นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 23 ตลาดในเมือง

 

 

          หลังการขนานนามแต่งตั้งแซนด์และซายน์เป็นท่านชายและท่านหญิงอย่างเป็นทางการ   โคเฟ็นปรบมือ
เป็นสัญญาณเพื่อให้หัวหน้าหญิงรับใช้ซึ่งก็คือหญิงชราคนที่ซายน์เคยเห็นในห้องรับประทานอาหารกลาง เดินนำ
หญิงรับใช้หกคนที่แบ่งออกเป็นสองแถว ๆ ละสามคนเข้ามาในห้องโถงแต่ละคนถือถาดเงินสี่เหลี่ยม ปูด้วยผ้า
กำมะหยี่อย่างดีสีน้ำเงินเข้มตัดกับความวาววับของอัญมณีล้ำค่าที่วางอยู่ในถาด

          หญิงรับใช้ในแถวแรกทั้งสามคนถือถาดที่รองรับมงกุฎและเทียร่าขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปถาดละ
สามแบบเพื่อให้ท่านหญิงคนใหม่ได้เลือกไว้เป็นเครื่องประดับประจำตำแหน่ง สำหรับเครื่องประดับประจำตำแหน่ง
ของท่านชายอยู่ในถาดเงินของหญิงรับใช้สามคนในแถวหลังที่เต็มไปด้วยเข็มกลัดขนาดแตกต่างกันไป  ทั้งขนาด
ใหญ่เพื่อใช้ประดับบ่า  ไปจนถึงขนาดเล็กสุดเพื่อใช้ประดับบริเวณหน้าอก

          พิธีขนานนามอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้นลงเมื่อแซนด์และซายน์  ได้เลือกเครื่องประดับเสร็จสิ้นและท่านหญิง
ซีเวียร์เดินออกจากห้องโถงไป  ท่านผู้เฒ่าเอสโทสพาทั้งสองเดินลงมาทำความรู้จักกับบรรดาชายหญิงในห้องโถง
ที่รุมล้อมเข้ามาเพื่อแนะนำตัวเองในทันที ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ทั้งสองจำชื่อและตำแหน่ง
ของทุกคนได้ทั้งหมด ชายหญิงคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาแนะนำตัว  ทำความเคารพ  และล่าถอยไปอย่างอิดออด
เมื่อคนต่อไปพยายามที่จะแทรกตัวเองเข้ามา  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นซายน์รู้ดีว่า ที่เธอจำใครไม่ได้เลยไม่ใช่เป็นเพราะ
มีผู้คนมากหน้าหลายตามาห้อมล้อมเธอขณะนี้  แต่เป็นเพราะคนสองคนที่กำลังยืนคุยกันอยู่บนยกพื้นข้างบัลลังก์
นั่นมากกว่า

          ทันทีที่ท่านหญิงซีเวียร์เดินออกจากห้องโถงไป  ซิลแคลล์รีบเข้ามาหาราฟาและลากตัวไปคุยกันอย่าง
สนิทสนม  สีหน้าที่เคยเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์  กลับดูตื่นเต้นดีใจจนเห็นได้ชัด ดวงหน้าที่เคยดูงดงามอยู่แล้ว 
กลับเปล่งประกายความงามของหญิงสาวขึ้นไปอีก แม้กระทั่งฝ่ายชายเองก็เหอะ  อาการยิ้มแย้มแจ่มใส  พูดคุย
ไม่หยุดปากเช่นนั้น ทำเอาซายน์เองก็รู้สึกหงุดหงิดแบบไม่มีเหตุผล  ชั่วขณะหนึ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน เธอเห็น
ฝ่ายหญิงมีสีหน้าตกใจ และเหมือนจะใช้นิ้วมือที่เรียวงามสัมผัสไปบนดวงตาของคู่สนทนา  แต่ทว่าจู่ ๆ นางก็ชะงัก
และชักมือกลับ  คงจะกลัวว่าเป็นการไม่เหมาะสมนักที่จะทำเช่นนั้นต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพารจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่ง
ที่ทำให้เธออดคิดไม่ได้ก็คือเขาจะบอกนางหรือไม่ว่า  สาเหตุที่ทำให้เขาบาดเจ็บถึงเพียงนี้เป็นเพราะเธอ

          “...........น่ายินดีเหลือเกิน”   เสียงแหบ ๆ ของใครสักคนดังขึ้น ทำให้ซายน์สะดุ้งและรีบละสายตากลับมา 
สายตาหลายคู่ที่กำลังมองมาทำให้รู้สึกว่าตนเองช่างเสียมารยาทกับคู่สนทนาซะเหลือเกิน

          “ขอโทษนะคะ  เมื่อสักครู่เสียงดังมากเลย  ซายน์ไม่ทันได้ยินว่าท่าน... ท่านคือ....”

          “ข้าชื่อดีเคอร์เร่ หัวหน้ากองการอัญมณี”  พูดจบชายร่างท้วม ใบหน้ากลมซึ่งมีแก้มอวบอูมเป็นสีชมพูก็โค้ง
คำนับด้วยรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยน  “น่าภูมิใจนักที่ได้เห็นท่านหญิงสวมใส่เทียร่าที่ข้าประดิษฐ์ขึ้นมากับมือ  แต่ที่น่า
ยินดียิ่งกว่านั้นคือเทียร่าอันนี้เคยเป็นของท่านหญิงเซร่ามาก่อน ”

          “เทียร่าของแม่”  ซายน์อุทานด้วยความดีใจ  ยกมือขวาขึ้นสัมผัสเทียร่าบนศีรษะอย่างแผ่วเบาอดคิดไม่ได้
ว่าอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง ทุกคนถึงกับดูตะลึงอึ้งไปเมือเธอเลือกเทียร่าอันเล็กนี้แทนมงกุฎหรือเทียร่าอันอื่นที่มี
ขนาดใหญ่กว่า  ลายเถาวัลย์สองเส้นเกี่ยวพันกันประดับด้วยดอกไม้เล็ก ๆ  สี่ดอกและอีกหนึ่งดอกใหญ่สุดที่อยู่
ตรงกลาง กลีบดอกทั้งห้าทำจากเพชรที่เจียระไนเป็นรูปหยดน้ำ  ส่วนเกสรทรงกลมเป็นอะเมทิสสีม่วงเข้มที่ส่อง
ประกายดึงดูดสายตาเธอตั้งแต่แรกเห็น

          “สำหรับท่านชาย”  ดีเคอร์เร่หันมาทางพี่ชายฝาแฝด  “เข็มกลัดที่ท่านเลือก ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับ
เทียร่านี้โดยเฉพาะ และข้ายินดีที่จะแจ้งว่า ท่านหญิงเซร่าเป็นผู้ออกแบบลวดลายของเข็มกลัดนี้ด้วยตัวนางเอง”

          ซายน์และแซนด์หันมายิ้มให้กันด้วยความดีใจ  ทั้งคู่รู้สึกเหมือนท่านแม่ได้กลับมาอยู่ใกล้ ๆ อีกครั้งไม่ว่า
เป็นเพราะสิ่งใดก็ตามที่ดลบันดาลใจให้ทั้งคู่เลือกเครื่องประดับประจำตัวทั้งสองชิ้นนี้มา  ทั้งสองคนก็รู้ว่าความ
พิเศษนั้นย่อมมีความรักของท่านแม่มาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน

*****************************


          ช่วงสายของวันหนึ่ง  เกรซเน่วิ่งกระหืดกระหอบผ่านประตูเข้ามาในห้องหนังสือเพื่อแจ้งข่าวดีแก่ซายน์กับ
โฟร์ทว่า ท่านหญิงซีเวียร์อนุญาตให้ทั้งสองคนเข้าไปในตัวเมืองเฮเวนน่าได้หลังจากที่ปล่อยให้อุดอู้ไม่มีอะไรทำ
มาสามวันเต็ม ๆ  ไม่ต้องบอกว่าทั้งคู่จะดีใจแค่ไหน เพราะหลังจากที่ได้ฟังเกรซเน่เล่าถึงเรื่องผู้คนและร้านค้า
มากมายในตลาด  ทั้งคู่ก็แทบจะชักชวนกันออกไปที่นั่นทันที  แต่ก็ต้องหยุดความคิดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อหญิงรับใช้
ส่วนตัวแจ้งว่า การออกนอกปราสาทจำต้องขออนุญาตเสียก่อน และวันนี้คำขอนั่นเพิ่งจะได้รับการตอบตกลง

          เกรซเน่พาทั้งสองขึ้นไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสียใหม่เพื่อความปลอดภัยและไม่ต้องการให้เป็นที่วุ่นวาย
ทุกคนจะต้องเข้าไปในเมืองในฐานะพลเมืองคนหนึ่งมิใช่ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ชุดกรอมเท้าตัวยาวซึ่งตัดเย็บจาก
ผ้าชั้นดีถูกแทนที่ด้วยกระโปรงผ้าเนื้อหนาสีเทาจับจีบโดยรอบสั้นเพียงเข่า  ตัวเสื้อเป็นผ้าฝ้ายสีขาวแขนตุ๊กตา
ขนาดพอดีตัวตกแต่งด้วยลูกปัดที่ทำจากไม้  ผมที่เคยเกล้ามวยต่ำถูกจับถักเป็นเปียสองเส้นผูกด้วยเศษผ้าที่เหมือน
จะเหลือมาจากการตัดเย็บกระโปรง  รองเท้าบูทหนังที่ดูเหมือนจะแข็งกระด้างแต่กลับรู้สึกสบายเท้า แม้ชุดที่
สวมใส่จะดูเรียบง่ายไม่หรูหราแต่ซายน์กลับรู้สึกชอบมันมากกว่าชุดที่ต้องใส่อยู่ทุกวัน

          โฟร์ทและเกรซเน่แต่งตัวไม่ต่างจากซายน์เท่าไรนัก เพียงแต่หญิงรับใช้ส่วนตัวของซายน์มีถุงหนังเนื้อนิ่ม
ผูกร้อยไว้ข้างเอว เมื่อเห็นว่าทุกคนแต่งตัวกันพร้อมแล้ว นางก็พาทั้งสองลงมาพบกับทหารองครักษ์สองนายที่
เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวรอพร้อมอยู่แล้วที่สนามหญ้าหน้าปราสาท ซายน์หันซ้ายหันขวามองหาพี่ชายและองครักษ์
ประจำตัวแต่ก็ไม่เห็นใคร

          “ท่านชายและเท็นซินจะตามไปภายหลังเจ้าค่ะ”  หญิงรับใช้ส่วนตัวตอบราวกับรู้ความคิดของผู้เป็นนาย

          “พวกผู้ชายนี่เค้าทำอะไรกันนะ  ตลอดสามวันมาเนี่ยเจอกันเฉพาะเวลารับประทานอาหารเท่านั้น ยิ่งท่าน
ผู้เฒ่ากับราฟายิ่งไม่ต้องพูดถึงตั้งแต่วันพิธีก็ยังไม่เจอกันอีกเลย”  ซายน์บ่นอย่างงอน ๆ   “เราก็ไปของเรากันเถอะ”

          ทหารยามหลายคนออกแรงดึงบานประตูไม้ขนาดใหญ่ให้เปิดออก  ซายน์เพิ่งจะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้ว 
“เมืองเฮเวนน่า”   เป็นเช่นไร   ตรงหน้าเธอเป็นถนนซึ่งปูด้วยหินลาดชันลงไปซึ่งทำให้เธอได้รู้ว่าตัวปราสาทแก้วนี้
สร้างขึ้นอยู่บนที่สูงกว่าส่วนอื่นเล็กน้อย  สองข้างทางเป็นบ้านไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่ที่สร้างอย่างเป็นระเบียบกระจาย
ต่อๆ กันไป  และเป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวที่เป็นผู้อธิบายให้ฟังอีกครั้งว่า บ้านเรือนบริเวณนี้เป็นของบรรดาข้าราชบริพาร
ผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ซึ่งจะมียศใหญ่หรือเล็กก็ดูได้จากขนาดของที่พักอาศัยนี้เอง  ถัดออกไป ที่ซึ่งถนนหายลับ
เข้าไปเป็นป่าโปร่งเสมือนเป็นอีกป้อมปราการหนึ่งนอกเหนือจากกำแพงหินอ่อนของปราสาทแก้ว และตัวเมืองเฮเวนน่า
ก็อยู่หลังป่าโปร่งนั่น

          “กริ๊ง  กริ๊ง”  เสียงสั่นกระดิ่งจากมือของหญิงรับใช้ส่วนตัว  ซึ่งซายน์ก็ไม่ทันเห็นว่านางถือมาตั้งแต่เมื่อใด 
แต่ไม่ทันที่จะได้เอื้อนเอ่ยอะไร ฝุ่นที่ตลบขึ้นมาตรงสุดถนนริมป่าสีเขียวก็ดึงความสนใจของเธอจนต้องรีบหันกลับ
ไปมอง  และเมื่อสาเหตุของฝุ่นที่ฟุ้งกระจายนั้นใกล้เข้ามา เธอจึงได้เห็นว่ามันคือรถไม้เทียมม้าขนาดกลางซึ่งใช้ม้า
สองตัวในการขับเคลื่อน แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือมันไม่มีคนขับที่คอยคุมบังเหียน

          “โฮนี่ หมายเลขแปด ยินดีรับใช้”  เสียงนุ่ม ๆ ดังขึ้นทันทีที่รถม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน

          “เชิญเจ้าค่ะ”  เกรซเน่เปิดประตูรถม้าและผายมือเชิญท่านหญิงของเธอขึ้นรถ  แต่ก็อดอมยิ้มไม่ได้กับสีหน้าที่
ดูฉงนของเจ้านายตัวน้อย ๆ

          “อ้าว..แล้วองครักษ์สองคนนั่นล่ะคะ”  โฟร์ทถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเกรซเน่กำลังปิดประตูรถม้าทั้ง ๆ ที่สองคนนั่น
ยังไม่ได้เข้ามา

          “พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งไปในโฮนี่เดียวกับท่านหญิงหรอกเจ้าค่ะ  แต่ทั้งสองจะขึ้นโฮนี่อีกคัน”

          “โฮนี่”  ซายน์กับโฟร์ทแทบจะประสานเสียงกัน ก่อนจะได้ยินเสียง กุบกับ และเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรถม้าอีกคัน

          “ไปอาคาร โมนีชั่น”  เกรซเน่ออกคำสั่งขึ้นมาลอย ๆ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ทั้งสองสงสัยเกือบจะพร้อม ๆ
กับที่รถม้าออกตัวพอดี  “ในเฮเวนน่าไม่อนุญาตให้แต่ละคนมีพาหนะในการเดินทางเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ  ผู้ซึ่งมี
ความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปมาในเมืองเฮเวนน่าจะต้องใช้บริการของรถม้าเหมือนอย่างที่เรากำลังนั่งอยู่นี่  ซึ่ง
เรียกกันว่า โฮนี่  เราสามารถเรียกโฮนี่ได้ด้วยกระดิ่งที่จะมีแขวนไว้อยู่หน้าบ้านทุกหลัง สำหรับปราสาทแก้ว ท่านหญิง
คงไม่ได้สังเกตว่ามันแขวนอยู่ตรงหน้าประตู”

          “แล้วใครเป็นคนคุมบังเหียนล่ะคะ  ซายน์ไม่เห็นใครเลย  แล้วยังเสียงนั่นอีก”

          “โฮนี่ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้ควบคุมเจ้าค่ะ ม้าทุกตัวได้รับการเลี้ยงดูและถ่ายทอดพลังเป็นพิเศษจาก ตระกูลฮอนส์
อันเก่าแก่  โฮนี่ทั้งหมดอยู่ในความดูแลของตระกูลนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้วเจ้าค่ะ  ท่านหญิงอาจจะเคยเจอท่าน
เมเจอร์ ฮอนส์  แล้วเมื่อวันงานพิธีแต่คงจำไม่ได้”

          รถม้าชะลอความเร็วลง โฟร์ทซึ่งนั่งใกล้หน้าต่างแหวกผ้าม่านสีครีมบาง ๆ ออก ก่อนจะเห็นว่าขณะนี้รถม้าพา
พวกเธอออกจากป่าโปร่งเข้าสู่ตัวเมืองและเริ่มเห็นโฮนี่หลายคันวิ่งสวนกันไปมา  หญิงสาวทั้งสองหันมายิ้มให้กัน
ด้วยความตื่นเต้น

          ชั่วอึดใจเดียวรถม้าก็จอดนิ่งอย่างสงบ และเสียงนุ่ม ๆ ก็ลอยมาให้ได้ยินอีกครั้ง “อาคารโมนีชั่น...ขอบคุณที่
ใช้บริการ”  เกรซเน่ปลดถุงหนังที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกมา ล้วงมือลงไปหยิบอะไรบางอย่างวางลงบนเบาะก่อนที่จะ
เปิดประตูลงไปและส่งมือมาเพื่อช่วยรับท่านหญิงของนาง  ซายน์ทันได้เห็นพลอยสีแดงเม็ดเล็ก ๆ ที่หญิงรับใช้
ส่วนตัวของเธอวางไว้บนเบาะรองนั่ง ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าไป

         อาคารใหญ่โตโอ่อ่าที่สร้างขึ้นจากหินขัดมันสีเทาปรากฏอยู่ตรงหน้า  หน้าต่างทรงโค้งหลายบานประดิด
ประดอยด้วยกระจกสีงามตา  ประตูทางเข้าเป็นซุ้มหินอ่อนโค้งเข้าหากันมีทหารในชุดเครื่องแบบเหมือนกับที่
ปราสาทแก้วยืนเฝ้าอยู่สองนาย  มีผู้คนเดินเข้าออกอาคารหลังนี้กันขวักไขว่ทั้งชายและหญิง   ซายน์หันไปมอง
ถนนขนาดใหญ่ซึ่งปูด้วยหิน  เหมือนจะตัดกลางผ่านหมู่บ้านเข้าไป  โฮนี่หลายคันวิ่งสวนกันไปมาแต่ก็ยังมีที่กว้าง
พอให้ชาวเมืองเดินจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าจากร้านรวงต่าง ๆ มากมายตลอดทางยาวจนสุดทางโค้งลับสายตา

          “เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะคุณหนู”  เสียงเกรซเน่ดึงสายตาของซายน์กลับมา  แต่เธอก็ยังไม่ทันสังเกตถึง
สรรพนามที่เปลี่ยนไปจากปากของหญิงรับใช้ส่วนตัวของเธอ

          “โมนีชั่นขอต้อนรับค่ะ”  หญิงสาวในชุดกระโปรงแดงคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นพนักงานของที่นี่เดินเข้ามา
กล่าวต้อนรับ  “โปรดวางใจในการให้บริการของเรา....”

          ซายน์ไม่ได้ฟังว่าหญิงคนนั้นพูดอะไรต่อไปอีก  แต่กลับมองไปรอบ ๆ ห้องที่กว้างขวาง มีผู้คนอยู่ในนี้มากมาย
หลายสิบคนไม่รวมชายและหญิงในชุดกางเกงและกระโปรงสีแดงที่เดินยิ้มแย้มทักทายชาวบ้านที่เข้ามาในอาคาร
แห่งนี้  แท่นหินขนาดใหญ่สูงประมาณเอวสลักลวดลายธรรมชาติสวยงามตั้งไว้เพื่อกั้นส่วนนอกกับส่วนในให้เป็น
สัดส่วน  หลังแท่นหินมีแท่งแก้วขนาดใหญ่จรดเพดานสองแท่งตั้งเสมือนเป็นเสาค้ำยัน  ข้างในแท่งแก้วด้านซ้าย
มีอัญมณีเม็ดเล็ก ๆ  สีแดงเหมือนที่ซายน์เห็นเกรซเน่วางไว้ในรถม้าจำนวนมากมาย  มันเพิ่มขึ้นและลดจำนวนขึ้น ๆ
ลง ๆ  อยู่ตลอดเวลา  ส่วนแท่งแก้วด้านขวาก็มีลักษณะเดียวกันเพียงแต่สิ่งที่อยู่ด้านในกลับเป็นอัญมณีสีขาว
แวววาวแทน

          “เราต้องการขอพบหัวหน้ากองการเงินตรา ท่านโฟเนต้าค่ะ”  เสียงอันไพเราะของเกรซเน่ดึงความสนใจของ
ซายน์ให้กลับมาอยู่ในบทสนทนาอีกครั้ง

          “มะ..มะ..มี..เรื่องจะร้องเรียนหรือเปล่าคะ  เอ่อ..เราพูดคุยกันก่อนได้นะคะ”  หญิงสาวที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสกับการ
ต้อนรับกลับหุบยิ้มและหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินว่าแขกที่เพิ่งก้าวเข้ามาต้องการพบใคร

          “เปล่าหรอกค่ะ ไม่ได้มาร้องเรียนใด ๆ  เพียงแต่ช่วยเรียนท่านและยื่นเอกสารนี้ให้ท่านก็จะเข้าใจเอง”  เกรซเน่
ยื่นกระดาษสีน้ำตาลซึ่งม้วนและผูกไว้ด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินให้ผู้หญิงคนนั้นไป   นางดูวิตกเล็กน้อยแต่ก็ปฏิบัติตามแต่
โดยดี

          ไม่นานนักซายน์ก็เห็นชายร่างอ้วน แก้มแดง หวีผมเรียบแปล้กระวีกระวาดรีบเดินตรงมายังพวกเธอ  บรรดา
ชายหญิงในชุดกระโปรงและกางเกงแดงต่างโค้งคำนับทำความเคารพ  เธอมั่นใจว่าเธอคงเคยเห็นชายคนนี้ในงานพิธี
จึงได้รู้สึกคุ้นหน้านัก

          “ขออภัยที่ไม่ทราบว่าท่านหญิงจะมา...เชิญทางนี้ดีกว่าขอรับ”  โฟเนต้าพูดเบา ๆ พอแค่ให้ได้ยินกันไม่กี่คน 
ก่อนจะเดินนำคณะของท่านหญิงเข้าไปในห้องด้านหลัง

           “ใครหรอ  ถึงขนาดท่านหัวหน้าต้องลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง”  หญิงสาวคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาถามเพื่อนพนักงาน
หญิงคนที่ไปเชิญโพเนต้ามา

         “ไม่รู้หรอก  สงสัยจะเป็นคุณหนูของตระกูลใดตระกูลหนึ่งล่ะมั๊ง”  หญิงสาวคนนั้นตอบอย่างไม่สนใจ ก่อนจะหัน
ไปยิ้มแย้มทักทายผู้มาใช้บริการคนใหม่ต่อไป

*****************************


            “นี่ขอรับถุงเงินตราของท่านหญิง  และนี่ก็ของเธอ”  ชายร่างอ้วนเลื่อนถุงหนังแบบเดียวกับของเกรซเน่ให้
ซายน์และโฟร์ท   “สำหรับท่านหญิงซายน์ จะได้รับจิ๊งส์และโด๊ส   ตามกฎที่ท่านหญิงทุกคนจะได้รับ   ส่วนของเธอ” 
โฟเนต้าหันมาพูดกับโฟร์ท  “จะได้รับจิ๊งส์และโด๊สเป็นรายปีเหมือนกับหญิงรับใช้ส่วนตัว”

          “แต่โฟร์ทเป็นเพื่อนของเราไม่ใช่หญิงรับใช้”

          “เอ่อ..ท่านหญิงเจ้าคะ”  เกรซเน่รีบชี้แจง  “เราไม่เคยมีเกณฑ์กำหนดการให้เงินตราในฐานะเพื่อนมาก่อน 
โฟร์ทคงต้องรับจิ๊งส์และโด๊สเท่านี้ไปก่อนเจ้าค่ะ”

          ซายน์หมดข้อที่จะโต้แย้งอีก  ก่อนจะหันไปมองหน้าโฟร์ทที่กำลังพยักหน้าและส่งยิ้มสดใสมาให้เหมือนกับ
จะบอกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว  ถุงหนังในมือของซายน์พิเศษกว่าของโฟร์ทและเกรซเน่ตรงที่มีการฉลุลายและประดับ
ด้วยอะเมทิสเป็นรูปดอกไม้เล็ก ๆ หนึ่งดอกตรงกลาง เป็นดอกไม้ที่เหมือนกับเทียร่าที่เธอได้เคยเลือกไว้เป็นเครื่อง
ประดับประจำตัว  ซึ่งหัวหน้ากองการเงินตราบอกว่าได้ส่งถุงหนังไปให้ดีเคอร์เร่ประดิษฐ์ให้เพื่อจะได้เข้าชุดกัน 
แต่เมื่อเธอเปิดถุงหนังออกดูกลับไม่พบอะไรอยู่ในนั้นเลย

          “เอ่อ..เกรซเน่คะ  ในถุงนี่ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

          เกรซเน่ไม่ได้ตอบใด ๆ กลับส่งยิ้มน้อย ๆ ให้ และเอ่ยคำอำลาหัวหน้ากองการเงินตราเพื่อพากันไปเที่ยวชม
ตลาดตามที่ต้องการเสียที

          ร้านรวงสองข้างทางมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ตลอดเวลา  แต่บรรยากาศกลับดูเงียบสงบอย่างประหลาด  ซายน์
จับจ้องชาวเมืองที่ต่างเดินจับจ่ายซื้อของแบบไม่เร่งรีบ และแทบไม่มีเสียงตะโกนโหวกเหวกเหมือนกับตลาดในอีก
โลกหนึ่งที่เธอจากมา  คงมีแต่เพียงเสียงพูดคุยกันเบา ๆ เพื่อสอบถามและต่อรองราคา  ร้านค้าต่าง ๆ สร้างขึ้น
ขนาบสองข้างทางของถนนสายหลัก แต่ทุก ๆ สี่ถึงห้าหลังก็จะแบ่งช่องว่างเป็นตรอกเล็ก ๆ  ที่ดูจะลัดเลาะไปทั่ว
ทั้งหมู่บ้าน

          หญิงทั้งสามสนุกสนานกับการเดินเข้าออกร้านโน้นร้านนี้เป็นว่าเล่น  โดยมีสององครักษ์หนุ่มเดินตามด้วย
ความเงียบขรึมและหยุดยืนเฝ้าหน้าร้านเป็นระยะ ๆ เมื่อพวกสาว ๆ พากันหายเข้าไปในร้าน  ซายน์กับโฟร์ทพากัน
ลองเสื้อคลุมตัวหนาลวดลายต่าง ๆ  จากร้านที่ขึ้นป้ายว่า  “มาดามทูร่า  เสื้อผ้ามือสอง”  แต่ก็ไม่พบตัวที่ถูกใจและ
อีกเหตุผลคือทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าเสื้อผ้าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็มีให้ใส่มากเกินพอแล้ว  ร้านค้าอีกร้านที่โฟร์ทดูจะให้
ความสนใจเป็นพิเศษคือร้านขายสมุนไพร ซึ่งติดป้ายเล็ก ๆ ไว้หน้าร้านว่า  “สมุนไพรทุกชนิดในเฮเวนน่า หาซื้อได้
ที่นี่เท่านั้น”
  ทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้าน  กลิ่นฉุนอันอบอวลก็ลอยเข้ามาในจมูก  ทั้งร้านดูระเกะระกะไปด้วยสิ่งของที่
ดูเหมือนจะไม่มีค่า  ไม่ว่าจะเป็นตอไม้ขนาดย่อมๆ  และกิ่งไม้ที่มัดรวมกันเป็นท่อน ๆ กองอยู่ตามพื้น สูงขึ้นไปตามชั้น
บนผนัง  เป็นขวดโหลเก่า ๆ ขนาดต่าง ๆ ที่บรรจุไปด้วยใบไม้หรือไม่ก็ดอกไม้รูปทรงแปลก ๆ  บางขวดก็บรรจุ
ของเหลวสีต่าง ๆ  ซึ่งทั้งหมดตั้งวางปะปนกันโดยไม่ได้จัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  และเมื่อเกรซเน่เริ่มทนดมกลิ่น
พวกนี้ไม่ได้ก็ชักชวนทั้งสองออกจากร้าน  และบอกกับทั้งคู่ว่าถ้าอยากจะศึกษาสมุนไพรให้กลับไปดูที่เรือนสมุนไพร
ในปราสาทดีกว่า เพราะที่นั่นมีสมุนไพรทุกชนิดในเฮเวนน่ามากกว่าที่นี่แน่นอน และซายน์ก็ทันได้เห็นแววตา
เปล่งประกายตื่นเต้นของโฟร์ทอีกครั้ง

          ทั้งหมดเดินผ่านร้านค้าอีกหลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของเล่นวิเศษสำหรับเด็ก ร้านขายหนังสือเวทมนตร์  
ร้านขายอุปกรณ์ปรุงยา  แม้กระทั่งร้านขายเครื่องประดับ  จนซายน์มาสะดุดตากับบ้านไม้หลังหนึ่งที่ดูจะเงียบเชียบ
และมองไม่ออกว่าจะขายสินค้าชนิดใด  เธอพยายามชะเง้อมองเข้าไปข้างใน แต่ก็ต้องผงะเมื่อจู่ๆ ก็มีหญิงวัยกลางคน
เดินจูงมือเด็กชายตัวเล็กออกมาด้วยหน้าตาที่บูดบึ้ง

          “เห็นมั้ย  แม่บอกเจ้าแล้วว่าไม่มีใครเค้าสนใจที่นี่กันแล้ว  เสียเวลาจริง ๆ”

           “เอ่อ...เกรซเน่คะ  ที่นี่คือ.....”

           “โรงเรียนเวทสำหรับเด็กเล็กค่ะคุณหนู”  หญิงรับใช้ส่วนตัวใช้สรรพนามเรียกผู้เป็นนายซะใหม่   “อย่างน้อย
มันก็เคยเป็นค่ะ”  น้ำเสียงของเธอเริ่มสร้อยเศร้าลง “ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อครั้งนั้น  เฮเวนน่าสูญเสียราชินีผู้ปกครอง
ทำให้ไม่มีผู้มีอำนาจการควบคุมดินฟ้าอากาศ  เพราะฉะนั้นอากาศในพาร์ตรีไดส์จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้  บางวัน
อาจจะร้อนสุด ๆ  แต่สักพักก็อาจจะมีฝนตก  หรือไม่ก็มีหิมะโปรยปรายลงมา  เหตุนี้ทำให้ผู้คนที่ปรับสภาพไม่ทัน
ล้มตายไปก็มาก  พวกที่เหลืออยู่ก็ต้องพยายามทนสู้กับสภาพอากาศที่เลวร้ายนี้  จากหนึ่งปีเป็นสองปี   และสองปี
เป็นสามปี จนในที่สุดพวกเราทุกคนที่เหลือรอด ณ วันนี้ ก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับมันได้   แต่ถ้ามองดูกันให้ลึก ๆ
แล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย  ชาวเมืองต่างพากันคิดว่าชีวิตที่อยู่ไปทุกวันนี้ก็ไร้ความหมาย  ไม่มีใครสามารถเข้ามา
ในเฮเวนน่าได้และในทำนองเดียวกันก็ไม่มีใครสามารถออกจากเมืองไปได้  ข้าเชื่อว่าคุณหนูคงสังเกตเห็นแล้วว่า
ทุก ๆ คนขาดความกระตือรือร้นในการดำรงชีวิตอยู่  เลิกฝึกฝนการใช้เวทมนตร์ที่ยาก ๆ หรือที่จำเป็นต้องใช้ในการ
ต่อสู้เพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไร  เด็กรุ่นใหม่ ๆ ก็ใช้เวทได้เฉพาะที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งก็เรียนรู้มาจากพ่อแม่
ในบ้าน  สินค้าที่นำมาจำหน่ายก็เป็นสินค้าเก่า ๆ เดิม ๆ ไม่มีการคิดพัฒนาหรือปรับปรุง จะมีก็แต่ที่โซนน้ำพุซึ่งออกจะ
คึกคักหน่อย  อ้อมโค้งนี่ไปก็ถึงแล้วค่ะ”

          ซายน์ทอดสายตากลับไปมองยังบ้านไม้หลังนั้นอีกครั้ง  สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนยากจะ
อ่านออก

*****************************


            พ้นจากทางโค้ง  ลานวงกลมกว้างที่หญิงรับใช้ส่วนตัวเรียกว่าโซนน้ำพุก็ปรากฏแก่สายตา  กึ่งกลาง
ลานกว้างมีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่  ลักษณะของมันเหมือนกับบ่อรัซเทลไม่มีผิด จะต่างกันก็แค่รูปปูนปั้นแมลงปอตัวใหญ่
กลางบ่อน้ำพุ ไม่ได้โผล่ไปมาเหมือนเหมือนบ่อด้านหลังปราสาทแก้วและอีกความแตกต่างคือสีของน้ำเพราะที่นี่
เป็นเพียงน้ำธรรมดามิใช่สีม่วง   ซายน์ยังรู้สึกด้วยว่าหากมองดูเผิน ๆ แล้ว  โซนน้ำพุแห่งนี้ก่อสร้างประหนึ่งต้องการ
จะเลียนแบบดวงตะวัน   เพราะหากนับลานวงกลมนี้เป็นเสมือนดวงอาทิตย์  ถนนสายต่าง ๆ ที่แยกออกไปโดยรอบ
รวมถึงถนนที่พวกเธอยืนอยู่ก็ดูเหมือนจะเป็นรัศมีของแสงแห่งตะวัน

          ร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ลานกว้างมีผู้คนมากมายดูคึกคักกว่าถนนสายที่ผ่านมาตามที่เกรซเน่บอกไว้จริง ๆ
กลิ่นหอมจากร้านอาหารในโซนนี้ ลอยอบอวลผสมผสานกันในอากาศจนแยกไม่ออกว่ากลิ่นใดมาจากร้านใด 
สามร้านแรกทางซ้ายมือก่อนจะเป็นส่วนที่ถูกเว้นไว้สำหรับพื้นที่ว่างของถนน first-road (ตามที่ป้ายไม้ขนาดใหญ่
แขวนเอาไว้)  เป็นร้านขายเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่ชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ที่วางอยู่บนแผง ไปจนถึงเนื้อขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่
บนตะขอเหล็กในร้าน  ถัดจากถนนเส้นแรกสามร้านต่อไปเป็นร้านขายผักและผลไม้หลากสีหลายรูปแบบ  ซายน์แวะ
เลือกซื้อผลไม้สีชมพูสดทรงหยดน้ำผลเล็ก ๆ ที่เกาะกันเป็นพวง  เกรซเน่บอกว่ามันคือ “ผลโรสชีค”  และเมื่อ
หญิงรับใช้ส่วนตัวทำท่าจะปลดถุงหนังจากข้างเอวออกมาชำระเงิน  เธอก็ต้องห้ามไว้และขอเป็นคนจัดการเอง
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะนำเงินตรามาจากที่ใดในเมื่อถุงหนังยังคงว่างเปล่า

          “สามจิ๊งส์จ๊ะ”  เสียงแม่ค้าบอกราคา

          “คุณหนูหยิบจิ๊งส์จากในถุงจ่ายไปซิคะ”

          “แต่.. แต่ในถุงของหนูยังไม่มีจิ๊งส์และโด๊สเลยนะคะ”  ซายน์กระซิบบอกเบา ๆ

          “คิดจำนวนที่ต้องการแล้วล้วงเข้าไปในถุงเลยคะ  จิ๊งส์และโด๊สตามที่ต้องการจะมีอยู่ในถุงเอง”

          ซายน์ทำตามที่หญิงรับใช้บอก  คิดในใจถึงจำนวนจิ๊งส์ที่ต้องการตามราคาของผลโรสชีค ก่อนจะล้วงมือ
ลงไปในถุงที่เคยว่างเปล่าแต่บัดนี้นิ้วของเธอสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในถุง  และเมื่อเธอกำมัน
ออกมาก็ปรากฏเม็ดพลอยสีแดงเหมือนที่เธอเห็นเกรซเน่วางไว้ในรถม้าและในหลอดแก้วขนาดใหญ่ของอาคาร
โมนีชั่น จำนวนสามเม็ด  เธอยื่นมันให้แม่ค้าอย่างงง ๆ ก่อนจะรับผลโรสชีคมา  แล้วเธอก็เริ่มเข้าใจกับระบบเงินตรา
ของเฮเวนน่ามากขึ้นเมื่อหญิงรับใช้ส่วนตัวได้อธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่าเม็ดพลอยสีแดงที่เรียกว่าจิ๊งส์ และเม็ดอัญมณี
สีขาวแวววาวนั้นคือโด๊ส เป็นหน่วยเงินตราที่ใช้ทั่วทั้งโลกพาร์ตรีไดส์ ซึ่งควบคุมด้วยเวทชั้นสูงที่องค์ราชินีองค์แรก
ของเฮเวนน่าและจตุรเทพทั้งสี่ในสมัยนั้นได้บรรจงสร้างสรรค์ขึ้น เมืองทั้งสามจะมีอาคารโมนีชั่นเมืองละแห่งเพื่อเป็น
ศูนย์รวบรวมและจัดสรรเงินตรา  แต่มีเพียงเมืองเฮเวนน่าเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องพกพาจิ๊งส์และโด๊สไปไหนมาไหน 
เพราะมันจะปรากฏในถุงตามจำนวนที่ต้องการได้เองตลอดเวลา  แต่ต้องอยู่ในจำนวนที่ตนเองครอบครองซึ่งจะมีการ
หักลบกันโดยอัตโนมัติโดยการควบคุม  ณ อาคารโมนีชั่น  และซายน์ก็นึกออกทันทีถึงสาเหตุที่เห็นจิ๊งส์และโด๊ส
เพิ่มขึ้นและลดจำนวนขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลาในแท่งแก้ว  โฟร์ทยังเล่าให้ฟังอีกว่าในเผ่าวีเฟอร์ของเธอต้องมีการ
เย็บช่องลับไว้รอบ ๆ ชายกระโปรงเพื่อเป็นที่พกพาจิ๊งส์และโด๊สไปไหนมาไหนแถมยังกล่าวติดตลกว่ามันก็มีส่วนดีคือ
ช่วยถ่วงกระโปรงให้ดูเป็นรูปเป็นทรง  แต่ปัจจุบันนี้จิ๊งส์และโด๊สไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่นักในดินแดนแลนด์เดียร์ว่า 
เพราะตั้งแต่ร็องดอร์ยึดครองแผ่นดินไป อาคารโมนีชั่นก็ถูกยึดไปด้วยซึ่งเท่ากับว่าจิ๊งส์และโด๊สที่อยู่ที่นั่นตกเป็น
สิทธิ์ขาดของมันแต่เพียงผู้เดียว  บวกกับสภาพความเป็นอยู่ที่ต้องแยกกันแต่ละชนเผ่า  ต้องปกครองตัวเองและต้อง
ทำตามพันธะสัญญา ทำให้แต่ละเผ่าต้องช่วยเหลือกันเอง แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ไม่มีการซื้อขาย  ช่วยกันปลูกพืช
เลี้ยงสัตว์เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

          ทั้งสามสาวชี้ชวนกันดูผักและผลไม้แปลก ๆ อีกหลายชนิด  ก่อนที่ซายน์และโฟร์ทจะเริ่มชิมผลไม้ในมือและ
พากันหัวเราะคิกคักและรู้ว่าเหตุใดมันถึงเรียกว่าโรสชีค  เพราะทันที ที่เด็ดมันใส่เข้าปากและเริ่มลงมือเคี้ยวเพื่อ
สัมผัสถึงรสหวานของมัน แก้มของสาว ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงแป๊ดขึ้นมาทันที  ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อกลืนมัน
ลงคอ

           สามร้านถัดมาจากถนน second-road และอีกสามร้านถัดไปจากถนน third-road ล้วนเป็นร้านขายอาหาร
ขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ตกแต่งร้านให้แตกต่างกันไป มีทั้งน่ารักเหมาะกับวัยหนุ่มสาว  หรือโทนขรึมคลาสสิกสำหรับผู้ใหญ่
ไปจนถึงรูปแบบที่เหมาะจะมาเป็นครอบครัว ซึ่งแต่ละร้านก็มีลูกค้านั่งเข้ามาใช้บริการกันอย่างเนืองแน่น  เกรซเน่
ชวนกันเข้าไปหาที่ว่างในร้านลัคซี่ ซึ่งตกแต่งไว้อย่างหรูหราเพื่อนั่งรอพวกผู้ชายที่จะตามมาสมทบ  กลิ่นอาหาร
ช่างหอมยั่วยวนชวนน้ำลายไหล  ซายน์หันไปมองโต๊ะข้าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอาหารหน้าตาแปลก ๆ ตั้งอยู่บนโต๊ะ 
ในขณะที่บางจานเธอต้องเมินหน้าหนีและคิดว่าคงจะไม่ทดลองชิมเป็นอันขาด

           ผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ ก็ยังไม่เห็นวี่แววของผู้ที่จะตามมา  ทั้งสามตัดสินใจสั่งอาหารมารับประทานกันก่อน  ซึ่งก็
ต้องขอคำแนะนำจากผู้รู้เพียงคนเดียวในกลุ่ม   เกรซเน่อธิบายถึงอาหารมากมายหลายอย่าง  จนในที่สุดซายน์
ตัดสินใจสั่ง  สโตรกานอฟ (Stroganoff) ซึ่งเป็นสเต็กเนื้อแกะป่า เลาะกระดูกปรุงรสด้วยหญ้าสมุนไพรอีกเจ็ดชนิด
ส่วนโฟร์ทสั่ง เตอกีเฟ่   จากการเห็นเด็กเสิร์ฟสองคนถืออาหารจานนี้ (หรืออาจจะเรียกว่าถาดนี้) ซึ่งเป็นไก่งวงทั้งตัว
ถูกเสียบอยู่กลางถาดเหล็กและมีไฟสีเขียวอมฟ้าลุกท่วมตัวมาเสิร์ฟให้กับโต๊ะตรงประตูทางเข้า  ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า
เธอคงกินคนเดียวไม่หมดจึงต้องขอความร่วมมือจากเกรซเน่ด้วย

          ระหว่างที่กำลังพูดคุยฆ่าเวลาเพื่อรออาหารนั้น  ซายน์ก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองแต่เมื่อหันดูโดยรอบก็ไม่เห็น
สิ่งใดที่ผิดปรกติและถึงแม้จะพยายามสลัดความคิดนี้ไป ความรู้สึกถูกจ้องมองนั้นก็ไม่ได้จางหายไปด้วย  จนกระทั่ง
เธอได้สบเข้ากับสายตานั้น  สายตาที่เหมือนจะทะลุทะลวงผ่านผู้คนมาถึงเธอ  สายตาจากหญิงชราซึ่งยืนอยู่บนถนน
หมายเลขสี่

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น