‘มืด มืดเหลือเกิน ที่นี่มันที่ไหน แล้วคนอื่น ๆ หายไปไหนกันหมด พี่แซนด์ โฟร์ท เกรซเน่.. อยู่ไหนย่าปล่อย
ซายน์ไว้คนเดียว ช่วยด้วย ช่วยซายน์ด้วย’
~~ซายน์...เอ๊ะ..เสียงซายน์นี่นา.....~~
‘เหนื่อย เหนื่อยเหลือเกินไม่ไหวแล้ว เดินมาตั้งนานก็ยังไม่เห็นจะเจออะไร แสงสว่างสักนิดก็ไม่มี ต้องทำยังไง
ต้องเดินอีกเท่าไหร่ ถึงจะหลุดพ้นไปจากที่นี่ ใครก็ได้ ใครก็ได้ ช่วยข้าที ช่วยข้าออกไปจากที่นี่เสียที’
~~ซายน์ เกิดอะไรขึ้น... เป็นอะไร ....~~
‘เอ๊ะ.. เสียง... เสียงเพลง... ใคร.. ใครกัน ใครที่บรรเลงเพลงอันแสนไพเราะนี่.. ไหน.. ท่านอยู่ที่ไหน ทางนี้ก็
ไม่มี หรือจะอยู่ทางโน้น... ไหนล่ะ ท่านอยู่ที่ไหน ข้าวิ่งหาท่านจนเหนื่อยล้าแล้ว ปรากฏตัวให้ข้าเห็นเถอะ..’
~~ซายน์... ได้ยินเสียงข้ามั้ย... ข้าเอง... เจย์.. พี่เจย์ไงซายน์....~~
'พอ.. พอเสียที หยุด.. หยุดบรรเลงเพลงเหล่านี้ได้แล้ว จะทรมานข้าไปถึงไหน ข้ายอมแล้ว จะทำอะไรข้าก็
ทำเถอะ จะฆ่าข้าก็จัดการเสียเถอะ.. ข้าไม่อยากอยู่กับความมืดมิดที่โดดเดี่ยวนี่อีกแล้ว ข้าทนไม่ไหวแม้แต่เสี้ยว
นาที ข้ายอมแล้ว’
~~ไม่.. ไม่นะซายน์.. เกิดอะไรขึ้นบอกพี่มา.. ได้ยินมั้ย... บอกพี่มา~~
เสียงตะโกนดัง ก่อนที่เจ้าตัวจะสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งบนเตียง ใช้มือเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบริเวณขมับ
อย่างลวก ๆ พลางนึกทบทวนถึงเสียงที่เพิ่งผ่านพ้นมาในห้วงฝัน.. ไม่ใช่สิ.. ไม่ใช่ฝัน.. เขามั่นใจ เสียงที่เขา
ได้ยินเมื่อครู่ ไม่ใช่ความฝัน เขารู้สึกได้ถึงมัน ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ตอนนี้หญิงสาวเจ้าของเสียงนั่น... กำลังตกอยู่
ในอันตราย แล้วเขา..ที่อยู่ไกลถึงเพียงนี้จะทำเช่นไร....
*****************************
“ไปเที่ยวปราสาทแก้วกับข้าหรือไม่”
‘ท่านเป็นใคร ปล่อยข้าไปเถอะ’
“เจ้านี่แปลกนะ เมื่อครู่ยังร้องหาคนช่วยอยู่เลย มาตอนนี้ กลับมาหาว่าข้าเป็นคนทำร้ายเจ้าไปซะแล้ว”
นิ้วของหญิงสาวไล้ไปบนสายพิณ พร้อมทำตาโตล้อเลียน
‘ท่าน.. ท่านมาช่วยข้าจริง ๆ หรอ’ ส่งคำถามไปแล้วกลับไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมานอกจากรอยยิ้มที่
ซายน์แปลความได้ว่า ~อยากรู้ก็ตามข้ามาสิ~ ก่อนที่ร่างของหญิงตรงหน้าเหมือนจะลอยห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเธอ
ต้องวิ่งตาม
จากแสงสีม่วงอ่อน ๆ ที่สว่างไม่มากนักในตอนแรก กลับค่อย ๆ เปล่งแสงสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนซายน์ไม่รู้
สึกถึงความมืดอีกต่อไป และนั่นก็ทำให้ได้รู้ว่า สถานที่ที่เธอกำลังยืนอยู่ก็คือห้องโถงในปราสาทแก้วนั่นเอง ร่าง
หญิงสาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าหันกลับมายักคิ้วให้ ก่อนจะลอยสูงขึ้นไป ซายน์พยายามจะตะโกนเรียกให้รอ แต่ก็ไม่มี
เสียงใด ๆ หลุดออกจากปากไป แล้วจู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวจะเบาขึ้น แล้วก็เห็นว่าตัวเองกำลังล่องลอยเหมือนร่าง
หญิงสาวผู้เล่นพิณไม่มีผิด
การท่องเที่ยวปราสาทแก้ว ตามที่หญิงผู้ถือพิณกล่าวถึง ก็คือการลอยละล่องไปยังห้องต่าง ๆ ที่ซายน์
(ตอนยังปกติ) เคยได้สำรวจมาแล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่าคือความเป็นมาและความสำคัญของห้องต่าง ๆ ที่เธอไม่เคยรู้
มาก่อน เสียงที่ดังมาจากร่างของหญิงคนนั้น หรืออันที่จริงอาจจะเป็นว่าดังขึ้นมาในความรู้สึกของซายน์ต่างหาก
ในเมื่อหญิงคนนั้นไม่ได้ขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยคำใด ๆ เลยนอกจากใช้นิ้วที่เรียวงามไล้พรมไปบนพิณตัวเล็ก ๆ ในมือ
บอกเล่าเรื่องราวอันหลากหลายที่เธอไม่เคยรู้ ทั้งน่าทึ่งและเหลือเชื่อเกินกว่าจะคาดถึงจนซายน์เองอดที่จะรู้สึกพิศวง
ในตัวหญิงตรงหน้าไม่ได้
‘ท่าน.. ท่านเป็นใครกันแน่’
นางส่งยิ้มหวานแต่ดูขี้เล่นให้อีกครั้ง ก่อนที่ซายน์จะรู้สึกเหมือนดิ่งวูบจากห้องหนังสือไปปรากฏกายที่ห้องโถง
ทรงกลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ร่างของหญิงผู้ถือพิณกำลังลอยอยู่ข้าง ๆ กรอบรูปภาพขนาดใหญ่ซึ่งแสดงภาพเหล่าอดีต
ราชินีผู้ครองเฮเวนน่า แล้วซายน์จึงได้เห็นว่า ร่างที่กำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ช่างเหมือนกับหนึ่งในรูปนั้นเหลือเกิน..
รูป..ซึ่งปรากฏอยู่บนสุด รูปของอดีตราชินีผู้ยิ่งใหญ่ ราชินีองค์แรกของเฮเวนน่า
*****************************
“ตั้งหลายวันแล้วนะคะ แต่ทั้งท่านผู้เฒ่า ท่านหญิงซิลแคลล์ ก็ยังหาวิธีแก้พิษไม่ได้ ซายน์ก็ดูซีดลงเรื่อย ๆ
นานต่อไปกว่านี้... ข้า..ข้ากลัวว่า....” โฟร์ทหยุดเสียงไว้เพียงแค่นั้น ไม่กล้าพูดคำต่อไป
“ซายน์ต้องไม่เป็นไร.... ซายน์ต้องไม่เป็นไร ตื่นสิซายน์.. ได้ยินมั้ยซายน์ พี่บอกให้ตื่น” สติแซนด์เหมือน
จะขาดผึง ตรงเข้าไปเขย่าตัวน้องสาวที่นอนนิ่งไม่รับรู้ใด ๆ บนเตียง จนโฟร์ทต้องรีบเข้ามาห้าม และทันได้เห็น
น้ำตาหยาดลงเป็นสายจากใบหน้าชายหนุ่มซึ่งตามปกติแล้วไม่เคยจะทุกข์ร้อนใด ๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...” น้ำเสียงทรงอำนาจทำเอาทั้งสองคนชะงัก “เจ้าจะทำอะไร”
“ท่านป้า... ข้าเพียงแต่ต้องการปลุกให้นางตื่น” แซนด์รีบปาดน้ำตา ก่อนจะชี้แจงให้ท่านหญิงผู้ทรงอำนาจ
สูงสุดในเฮเวนน่าขณะนี้ทราบ
“แต่ที่ทำอยู่นั่นมันเกินไป ท่านผู้เฒ่าเอสโทสกับซิลแคลล์กำลังหาวิธีการรักษาอยู่มิใช่รึ ทำไมไม่รออย่าง
สงบเล่า ช่างวุ่นวายกันไปซะหมด นี่งานเทศกาลประจำปีก็ใกล้เข้ามาทุกที ทำไมมีแต่เรื่องยุ่ง ๆ เช่นนี้นะ”
“ท่านป้า...” เสียงครางจากปากแซนด์ ซึ่งบอกไม่ถูกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน ระหว่างตกใจหรือเสียใจกันแน่
ที่ญาติผู้ใหญ่หนึ่งเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ดูจะไม่รู้สึกเป็นกังวลกับอาการน้องสาวของเขาในตอนนี้เลย หรืออาจจะเป็นการ
รวมกันของทั้งสองอารมณ์แบบแยกแยะไม่ออกเลยทีเดียว
“ทั้ง ๆ ที่ปีนี้ข้าคาดหมายจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ เพื่อประกาศเรื่องพวกเจ้าทั้งสองให้ชาวเฮเวนน่าได้รับรู้ทั่วกัน
อาจจะเป็นปีแรกที่...ที่ทุกคนจะได้ร่วมพิธีพร้อมหน้า” น้ำเสียงท้ายประโยคของท่านหญิงซีเวียร์เปลี่ยนไปจนแซนด์
และโฟร์ทจับได้ รวมถึงสีหน้าและแววตาโศกนั่นอีก แต่มันก็ปรากฏให้เห็นไม่นานก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าที่ดูเรียบ
และสง่าอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าอย่าวิตกไปเลย ข้ารู้พวกเจ้าเป็นห่วงนาง ซึ่งไม่ต่างไปจากทุกคน ข้าเชื่อว่าท่านผู้เฒ่า
และซิลแคลล์จะต้องทำได้ ต้องรักษาอาการของซายน์ได้แน่นอน เชื่อข้าซิ”
*****************************
ซายน์ ได้แต่ยืนจ้องหน้าหญิงสาวที่ลอยตัวอยู่ตรงหน้านิ่ง ด้วยไม่รู้จะเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา ใครจะไปนึก
ว่าจะได้พบเจอกับอดีตราชินีองค์แรกแห่งเฮเวนน่า ราชินีผู้เป็นที่กล่าวขานตลอดมา แถมยังจากโลกนี้ไปเนิ่นนาน
แล้ว มันช่างเป็นฝันที่เหลือเชื่อจริง ๆ แต่...เอ๊ะ...หรือมันจะไม่ใช่ฝัน... ถ้าไม่ใช่ฝันก็แสดงว่า... แสดงว่า... ‘ตาย’
~~นี่เราตายไปแล้วจริง ๆ หรือนี่~~
“เจ้ายังไม่ตายหรอก ทายาทตัวน้อยของข้า” นางไล้นิ้วเรียวงามไปบนพิณตัวเล็ก ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มกว้าง
“ก็แค่เกือบเท่านั้น"
ก็แค่เกือบหรอ... ซายน์รู้สึกชาไปทั้งตัวกับข้อความที่เพิ่งได้รับรู้ไป แม้เสียงที่ดังขึ้นมาในความรู้สึกของเธอ
จะดูไม่มีทีท่าว่าน่าจะต้องวิตกกังวล แต่เธอก็อดใจหายไม่ได้ และก่อนที่จะคิดอะไรต่อไปให้วุ่นวาย เธอก็รู้สึกว่า
ตัวเองลอยขึ้นตามร่างตรงหน้าอีกครั้ง
แวบแรกที่เห็นร่างตัวเองบนเตียง เธอรู้ว่าได้กรีดร้องเบา ๆ ออกมาอย่างตกใจแม้จะไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออก
มาจากปาก แต่พอคิดถึงคำที่ได้รับรู้มาเมื่อครู่ ‘ก็แค่เกือบเท่านั้น’ ทำให้เธอพอจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ อย่างน้อย
แสดงว่าเธอยังไม่ตาย
ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ดูซีดเซียวอย่างน่ากลัว เรียวปากที่เคยเจือไปด้วยสีชมพูปานกลีบกุหลาบ กลับ
ซีดขาวไร้สีเลือด สีหน้าของหญิงและชายที่นั่งอยู่ข้างเตียงดูเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน แต่เธอก็เห็นถึง
ความห่วงใยเต็มเปี่ยมในสีหน้าของคนทั้งสาม -พี่ชาย เพื่อน และหญิงรับใช้- ‘เอ่อ.. องค์ราชินีคะ เกิดอะไรขึ้น
กับร่าง..เอ่อ.. กับข้าหรือคะ’
“พิษร้าย ที่หมายเอาชีวิตเจ้า”
‘พี่หญิงซิลแคลล์’ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่เธอคิดออกในขณะนี้ว่า เป็นผู้ต้องการชีวิตเธอ
“ท่านผู้เฒ่าครับ” เสียงของพี่ชาย ทำให้ซายน์รีบหันกลับไปมองยังกลุ่มผู้กำลังเดินเข้ามาในห้อง ชายชรา
ที่เดินนำหน้าเข้ามาทำเอาเธอต้องยิ้มกว้าง เพียงแค่มีคน ๆ นี้ เธอก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้ว แต่รอยยิ้มก็ต้องเจื่อนลง
เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังเดินตามเข้ามา หญิงสาวผู้เป็นผู้บงการเรื่องร้าย ๆ ทั้งหมด ทำไมทุกคนถึงยังยอมให้นาง
เข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอแบบนี้นะ ไม่เข้าใจจริง ๆ และนั่น ชายคนสุดท้ายที่เดินตามหลังมา คนที่ทำให้เธอ
รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นานกี่วันแล้วนะที่เธอไม่ได้เห็นหน้าเขา ตั้งแต่วันนั้น วันที่เธอกับพี่ชายเล่าเรื่อง
ต่าง ๆ ให้เขาฟัง และเขา... ก็ไม่เชื่อมันสักนิดเลย
“ยังไม่พบวิธีรักษาซายน์หรอครับ” เสียงพี่ชายฝาแฝดของเธอถามออกไป
ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่จู่ ๆ ชายชราก็ชะงักไป ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยแววตาครุ่นคิด
ชั่วแวบหนึ่งที่ซายน์คิดว่า ท่านผู้เฒ่าคงจะรู้สึกถึงเธอและอดีตราชินีผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังอยู่ในห้องนี้ด้วย
‘ท่านผู้เฒ่าคะ ท่านผู้เฒ่า ซายน์อยู่ตรงนี้ค่ะ’ เธออดที่จะพยายามพูดออกไปไม่ได้ แม้จะรู้ว่าไม่มีเสียงใด ๆ
หลุดออกไปจากปากเธอให้คนอื่นได้ยินก็ตาม และมันก็คงเป็นเช่นนั้น เมื่อท่านผู้เฒ่าเหมือนจะกลับไปพูดคุยกับ
คนอื่น ๆ อย่างเป็นปกติต่อไป
“ไปกันเถอะ เวลาของเราเหลือน้อยแล้ว” เสียงใส ๆ ดังขึ้นในความรู้สึกซายน์อีกครั้ง ก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเอง
กำลังลอยออกจากห้องนอนของตัวเองไป แต่ภาพสุดท้ายก็ทำเอาน้ำตาเอ่อคลอเต็มนัยน์ตาเมื่อพี่ชายของเธอกุมมือ
ขาวซีดนั้นขึ้นมาจุมพิตเบา ๆ
*****************************
ชั้นเก้า!! ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ว่าเธอกำลังยืนอยู่ในห้องทรงกลม ซึ่งเป็นห้องพิธี ณ ยอดโดมสูงสุดของ
ปราสาท ห้องที่ถูกปิดตายมาตั้งแต่สิ้นราชินีเซ็นย่าไปในเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีก่อนนั่น ที่นี่คือสถานที่สุดท้ายที่
อดีตราชินีองค์แรกบอกว่าจะพาเธอมาเที่ยวชม เป็นส่วนที่พิเศษที่สุด ซึ่งเธอไม่คิดฝันเลยว่าจะมีโอกาสย่างกราย
เข้ามา
ภาพเคลื่อนไหวบนเพดานที่กรุด้วยกระจกสีโค้งเป็นครึ่งวงกลมตามลักษณะของยอดโดมทำเอาซายน์ยืนจ้อง
ตาโต เพดานถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนตามฤดูกาล เริ่มจากส่วนที่ใกล้ประตูที่สุด ภาพพระอาทิตย์ดวงโตทอแสง
เจิดจ้า หมู่มวลนกน้อยบินเอื่อยเฉื่อยล้อไปกับสายลมและปุยเมฆบางเบา ต้นหญ้าที่อยู่ต่ำลงมาพลิ้วไหวตามแรงลม
ใช่แล้ว.. นี่คือภาพของฤดูร้อนไม่ผิดแน่ ส่วนถัดไป เป็นภาพท้องฟ้าสีครามหม่น เมฆก้อนใหญ่ที่อุ้มน้ำจนคล้อยต่ำ
สายฟ้าเริ่มแลบแปลบปลาบก่อนที่เมฆก้อนใหญ่เหล่านั้นจะค่อย ๆ ปล่อยสายฝนโปรยปรายลงมาเหมือนจริงจนเธอ
แทบจะยกมือขึ้นบังหยดน้ำนั่น ส่วนสุดท้ายปรากฏภาพทุ่งกว้างและต้นไม้น้อยใหญ่ที่กิ่งก้านทั้งหลายขาวโพลน
เต็มไปด้วยหิมะ ทั้งยังมีแสงแวววาวจากเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง
ซายน์เพิ่งได้สังเกตห้องพิธีอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก หลังจากละสายตาจากเพดานลงมา พื้นห้องปูไปด้วยพรม
สีม่วงและมีสีทองทอผสมผสานเป็นลวดลายแสนวิจิตร ณ กลางห้องปรากฏแท่นยกพื้นทรงกลมไม่สูงนักเส้นผ่า
ศูนย์กลางประมาณหนึ่งช่วงแขน โดยที่กึ่งกลางแท่นมีแท่งแก้วคริสตัลสูงระดับหน้าอกก่อนที่ส่วนปลายจะแบนราบ
ออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพื่อรองรับสิ่งของอย่างหนึ่งที่เหมือนจะทอแสงอ่อน ๆ ออกมาตลอดเวลา
ซายน์เดินเข้าไปใกล้แท่งแก้วคริสตัลเหมือนโดนดึงดูด ใกล้...จนเห็นว่าแสงอ่อน ๆ ที่เห็นอยู่นั่นทอออกมา
จากคทาคริสตัลสีม่วงเข้มแต่ใสจนเป็นประกาย แต่เมื่อเธอเอื้อมมือเข้าไปในเขตของแท่นทรงกลมกลับมีเปลวไฟ
ร้อนแรงพวยพุ่งขึ้นถึงเกือบเพดานมาล้อมรอบแท่นนั้นไว้
“ทายาทตัวน้อยของข้า รู้ใช่หรือไม่ว่าที่นี่สำคัญเพียงใด”
“ที่นี่คือห้องพิธี สำหรับราชินีของเฮเวนน่า เพื่อใช้อำนาจในการควบคุมฤดูกาล ควบคุมดินฟ้าอากาศในโลก
พาร์ตรีไดส์ให้เป็นไปตามวัฎจักรที่เหมาะสมและสมควรใช่มั้ยคะ”
ผู้ส่งประโยคคำถาม เผยยิ้มน้อย ๆ ด้วยความพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน “ฟังข้าให้ดีนะทายาทตัวน้อย เห็น
ผลึกแก้วที่ปลายคทานั่นหรือไม่”
“หนึ่งในผลึกแห่งแสงทั้งหก”
“ถูกต้องทายาทตัวน้อยของข้า จงรับมันไป เพื่อตัวเจ้าและเพื่อทุกคน ข้าไม่มีเวลาแล้ว จงรับมันไป...และ
ลืมตาเข้าไว้ มองทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านตาเจ้าก่อนจะตื่น...”
“เดี๋ยวซิคะ องค์ราชินี อย่าเพิ่งไป” ซายน์พยายามไขว่คว้า เมื่อร่างหญิงสาวที่ลอยอยู่ตรงหน้าค่อย ๆ
เลือนหายไป “อย่าทิ้งข้าไว้ แล้วข้าจะทำอย่างไรต่อไป องค์ราชินี... องค์ราชินี”
*****************************
“ท่านร็องดอร์” เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำเอาเจ้าของนามต้องละสายตาจากการจ้องมองอีกร่างที่กำลังยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ให้หันกลับมาสนใจกับผู้เข้ามาใหม่ และถ้าเขาจะยังจ้องมองร่างนั้นนานอีกสักนิด จะเห็นว่า
ด้วยเสียงเรียกนั้น ก็ทำให้ร่างสูงริมหน้าต่างมีปฏิกิริยามากกว่าจะนิ่งเฉยเช่นปกติ
“มีข่าวจาก.. จาก...”
“เฮเวนน่าหรือไง” ทันทีที่ผู้มีอำนาจสูงสุดของที่นี่ เอ่ยชื่อนั้นออกไป ร่างริมหน้าต่างรีบหันมาให้ความสนใจ
กับการสนทนาอย่างเต็มตัว
“เอ่อ... ครับ” เคลอิก้มหัวตอบรับ ครั้งแรกที่เขาไม่กล้าเอ่ยออกไปเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
หรือไม่ ในเมื่อยังเห็นได้ชัดว่า ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายของท่านหัวหน้านั้นยังรู้สึกผูกพันกับคนของเฮเวนน่ามากกว่า
จะยอมรับที่นี่ “พรุ่งนี้ที่นั่นจะจัดเทศกาลวอตาร์ครับ”
“พรุ่งนี้งั้นรึ ดี... เราก็ควรจะเข้าร่วมงานด้วยซินะ”
“เหมือนเดิมหรือครับ แล้ว.. แล้ว...” เคลอิชายตามองไปยังร่างริมหน้าต่าง
“แน่นอน เจย์ต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยอยู่แล้ว เรื่องนี้ฝากเจ้าจัดการก็แล้วกัน” ผู้เป็นบิดา หันกลับไปมองหน้า
บุตรชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“อยากรู้ ก็เอ่ยปากถามสิ” เคลอิเดินไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มหน้าเตาผิงโดยไม่ขอ หรือรอคำอนุญาตจากเจ้าของห้อง
“ข้า.. ข้า...”
“ถ้าไม่ ข้าจะไปล่ะนะ” ธรณีเทพกระตุกมุมปากน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากนักจากชายผู้มีสีหน้านิ่งเฉย ก่อนจะ
ลุกขึ้นช้า ๆ เหมือนหมดเรื่องที่จะต้องอยู่ต่อ
“เดี๋ยว... ข้า.. ข้ามีเรื่องจะถาม ทำไมเจ้าถึงรู้ข่าวคราวต่าง ๆ ในเฮเวนน่าได้ล่ะ แล้วเมื่อกี้ ที่บอกว่าเราจะเข้า
ร่วมงานด้วย หมายความว่ายังไง ในเมื่อพวกเราเข้าไปที่นั่นไม่ได้ ไม่ใช่หรือไง แล้ว.....”
คนที่ทำท่าจะเดินออกจากห้องไป แกล้งถอนหายใจแรง ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่เดิม “ถามเป็นชุดเช่นนี้ จะให้
ข้าเริ่มตอบคำถามท่านจากตรงไหนล่ะ”
“ตรงไหนก็ช่างเถอะ อย่าโยกโย้ ท่านรีบเล่าให้ข้าฟังจะดีกว่า”
*****************************
เสียงหัวเราะเฮฮาอย่างมีความสุขแว่วขึ้นเนือง ๆ ในเมืองเฮเวนน่า เมื่อชาวบ้านทั้งหลายต่างพร้อมใจกันทำ
ความสะอาดที่พักอาศัยและออกมาช่วยกันปัดกวาดและถนนทุกสายให้สะอาดสะอ้านเพื่อเตรียมงานสำคัญที่จะเกิดขึ้น
ในค่ำคืนนี้ ร้านรวงสองข้างทางของถนนสายหลัก รวมถึงบ้านทุกหลังในเมืองต่างแขวนโคมสีขาวรูปทรงต่าง ๆ ไว้
หน้าบ้านอย่างพร้อมเพียง แต่ที่พิเศษที่สุดคงเป็นพื้นที่สำหรับทำพิธี...
บริเวณลานวงกลมกว้างขวางของโซนน้ำพุ ถูกประดับประดาตกแต่งไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์อย่างสวยสด
งดงาม ปะรำพิธีสร้างจากพรมเนื้อดีสีม่วงทอลายเถาวัลย์สีทองอย่างสมเกียรติแห่งผู้นำสูงสุดของเฮเวนน่า ถึงแม้
ในปีนี้ผู้นำในพิธีจะไม่ใช่องค์ราชินีเหมือนหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาก็ตาม
ยิ่งท้องฟ้าเข้มขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งมารวมตัวกันที่โซนน้ำพุมากขึ้นเท่านั้นเพื่อรอเวลาการประกอบพิธีสำคัญ
ประจำปี อีกทั้งค่ำคืนนี้ยังมีเรื่องพิเศษกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา เนื่องจากประกาศที่ชาวเมืองได้รับก่อนหน้านี้ แจ้งให้ทราบ
ทั่วกันว่า ปีนี้จะมีบุตรฝาแฝดของท่านหญิงเซร่าผู้ซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านหญิงผู้ซึ่งหายสาบสูญไปในเหตุการณ์
เมื่อสิบหกปีก่อน มาร่วมพิธีเพื่อเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าชาวเมืองอีกด้วย
เสียงแตรดังยาวนานต่อเนื่อง ประกาศการมาถึงของผู้นำในพิธีให้ทราบ ท่านหญิงซีเวียร์ ท่านหญิงซิลแคลล์
และแซนด์ ก้าวเข้านั่งในปะรำพิธี ก่อนที่ท่านหญิงผู้ดำรงยศสูงสุดในขณะนี้ต้องรีบยืนขึ้นออกมาชี้แจง เมื่อชาวเมือง
เริ่มหันไปซุบซิบจนเสียงเซ็งแซ่
“เอาล่ะ เอาล่ะ ... ข้าทราบว่าทุกคนคงจะสงสัย เหตุใดจึงเห็นเราเพียงสามคน ข้าขอแจ้งให้ทราบว่า
ท่านหญิงโซรีน และท่านหญิงซายน์ ไม่สบายจำต้องรักษาตัว จึงไม่อาจมาร่วมพิธีได้” พูดจบท่านหญิงซีเวียร์ก็หัน
ไปพยักหน้าเรียกหลานชายให้ก้าวเดินออกมา ก่อนจะหันกลับมาประกาศก้อง “แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็มีท่านชายแซนด์”
*****************************
เจย์ยังอดหันมองไปรอบ ๆ ห้องไม่ได้ มันเป็นห้องทรงกลมที่ไม่ได้กว้างขวางมากนักและไร้การประดับตกแต่ง
ใด ๆ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาก้าวออกจากห้องของตัวเอง แต่กระนั้น เพียงแค่ครั้งแรกที่เขาจะได้สัมผัส
ส่วนอื่น ๆ ของปราสาทแลนเดียร์ว่า เขาก็ได้มายืนอยู่ในห้องต้องห้ามซึ่งตั้งอยู่บนหอคอยสูงสุดของปราสาทแล้ว
หากไม่ใช่เพื่อมารอร่วมพิธีตามที่เคลอิเรียกว่า พิธีรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลวอตาร์ เขาก็คงไม่อยากไปไหน นอกจาก
ขออยู่ในที่ของเขา ในห้องของตัวเองเหมือนเดิม
บุคคลอีกสองคนที่ยืนอยู่ในห้อง ยังคงนิ่งเงียบ ตั้งแต่ก้าวย่างเข้ามาในห้องนี้ไม่มีใครพูดหรือเอ่ยอะไรออกจาก
ปากแม้แต่คำเดียว เจย์เหลือบตามองชายผู้ยืนอยู่ทางด้านซ้าย วันนี้สีหน้าผู้เป็นนายใหญ่ของที่นี่ดูสงบนิ่งและดู
อ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ได้เห็น ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากไม่มีเรื่องร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นครอบครัวที่ประกอบไปด้วย
พ่อ แม่ และเขา จะมีความสุขเพียงใด แต่... มันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว เขารีบไล่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ นั้นออกไป
ก่อนจะก้มมองเหยือกน้ำที่วางอยู่กลางโต๊ะกลมซึ่งทั้งสามคนกำลังยืนล้อมอยู่อีกครั้ง เหยือกแก้วใสบรรจุน้ำสีม่วงอ่อน ๆ
ทำให้เขานึกถึงการลิ้มรสมันครั้งแรกในบ้านของท่านผู้เฒ่า ‘รัซเทล’ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของเฮเวนน่า
ความคิดของเขาหวนกลับไปเมื่อครั้งคุยกับเคลอิในห้อง เทศกาลวอตาร์ ของชาวเฮเวนน่า คือ การสักการะ
เทพแอสตาร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์และราชินีแห่งสรวงสวรรค์ โดยภาคพิธีสำคัญที่ชาว
เฮเวนน่าขาดไม่ได้คือ พิธีรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ พิธีที่เขา ร็องดอร์ และเคลอิกำลังรออยู่ในขณะนี้ ถึงแม้จะอยู่ต่างสถานที่
กันก็ตาม
ชาวเฮเวนน่าจะจัดเทศกาลวอตาร์ ปีละครั้ง ในค่ำคืนที่พระจันทร์สีรุ้งจะเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล การเข้ารับ
น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นการรับคำอวยพรจากเทพแอสตาร์ ให้ใช้ชีวิตอยู่ในความสมบูรณ์พูนสุข และชำระล้างเรื่อง
ไม่ดีในปีที่ผ่านมา จากนั้นชาวเมืองทุกคนจะนำโคมสีขาวที่แขวนไว้หน้าบ้านแต่หลัง ปล่อยให้ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อเทพแห่งสรวงสวรรค์ นี่เป็นภาคพิธีที่ธรณีเทพเล่าให้เขาฟังอย่างคร่าว ๆ แล้ว
คืนนี้ชาวเฮเวนน่าจะมีงานฉลองรื่นเริงกันทั้งคืน ซายน์กับแซนด์ก็คงได้ร่วมฉลองไปพร้อม ๆ กับคนอื่น ใช่...ทั้งสองคน
ต้องได้ร่วมงานรื่นเริงที่จะมีขึ้น ถ้า... ถ้าเสียงที่เขาได้ยินในคืนนั้นมันเป็นแค่ความฝัน
เหยือกแก้วบนโต๊ะเปล่งแสงสีม่วงสว่างจ้า ดึงเขาให้กลับมาอยู่ในห้องอีกครั้ง และเมื่อลองมองออกไปนอก
หน้าต่างเพียงบานเดียวที่มีอยู่ เขาก็เห็นพระจันทร์สีขาวนวลต่างจากสีรุ้งที่เขาเฝ้ามองทุกคืนจริง ๆ ถึงเวลาแล้วซินะ....
*****************************
ทันทีที่ดวงจันทร์เปลี่ยนมาเป็นสีขาวนวล ท่านหญิงซีเวียร์ก็ก้าวมายืนอยู่บนปะรำพิธี กล่าวถ้อยคำแห่งการ
สักการะผู้เป็นเทพเพียงไม่นาน บ่อน้ำพุกลับเปล่งแสงสีม่วงเจิดจ้าและแล้วน้ำใส ๆ ก็กลับกลายเป็นน้ำสีม่วงอ่อน
ที่กำลังกระเพื่อมสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนกำลังเต้นระบำและหยอกล้อกับรูปปั้นแมลงปอที่ทำจากวัสดุที่ใสและเปล่งประกาย
เหมือนเพชร ซึ่งโผล่ขึ้นจากน้ำเป็นระยะ ๆ ตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง โดยไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะปรากฏตัวขึ้น
ณ จุดใด
จากบ่อน้ำพุธรรมดา ๆ ของโซนน้ำพุ ขณะนี้มันกลับกลายเป็นบ่อรัซเทล เหมือนที่ลานศักดิ์สิทธิ์ในสวนหลัง
ปราสาทแก้วไปทันที ชาวเมืองพากันโห่ร้องแสดงความดีใจกึกก้อง ก่อนจะทยอยกันมาเข้าแถวยาวเพื่อรอรับน้ำมนต์
ศักดิ์สิทธิ์แห่งเฮเวนน่า ท่านหญิงซีเวียร์ใช้เหยือกแก้วใสตักรัซเทลจากบ่อน้ำพุ ก่อนจะเดินมายังแถวที่ต่อกันยาว
เหยียด ค่อย ๆ เทรัซเทลแจกจ่ายแก่ชาวเมืองทีละคน ๆ แต่น้ำในเหยือกแก้วไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
ในเวลาเดียวกัน ในห้องทรงกลมบนยอดหอคอยแห่งแลนเดียร์ว่า และในห้องนอนของท่านหญิงที่ร่างกำลัง
หลับใหล เหยือกแก้วของแต่ละแห่งก็เปล่งแสงสีม่วงจ้า ก่อนจะค่อย ๆ กลับสู่สภาพปกติ เหลือเพียงน้ำสีม่วงอ่อนใส
ในเหยือกที่เปล่งประกายวาววับ
ผู้เป็นใหญ่แห่งดินแดนชาวดิน บรรจงเทรัซเทลจากเหยือกลงสู่แก้วทรงสูงยื่นให้บุตรชาย ก่อนจะทำเช่น
เดียวกันแล้วหันไปยื่นให้กับธรณีเทพ และแก้วสุดท้ายสำหรับตัวเอง
ในห้องสีครีม ร่างที่ซีดเผือดยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ที่มีม่านลูกไม้ห้อยระย้า
ใกล้ ๆ กันชายชราอดีตผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่าบรรจงเทรัซเทลใส่แก้วทั้งสามใบจนครบ แก้วใบหนึ่งถูกยื่นให้กับชายหนุ่ม
เจ้าของผมสีฟ้า ก่อนจะหยิบส่วนของตนเองขึ้นมา แล้วเสียงเอ่ย “โฮลี่ รัซเทล” จากทั้งสองคนก็ดังขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
เมื่อดื่มน้ำสีม่วงใสในแก้วจนหมด ชายชราก็หยิบแก้วใบสุดท้ายจรดเข้ากับริมฝีปากที่ขาวซีดของร่างบนเตียง ค่อย ๆ
ป้อนให้น้ำในแก้วหายเข้าไปในปากเรียวบางนั้นช้า ๆ
*****************************
จู่ ๆ ซายน์ก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระชากอย่างแรงจนล้มลงบนพื้น แต่ยังไม่ทันได้ทรงตัวลุกขึ้นยืน สายตา
ของเธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่แท่นยกพื้นอันเป็นที่ตั้งของแท่งแก้วคริสตัลซึ่งรองรับคทาสีม่วงเข้มอยู่ แต่เมื่อ
เธอพยายามจะคลานเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เหมือนถูกดึงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนกับว่าเธอกำลังถูกดึงให้หลุดออกไปจากที่นี่
“ไม่ได้.. อย่าเพิ่งให้ข้าไป... ข้าต้องเอาผลึกแห่งแสงไปด้วย...” ซายน์พยายามร่ำร้องบอกอะไรก็แล้วแต่
ที่พยายามจะดึงกระชากลากเธอไป ตั้งแต่อดีตราชินีพาเธอมาปล่อยไว้ที่นี่ แล้วท่านก็หายไป เธอก็พยายามหาวิธี
ฝ่าวงล้อมแห่งไฟเพื่อเข้าไปหยิบผลึกสีม่วงนั่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แค่เข้าใกล้มันก็ร้อนจนแทบขาดใจ
“อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว” หญิงสาวต่อรอง ก่อนจะพยายามต้านทานแรงดึงนั่น คลานเข้าไป
สังเกตสิ่งที่เห็นที่ฐานของแท่นยกพื้น มันเป็นรูโลหะมันวาวเล็ก ๆ จำนวนสามรู
“โลหะสีเงินแบบนี้ ข้าเคยเห็นที่ไหนนะ ..โอ๊ย..อย่าเพิ่งดึงข้าสิ..ข้ายังไม่อยากไปไหน.... นึกออกแล้ว..ใช่ ๆ ..”
ซายน์ยิ้มอย่างมีความหวัง พยายามคลานเข้าไปใกล้แท่นยกพื้นมากขึ้น ก่อนจะบรรจงถอดสร้อยเงินเส้นเล็กที่คอ
มาถือไว้ “แม่คะ...ช่วยซายน์ด้วย” เธอร้องขอกำลังใจ แล้วค่อย ๆ จับจี้รูปแมลงปอ โดยหันส่วนหางที่เป็นโลหะสีเงิน
สี่เหลี่ยมหนา และมีปุ่มแหลมที่ไม่เท่ากันยื่นออกมาสามปุ่มเสียบเข้าไปในรูที่แท่นยกพื้น
ทันทีที่โลหะทั้งสองเสียบกันแนบสนิท เปลวไฟร้อนแรงที่พวยพุ่งกลับหายไปเหมือนไม่เคยปรากฏ หญิงสาว
พยายามยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยรู้ว่าตัวคงต้านทานแรงดึงนี้ได้อีกไม่นาน จึงรีบเอื้อมมือเข้าไปจับผลึกแก้วที่ปลายคทา
ก่อนจะต้องกรีดร้องดังลั่น เมื่อตัวถูกดึงลอยออกจากห้องไป
*****************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น