นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 29 เทศกาล วอตาร์



   ‘มืด  มืดเหลือเกิน  ที่นี่มันที่ไหน  แล้วคนอื่น ๆ หายไปไหนกันหมด พี่แซนด์  โฟร์ท  เกรซเน่.. อยู่ไหนย่าปล่อย
ซายน์ไว้คนเดียว  ช่วยด้วย  ช่วยซายน์ด้วย’

             ~~ซายน์...เอ๊ะ..เสียงซายน์นี่นา.....~~

‘เหนื่อย  เหนื่อยเหลือเกินไม่ไหวแล้ว  เดินมาตั้งนานก็ยังไม่เห็นจะเจออะไร  แสงสว่างสักนิดก็ไม่มี  ต้องทำยังไง 
ต้องเดินอีกเท่าไหร่  ถึงจะหลุดพ้นไปจากที่นี่  ใครก็ได้  ใครก็ได้  ช่วยข้าที  ช่วยข้าออกไปจากที่นี่เสียที’

             ~~ซายน์  เกิดอะไรขึ้น...  เป็นอะไร ....~~

‘เอ๊ะ..  เสียง... เสียงเพลง... ใคร.. ใครกัน   ใครที่บรรเลงเพลงอันแสนไพเราะนี่..   ไหน.. ท่านอยู่ที่ไหน  ทางนี้ก็
ไม่มี หรือจะอยู่ทางโน้น... ไหนล่ะ  ท่านอยู่ที่ไหน  ข้าวิ่งหาท่านจนเหนื่อยล้าแล้ว  ปรากฏตัวให้ข้าเห็นเถอะ..’

              ~~ซายน์...  ได้ยินเสียงข้ามั้ย... ข้าเอง... เจย์..     พี่เจย์ไงซายน์....~~

'พอ.. พอเสียที  หยุด..  หยุดบรรเลงเพลงเหล่านี้ได้แล้ว  จะทรมานข้าไปถึงไหน  ข้ายอมแล้ว  จะทำอะไรข้าก็
ทำเถอะ  จะฆ่าข้าก็จัดการเสียเถอะ.. ข้าไม่อยากอยู่กับความมืดมิดที่โดดเดี่ยวนี่อีกแล้ว  ข้าทนไม่ไหวแม้แต่เสี้ยว
นาที  ข้ายอมแล้ว’

          ~~ไม่.. ไม่นะซายน์..  เกิดอะไรขึ้นบอกพี่มา..  ได้ยินมั้ย... บอกพี่มา~~   

         เสียงตะโกนดัง ก่อนที่เจ้าตัวจะสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งบนเตียง ใช้มือเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบริเวณขมับ
อย่างลวก ๆ พลางนึกทบทวนถึงเสียงที่เพิ่งผ่านพ้นมาในห้วงฝัน..  ไม่ใช่สิ.. ไม่ใช่ฝัน..  เขามั่นใจ   เสียงที่เขา
ได้ยินเมื่อครู่ ไม่ใช่ความฝัน  เขารู้สึกได้ถึงมัน ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ตอนนี้หญิงสาวเจ้าของเสียงนั่น... กำลังตกอยู่
ในอันตราย  แล้วเขา..ที่อยู่ไกลถึงเพียงนี้จะทำเช่นไร....
*****************************

           “ไปเที่ยวปราสาทแก้วกับข้าหรือไม่”

          ‘ท่านเป็นใคร  ปล่อยข้าไปเถอะ’
          “เจ้านี่แปลกนะ  เมื่อครู่ยังร้องหาคนช่วยอยู่เลย  มาตอนนี้ กลับมาหาว่าข้าเป็นคนทำร้ายเจ้าไปซะแล้ว” 
นิ้วของหญิงสาวไล้ไปบนสายพิณ  พร้อมทำตาโตล้อเลียน

          ‘ท่าน..  ท่านมาช่วยข้าจริง ๆ หรอ’  ส่งคำถามไปแล้วกลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานอกจากรอยยิ้มที่
ซายน์แปลความได้ว่า  ~อยากรู้ก็ตามข้ามาสิ~   ก่อนที่ร่างของหญิงตรงหน้าเหมือนจะลอยห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเธอ
ต้องวิ่งตาม

          จากแสงสีม่วงอ่อน ๆ ที่สว่างไม่มากนักในตอนแรก  กลับค่อย ๆ เปล่งแสงสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ   จนซายน์ไม่รู้
สึกถึงความมืดอีกต่อไป และนั่นก็ทำให้ได้รู้ว่า  สถานที่ที่เธอกำลังยืนอยู่ก็คือห้องโถงในปราสาทแก้วนั่นเอง  ร่าง
หญิงสาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าหันกลับมายักคิ้วให้  ก่อนจะลอยสูงขึ้นไป  ซายน์พยายามจะตะโกนเรียกให้รอ  แต่ก็ไม่มี
เสียงใด ๆ หลุดออกจากปากไป  แล้วจู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวจะเบาขึ้น แล้วก็เห็นว่าตัวเองกำลังล่องลอยเหมือนร่าง
หญิงสาวผู้เล่นพิณไม่มีผิด

          การท่องเที่ยวปราสาทแก้ว  ตามที่หญิงผู้ถือพิณกล่าวถึง  ก็คือการลอยละล่องไปยังห้องต่าง ๆ ที่ซายน์
(ตอนยังปกติ) เคยได้สำรวจมาแล้ว  แต่ที่น่าสนใจกว่าคือความเป็นมาและความสำคัญของห้องต่าง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้
มาก่อน   เสียงที่ดังมาจากร่างของหญิงคนนั้น หรืออันที่จริงอาจจะเป็นว่าดังขึ้นมาในความรู้สึกของซายน์ต่างหาก
ในเมื่อหญิงคนนั้นไม่ได้ขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยคำใด ๆ เลยนอกจากใช้นิ้วที่เรียวงามไล้พรมไปบนพิณตัวเล็ก ๆ ในมือ 
บอกเล่าเรื่องราวอันหลากหลายที่เธอไม่เคยรู้  ทั้งน่าทึ่งและเหลือเชื่อเกินกว่าจะคาดถึงจนซายน์เองอดที่จะรู้สึกพิศวง
ในตัวหญิงตรงหน้าไม่ได้

          ‘ท่าน..  ท่านเป็นใครกันแน่’ 
          นางส่งยิ้มหวานแต่ดูขี้เล่นให้อีกครั้ง  ก่อนที่ซายน์จะรู้สึกเหมือนดิ่งวูบจากห้องหนังสือไปปรากฏกายที่ห้องโถง
ทรงกลมอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้  ร่างของหญิงผู้ถือพิณกำลังลอยอยู่ข้าง ๆ กรอบรูปภาพขนาดใหญ่ซึ่งแสดงภาพเหล่าอดีต
ราชินีผู้ครองเฮเวนน่า  แล้วซายน์จึงได้เห็นว่า  ร่างที่กำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ช่างเหมือนกับหนึ่งในรูปนั้นเหลือเกิน.. 
รูป..ซึ่งปรากฏอยู่บนสุด  รูปของอดีตราชินีผู้ยิ่งใหญ่  ราชินีองค์แรกของเฮเวนน่า
*****************************

           “ตั้งหลายวันแล้วนะคะ  แต่ทั้งท่านผู้เฒ่า  ท่านหญิงซิลแคลล์  ก็ยังหาวิธีแก้พิษไม่ได้  ซายน์ก็ดูซีดลงเรื่อย ๆ
นานต่อไปกว่านี้... ข้า..ข้ากลัวว่า....”  โฟร์ทหยุดเสียงไว้เพียงแค่นั้น ไม่กล้าพูดคำต่อไป

          “ซายน์ต้องไม่เป็นไร.... ซายน์ต้องไม่เป็นไร  ตื่นสิซายน์.. ได้ยินมั้ยซายน์  พี่บอกให้ตื่น”  สติแซนด์เหมือน
จะขาดผึง  ตรงเข้าไปเขย่าตัวน้องสาวที่นอนนิ่งไม่รับรู้ใด ๆ บนเตียง  จนโฟร์ทต้องรีบเข้ามาห้าม และทันได้เห็น
น้ำตาหยาดลงเป็นสายจากใบหน้าชายหนุ่มซึ่งตามปกติแล้วไม่เคยจะทุกข์ร้อนใด ๆ

             “หยุดเดี๋ยวนี้นะ...”   น้ำเสียงทรงอำนาจทำเอาทั้งสองคนชะงัก  “เจ้าจะทำอะไร”

          “ท่านป้า... ข้าเพียงแต่ต้องการปลุกให้นางตื่น” แซนด์รีบปาดน้ำตา ก่อนจะชี้แจงให้ท่านหญิงผู้ทรงอำนาจ
สูงสุดในเฮเวนน่าขณะนี้ทราบ

          “แต่ที่ทำอยู่นั่นมันเกินไป  ท่านผู้เฒ่าเอสโทสกับซิลแคลล์กำลังหาวิธีการรักษาอยู่มิใช่รึ  ทำไมไม่รออย่าง
สงบเล่า  ช่างวุ่นวายกันไปซะหมด  นี่งานเทศกาลประจำปีก็ใกล้เข้ามาทุกที  ทำไมมีแต่เรื่องยุ่ง ๆ เช่นนี้นะ”

          “ท่านป้า...”  เสียงครางจากปากแซนด์  ซึ่งบอกไม่ถูกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ระหว่างตกใจหรือเสียใจกันแน่
ที่ญาติผู้ใหญ่หนึ่งเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ดูจะไม่รู้สึกเป็นกังวลกับอาการน้องสาวของเขาในตอนนี้เลย  หรืออาจจะเป็นการ
รวมกันของทั้งสองอารมณ์แบบแยกแยะไม่ออกเลยทีเดียว

          “ทั้ง ๆ ที่ปีนี้ข้าคาดหมายจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ เพื่อประกาศเรื่องพวกเจ้าทั้งสองให้ชาวเฮเวนน่าได้รับรู้ทั่วกัน 
อาจจะเป็นปีแรกที่...ที่ทุกคนจะได้ร่วมพิธีพร้อมหน้า”  น้ำเสียงท้ายประโยคของท่านหญิงซีเวียร์เปลี่ยนไปจนแซนด์
และโฟร์ทจับได้ รวมถึงสีหน้าและแววตาโศกนั่นอีก  แต่มันก็ปรากฏให้เห็นไม่นานก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าที่ดูเรียบ
และสง่าอีกครั้งหนึ่ง  “เจ้าอย่าวิตกไปเลย  ข้ารู้พวกเจ้าเป็นห่วงนาง  ซึ่งไม่ต่างไปจากทุกคน  ข้าเชื่อว่าท่านผู้เฒ่า
และซิลแคลล์จะต้องทำได้  ต้องรักษาอาการของซายน์ได้แน่นอน  เชื่อข้าซิ”
*****************************

           ซายน์ ได้แต่ยืนจ้องหน้าหญิงสาวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้านิ่ง  ด้วยไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา  ใครจะไปนึก
ว่าจะได้พบเจอกับอดีตราชินีองค์แรกแห่งเฮเวนน่า  ราชินีผู้เป็นที่กล่าวขานตลอดมา  แถมยังจากโลกนี้ไปเนิ่นนาน
แล้ว  มันช่างเป็นฝันที่เหลือเชื่อจริง ๆ แต่...เอ๊ะ...หรือมันจะไม่ใช่ฝัน...  ถ้าไม่ใช่ฝันก็แสดงว่า...  แสดงว่า... ‘ตาย’
~~นี่เราตายไปแล้วจริง ๆ หรือนี่~~

          “เจ้ายังไม่ตายหรอก  ทายาทตัวน้อยของข้า”  นางไล้นิ้วเรียวงามไปบนพิณตัวเล็ก ๆ  พร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้าง
“ก็แค่เกือบเท่านั้น"

          ก็แค่เกือบหรอ...  ซายน์รู้สึกชาไปทั้งตัวกับข้อความที่เพิ่งได้รับรู้ไป  แม้เสียงที่ดังขึ้นมาในความรู้สึกของเธอ
จะดูไม่มีทีท่าว่าน่าจะต้องวิตกกังวล  แต่เธอก็อดใจหายไม่ได้ และก่อนที่จะคิดอะไรต่อไปให้วุ่นวาย  เธอก็รู้สึกว่า
ตัวเองลอยขึ้นตามร่างตรงหน้าอีกครั้ง

          แวบแรกที่เห็นร่างตัวเองบนเตียง  เธอรู้ว่าได้กรีดร้องเบา ๆ ออกมาอย่างตกใจแม้จะไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออก
มาจากปาก  แต่พอคิดถึงคำที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่ ‘ก็แค่เกือบเท่านั้น’  ทำให้เธอพอจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้   อย่างน้อย
แสดงว่าเธอยังไม่ตาย

          ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง  ดูซีดเซียวอย่างน่ากลัว  เรียวปากที่เคยเจือไปด้วยสีชมพูปานกลีบกุหลาบ  กลับ
ซีดขาวไร้สีเลือด  สีหน้าของหญิงและชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงดูเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน  แต่เธอก็เห็นถึง
ความห่วงใยเต็มเปี่ยมในสีหน้าของคนทั้งสาม  -พี่ชาย  เพื่อน  และหญิงรับใช้-   ‘เอ่อ..  องค์ราชินีคะ  เกิดอะไรขึ้น
กับร่าง..เอ่อ.. กับข้าหรือคะ’

          “พิษร้าย  ที่หมายเอาชีวิตเจ้า”

         ‘พี่หญิงซิลแคลล์’ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เธอคิดออกในขณะนี้ว่า เป็นผู้ต้องการชีวิตเธอ

          “ท่านผู้เฒ่าครับ”  เสียงของพี่ชาย ทำให้ซายน์รีบหันกลับไปมองยังกลุ่มผู้กำลังเดินเข้ามาในห้อง  ชายชรา
ที่เดินนำหน้าเข้ามาทำเอาเธอต้องยิ้มกว้าง  เพียงแค่มีคน ๆ นี้  เธอก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้ว  แต่รอยยิ้มก็ต้องเจื่อนลง
เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังเดินตามเข้ามา  หญิงสาวผู้เป็นผู้บงการเรื่องร้าย ๆ ทั้งหมด  ทำไมทุกคนถึงยังยอมให้นาง
เข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอแบบนี้นะ  ไม่เข้าใจจริง ๆ   และนั่น  ชายคนสุดท้ายที่เดินตามหลังมา  คนที่ทำให้เธอ
รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  นานกี่วันแล้วนะที่เธอไม่ได้เห็นหน้าเขา  ตั้งแต่วันนั้น วันที่เธอกับพี่ชายเล่าเรื่อง
ต่าง ๆ ให้เขาฟัง  และเขา... ก็ไม่เชื่อมันสักนิดเลย 

          “ยังไม่พบวิธีรักษาซายน์หรอครับ”  เสียงพี่ชายฝาแฝดของเธอถามออกไป

          ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าแทนคำตอบ  แต่จู่ ๆ ชายชราก็ชะงักไป  ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยแววตาครุ่นคิด 
ชั่วแวบหนึ่งที่ซายน์คิดว่า ท่านผู้เฒ่าคงจะรู้สึกถึงเธอและอดีตราชินีผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังอยู่ในห้องนี้ด้วย

          ‘ท่านผู้เฒ่าคะ  ท่านผู้เฒ่า  ซายน์อยู่ตรงนี้ค่ะ’  เธออดที่จะพยายามพูดออกไปไม่ได้  แม้จะรู้ว่าไม่มีเสียงใด ๆ
หลุดออกไปจากปากเธอให้คนอื่นได้ยินก็ตาม  และมันก็คงเป็นเช่นนั้น  เมื่อท่านผู้เฒ่าเหมือนจะกลับไปพูดคุยกับ
คนอื่น ๆ อย่างเป็นปกติต่อไป

          “ไปกันเถอะ  เวลาของเราเหลือน้อยแล้ว”   เสียงใส ๆ ดังขึ้นในความรู้สึกซายน์อีกครั้ง  ก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเอง
กำลังลอยออกจากห้องนอนของตัวเองไป  แต่ภาพสุดท้ายก็ทำเอาน้ำตาเอ่อคลอเต็มนัยน์ตาเมื่อพี่ชายของเธอกุมมือ
ขาวซีดนั้นขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ
*****************************

           ชั้นเก้า!!   ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ว่าเธอกำลังยืนอยู่ในห้องทรงกลม ซึ่งเป็นห้องพิธี ณ ยอดโดมสูงสุดของ
ปราสาท  ห้องที่ถูกปิดตายมาตั้งแต่สิ้นราชินีเซ็นย่าไปในเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีก่อนนั่น  ที่นี่คือสถานที่สุดท้ายที่
อดีตราชินีองค์แรกบอกว่าจะพาเธอมาเที่ยวชม เป็นส่วนที่พิเศษที่สุด  ซึ่งเธอไม่คิดฝันเลยว่าจะมีโอกาสย่างกราย
เข้ามา

          ภาพเคลื่อนไหวบนเพดานที่กรุด้วยกระจกสีโค้งเป็นครึ่งวงกลมตามลักษณะของยอดโดมทำเอาซายน์ยืนจ้อง
ตาโต  เพดานถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนตามฤดูกาล  เริ่มจากส่วนที่ใกล้ประตูที่สุด  ภาพพระอาทิตย์ดวงโตทอแสง
เจิดจ้า  หมู่มวลนกน้อยบินเอื่อยเฉื่อยล้อไปกับสายลมและปุยเมฆบางเบา  ต้นหญ้าที่อยู่ต่ำลงมาพลิ้วไหวตามแรงลม 
ใช่แล้ว.. นี่คือภาพของฤดูร้อนไม่ผิดแน่  ส่วนถัดไป เป็นภาพท้องฟ้าสีครามหม่น  เมฆก้อนใหญ่ที่อุ้มน้ำจนคล้อยต่ำ 
สายฟ้าเริ่มแลบแปลบปลาบก่อนที่เมฆก้อนใหญ่เหล่านั้นจะค่อย ๆ ปล่อยสายฝนโปรยปรายลงมาเหมือนจริงจนเธอ
แทบจะยกมือขึ้นบังหยดน้ำนั่น   ส่วนสุดท้ายปรากฏภาพทุ่งกว้างและต้นไม้น้อยใหญ่ที่กิ่งก้านทั้งหลายขาวโพลน
เต็มไปด้วยหิมะ   ทั้งยังมีแสงแวววาวจากเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

          ซายน์เพิ่งได้สังเกตห้องพิธีอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หลังจากละสายตาจากเพดานลงมา  พื้นห้องปูไปด้วยพรม
สีม่วงและมีสีทองทอผสมผสานเป็นลวดลายแสนวิจิตร  ณ กลางห้องปรากฏแท่นยกพื้นทรงกลมไม่สูงนักเส้นผ่า
ศูนย์กลางประมาณหนึ่งช่วงแขน  โดยที่กึ่งกลางแท่นมีแท่งแก้วคริสตัลสูงระดับหน้าอกก่อนที่ส่วนปลายจะแบนราบ
ออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพื่อรองรับสิ่งของอย่างหนึ่งที่เหมือนจะทอแสงอ่อน ๆ ออกมาตลอดเวลา

          ซายน์เดินเข้าไปใกล้แท่งแก้วคริสตัลเหมือนโดนดึงดูด  ใกล้...จนเห็นว่าแสงอ่อน ๆ ที่เห็นอยู่นั่นทอออกมา
จากคทาคริสตัลสีม่วงเข้มแต่ใสจนเป็นประกาย แต่เมื่อเธอเอื้อมมือเข้าไปในเขตของแท่นทรงกลมกลับมีเปลวไฟ
ร้อนแรงพวยพุ่งขึ้นถึงเกือบเพดานมาล้อมรอบแท่นนั้นไว้

          “ทายาทตัวน้อยของข้า  รู้ใช่หรือไม่ว่าที่นี่สำคัญเพียงใด”

         “ที่นี่คือห้องพิธี  สำหรับราชินีของเฮเวนน่า เพื่อใช้อำนาจในการควบคุมฤดูกาล ควบคุมดินฟ้าอากาศในโลก
พาร์ตรีไดส์ให้เป็นไปตามวัฎจักรที่เหมาะสมและสมควรใช่มั้ยคะ”

          ผู้ส่งประโยคคำถาม เผยยิ้มน้อย ๆ ด้วยความพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน  “ฟังข้าให้ดีนะทายาทตัวน้อย  เห็น
ผลึกแก้วที่ปลายคทานั่นหรือไม่”

         “หนึ่งในผลึกแห่งแสงทั้งหก”
         “ถูกต้องทายาทตัวน้อยของข้า  จงรับมันไป  เพื่อตัวเจ้าและเพื่อทุกคน  ข้าไม่มีเวลาแล้ว  จงรับมันไป...และ
ลืมตาเข้าไว้  มองทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านตาเจ้าก่อนจะตื่น...”

         “เดี๋ยวซิคะ องค์ราชินี อย่าเพิ่งไป” ซายน์พยายามไขว่คว้า เมื่อร่างหญิงสาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าค่อย ๆ
เลือนหายไป   “อย่าทิ้งข้าไว้ แล้วข้าจะทำอย่างไรต่อไป  องค์ราชินี...  องค์ราชินี” 
*****************************
          “ท่านร็องดอร์”  เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำเอาเจ้าของนามต้องละสายตาจากการจ้องมองอีกร่างที่กำลังยืนเหม่อ
มองไปนอกหน้าต่าง ให้หันกลับมาสนใจกับผู้เข้ามาใหม่  และถ้าเขาจะยังจ้องมองร่างนั้นนานอีกสักนิด  จะเห็นว่า
ด้วยเสียงเรียกนั้น  ก็ทำให้ร่างสูงริมหน้าต่างมีปฏิกิริยามากกว่าจะนิ่งเฉยเช่นปกติ  

          “มีข่าวจาก..  จาก...”

          “เฮเวนน่าหรือไง”  ทันทีที่ผู้มีอำนาจสูงสุดของที่นี่  เอ่ยชื่อนั้นออกไป  ร่างริมหน้าต่างรีบหันมาให้ความสนใจ
กับการสนทนาอย่างเต็มตัว

          “เอ่อ... ครับ”   เคลอิก้มหัวตอบรับ  ครั้งแรกที่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไปเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
หรือไม่  ในเมื่อยังเห็นได้ชัดว่า  ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายของท่านหัวหน้านั้นยังรู้สึกผูกพันกับคนของเฮเวนน่ามากกว่า
จะยอมรับที่นี่  “พรุ่งนี้ที่นั่นจะจัดเทศกาลวอตาร์ครับ”

           “พรุ่งนี้งั้นรึ  ดี...  เราก็ควรจะเข้าร่วมงานด้วยซินะ”

           “เหมือนเดิมหรือครับ  แล้ว..  แล้ว...”  เคลอิชายตามองไปยังร่างริมหน้าต่าง

         “แน่นอน  เจย์ต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยอยู่แล้ว  เรื่องนี้ฝากเจ้าจัดการก็แล้วกัน”  ผู้เป็นบิดา  หันกลับไปมองหน้า
บุตรชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

        “อยากรู้ ก็เอ่ยปากถามสิ”  เคลอิเดินไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มหน้าเตาผิงโดยไม่ขอ หรือรอคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง

        “ข้า.. ข้า...” 

        “ถ้าไม่ ข้าจะไปล่ะนะ”  ธรณีเทพกระตุกมุมปากน้อย ๆ  เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากนักจากชายผู้มีสีหน้านิ่งเฉย  ก่อนจะ
ลุกขึ้นช้า ๆ เหมือนหมดเรื่องที่จะต้องอยู่ต่อ

        “เดี๋ยว... ข้า.. ข้ามีเรื่องจะถาม  ทำไมเจ้าถึงรู้ข่าวคราวต่าง ๆ ในเฮเวนน่าได้ล่ะ  แล้วเมื่อกี้  ที่บอกว่าเราจะเข้า
ร่วมงานด้วย หมายความว่ายังไง ในเมื่อพวกเราเข้าไปที่นั่นไม่ได้  ไม่ใช่หรือไง  แล้ว.....”

        คนที่ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป แกล้งถอนหายใจแรง ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม  “ถามเป็นชุดเช่นนี้  จะให้
ข้าเริ่มตอบคำถามท่านจากตรงไหนล่ะ” 

         “ตรงไหนก็ช่างเถอะ อย่าโยกโย้  ท่านรีบเล่าให้ข้าฟังจะดีกว่า”
*****************************

           เสียงหัวเราะเฮฮาอย่างมีความสุขแว่วขึ้นเนือง ๆ ในเมืองเฮเวนน่า  เมื่อชาวบ้านทั้งหลายต่างพร้อมใจกันทำ
ความสะอาดที่พักอาศัยและออกมาช่วยกันปัดกวาดและถนนทุกสายให้สะอาดสะอ้านเพื่อเตรียมงานสำคัญที่จะเกิดขึ้น
ในค่ำคืนนี้  ร้านรวงสองข้างทางของถนนสายหลัก รวมถึงบ้านทุกหลังในเมืองต่างแขวนโคมสีขาวรูปทรงต่าง ๆ ไว้
หน้าบ้านอย่างพร้อมเพียง แต่ที่พิเศษที่สุดคงเป็นพื้นที่สำหรับทำพิธี...

         บริเวณลานวงกลมกว้างขวางของโซนน้ำพุ  ถูกประดับประดาตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์อย่างสวยสด
งดงาม  ปะรำพิธีสร้างจากพรมเนื้อดีสีม่วงทอลายเถาวัลย์สีทองอย่างสมเกียรติแห่งผู้นำสูงสุดของเฮเวนน่า  ถึงแม้
ในปีนี้ผู้นำในพิธีจะไม่ใช่องค์ราชินีเหมือนหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาก็ตาม 

         ยิ่งท้องฟ้าเข้มขึ้นเท่าใด  ผู้คนก็ยิ่งมารวมตัวกันที่โซนน้ำพุมากขึ้นเท่านั้นเพื่อรอเวลาการประกอบพิธีสำคัญ
ประจำปี  อีกทั้งค่ำคืนนี้ยังมีเรื่องพิเศษกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา  เนื่องจากประกาศที่ชาวเมืองได้รับก่อนหน้านี้ แจ้งให้ทราบ
ทั่วกันว่า  ปีนี้จะมีบุตรฝาแฝดของท่านหญิงเซร่าผู้ซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว  ท่านหญิงผู้ซึ่งหายสาบสูญไปในเหตุการณ์
เมื่อสิบหกปีก่อน  มาร่วมพิธีเพื่อเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าชาวเมืองอีกด้วย

          เสียงแตรดังยาวนานต่อเนื่อง ประกาศการมาถึงของผู้นำในพิธีให้ทราบ  ท่านหญิงซีเวียร์ ท่านหญิงซิลแคลล์ 
และแซนด์  ก้าวเข้านั่งในปะรำพิธี   ก่อนที่ท่านหญิงผู้ดำรงยศสูงสุดในขณะนี้ต้องรีบยืนขึ้นออกมาชี้แจง เมื่อชาวเมือง
เริ่มหันไปซุบซิบจนเสียงเซ็งแซ่

          “เอาล่ะ  เอาล่ะ  ...  ข้าทราบว่าทุกคนคงจะสงสัย  เหตุใดจึงเห็นเราเพียงสามคน  ข้าขอแจ้งให้ทราบว่า
ท่านหญิงโซรีน และท่านหญิงซายน์  ไม่สบายจำต้องรักษาตัว  จึงไม่อาจมาร่วมพิธีได้”  พูดจบท่านหญิงซีเวียร์ก็หัน
ไปพยักหน้าเรียกหลานชายให้ก้าวเดินออกมา ก่อนจะหันกลับมาประกาศก้อง  “แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็มีท่านชายแซนด์”
*****************************

           เจย์ยังอดหันมองไปรอบ ๆ ห้องไม่ได้  มันเป็นห้องทรงกลมที่ไม่ได้กว้างขวางมากนักและไร้การประดับตกแต่ง
ใด ๆ  ตั้งแต่มาถึงที่นี่  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาก้าวออกจากห้องของตัวเอง  แต่กระนั้น  เพียงแค่ครั้งแรกที่เขาจะได้สัมผัส
ส่วนอื่น ๆ ของปราสาทแลนเดียร์ว่า  เขาก็ได้มายืนอยู่ในห้องต้องห้ามซึ่งตั้งอยู่บนหอคอยสูงสุดของปราสาทแล้ว  
หากไม่ใช่เพื่อมารอร่วมพิธีตามที่เคลอิเรียกว่า  พิธีรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลวอตาร์ เขาก็คงไม่อยากไปไหน นอกจาก
ขออยู่ในที่ของเขา  ในห้องของตัวเองเหมือนเดิม

          บุคคลอีกสองคนที่ยืนอยู่ในห้อง ยังคงนิ่งเงียบ  ตั้งแต่ก้าวย่างเข้ามาในห้องนี้ไม่มีใครพูดหรือเอ่ยอะไรออกจาก
ปากแม้แต่คำเดียว เจย์เหลือบตามองชายผู้ยืนอยู่ทางด้านซ้าย  วันนี้สีหน้าผู้เป็นนายใหญ่ของที่นี่ดูสงบนิ่งและดู
อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ได้เห็น  ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า  หากไม่มีเรื่องร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นครอบครัวที่ประกอบไปด้วย 
พ่อ  แม่  และเขา  จะมีความสุขเพียงใด  แต่... มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว  เขารีบไล่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ นั้นออกไป 
ก่อนจะก้มมองเหยือกน้ำที่วางอยู่กลางโต๊ะกลมซึ่งทั้งสามคนกำลังยืนล้อมอยู่อีกครั้ง  เหยือกแก้วใสบรรจุน้ำสีม่วงอ่อน ๆ
ทำให้เขานึกถึงการลิ้มรสมันครั้งแรกในบ้านของท่านผู้เฒ่า  ‘รัซเทล’  น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของเฮเวนน่า

          ความคิดของเขาหวนกลับไปเมื่อครั้งคุยกับเคลอิในห้อง  เทศกาลวอตาร์ ของชาวเฮเวนน่า คือ  การสักการะ
เทพแอสตาร์  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์และราชินีแห่งสรวงสวรรค์  โดยภาคพิธีสำคัญที่ชาว
เฮเวนน่าขาดไม่ได้คือ พิธีรับน้ำศักดิ์สิทธิ์   พิธีที่เขา ร็องดอร์  และเคลอิกำลังรออยู่ในขณะนี้  ถึงแม้จะอยู่ต่างสถานที่
กันก็ตาม

          ชาวเฮเวนน่าจะจัดเทศกาลวอตาร์ ปีละครั้ง ในค่ำคืนที่พระจันทร์สีรุ้งจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล  การเข้ารับ
น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นการรับคำอวยพรจากเทพแอสตาร์ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในความสมบูรณ์พูนสุข  และชำระล้างเรื่อง
ไม่ดีในปีที่ผ่านมา  จากนั้นชาวเมืองทุกคนจะนำโคมสีขาวที่แขวนไว้หน้าบ้านแต่หลัง  ปล่อยให้ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อเทพแห่งสรวงสวรรค์  นี่เป็นภาคพิธีที่ธรณีเทพเล่าให้เขาฟังอย่างคร่าว ๆ  แล้ว
คืนนี้ชาวเฮเวนน่าจะมีงานฉลองรื่นเริงกันทั้งคืน  ซายน์กับแซนด์ก็คงได้ร่วมฉลองไปพร้อม ๆ กับคนอื่น  ใช่...ทั้งสองคน
ต้องได้ร่วมงานรื่นเริงที่จะมีขึ้น  ถ้า...  ถ้าเสียงที่เขาได้ยินในคืนนั้นมันเป็นแค่ความฝัน

         เหยือกแก้วบนโต๊ะเปล่งแสงสีม่วงสว่างจ้า  ดึงเขาให้กลับมาอยู่ในห้องอีกครั้ง  และเมื่อลองมองออกไปนอก
หน้าต่างเพียงบานเดียวที่มีอยู่  เขาก็เห็นพระจันทร์สีขาวนวลต่างจากสีรุ้งที่เขาเฝ้ามองทุกคืนจริง ๆ ถึงเวลาแล้วซินะ.... 
*****************************

          ทันทีที่ดวงจันทร์เปลี่ยนมาเป็นสีขาวนวล ท่านหญิงซีเวียร์ก็ก้าวมายืนอยู่บนปะรำพิธี  กล่าวถ้อยคำแห่งการ
สักการะผู้เป็นเทพเพียงไม่นาน  บ่อน้ำพุกลับเปล่งแสงสีม่วงเจิดจ้าและแล้วน้ำใส ๆ ก็กลับกลายเป็นน้ำสีม่วงอ่อน
ที่กำลังกระเพื่อมสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนกำลังเต้นระบำและหยอกล้อกับรูปปั้นแมลงปอที่ทำจากวัสดุที่ใสและเปล่งประกาย
เหมือนเพชร  ซึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำเป็นระยะ ๆ  ตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง โดยไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้น
ณ จุดใด 

         จากบ่อน้ำพุธรรมดา ๆ ของโซนน้ำพุ  ขณะนี้มันกลับกลายเป็นบ่อรัซเทล  เหมือนที่ลานศักดิ์สิทธิ์ในสวนหลัง
ปราสาทแก้วไปทันที  ชาวเมืองพากันโห่ร้องแสดงความดีใจกึกก้อง  ก่อนจะทยอยกันมาเข้าแถวยาวเพื่อรอรับน้ำมนต์
ศักดิ์สิทธิ์แห่งเฮเวนน่า  ท่านหญิงซีเวียร์ใช้เหยือกแก้วใสตักรัซเทลจากบ่อน้ำพุ  ก่อนจะเดินมายังแถวที่ต่อกันยาว
เหยียด  ค่อย ๆ เทรัซเทลแจกจ่ายแก่ชาวเมืองทีละคน ๆ  แต่น้ำในเหยือกแก้วไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย

          ในเวลาเดียวกัน ในห้องทรงกลมบนยอดหอคอยแห่งแลนเดียร์ว่า  และในห้องนอนของท่านหญิงที่ร่างกำลัง
หลับใหล  เหยือกแก้วของแต่ละแห่งก็เปล่งแสงสีม่วงจ้า ก่อนจะค่อย ๆ กลับสู่สภาพปกติ  เหลือเพียงน้ำสีม่วงอ่อนใส
ในเหยือกที่เปล่งประกายวาววับ

            ผู้เป็นใหญ่แห่งดินแดนชาวดิน  บรรจงเทรัซเทลจากเหยือกลงสู่แก้วทรงสูงยื่นให้บุตรชาย ก่อนจะทำเช่น
เดียวกันแล้วหันไปยื่นให้กับธรณีเทพ   และแก้วสุดท้ายสำหรับตัวเอง 

            ในห้องสีครีม  ร่างที่ซีดเผือดยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ที่มีม่านลูกไม้ห้อยระย้า
ใกล้ ๆ กันชายชราอดีตผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่าบรรจงเทรัซเทลใส่แก้วทั้งสามใบจนครบ  แก้วใบหนึ่งถูกยื่นให้กับชายหนุ่ม
เจ้าของผมสีฟ้า ก่อนจะหยิบส่วนของตนเองขึ้นมา  แล้วเสียงเอ่ย “โฮลี่ รัซเทล” จากทั้งสองคนก็ดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน 
เมื่อดื่มน้ำสีม่วงใสในแก้วจนหมด  ชายชราก็หยิบแก้วใบสุดท้ายจรดเข้ากับริมฝีปากที่ขาวซีดของร่างบนเตียง ค่อย ๆ
ป้อนให้น้ำในแก้วหายเข้าไปในปากเรียวบางนั้นช้า ๆ
*****************************

           จู่ ๆ ซายน์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระชากอย่างแรงจนล้มลงบนพื้น  แต่ยังไม่ทันได้ทรงตัวลุกขึ้นยืน  สายตา
ของเธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่แท่นยกพื้นอันเป็นที่ตั้งของแท่งแก้วคริสตัลซึ่งรองรับคทาสีม่วงเข้มอยู่ แต่เมื่อ
เธอพยายามจะคลานเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เหมือนถูกดึงอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เหมือนกับว่าเธอกำลังถูกดึงให้หลุดออกไปจากที่นี่

          “ไม่ได้..  อย่าเพิ่งให้ข้าไป...  ข้าต้องเอาผลึกแห่งแสงไปด้วย...”   ซายน์พยายามร่ำร้องบอกอะไรก็แล้วแต่
ที่พยายามจะดึงกระชากลากเธอไป   ตั้งแต่อดีตราชินีพาเธอมาปล่อยไว้ที่นี่ แล้วท่านก็หายไป  เธอก็พยายามหาวิธี
ฝ่าวงล้อมแห่งไฟเพื่อเข้าไปหยิบผลึกสีม่วงนั่น  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  แค่เข้าใกล้มันก็ร้อนจนแทบขาดใจ 

           “อีกนิดเดียว  ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว”   หญิงสาวต่อรอง  ก่อนจะพยายามต้านทานแรงดึงนั่น  คลานเข้าไป
สังเกตสิ่งที่เห็นที่ฐานของแท่นยกพื้น  มันเป็นรูโลหะมันวาวเล็ก ๆ จำนวนสามรู 

         “โลหะสีเงินแบบนี้  ข้าเคยเห็นที่ไหนนะ  ..โอ๊ย..อย่าเพิ่งดึงข้าสิ..ข้ายังไม่อยากไปไหน.... นึกออกแล้ว..ใช่ ๆ ..”
ซายน์ยิ้มอย่างมีความหวัง  พยายามคลานเข้าไปใกล้แท่นยกพื้นมากขึ้น  ก่อนจะบรรจงถอดสร้อยเงินเส้นเล็กที่คอ
มาถือไว้  “แม่คะ...ช่วยซายน์ด้วย”  เธอร้องขอกำลังใจ  แล้วค่อย ๆ จับจี้รูปแมลงปอ  โดยหันส่วนหางที่เป็นโลหะสีเงิน
สี่เหลี่ยมหนา และมีปุ่มแหลมที่ไม่เท่ากันยื่นออกมาสามปุ่มเสียบเข้าไปในรูที่แท่นยกพื้น

         ทันทีที่โลหะทั้งสองเสียบกันแนบสนิท  เปลวไฟร้อนแรงที่พวยพุ่งกลับหายไปเหมือนไม่เคยปรากฏ  หญิงสาว
พยายามยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยรู้ว่าตัวคงต้านทานแรงดึงนี้ได้อีกไม่นาน  จึงรีบเอื้อมมือเข้าไปจับผลึกแก้วที่ปลายคทา 
ก่อนจะต้องกรีดร้องดังลั่น  เมื่อตัวถูกดึงลอยออกจากห้องไป
*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น