็นซิลแคลล์ ซายน์และโฟร์ท  ส่วนทางด้าน
ขวามือคือโซรีน  คินคินที่กำลังเลียอาหารจานเปล่าอยู่บนเก้าอี้  และแซนด์  ไม่รู้ว่าอาหารบนโต๊ะทั้งหมดนี่กินกัน
ทั้งวันทั้งคืนจะหมดหรือเปล่า 

          มื้อค่ำผ่านไปอย่างรวดเร็ว  อาจจะเพราะความหิวและอ่อนล้าจากการต่อสู้เมื่อกลางวันที่ผ่านมาหรืออาจจะ
เป็นเพราะอาหารอันโอชะที่มีให้เลือกมากมายหลายอย่าง  และก็เป็นอย่างที่ซายน์คิดจริง ๆ  เมื่ออาหารทุกจาน
ยังเหลืออีกเป็นจำนวนมาก  ส่วนหนึ่งเพียงเพราะแค่ลองชิมอาหารเกือบทุกอย่าง  อย่างละหนึ่งคำก็สามารถทำให้
อิ่มจนพุงกางแล้ว   และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะสีสัน และรูปร่างหน้าตาอันแปลกประหลาดของบรรดาอาหาร
บางจาน ที่ทำเอาไม่กล้าทดลอง

          ทันที่ที่หญิงรับใช้จัดการเก็บจานบนโต๊ะอาหารเรียบร้อย  และยกแก้วมีหูขนาดเล็กบรรจุน้ำสีฟ้าสดใสควันฉุย
มาวางตรงหน้าทุกคน  ท่านหญิงซีเวียร์ก็แจ้งให้ทราบว่า วันรุ่งขึ้นจะมีการแจ้งเรื่องของสองพี่น้องอย่างเป็นทางการ
ต่อเหล่าข้าราชบริพารในปราสาท  เพราะฉะนั้นขอให้ทั้งสองคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะ
เปลี่ยนแปลงไป

*****************************


           ซายน์ลืมตามองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ชั่วขณะหนึ่งที่เธอรู้สึกตัว เธอยังคิดว่าตัวเองยังนอนอยู่บนเตียง
อันอบอุ่นในบ้านที่มีทั้งแม่และพี่ชาย  ก่อนจะเริ่มเห็นเพดานและห้องที่แปลกตาไปพร้อมกับมีคำถามที่ผุดขึ้นมาเร็ว ๆ
ว่าขณะนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน  แต่เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ เธอก็มีสติกลับมาอีกครั้งหนึ่ง  ซายน์ก้าวขาลงจากเตียงพยายาม
ส่งเสียงรบกวนเพื่อนร่วมห้องให้น้อยที่สุด สวมใส่รองเท้าที่ทำจากใยต้นพ็อกเพอนี่อันอ่อนนุ่มเดินออกไปสูดอากาศ
บริสุทธิ์ที่ระเบียง  ท้องฟ้ายังเป็นสีเทาสลัว ๆ  รอแสงจากรุ่งอรุณ  และเป็นครั้งแรกจริง ๆ นับจากที่แม่จากไป ที่เธอ
รู้สึกผ่อนคลาย สงบ อุ่นใจและสุขใจอย่างประหลาด

          มีเสียงกุกกักดังมาจากอีกฝากฝั่งของประตู  ซายน์รู้ว่าคงจะเป็นเกรซเน่ที่เข้ามาเตรียมพร้อมจะดูแลเธอ  และ
ทันทีที่เธอเปิดประตูออกไปสู่ห้องนั่งเล่น  หญิงรับใช้ก็สะดุ้งน้อย ๆ

          “ขอโทษเจ้าค่ะท่านหญิง  ที่ทำเสียงดังจนทำให้ต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าเช่นนี้” 

          “ไม่หรอกค่ะ  ซายน์ตื่นสักพักแล้ว  คงจะตื่นเต้นกับเรื่องที่จะต้องเจอวันนี้  เกรซเน่ไม่ได้มารบกวนอะไรซายน์
เลย”  เจ้าของประโยคส่งยิ้มน้อย ๆ เป็นการยืนยันในสิ่งที่พูด  แต่เมื่อยังเห็นสีหน้าที่รู้สึกผิดของหญิงรับใช้ก็อดจะ
ยืนยันเสียงแข็งอีกครั้งไม่ได้  “จริง ๆ นะคะ ซายน์หลับสบายมาก ๆ เลยไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มานานแล้ว”

          “อยู่นี่กันนี่เอง  ตื่นมาไม่เห็นใครตกใจแทบแย่เลย”  เสียงโฟร์ทตัดพ้อน้อย ๆ

         “ก็เห็นโฟร์ทยังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก”

          “ไหน ๆ ก็ตื่นมาแล้วทั้งคู่  แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะเจ้าค่ะ  วันนี้เป็นวันสำคัญ  เราไม่ควรจะลงไปสาย”

          “ซายน์..  ซายน์..” น้ำเสียงอึกอักแสดงความไม่สบายใจ   “รู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะ  มันตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้” 
การประกาศตนต่อหน้าคนจำนวนมากใน “บ้าน” หลังใหม่ เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้  อีกไม่กี่
ชั่วโมงข้างหน้า  ทุก ๆ คนในปราสาทแก้ว จะได้รับรู้ว่าเธอเป็นใคร ตำแหน่งท่านหญิงคนใหม่ของเฮเวนน่า  บุตร
ของอดีตท่านหญิงที่จากโลกพาร์ตรีไดส์ไปแสนนาน  ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมองเธอในแง่ไหน  จะรู้สึกชื่นชมยินดี
หรือไม่ ที่เธอได้กลับมามีตัวตนตรงนี้   แต่ที่แน่ ๆ เธอคงไม่รู้สึกแปลกใจเลย  หากพวกเขาจะรู้สึกเมินเฉย ไม่ยินดี
ยินร้ายกับการปรากฏตนของเธอ

          “อย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะท่านหญิง  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความคิด ของตัวเองนี่แหละเจ้าค่ะ  อะไรที่ยัง
ไม่เกิดก็ไม่ควรไปกังวลกับมันซะก่อน  ตั้งสติไว้เพื่อเผชิญหน้ากับมันอย่างสง่าผ่าเผยจะดีกว่า”

          ซายน์ยิ้มรับคำแนะนำด้วยความปรารถนาดีของเกรซเน่  ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องอาบน้ำหลังประตูไม้
บานใหญ่ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในห้อง

          “แล้วโฟร์ทจะได้เข้าไปร่วมในงานวันนี้หรือเปล่าคะ”

          “แน่นอนเจ้าค่ะ  ท่านหญิงน้อยคงไม่ยอมแน่ หากไม่ให้เกียรติ “เพื่อน”  ของท่านเข้าไปในงานด้วย
รีบไปเตรียมตัวเถอะเจ้าค่ะ”

*****************************


           ห้องโถงทรงกลม เต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งชายและหญิงยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างเคร่งเครียด แต่
ละคนแต่งตัวด้วยชุดเต็มยศราวกับจะลงประกวดแข่งขันกัน  สายสะพายที่คล้องพาดบ่าต่างประดับด้วยเหรียญ
ตรารูปทรงต่าง ๆ มากน้อยไปตามยศตำแหน่ง

         “ทำไมอยู่ ๆ ท่านหญิงซีเวียร์จึงเรียกประชุมด่วนเช่นนี้ล่ะ  ท่านรู้หรือไม่”  ชายร่างอ้วน แก้มแดงหวีผม
เรียบแปล้ เอ่ยถามในวงสนทนา

          “ข้าลองแอบถามท่านผู้หยั่งรู้โคเฟ็นแล้ว  แต่เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรข้าเลย”  ชายผอมสูง ไว้หนวดดกดำ 
เล่าให้ฟังอย่างหงุดหงิด

          “แต่ข้าได้ข่าวมาว่า ท่านผู้หยั่งรู้เอสโทสกลับมาเมื่อวานนี้”  ชายตัวเล็กที่มองเผิน ๆ เหมือนเด็ก
กระซิบกระซาบบอก

           “หา!!~~”  น้ำเสียงตื่นเต้นจากคนทั้งวงเปล่งออกมาพร้อม ๆ กัน จนทำให้คนอื่น  หันมามองกันเป็นตาเดียว

           “พวกเจ้านี่หนา  อย่าเสียงดังไปซิ”  ชายตัวเล็กได้ทีกำชับเพื่อนร่วมวง  “ข้าว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับผู้เฒ่า
เอสโทสแน่นอนเลยทีเดียว”

          “ถ้าเป็นจริงตามที่ท่านบอก  นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว  ผู้เฒ่าเอสโทสหายหน้าไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องนั่น 
ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงกลับมาซะล่ะ”  หญิงสูงวัย  ผู้มีผมสีดำขลับขัดกับใบหน้าที่ดูชราเอ่ยถาม
ด้วยความตื่นเต้น

         “หรือว่าท่านจะกลับมาเพื่อทำพิธีแต่งตั้งท่านหญิงซีเวียร์เป็นราชินีแห่งเฮเวนน่าอย่างเป็นทางการซะที รู้ ๆ
กันอยู่ว่าเจ้าโคเฟ็นมันไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว”  ชายร่างอ้วนออกความเห็นอีกครั้ง

         “ไม่ได้การแล้ว  ข้าต้องบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ไว้”  ไม่พูดพร่ำทำเพลง หญิงชราหนึ่งเดียวในวงหันหลังเดิน
ออกไปกระจายข่าวการกลับมาของอดีตผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า โดยที่ไม่มีใครในวงห้ามไว้ทัน

          “ข้าไม่น่าปากโป้งต่อหน้า เพบิเร่ เลยให้ตายเถอะ”  ชายตัวเล็กส่ายหัวน้อย ๆ  เมื่อเห็นว่าขณะนี้ข่าวของเขา
กระจายไปทั่วทั้งห้อง  เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้นกว่าเก่าเป็นเท่าตัว

          “แปะ  แปะ  แปะ”

          เสียงปรบมือของโคเฟ็นที่ยืนอยู่บนยกพื้นหน้าบัลลังก์  ทำให้ภายในห้องโถงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง  ทุกคน
กลับมาใจจดใจจ่อ กับการปรากฏตัวของท่านหญิงผู้มีอำนาจสูงสุดในเฮเวนน่าขณะนี้ นางก้าวเข้ามาในห้องด้วย
ชุดท่านหญิงเต็มยศ  ชุดเสื้อยาว กระโปรงทรงสุ่มฟูฟ่องสีฟ้าขริบทอง สายสะพายสีทองเปล่งประกายมีเข็มกลัดเพชร
รูปแมลงปอประดับอยู่ที่บ่า  มงกุฎเพชรล้อแสงไฟระยิบระยับจับตา   ท่านหญิงซินแคลล์และท่านหญิงโซรีนเดินตาม
ท่านแม่เข้ามาติด ๆ

          “ท่านหญิงซีเวียร์ มีเรื่องสำคัญจะประกาศให้ทุกคนทราบ”  โคเฟ็นประกาศก้องเมื่อทุกคนทำความเคารพต่อ
หญิงบนบัลลังก์แล้ว

          “ทุกท่านคงจำเรื่องเมื่อสิบหกปีก่อนได้ดี”  น้ำเสียงทรงอำนาจแต่เจือไปด้วยความเศร้าเอ่ยขึ้น  “วันนั้น
ชาวเฮเวนน่าต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่  ซึ่งข้าเชื่อว่าคงไม่มีใครจะลืมมันได้ลง...”  นางเว้นวรรคไป
ชั่วครู่เพื่อต้องการไตร่ตรองคำพูด  “นอกจากราชินีเซ็นย่า จะสละตนเองเพื่อปกป้องทุกคนแล้ว ท่านหญิงเซร่า
น้องสาวเพียงคนเดียวของข้า  รวมถึงท่านผู้เฒ่าเอสโทสก็หายสาบสูญไปนับตั้งแต่วันนั้นด้วย ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขา
หายไปไหน  ไปอยู่ที่ใดและกำลังทำอะไรกันอยู่  แม้แต่ตัวข้าเอง ก็ยังไม่สำคัญพอที่ท่านผู้เฒ่าจะแจ้งให้ทราบ” 
น้ำเสียงท้ายประโยคดูแฝงนัยบางอย่างไว้  “จนกระทั่งเมื่อวานนี้  ท่านผู้เฒ่าได้กลับมายังเฮเวนน่าแล้ว”  เสียง
จ้อกแจ้กจอแจเริ่มกลับมาอีกครั้ง  และเมื่อท่านหญิงเอื้อนเอ่ยวาจาต่อ ทุกคนก็พร้อมใจกันกลับมาฟังอย่างตั้งใจ  
“ท่านกลับมาพร้อมกับข่าวที่น่าเศร้านักว่า เราจะไม่มีวันได้พบเจอท่านหญิงเซร่าอีก นางได้จากเราไปแล้วชั่วนิรันดร์”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นอีกครั้ง  “แต่กระนั้น ในความสูญเสียครั้งนี้ก็ยังมีเรื่องที่น่ายินดีตามมาพร้อมๆกัน เมื่อท่านผู้เฒ่า
ได้พาใครบางคนกลับมาด้วย”

          สิ้นเสียงท่านหญิงซีเวียร์  ท่านผู้เฒ่าเอสโทสซึ่งมีซายน์และแซนด์เดินขนาบข้าง พากันเดินเข้ามาใน
ห้องโถงจากประตูด้านหลัง  มีโฟร์ทกับราฟาซึ่งใช้ไม้เท้าเวทนำทางเดินตามหลังมาเงียบ ๆ เหล่าข้าราชบริพารใน
ห้องพากันถอย แหวกเป็นทางเดินให้โดยอัตโนมัติพร้อมกับส่งเสียงกระซิบกระซาบคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ  จน
กระทั่งทั้งห้าคนเดินไปทำความเคารพท่านหญิงบนบัลลังก์  และหันกลับมาโค้งน้อย ๆ ให้กับทุกคนในห้องโถง

          “ชายและหญิงที่อยู่หน้าทุกท่านนี้”   ท่านผู้เฒ่าดันซายน์และแซนด์มาข้างหน้า เอ่ยช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คือบุตรฝาแฝดของท่านหญิงเซร่า”  

          และเป็นที่แน่นอนเมื่อสิ้นเสียงท่านผู้เฒ่า  เสียงอื้ออึงในห้องโถงกลับดังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจนจับใจความ
ใด ๆ ไม่ได้  สองพี่น้องฝาแฝดแอบหันมามองสบตากัน  ต่างรู้สึกไม่มั่นใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป  เพราะ
ไม่แน่ใจว่าทั้งสองจะได้รับการยอมรับจากผู้ที่รวมกันอยู่ ณ ที่นี้หรือไม่ การที่แม่จากที่นี่นานเกินไปจะถูกหลงลืม
ไปหรือเปล่า  แต่ความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดลงเมื่อน้ำเสียงที่ทรงอำนาจของท่านหญิงซีเวียร์ประกาศก้องขึ้นมา

          “ข้าขอขนานนามอย่างเป็นทางการต่อหน้าทุกคน  นี่คือท่านหญิงซายน์ และท่านชายแซนด์แห่งอาณาจักร
เฮเวนน่า ผู้ซึ่งจะดำรงยศและสิทธิ์ตามฐานันดรศักดิ์ทุกประการ”

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น