นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

ปู้ปู้จิงซิน Bu Bu Jing Xin (3-1)





5-1-2557 15-07-57

          รั่วซีมองหน้าองค์ชายสี่อย่างตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยอมพูดความจริงออกมาจริงๆ เอ่ยปาก
ถามว่า เขาเคยบอกเรื่องนี้กับใครไหม? องค์ชายสี่บอก รั่วซีเป็นคนแรก รั่วซีถามว่าสิบสามรู้เรื่องนี้ไหม?
องค์ชายสี่บอก เขาไม่เคยบอก แต่สิบสามติดตามเขามาตั้งแต่เล็กจนโต มีหรือจะเดาใจเขาไม่ได้ รั่วซีถาม
อีกว่าเขาไม่กลัวว่านางจะไปบอกคนอื่นหรือ? องค์ชายสี่พูดเสียงเรียบว่า เมื่อครู่เดิมพันที่เจ้าวางสูงเกินไป
หากข้าจงใจเลี่ยงไม่เดิมพันด้วย เกรงว่าอาจจะพลาดโอกาสไปชั่วชีวิต จากนั้นบอกว่า ถึงคราวเขาถาม
บ้างแล้ว เมื่อวานที่โดนเตะ เจ็บมากไหม? รั่วซีตอบว่า ถูกเตะไม่หนักมาก แต่ก็ไม่เบาเหมือนกัน มันเจ็บอยู่
แปลบๆ แต่อวี้ถานทายาให้แล้ว จึงไม่เป็นอะไรมากแล้ว องค์ชายสี่จึงล้วงกล่องยาออกมาให้ แล้วบอกว่า
ให้กินยังไง รั่วซีก็พยักหน้าองค์ชายสี่ถามต่อว่า เมื่อวานสด็จพ่อเรียกไปคุยอะไรด้วยบ้าง สีหน้าเจ้าถึงได้
ดูผิดปกติแบบนั้น? รั่วซีจึงถอนใจแล้วเล่าให้ฟัง ก่อนจะถามว่าตอนท้ายนางไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้หมายถึงอะไร
องค์ชายสี่จึงยิ้ม บอกว่า หากเขาเดาไม่ผิด เสด็จพ่อน่าจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้ารักน้องสิบสาม  รั่วซีเปรยว่า
ฮ่องเต้ไม่งงบ้างหรือ หลายปีก่อนมีข่าวลือว่านางรักองค์ชายสิบ มาตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นรักองค์ชายสิบสาม
เสียแล้ว องค์ชายสี่บอกว่า เขาไม่เคยคิดเลยสักนิดว่ารั่วซีรักน้องสิบ แต่เรื่องที่รั่วซีไม่ได้รักน้องสิบสามนี่สิ
เขาเองยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม จากนั้นบอกว่า จากท่าทางของเสด็จพ่อที่รั่วซีเล่ามา ท่าทางเสด็จพ่อ
จะเอ็นดูเจ้ามากจริงๆ ถึงได้คำนึงถึงความรู้สึกของเจ้ามากอยู่ในการจะยกเจ้าให้ใคร รั่วซีฟังแล้วทิ้งตัวลง
คว่ำหน้ากับโต๊ะ ถามว่า งั้นแล้วถ้าท่านไปขอข้าแต่งงาน ฮ่องเต้จะรับปากไหม? องค์ชายสี่มองรั่วซีแล้วหัวเราะ
กระเซ้าว่าในที่สุดก็หน้าแดงจนได้! รั่วซีพูดทั้งเอาหน้าคว่ำกับโต๊ะว่าเปล่าสักหน่อย องค์ชายสี่จึงพูดว่า
งั้นทำไมหูถึงแดงก่ำเลยเล่า? พอเห็นรั่วซีเขินจัดจนนิ่งเงียบไม่พูดอะไร องค์ชายสี่ก็พูดกลั้วหัวเราะว่า
เอาไว้เรื่องรัชทายาทจบลงสนิทก่อน แล้วเขาจะไปขอรั่วซีกับท่านพ่อ บอกว่าเขากับนางใจตรงกัน ถ้าไม่ใช่
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบัลลังก์หรือการแย่งชิงผลประโยชน์ ท่านพ่อก็ใจดีอยู่หรอก ท่านพ่อเมตตาข้ามากอยู่
แล้วด้วย ท่านย่อมจะยอมรับปากแน่ (ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทถูกสืบรู้เรื่องสมคบกับพวกขุนนางคิดบีบให้
คังซีสละบัลลังก์ ตำแหน่งรัชทายาทจึงง่อนแง่น ใกล้ถึงเวลาถูกปลดรอบสอง)
         เสียงเคาะประตูดังขึ้น รั่วซีเดินไปเปิดประตูรับ ปรากฏว่าขันทีรับใช้ของสิบสี่เอายามาให้รั่วซี
พร้อมบอกวิธีใช้ หลังขันทีจากไป องค์ชายสี่ก็กำชับรั่วซีอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับ ตอนเดินผ่านโต๊ะ
ยังมือไวฉวยกระดาษที่รั่วซีคัดลายมือเอาไว้ไปแผ่นหนึ่งโดยที่รั่วซีแย่งคว้ากลับมาไม่ทัน องค์ชายสี่
พับกระดาษเก็บในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว บอกว่าจะเอาไว้ดูเป็นหลักฐานความก้าวหน้าของลายมือ หลายวัน
ต่อมา ยาที่องค์ชายสี่ให้มายังกินไม่ทันหมด ตรงที่ถูกองค์ชายสิบเตะก็หายดี รั่วซีเห็นสิบสี่เดินอยู่แต่ไกล
จึงรีบเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปหา ระยะนี้องค์ชายสิบกับสิบสี่เห็นนางแล้วหลบหน้าตลอด องค์ชายสิบนั้นนางพอ
เข้าใจ แต่สิบสี่ ถ้าหลบหน้านางเพราะเรื่องกำไล นางก็จะบอกเขาว่าไม่จำเป็นเลย สิบสี่เห็นรั่วซีเข้ามาทัก
ขอบคุณที่ส่งยามาให้ ก็หัวเราะ พูดว่าตอนนี้พี่สิบกับพระชายาน่าขำมากเลย จากที่ทะเลาะกันทุกครั้งที่พูดกัน
กลายเป็นต่างฝ่ายต่างเหนียมอาย สุภาพกันมากอย่างกับสามีภรรยาเพิ่งแต่งงานกัน ไม่ใช่แต่งกันมาแล้ว
หลายปีสองคนหัวเราะลั่นกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะต่างเงียบกันไป แล้วสิบสี่จึงพูดขรึมๆ ว่า ขอโทษนะ! คืนนั้น
ข้าเอากำไลไปคืนให้แล้ว ตอนนั้นพี่แปดรับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วเอาจานฝนหมึกบนโต๊ะทุบกำไลแหลก
ละเอียดทันที จากนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “ในที่สุดนางก็เลือกพี่สี่!”   รั่วซีตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองสิบสี่ สิบสี่ก็
กำลังจ้องมาด้วยสายตาลุกโชนพอดี ถามเสียงหนักว่า “จริงหรือเปล่า?” รั่วซีถามว่า เจ้าได้ถามเขาไหม
ว่าทำไมถึงพูดแบบนี้? สิบสี่ตอบว่า พี่แปดบอกว่านับตั้งแต่เจ้าเข้ามาทำงานในวัง เจ้าก็ปฏิบัติตัวกับพี่สี่
แตกต่างจากคนอื่นมาโดยตลอด เวลาเสิร์ฟชาก็เสิร์ฟชาที่พี่สี่ชอบก่อนใคร ต่อมาถึงได้เริ่มเสิร์ฟให้แต่ละคน
ตามรสนิยม ตอนที่ปลดตำแหน่งรัชทายาท หลังจากเจ้ากลับมาจากมองโกล สายตาเจ้าที่มองพี่สี่ก็เปลี่ยนไป
แล้วยังมีหลายครั้งที่มองพี่สี่แล้วหน้าแดง พูดถึงตรงนี้สิบสี่ก็แค่นเสียง พูดต่อว่า หลังจากนั้นไม่ต้องให้
พี่แปดบอก ข้าก็สังเกตเห็นว่าเจ้ากับพี่สี่ส่งสายตากันไปมาอยู่บ่อยๆ บางทียังมีอมยิ้ม มีทำสายตางอนใส่ด้วย
พี่แปดจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเจ้าอยู่ตลอด แน่นอนละว่าย่อมจะมองเห็นมากยิ่งกว่าข้าเยอะ!
รั่วซีฟังแล้วหัวเราะลั่นทันที เดิมทีสิบสี่มีท่าทางค่อนข้างจะโมโหอยู่ แต่พอเห็นรั่วซีหัวเราะก็ตกตะลึง รั่วซี
พูดแดกดันว่าช่างสมกับเป็นองค์ชายแปดผู้มีความคิดลึกล้ำเสียจริงนะ ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาคิด
แบบนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ ที่แท้เขาก็ไม่เคยเผยความจริงใจให้ข้าได้เห็นเลย! รั่วซีนึกไม่ถึงว่าตลอดเวลา
ที่คบกัน องค์ชายแปดจะปิดบังความคิดที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ไม่เผยให้นางเห็น และเผยให้เห็นก็แต่
ส่วนที่อยากจะให้นางได้เห็นเท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจว่าในเมื่ออีกฝ่ายระแวงนางมาแต่แรก แล้วทำไม
ต้องมาทำท่าว่ารักมากและเจ็บปวดมากให้นางดูแบบนี้ด้วย? คิดถึงตรงนี้ นางก็หันกลับจะวิ่งจากไปทันที
สิบสี่รีบคว้าแขนไว้ ถามว่ารั่วซีรักพี่สี่จริงๆ หรือ?  รั่วซีจ้องหน้าสิบสี่ ยิ้มเย็นชา พูดประชดว่า ใช่! นาง
หลงรักองค์ชายสี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว รักมากอย่างลึกล้ำเลยแหละ พอใจหรือยัง? พูดจบก็สะบัดแขนหลุด
จากสิบสี่แล้ววิ่งจากไป  ระหว่างที่วิ่งไม่ได้ดูทาง ก็ไปชนเข้ากับคนหนึ่งเข้าเต็มเปาจนคนที่ถูกชนต้องรีบ
พยุงนางเอาไว้ นางถึงไม่ล้ม พอเงยหน้าขึ้นดู ปรากฏว่าคนที่นางวิ่งชนคือองค์ชายสี่ สิบสามที่ยืนอยู่ข้างๆ
ถามกลั้วหัวเราะว่า ข้างหลังมีเสือไล่กวดตามมาหรือไง? รั่วซีน้ำตารื้นขึ้นมาทันที สะบัดแขนหลุดจาก
องค์ชายสี่ ทำท่าจะวิ่งต่อ องค์ชายสี่รีบหันไปคว้าแขนไว้อีกครั้ง ดึงให้เดินไปด้วยกันที่ด้านหลังหินก้อนใหญ่
ริมสระซึ่งเป็นมุมลับตา แล้วถามว่าเป็นอะไรไป? รั่วซียืนน้ำตาไหลนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ค่อยถามองค์ชายสี่ว่า
ต่อไปท่านจะไม่โกหกข้าจริงๆ ใช่ไหม? ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะพูดกันด้วยความจริงใช่ไหม? องค์ชายสี่ตอบ
เสียงหนักว่า ใช่! รั่วซีจึงเช็ดน้ำตา บอกว่า นางไม่เป็นไรแล้ว ส่วนเรื่องที่ทำไมนางร้องไห้ ตอนนี้นาง
ไม่อยากพูด ได้ไหม? องค์ชายสี่พยักหน้า บอกว่าเสด็จพ่อรอคุยกับเขาและสิบสามอยู่ จึงหันเดินนำ
ออกมาจากด้านหลังก้อนหินโดยที่รั่วซีเดินตามหลังออกไป สิบสามมองรั่วซีอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะ
เดินตามองค์ชายสี่แยกจากไป

366
         ตั้งแต่หนสุดท้ายที่เจอองค์ชายสิบตอนที่มาอาละวาด และรั่วซีเล่าเรื่องเปรียบเทียบระหว่าง
ถังหูลู่กับขนมเม็ดบัวไปแล้ว องค์ชายสิบก็พยายามหลบหน้ารั่วซีตลอด ส่วนรั่วซีก็พยายามหลบหน้า
องค์ชายแปด แต่ไม่ใช่เพราะแค้นอีกฝ่าย เพราะเมื่อมาลองคิดดูอยางละเอียดแล้ว องค์ชายแปดระแวงนาง
แล้วนางล่ะ ไม่ได้เปิดใจให้เขาเต็มที่ ไม่ได้ระแวงเขาว่าเห็นนางเป็นแค่ตัวแทนของพี่สาวเหมือนกัน
หรอกหรือ? อย่าว่าแต่ตอนที่คบกับองค์ชายแปด นางแน่ใจหรือว่าในใจของนางไม่ได้มีองค์ชายสี่อยู่เลยจริงๆ?
ในเมื่อตัวนางเองก็ระแวงเขา ดังนั้นจะไปโกรธที่เขาระแวงนางได้อย่างไร เรื่องนี้จึงถือว่าเจ๊ากันไป เมื่อนึกถึง
องค์ชายสี่ รั่วซีก็อดยิ้มไม่ได้ รู้สึกว่าในวังหลวงแห่งนี้ นางไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป องค์ชายสี่ยอมฟัง
นางระบายเรื่องกลุ้มใจอย่างอดทนและแนะนำวิธีแก้ไขทุกครั้ง (ในเรื่อง ในบรรดาองค์ชายทุกคนที่รั่วซี
คบและสนิทด้วย มีแต่องค์ชายสี่คนเดียวที่อายุมากกว่าจางเสี่ยวเหวิน) ยินดีคบหาด้วยอย่างจริงใจ
พูดกันแต่ความจริง นางไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี และเมื่อนึกถึง
ที่องค์ชายสี่ชอบพูดแกล้งให้นางหน้าแตกหรือตีหน้าไม่ถูกอยู่บ่อยๆ จนเวลาอยู่ต่อหน้าเขา นางที่ฝีปาก
เป็นเลิศมีแต่ตกเป็นฝ่ายแพ้ทุกที รั่วซีก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากแก้แค้นเอาคืนขึ้นมาติดหมัด วันรุ่งขึ้น
รั่วซีทำพุดดิ้งเป็นของหวานทานกับน้ำชา เนื่องจากนางเพิ่งเคยทำพุดดิ้งให้คังซีทานเป็นครั้งแรก และคังซี
ก็เพิ่งจะเคยได้ทานพุดดิ้งเป็นครั้งแรก สั่งให้ยกมาให้พวกองค์ชายทุกคนด้วย รั่วซีก็ยกมาให้ ตอนยกขนม
เสิร์ฟให้องค์ชายสี่ ก็แอบยิ้มสมน้ำหน้าให้เขา แต่องค์ชายสี่ทำหน้าเฉยเหมือนมองไม่เห็น ตอนเอาจานขนม
ไปเสิร์ฟให้องค์ชายแปด องค์ชายแปดหันไปมององค์ชายสี่ยิ้มๆ หลังเสิร์ฟเสร็จ รั่วซีก็ออกไปจากห้อง
แล้วแอบมองอาการขององค์ชายสี่ตอนที่พุดดิ้งเข้าปาก พอเห็นพี่แกชะงักไปนิด ก่อนจะกินต่อทีละคำเล็กๆ
ด้วยสีหน้าปกติ รั่วซีก็หลบไปหัวเราะแทบบ้าอยู่คนเดียว หลังจากกินพุดดิ้งเสร็จ คังซีก็ถามว่ารสชาติเป็นไง?
องค์ชายทุกคนตอบพร้อมกันว่าอร่อยเหมือนที่เสด็จพ่อบอกไว้ไม่มีผิด มีแต่องค์ชายสี่คนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไร
คังซีจึงถามองค์ชายสี่ว่ารสชาติเป็นไง? องค์ชายสี่นิ่งไปนิด แล้วตอบว่า ลูกก็คิดว่ารสชาติดีมากเหมือนกัน
พ่ะย่ะค่ะ จึงมัวแต่หวนนึกถึงรสชาติของมันอยู่จนไม่ทันได้ตอบ รั่วซีฟังแล้วหัวเราะจนน้ำตาไหล แทบจะ
ท้องแข็งตาย หลังจากนั้นองค์ชายสี่ก็ดื่มน้ำชามากเป็นพิเศษจนหลังเลิกประชุมแยกย้ายกัน นางกำนัล
คนอื่นถึงกับออกปากทักว่าวันนี้องค์ชายสี่ทานน้ำชาหลายถ้วยจัง รั่วซีฟังแล้วหัวเราะก๊ากอีกหน  เสร็จจากงาน
รั่วซีออกมาเดินนอกตำหนัก เจอสิบสามยืนอยู่ ก็เข้าไปร้องทักว่าองค์ชายสี่ล่ะ สิบสามบอกไปเข้าห้องน้ำ
รั่วซีก็หัวเราะก๊าก เพราะกินน้ำเข้าไปตั้งเยอะขนาดนั้นก็สมควรอยู่หรอก สิบสามถามยิ้มๆ ว่าอารมณ์ดีเชียว
หัวเราะอะไรหรือ? รั่วซีเลยบอกให้ฟังว่าขนมที่เอาไปเสิร์ฟวันนี้น่ะ ขององค์ชายสี่ นางใส่ของบางอย่างที่
ขนมชิ้นอื่นไม่ได้ใส่ลงไปด้วย สิบสามถามว่าอะไรรึ? รั่วซีตอบว่า เกลือ!  สิบสามนิ่งตะลึงอ้าปากค้างไปอึดใจ
ก่อนจะหัวเราะก๊ากออกมาด้วยคน บอกมิน่าล่ะเขาถึงว่าวันนี้พี่สี่กินน้ำชาซดเอาๆ ยังกับกรอกน้ำ ตอนนั้นเอง
รั่วซีกับสิบสามก็เห็นองค์ชายสี่เดินมาแต่ไกล รั่วซีรีบบอกว่าขอตัวก่อนแล้วทำท่าจะเผ่นหนี สิบสามมือไว
รีบดึงเอาไว้ พูดกลั้วหัวเราะว่า กล้าทำก็ต้องกล้าเผชิญหน้าสิ รั่วซีทำหน้าละห้อย ขอร้องว่าตอนนี้ปล่อยให้
นางหลบไปก่อน เพราะสงสัยว่าตอนนี้องค์ชายสี่กำลังเดือดจัดอยู่แหงๆ สิบสามชักสงสาร จึงปล่อยมือให้
รั่วซีหนีไป แต่รั่วซีเพิ่งวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว องค์ชายสี่ก็ตะโกนสั่งเสียงเย็นว่า “กลับมา !”  รั่วซีตัวแข็งก้าวไม่ออก
ได้แต่เดินคอตกกลับไปรอรับโทษด้วยสีหน้าจ๋อยๆ สีหน้าองค์ชายสี่เรียบเฉยเหมือนทุกทีจนเดาอารมณ์ไม่ออก
ส่วนสิบสามมองรั่วซีด้วยสีหน้าเป็นห่วง องค์ชายสี่สั่งให้สิบสามล่วงหน้าไปก่อน รั่วซีมองหน้าเพื่อนตาละห้อย
สิบสามยิ้มแห้งๆ ทำสีหน้าว่าจนปัญญาจะช่วยได้  หลังสิบสามปลีกตัวไปแล้ว องค์ชายสี่ก็สั่งให้รั่วซียื่นมือ
ออกมา รั่วซีนึกว่าจะโดนตีมือทำโทษ แต่องค์ชายสี่กลับจูงมือนางเดินไปที่หลังต้นไม้ใหญ่มุมลับตาคน
แล้วถามว่า ตอนนี้ไม่กลัวข้าแล้วหรือไง? รั่วซีตอบว่า ข้าเคยกลัวท่านด้วยหรือ? องค์ชายสี่ก็บีบมือนางแรง
จนเจ็บ รั่วซีรีบบอกว่า เมื่อก่อนเคยกลัวนิดหน่อย องค์ชายสี่แค่นเสียงว่า นิดหน่อยรึ? รั่วซีรีบทำมือบอก
เพิ่มให้อีกนิดหน่อย! องค์ชายสี่บอก ดูท่าให้เจ้ากลัวสักหน่อยน่าจะดีกว่า รั่วซีจึงแอบมองว่าเขาจะทำให้
นางกลัวยังไง แต่องค์ชายสี่นิ่งเงียบไปไม่พูดอะไร แล้วอยู่ๆ ก็เดินหนีไปเลยจนรั่วซีตกใจและร้อนใจ
รีบเดินตามไปง้อ บอกว่าต่อไปนางจะไม่แกล้งเขาแล้ว องค์ชายสี่ค่อยบอกแบบอ่อนใจว่าเขาไม่ได้โกรธ
เขาแค่หิวน้ำมาก จะไปหาน้ำดื่ม รั่วซีฟังแล้วหัวเราะก๊ากออกมาอีกหน รีบกวักมือเรียกขันทีให้วิ่งไปเอาน้ำชามาให้
         ในวันเทศกาลฉลองใหญ่ (อะไรสักอย่าง) ทั้งคังซี บรรดาพระสนม องค์หญิงองค์ชาย พระชายา
ต่างมาร่วมกันแน่นขนัด รั่วซีถือกล่องอาหารปลีกตัวไปนั่งกินตามลำพังที่สระบัว ปรากฏว่าไปเจอสิบสาม
ยืนเป่าขลุ่ยอยู่ก่อนแล้ว จึงร้องทัก แล้วสองคนก็มานั่งกินข้าวดวดเหล้ากัน สิบสามบอกว่าไม่ได้นั่งดวดเหล้า
กับรั่วซีแบบนี้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่รั่วซีเข้าวังมา รั่วซีบอกสิบปีเต็มแล้ว และนิ่งไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตาม
ประวัติศาสตร์ ภายในปีนี้สิบสามจะต้องถูกลงโทษกักบริเวณในที่ซึ่งเหมือนกับคุกเป็นเวลาถึงสิบปีเต็ม
ส่วนจะด้วยสาเหตุอะไรนางก็ไม่รู้ละเอียดเหมือนกัน และหลังจากดวดเหล้ากันครั้งนี้ กว่าจะได้เจอหน้ากัน
อีกทีอาจจะเป็นสิบปีข้างหน้า  รั่วซีบอกว่า นี่ถ้าสิบสามไม่เกิดมาเป็นองค์ชายก็คงดี เพราะนิสัยของสิบสาม
ไม่เหมาะจะเป็นองค์ชายที่ถูกธรรมเนียมพิธีการอะไรต่างๆ ผูกมัดเอาไว้เลย เหมาะจะไปเป็นจอมยุทธ์ท่อง
ทะยานไปทั่วหล้ามากกว่า ช่างเกิดมาผิดที่จริงๆ  สิบสามถอนใจ บอกว่าเขาเองก็คิดแบบนี้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง
แล้วเหมือนกัน อีกอย่างคือ ถึงเขาจะสามารถวางตัวอยู่นอกวงศึกชิงบัลลังก์ได้ แต่เขาทิ้งพี่สี่ไม่ได้ เขาไม่
อยากให้พี่สี่ต้องเผชิญคลื่นลมเพียงลำพัง ถึงพี่สี่จะมีพระมารดา มีน้องชายแม่เดียวกัน แต่ก็ไม่ต่างอะไร
กับไม่มี!  รั่วซีบอกว่า ในวังหลวงแห่งนี้ มีแต่สิบสามที่มีความคิดด้านอุดมคติตรงกันกับนาง น่าเสียดายที่
เราสองคนดันไม่รักกันเสียได้ นี่ทำไมเจ้าถึงไม่รักข้าล่ะ? สิบสามฟังแล้วสำลักเหล้าทันที โวยว่าอะไรน่ะ!
ข้าสิควรจะโวยว่าทำไมเจ้าถึงไม่มารักข้า ทั้งที่ข้าออกจะทั้งหล่อทั้งเท่ขนาดนี้ ไหงเจ้าดันเป็นฝ่ายมาว่าข้า
เสียได้ล่ะ! รั่วซีบอก โห...นะ อย่างกับนางไม่เคยได้ยินงั้นแหละว่าสิบสามโปรยเสน่ห์ไปทั่วจนสาวๆ หลงรัก
หัวใจสลายกันไปตั้งเท่าไหร่ สิบสามหัวเราะส่ายหน้า ชี้หน้ารั่วซีแล้วพูดว่า “เช่นกันๆ !” รั่วซีบอก ข้าเป็น
ฝ่ายถามก่อนนะ เจ้าตอบมาก่อนสิ  สิบสามตอบว่า ท่านแม่เขาเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก ความทรงจำเกี่ยวกับ
ท่านแม่ของเขามีไม่มาก หน้าตาก็จำไม่ได้ แต่เขาจำได้ดีว่าท่านแม่มักจะกอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน และ
ร้องเพลงให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ ท่านแม่มักจะพูดจาอย่างอ่อนหวานนุ่มนวล มีรอยยิ้มที่อบอุ่น ส่วนเจ้า...
สิบสามชี้หน้ารั่วซี พูดว่า ป่าเถื่อนเกินไป!  รั่วซีบอก อ้อ...ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกแหง่ติดแม่นี่เอง ถึงได้ชอบ
ผู้หญิงที่มีบุคลิกอ่อนหวานนุ่มนวลเหมือนแม่ตัวเอง มิน่าล่ะถึงได้ไม่ชอบหมินหมิ่น เพราะไม่ใช่สเปค
สิบสามจึงย้อนถามบ้างว่าแล้วรั่วซีล่ะ ทำไมถึงไม่ชอบเขา? รั่วซีบอกว่า ถ้าบอกแล้ว ห้ามเอาไปบอกใคร
เด็ดขาดนะ รวมถึงองค์ชายสี่ สิบสามก็รับปาก บ่นว่าดูท่าทางในสายตาของเจ้านี่ ข้าเป็นคนปากโป้งเอาการ
เลยสินะ เมื่อเห็นสิบสามรับปากแล้ว รั่วซีจึงบอกว่า ในเรื่องความรักระหว่างชายหญิง นางจะไม่ไปรักใครก่อน
หรือทุ่มเทใจให้ใคร และพยายามทำให้เขารักตอบเหมือนอย่างหมินหมิ่น แต่นางจะรอให้คนอื่นมารักตัวเองก่อน
แล้วนางยังสร้างกำแพงป้องกันหัวใจของตัวเองเอาไว้แน่นหนามาก โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาอยู่ในวังหลวง
กำแพงก็ยิ่งหนา แล้วนางทนไม่ได้ที่จะมีสามีร่วมกับคนอื่น แต่เรื่องนี้ยังไม่เท่าไหร่ เพราะก็เหมือนที่แม้
สิบสามจะรักอิสระ แต่เมื่อเกิดมาเป็นองค์ชายแล้ว ก็ค่อยๆ ปรับตัวชินกับวิถีชีวิตของการเป็นองค์ชายไปเอง
ตัวนางจากเดิมที่ไม่สามารถทำใจรับเรื่องสามีมีภรรยาหลายคนได้ แต่ในสังคมแบบนี้ที่ผู้ชายทุกคนเป็น
แบบนี้เหมือนกันหมด นางก็ค่อยๆ ทำใจยอมรับได้ เพราะมันไม่มีทางเลือก ถึงงั้น นางก็ยังคาดหวังให้มี
คนมารักนางแบบทุ่มเทและจริงใจ หากเขาอยากได้หัวใจนาง เขาต้องทุ่มเทความพยายามที่จะเปิดหัวใจนาง
แสดงความจริงใจออกมาให้นางเห็น ให้นางค่อยๆ รักเขาตอบ เพราะงั้นที่นางไม่ได้รักสิบสาม ก็เพราะ
สิบสามไม่ได้เป็นฝ่ายมารักนางก่อนนี่แหละ!  สิบสามฟังแล้วพึมพำว่าท่าทางเขาต้องไปบอกพี่สี่ให้พยายาม
ให้มากกว่านี้ซะแล้ว เพราะพี่สี่เสียเปรียบตรงที่มีภรรยาอยู่แล้วหลายคน แต่โชคดีที่ข้อด้อยนี้ ทุกคนเป็น
เหมือนกันหมด รั่วซีพูดว่า เรื่องของข้ากับองค์ชายสี่ เจ้าไม่ต้องมายุ่งหรอกน่า! สิบสามบอกว่า เขาไม่รู้
หรอกนะว่าระหว่างรั่วซีกับองค์ชายแปดมีอะไรกัน แต่ในเมื่อรั่วซีตอบรับพี่สี่แล้ว รั่วซีก็ควรทุ่มเทใจให้พี่สี่
เพียงคนเดียว รั่วซีมองหน้าสิบสามแบบตกใจ ถามว่ารู้ได้ไง? แล้วองค์ชายสี่รู้หรือเปล่า? สิบสามบอก
ทีแรกเขาก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอก แต่สงสัยตั้งแต่ตอนที่หมินหมิ่นพูดเรื่องเจ้ากับพี่แปดแล้วทำท่าอึกอักอ้อมแอ้ม
กับเมื่อวันที่พี่สิบมาอาละวาด แค่สายตาเย็นชาของพี่แปดก็ทำให้เจ้าถึงกับมือสั่นได้ นี่เลยแกล้งลองถามดู
ปรากฏว่าใช่จริงๆ ด้วย ก่อนนี้ข้าไม่รู้เพราะมัวแต่คิดว่าเจ้าชอบพอกับสิบสี่ อีกอย่างคือเจ้าปิดได้สนิทมากจริงๆ
จนข้าดูไม่ออกเลย ส่วนพี่สี่ยังไม่รู้เรื่องนี้  รั่วซีขอร้องสิบสามว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับองค์ชายสี่ สิบสามไม่เข้าใจ
ว่ารั่วซีจะปิดไปทำไม ก็แค่รักเก่า พี่สี่เขาใจกว้างกับเรื่องนี้ ยังไงก็ไม่ถือสาอะไรอยู่แล้ว รั่วซีบอกว่า นางไม่
เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดที่เคยรักคนอื่นมาก่อนจะมารักองค์ชายสี่ เพราะในเมื่อผู้ชายมีเมียหลายคนได้
แล้วผู้หญิงจะแค่เคยรักผู้ชายอื่นมาก่อน มันจะไม่ได้เลยเชียวหรือ? แต่นี่ถ้าอีกฝ่ายเป็นองค์ชายสิบหรือสิบสี่
นางก็จะบอกแบบไม่ปิดบังอยู่หรอก มีแต่องค์ชายแปดเท่านั้นที่ห้ามบอกเด็ดขาด นางไม่กล้าเสี่ยงที่จะบอก
องค์ชายสี่ว่าคนรักเก่าของนางคือองค์ชายแปด (เพราะในบรรดาองค์ชายที่ถูกยงเจิ้งเล่นงานถึงตายหลัง
ได้ขึ้นครองราชย์ มีแต่องค์ชายแปดและเก้า)  สิบสามฟังแล้วไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็รับปาก แล้วบอกตามตรง
ว่า เมื่อก่อนเขาเคยหวังให้พี่สี่ได้ลงเอยกับรั่วซี เพราะทั้งรั่วซีกับพี่สี่ต่างก็เป็นคนสำคัญของเขาด้วยกันทั้งคู่
(ถึงได้เปิดโอกาสให้องค์ชายสี่มาสอนรั่วซีขี่ม้า) แต่ต่อมาเห็นรั่วซีไม่เต็มใจ เขาก็ไม่ฝืนใจ ถึงแม้เขาจะไม่
เข้าใจพฤติกรรมของรั่วซีที่ขัดแย้งกันเองก็ตาม (ทำดีด้วยแบบพิเศษกว่าคนอื่นเห็นๆ แต่ดันบอกว่าไม่ได้มี
ใจให้) ส่วนพี่สี่ก็ ถึงจะสนใจเจ้าอยู่เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะต้องแต่งงานกับเจ้าให้ได้ ตอนที่เจ้าคืนปิ่นกับจี้
นั่นให้พี่สี่ พี่สี่ยังหัวเราะ บอกข้าว่า นี่พูดถึงขนาดว่าอยากอยู่โสดไปชั่วชีวิตออกมาเลยเชียวนะ หนหน้ามิถึง
กับพูดว่ายอมตายไม่ยอมแต่งงานหรอกรึ? ช่างเถอะ อย่าไปฝืนใจนางดีกว่า พูดจบพี่เขาก็โยนปิ่นกับสร้อยนั่น
ทิ้งไป และเลิกสนใจเจ้า แต่หลังกลับมาจากมองโกล พี่สี่ก็เปลี่ยนใจ ไปควานหาปิ่นกับจี้ที่ทิ้งไปกลับคืนมา
รั่วซีถามอย่างอดไม่ได้ว่า เพราะหยกประดับที่ท่านพ่อหมินหมิ่นให้นางมางั้นหรือ? สิบสามถลึงตาใส่ พูดว่า
เจ้าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนรัชทายาทหรือไง? แล้วหัวเราะ บอกว่า การแสดงบนเวทีครั้งนั้น สิ่งที่ปรากฏ
ต่อหน้าสายตาทุกคนให้ตกตะลึงคือความงดงามของหมินหมิ่นก็จริงอยู่ แต่คนที่มีใจมองให้ลึกจริงๆ แล้ว
เขามองเห็นไปถึงเบื้องหลัง มองเห็นถึงความสามารถของเจ้าที่สามารถเนรมิตฉากเวทีที่น่าประทับใจ
อย่างเหลือเชื่อเช่นนั้นขึ้นมาได้ และจิตใจของเจ้าที่หวังดีคิดส่งเสริมหมินหมิ่นอย่างจริงใจ  ในวังหลวง
หญิงใดบ้างไม่พยายามดันตัวเองให้เด่นกว่าใคร สะดุดตากว่าใคร แต่เจ้ากลับยินดีส่งเสริมผู้อื่นให้ได้ดี
โดยไม่เห็นแก่ตัว คนอย่างเจ้านี้ บอกตามตรงว่าข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน และข้าคิดว่าพี่สี่เองก็ไม่เคยพบ
มาก่อนเช่นกัน! ยังมีเรื่องที่เจ้าช่วยปกป้องน้องสิบสี่นั่นอีก การกระทำของเจ้าคู่ควรแก่คำว่า “คุณธรรม”
ได้อย่างเต็มภาคภูมิปกติเวลาพี่สี่กระทำเรื่องใด มักมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด ไม่มีลังเล แต่ตอนที่พี่สี่
ถือกล่องใส่ปิ่นกับจี้ ลังเลอยู่หลายวันว่าจะคืนให้เจ้าดีหรือไม่นั้น ข้าถึงได้รู้ว่าพี่สี่ไม่ได้แค่หวั่นไหวใจกับเจ้า
เฉยๆ เสียแล้ว ในใจของพี่สี่ เจ้ามีน้ำหนัก มีความสำคัญยิ่งกว่านั้นมาก ดังนั้นในวันนั้นตอนที่เห็นเจ้า
ปักปิ่นนั้นมาพบพี่สี่ ข้าถึงได้โล่งใจอย่างมาก เจ้าไม่รู้หรอกว่าวันที่เจ้าถูกพี่สิบเตะนั่น ข้าเห็นแววตาพี่สี่
เจ็บปวดมากเลยเชียวละ! ปกติพี่สี่เป็นคนเข้มงวดมาก ในวังของพี่เขา ทุกคนต้องรักษาระเบียบ ทั้งภรรยา
และลูกของพี่เขาทุกคนกลัวพี่เขากันมาก ไม่มีใครกล้าทำอะไรเหลวไหลหรือขัดคำสั่งเลย และต่อให้
ไม่เอ่ยถึงเรื่องกฎระเบียบในบ้าน แค่สีหน้าเย็นชานั่นของพี่เขา ก็น่ากลัวพอจะทำให้ทุกคนไม่กล้าขัด
คำสั่งหรือเข้าไปหาเรื่องได้แล้ว ตอนที่เจ้าแกล้งพี่สี่โดยเติมเกลือลงไปในขนมนั่น ข้าเป็นห่วงแทนเจ้า
จริงๆ นะ แต่หลังจากนั้นพอข้าถามพี่สี่ว่าลงโทษเจ้ายังไง พี่สี่กลับบอกว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปล่อย
ตามใจนางไปเถอะ! อีกอย่างนานๆ ทีจะได้เห็นนางหัวเราะอารมณ์ดีถึงขนาดนั้นด้วย ดังนั้น ไม่ว่าเจ้า
จะรับปากพี่สี่เพราะกลับถูกเสด็จพ่อยกให้คนอื่นหรือเพราะมีใจให้พี่สี่ก็ตาม ขอให้เจ้าทุ่มเทใจดีกับพี่สี่
ให้มาก หากเจ้าทำร้ายจิตใจพี่สี่เพราะพี่แปดละก็ ข้าไม่มีวันยกโทษให้เจ้าแน่! ลังเลหลายใจ ทำร้ายทั้ง
ตัวเองและคนอื่น ข้าดูถูกผู้หญิงแบบนั้นมากที่สุด!  รั่วซีตอบว่า ในเมื่อข้าได้เลือกองค์ชายสี่แล้ว
ต่อไปก็จะไม่มีใจกับองค์ชายแปดอีก เพราะข้าก็ไม่ชอบความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงที่ยังเหลือเยื่อใย
ไม่ยอมตัดให้เด็ดขาดไปสักทีเหมือนกัน  สิบสามพูดต่อว่า พี่สี่ของเขาเป็นคนเปลือกนอกเย็นชา แต่
ในใจไม่ใช่ พี่เขาซ่อนความอบอุ่นในใจเอาไว้ลึกมากๆ จนคนเข้าถึงได้ยาก จึงสนิทกับใครได้ยาก
แล้วพี่เขายังมักทำหน้าเย็นชา พูดจาก็แหลมคมเย็นชา ภรรยาของพี่เขาต่างก็กลัวพี่เขากันมากโดยไม่เคย
รู้ซึ้งถึงความอบอุ่นที่อยู่ภายใต้ความเย็นชานั้นเลย คนนิสัยแบบนี้จะทำร้ายตัวเองให้ต้องกระทบกระเทือน
ใจได้ง่าย ข้าเองแม้พอจะช่วยคุยให้พี่เขาระบายความในใจออกมาได้บ้าง แต่ก็ช่วยสลายความกลัดกลุ้ม
อึดอัดคับข้องใจให้พี่สี่ไม่ได้ พี่เขาจึงยังต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอยู่เหมือนเดิม ข้าจึงหวังว่าสักวันหนึ่ง
จะมีใครสักคนที่เข้าใจพี่เขาและสามารถช่วยนำพาพี่เขาออกมาจากห้วงแห่งความกลัดกลุ้มนั้นได้
ใครสักคนที่จะมาจับมือพี่เขาไว้ ให้พี่เขาได้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว  แม้ตัวเจ้าจะเพียรบอกว่า
เจ้าอ่านหนังสือมาไม่มาก แต่ข้ารู้ดีว่าหนังสือที่เจ้าอ่านไม่มีทางน้อยไปกว่าพวกข้าแน่ เวลาที่ได้คุยกับ
เจ้าแบบเปิดอก ข้าถึงกับรู้สึกด้วยซ้ำว่าเจ้าไม่เหมือนสตรีที่โตมาในห้องหอ เจ้ามีความรู้และประสบการณ์
กว้างขวาง รู้เห็นอะไรๆ มามากมายกว่าที่ใครๆ จะคาดคิด ภูเขาแม่น้ำหลายๆ แห่ง เจ้าก็เหมือนจะเคยไป
เยือนไปเห็นกับตาตัวเองมาแล้ว ดังนั้น ขอเพียงเจ้ายินยอม เจ้ากับพี่สี่ต้องเข้าคู่กันได้เป็นอย่างดีแน่นอน
สุดท้าย สิบสามเตือนรั่วซีด้วยความหวังดีว่า ที่รั่วซีสามารถอยู่ในวังได้แบบสงบสุขไร้คลื่นลมแบบนี้
ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะองค์ชายแปดช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง และไม่ใช่เพราะรั่วซีสนิทกับพวกเขา
หลายๆ คนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเสด็จพ่อของเขาเอ็นดูรั่วซีมากต่างหาก และที่เสด็จพ่อของเขา
เอ็นดูรั่วซี เพราะรั่วซีเป็นคนเดียวในวังหลวงนี้นอกเหนือจากหัวหน้าขันทีที่ขยันและตั้งใจทำงานโดยไม่
เห็นแก่ผลประโยชน์ ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ไม่กลั่นแกล้งหรือพยายามเหยียบย่ำฝ่ายใด วางตัวได้อย่าง
เหมาะสมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย (ตอนที่ปลดรัชทายาทครั้งแรก และคังซีเรียกตัวรัชทายาทเข้าไป
คุยด้วยในห้องที่มีสองชั้น โดยให้รั่วซีนั่งอยู่ในห้องชั้นนอก ถือเป็นการทดสอบรั่วซีว่าเป็นคนที่ฝ่ายไหน
ส่งมาแอบสืบข่าวหรือเปล่า โดยถ้าใช่ รั่วซีจะต้องพยายามหาทางแอบฟัง แต่ตอนนั้นรั่วซีไม่ได้คิดที่จะ
แอบฟังเลย แถมยังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิมจนคังซีกับหัวหน้าขันทีเดินออกมาจากห้องเกือบถึงตัวและร้องเรียก
ถึงค่อยรู้สึกตัว ทำให้ทั้งคังซีและหัวหน้าขันทีพอใจมาก และไว้ใจรั่วซียิ่งกว่าเดิมมาก)  เขาขอให้รั่วซี
พยายามรักษาการวางตัวแบบนี้ต่อไป เพราะอยู่ในวังหลวงนี้ ความจริงแล้วมีคนที่ริษยาจ้องจะทำลายรั่วซี
และคนที่รั่วซีไปล่วงเกินเอาไว้โดยไม่รู้ตัวอยู่เยอะมาก หากวันใดที่สูญเสียความเอ็นดูจากเสด็จพ่อ
คนเหล่านี้จะมารุมเล่นงานรั่วซีพร้อมๆ กันในทันที ซึ่งพวกเขาก็ไม่แน่ว่าจะสามารถช่วยเหลือรั่วซีได้
จึงขอเตือนให้รั่วซีระวังตัวเอาไว้ให้ดีรั่วซีฟังจบก็ขอบคุณมากในคำเตือนด้วยความหวังดีของสิบสาม

366
         วันรุ่งขึ้น ด้วยแผนการที่องค์ชายแปดวางเอาไว้ ทำให้องค์ชายสี่โดนข้อหาว่าติดต่อกับขุนนาง
ในพื้นที่ปล่อยข่าวลือให้ร้ายรัชทายาท ทั้งที่ความจริงแล้ว เรื่องนี้ทั้งองค์ชายสี่และองค์ชายแปดต่างมี
ส่วนรู้เห็น และคนที่ลงมือทำอย่างจริงจังคือองค์ชายแปด องค์ชายสี่แค่ช่วยประสานงานเท่านั้น
แต่องค์ชายสี่ไม่สามารถพูดออกไปได้ เพราะขุนนางที่ติดต่อด้วยเป็นคนขององค์ชายแปด พวกนั้น
เตี๊ยมกันมาแล้วอย่างดี  คังซีกริ้วจัดกับเรื่องนี้ แต่ก่อนที่จะทันได้สั่งลงโทษ องค์ชายสิบสามก็ลุกขึ้น
รับสารภาพว่าทั้งหมดเขาเป็นคนลงมือเอง เขาแอบอ้างชื่อพี่สี่ไปปล่อยข่าวลือให้ร้ายรัชทายาท ดังนั้น
สิบสามจึงถูกลงโทษส่งไปกักตัวที่เรือนคนเลี้ยงผึ้งซึ่งเป็นกระท่อมเก่าโทรมผุพัง หน้าร้อนร้อนแทบบ้า
หน้าหนาวหนาวแทบแข็งตายโดยไม่มีกำหนดปล่อยตัว และถูกยกเลิกเงินเดือน ถูกริบยศทั้งหมด  ตอนที่
สิบสามถูกคุมตัวไป ยังคงมีท่าทางสบายๆ ไม่หวั่นกลัวใดๆ เหมือนเช่นปกติ  องค์ชายสี่ได้แต่มองน้องชาย
ที่สนิทและภักดีกับเขามากที่สุดถูกพาตัวไปโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย ไม่ต้องพูดถึงว่าเหตุการณ์
ครั้งนี้ทำให้เขาแค้นองค์ชายแปดที่เป็นตัวการอยู่เบื้องหลังมากแค่ไหน...  หลังสิบสามถูกส่งไปกักตัว
องค์ชายสี่ก็ของดงานในราชสำนักทั้งหมด เก็บตัวสำนึกผิดอยู่ที่บ้านด้วยข้ออ้างว่า เลินเล่อจนไม่ได้
ตรวจพบเรื่องนี้ทันการณ์ เป็นเหตุให้ไม่ทันได้ตักเตือนน้องสิบสาม และทำให้เสด็จพ่อต้องเจ็บปวดพระทัย
          เจ็ดวันต่อมา สิบสี่แวะมาหารั่วซี รั่วซีนั่งนิ่งไม่ลุกขึ้นถวายบังคมจนสิบสี่โวยว่านี่คิดจะเลิกธรรมเนียม
ถวายบังคมแล้วงั้นรึ และกะจะไม่คุยกับพวกเขาแล้วหรือไง แม้แต่น้ำชาก็จะไม่ให้กิน? รั่วซีพูดเสียงเย็นว่า
ชุดน้ำชาเจ้าเป็นคนซื้อมาให้ ก็ต้องให้เจ้ากินน้ำชาอยู่แล้ว จากนั้นชงน้ำชาให้ สิบสี่หยิบจดหมายออกมา
ยื่นให้รั่วซี บอกว่าจดหมายจากลวี่อู๋ นางไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าบ้านเขาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ กว่าคนเฝ้าประตู
บ้านเขาจะเข้าไปบอกเขา  จดหมายของลวี่อู๋ขอร้องให้รั่วซีหาทางขอฮ่องเต้ให้ส่งนางเข้าไปเป็นสาวใช้
ปรนนิบัติสิบสามในที่คุมขัง สิบสี่บอกว่า ก่อนหน้าที่จะมาหาเขา ลวี่อู๋ไปคุกเข่าอยู่หน้าบ้านองค์ชายสี่
หนึ่งวันหนึ่งคืนก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครแยแส ดูความไร้น้ำใจของพี่สี่สิ รั่วซีไม่วิจารณ์ และถามว่า ไม่มีทาง
ช่วยทำให้ลวี่อู๋สมหวังได้จริงๆ หรือ? สิบสี่บอก เจ้าคิดว่าข้าเลือดเย็นกับพี่น้องมากนักหรือไง ถึงอย่างไร
ข้ากับสิบสามก็เล่นด้วยกันมาจนโต อย่าว่าแต่เขายังเคยช่วยข้ามาก่อน แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไร
ด้านผลประโยชน์ ถ้าช่วยได้ทำไมจะไม่ช่วย แต่นี่เป็นเพราะเสด็จพ่อมีราชโองการอยู่ก่อน แล้วคนเฝ้า
สิบสามเป็นคนที่พี่สามคัดเลือกเอง กับได้รับการอนุญาตจากเสด็จพ่อแล้วทั้งสิ้น ไม่มีทางหาช่องโหว่
ช่วยได้เลย  ก่อนกลับสิบสี่เตือนรั่วซีว่า ไม่ว่ารั่วซีจะรักพี่สี่จริงหรือไม่ก็ตาม ให้รีบตัดใจซะจะดีกว่า
หลังจากได้รับจดหมายของลวี่อู๋ รั่วซีก็รอโอกาสตอนคังซีออกเดินเที่ยวสวนและดูอารมณ์ดี ร้องขอตาม
ที่ลวี่อู๋ขอมา ผลคือคังซีกริ้วหนัก สั่งให้รั่วซีคุกเข่าอยู่ในสวนอย่างนั้นโดยไม่ให้ลุก เวลาผ่านไปจนตกเย็น
รั่วซีคุกเข่าจนจากตอนแรกเจ็บจนทนไม่ไหวกลายเป็นชาหมดความรู้สึกไปแล้ว อวี้ถานที่เห็นรั่วซีไม่
กลับมาที่ห้องสักทีตามมาหาร้องไห้ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ รั่วซีสั่งให้นางกลับไป เพราะถ้าฮ่องเต้รู้
ว่าอวี้ถานมาหานางในตอนนี้ อวี้ถานจะพลอยได้รับโทษไปด้วย อวี้ถานจึงบอกว่าหัวหน้าขันที หลี่เต๋อเฉวียน
ฝากมาบอกว่าเขาจะรอจังหวะที่ฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นช่วยร้องขอให้ยกโทษให้ แล้วกลับไป
        เมื่อฟ้าเริ่มมืด ฝนก็เทโครมลงมาอย่างหนัก รั่วซีหนาวมากจนแทบจะแข็ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีสายตา
กำลังจ้องมองมาอยู่ เมื่อมองไป ก็เห็นองค์ชายสี่ถือร่มยืนห่างออกไปข้างหน้า ในความมืดและมีม่านฝน
กางกั้น ทำให้มองเห็นสีหน้าไม่ชัด แต่รู้สึกได้ถึงความปวดร้าวอย่างมาก องค์ชายสี่ปาร่มทิ้ง แล้วเดินมา
หยุดยืนข้างๆ รั่วซี ยืนตากฝนเป็นเพื่อนนาง ทำให้รั่วซีรู้สึกอบอุ่นใจมาก จึงกระตุกชายเสื้ออีกฝ่าย
องค์ชายสี่ย่อตัวลงมาหา จัดลูกผมที่เปียกฝนจนยุ่งบนหน้าผากให้อย่างอ่อนโยน รั่วซีบอกว่า ท่านกลับ
ไปเถอะ ข้าได้เห็นความจริงใจของท่านแล้ว  องค์ชายสี่รวบร่างรั่วซีเข้ามากอดแน่นทันที ในตอนนั้น
สายฟ้าได้ผ่าลงมา จากแสงสว่างวาบทำให้รั่วซีมองเห็นองค์ชายแปดกับสิบสี่ยืนถือร่มห่างออกไปไม่ไกลนัก
จึงตกใจ รีบดันตัวองค์ชายสี่ออก องค์ชายสี่ปล่อยรั่วซีช้าๆ แล้วลุกขึ้นยืนหันกลับไปมอง ทั้งสามคนยืน
ประจันหน้ากันกลางสายฝน สิบสี่มีสีหน้าตกใจ แววตาแลบประกายโมโห ส่วนองค์ชายแปดยืนยิ้มละไม
ด้วยสีหน้านุ่มนวลเหมือนเดิมหลังจากต่างยืนนิ่งกันเหมือนเวลาหยุดเดินครู่หนึ่ง องค์ชายสี่ก็เดินเฉียด
ผ่านสองคนไปเก็บร่มที่ตกอยู่ แล้วเดินจากไป สิบสี่รีบเดินเข้ามาหารั่วซี ถามว่า รั่วซี ทำไมเจ้าถึงได้กล้า
พูดได้แค่นี้สิบสี่ก็หยุด องค์ชายแปดเดินเข้ามาตรงหน้า แล้วย่อตัวลงจ้องหน้ารั่วซี ร่มที่ถือกางบังฝนให้
รั่วซีก้มหน้าลงไม่มองหน้าอีกฝ่าย องค์ชายแปดหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำฝนให้ ถอนหายใจพูดว่า
ถึงเจ้าไม่ห่วงตัวเอง ก็น่าจะคิดถึงรั่วหลานบ้าง นางร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เจ้ายังจะมาทำให้นางต้อง
ร้อนใจแบบนี้อีกรึ? รั่วซีปวดใจแปลบทันที มองหน้าองค์ชายแปด องค์ชายแปดบอก เขาสั่งไม่ให้ใคร
บอกเรื่องนี้กับรั่วหลานแล้ว แต่จะปิดได้นานสักแค่ไหนกัน?  รั่วซีนิ่ง แล้วเห็นชายเสื้อสีขาวของ
องค์ชายแปดห้อยระลงเปื้อนโคลน จึงยื่นมือไปจะช่วยรั้งขึ้นมา แต่มือยังแตะไม่ทันโดน ก็ถูกองค์ชายแปด
ยื่นมือออกมาปัดมือนางออกโดยแรง มือรั่วซีชะงักค้างกลางอากาศ องค์ชายแปดรั้งชายเสื้อตัวเอง
แล้วลุกขึ้นยืน พูดกับสิบสี่ว่า ไปกันเถอะสิบสี่ทำท่าลังเล บอกให้องค์ชายแปดล่วงหน้าไปก่อน เขามี
เรื่องจะถามรั่วซีหน่อย องค์ชายแปดบอก เรื่องนี้ทั้งเจ้าและข้าต่างช่วยอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ทั้งหมดขึ้นอยู่
กับชะตาของนางเอง แม้แต่ “เขา” ก็ช่วยอะไรไม่ได้ การกระทำเรื่องใดด้วยความตั้งใจเพียงอย่างเดียว
มีแต่จะทำให้เสด็จพ่อยิ่งกริ้ว เรื่องยิ่งแย่หนักกว่าเดิมเท่านั้น สิบสี่ยืนกรานว่าเขาแค่มีเรื่องจะถามรั่วซี
ให้เข้าใจเท่านั้นองค์ชายแปดนิ่งไปนิด แล้วบอกว่า หมากรอบนี้ใกล้จะชนะ แต่ก็ยังไม่ได้ชนะเด็ดขาด
หากเดินพลาดเพียงตาเดียวอาจเพลี่ยงพล้ำเป็นพ่ายทั้งกระดานก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ ขอให้เดินอย่าง
ระวังตัวที่สุด จากนั้นหันกายเดินจากไป
         เมื่อองค์ชายแปดไปแล้ว สิบสี่ก็ย่อตัวลงกางร่มบังฝนให้ แล้วล้วงห่อขนมออกมาจากในอกเสื้อ
ยื่นให้รั่วซี รั่วซีกินไปแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้อนุญาตให้กินของกินได้ สิบสี่ก็หัวเราะ บอกว่ากิน
ไปแล้วก็กินๆ ไปเหอะน่า มืดแบบนี้แถมฝนยังตกอีก ใครมันจะมาเฝ้า ใครจะมาเห็นกัน? กินขนมเสร็จก็
คอแห้ง รั่วซีจึงเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำฝน สิบสี่มองตาค้าง รั่วซีบอกน้ำฝนนี่แหละสะอาดที่สุดแล้ว สิบสี่ถอน
หายใจ บ่นว่าทีหลังเขาต้องจำใส่ใจให้ตลอดแล้วว่ารั่วซีไม่ใช่กุลสตรีในห้องหอ จากนั้นนิ่งไป แล้วถามว่า
ที่รั่วซีทำแบบนี้คู่ควรแล้วหรือ?  รั่วซีนิ่งมองพื้นนองน้ำฝนโดยทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน สิบสี่พูดว่า “ตอบข้าสิ”
เมื่อรั่วซียังคงไม่สนใจจะตอบ สิบสี่ก็จับไหล่รั่วซีเขย่า พูดเสียงอ่อนลงว่า “รั่วซี ขอร้องล่ะ ตอบข้ามาสิ!”
รั่วซีมองหน้าสิบสี่อย่างตกใจปนงง แต่พอเห็นแววตาสิบสี่ดูร้อนใจอยากรู้คำตอบจริงๆ จึงใจอ่อน ตอบไปว่า
“ข้าเพียงแค่ทำในสิ่งที่ข้าคิดว่าสมควรทำ กับมิอาจไม่กระทำเท่านั้น  ไม่เกี่ยวหรอกว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควร
ที่จะทำ หากเจ้าต้องการให้ข้าบอกเหตุผล ข้าก็คงบอกได้เพียงแค่ว่า หากองค์ชายสิบสามเจอเหตุการณ์
เดียวกับที่ข้าเจอนี้ เขาจะทำเหมือนอย่างที่ข้าทำอย่างแน่นอน แม้ทราบดีว่าผลลัพธ์จะเลวร้ายมากเพียงใด”
สิบสี่สูดหายใจลึก แล้วถามว่า ถ้าคนที่โดนแบบสิบสามคือเขา รั่วซีจะทำแบบที่ทำนี้ไหม? รั่วซีมองหน้า
สิบสี่โดยไม่ตอบ สิบสี่ถอนหายใจ พูดว่า ข้ารู้ว่าเจ้าคงคิดจะบอกว่า หากเป็นสิบสามจะไม่มีทางถามคำถาม
อะไรแบบนี้ออกมาสินะ เขาเข้าใจเจ้า แต่ข้าไม่เข้าใจ และเพราะข้าไม่เข้าใจ ข้าถึงต้องถามให้เข้าใจ
รั่วซี บอกข้ามาตามตรงสิ ถือว่าเห็นแก่ที่เรารู้จักกันมาแต่เด็ก  รั่วซีพูดอย่างอ่อนโยนว่า ข้าไม่ได้คิดแบบ
นั้นหรอก ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายสิบหรือเจ้าเจอเรื่องแบบนี้ ข้าก็จะช่วยแบบเดียวกันนี้เหมือนกันนั่นแหละ
สิบสี่คลี่ยิ้ม ถามต่อว่า งั้นตอนอยู่ที่มองโกล ตอนที่เกิดเรื่องพวกนั้น ต่อให้ไม่มีพี่แปด เจ้าก็จะยังคงช่วยข้า
อยู่ดี ถูกไหม? รั่วซีพยักหน้า แล้วมองชายเสื้อสิบสี่ พูดว่า เสื้อเปียกหมดแล้ว รีบกลับไปเถอะ รอจนฮ่องเต้
หายกริ้วแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองแหละสิบสี่ยัดร่มให้รั่วซี รั่วซีส่ายหน้า บอกว่า ถึงยังไงก็เปียกหมดแล้ว
อีกอย่าง ฮ่องเต้ไม่ได้อนุญาตให้นางกางร่ม สิบสี่จึงถือร่มลุกขึ้นยืน หันกายเดินจากไป เร็วขึ้นๆ จนกลาย
เป็นวิ่ง หลังจากนั้นไม่นาน รั่วซีก็มีอาการทั้งหิวจนตาลาย เหนื่อย และไข้ขึ้น เบลอจนหมดสติไป
มาฟื้นอีกที รั่วซีอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว และได้รู้ว่า หลังแยกจากนางในคืนนั้น สิบสี่ได้ไปคุกเข่าต่อ
คังซีร้องขอให้ยกโทษให้นาง  ไม่แค่นี้ คังซียังส่งหมอหลวงประจำพระองค์ หมอหลวงหลี่ ซึ่งเป็นหมอหลวง
ที่เก่งที่สุดมารักษาอาการป่วยให้รั่วซีอีกด้วย องค์ชายสิบกับสิบสี่มาเยี่ยมรั่วซี บังเอิญเจอหมอหลวงเข้า
ที่หน้าประตูพอดี จึงเข้ามาด้วยกัน  หมอหลวงหลี่ตรวจชีพจรรั่วซีอยู่นานมาก แล้วถามว่า ระยะนี้นอนหลับ
สนิทไหม? รั่วซีบอก นอนหลับไม่ค่อยสนิทมาได้พักใหญ่แล้ว และนอนได้น้อยลงทุกที ทั้งยังสะดุ้งตื่นง่าย
ตื่นแล้วก็นอนต่อไม่หลับอีก หมอหลวงถามต่อว่า แล้วกินข้าวได้หรือเปล่า? รั่วซีบอก หิวบ่อย แต่กิน
ไม่ค่อยลง กินได้นิดเดียวก็อิ่ม หมอหลวงจึงบอกว่า รั่วซีมีอาการหวาดกลัวมากเกินขีดจำกัดของจิตใจ
จะรับได้ไหวติดต่อกันมาเป็นเวลานานมากเกินไป แต่โชคดีที่ตอนนี้ยังสาว ยังแข็งแรงดีอยู่ หากบำรุง
ดูแลให้ดีๆ สัก 2-3 ปีก็จะหายดีหลังจากหมอหลวงกลับไป สิบสี่ก็จ้องรั่วซีเขม็ง ถามว่า “มีอาการ
หวาดกลัวมากเกินขีดจำกัดของจิตใจจะรับได้ไหวติดต่อกันมาเป็นเวลานานมากเกินไป” งั้นรึ? นี่วันๆ
เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่?  รั่วซียิ้ม หาทางเบนความสนใจโดยบอกว่า หมอหลวงบอกว่าพักรักษาตัวดีๆ
สักพักก็จะหายดีไง แล้วเรื่องครั้งนี้ขอบใจมากนะ สิบสี่บอก ไม่จำเป็นต้องขอบใจ ข้าติดค้างน้ำใจเจ้า
ตั้งสองครั้ง ไม่ว่าครั้งไหนก็หนักกว่าครั้งนี้ทั้งนั้น  องค์ชายสิบลากเก้าอี้มานั่ง ลากหัวข้อสนทนากลับมา
เรื่องเดิมว่า รั่วซีมีเรื่องอะไรให้กลุ้มใจอยู่กันแน่ ถึงได้มีอาการหวาดกลัวมากนานติดต่อกันแบบนี้? รั่วซี
มององค์ชายสิบแบบเคืองๆ ที่นางอุตส่าห์ลากไปเรื่องอื่นแล้ว เขายังดันลากกลับมาเรื่องเดิมจนได้
กลบเกลื่อนว่าก็เพราะเรื่องที่องค์ชายรัชทายาทขอแต่งงานกับเรื่ององค์ชายสิบสามนั่นแหละ สิบสี่ขัดว่า
สองเรื่องนั้นเพิ่งจะเป็นเรื่องไม่นานมานี้ แต่หมอหลวงบอกว่ารั่วซีมีอาการนี้สะสมมานานหลายปี อย่างน้อย
ก็ 4-5 ปีโน่นแหละถึงจะออกมาเป็นแบบนี้ได้ แต่รออยู่ครู่ เห็นรั่วซีไม่ยอมตอบ สิบสี่ก็ด่าว่าเอาอีกแล้ว
นิสัยนี้ของเจ้านี่ มีอะไรก็เอาแต่เก็บไว้ในใจ พอถามก็ลากไปพูดเรื่องอื่น องค์ชายสิบก็ประนีประนอมว่า
รั่วซียังป่วยอยู่ อย่าไปบีบคั้นมากนักเลย จากนั้นบอกว่า เรื่องที่รั่วซีขอร้องเสด็จพ่อเขา สิบสี่ช่วยจัดการ
ให้เรียบร้อยแล้ว ลวี่อู๋จะได้เข้าไปรับใช้สิบสามในที่คุมขังสมใจ  รั่วซีได้ฟังก็ดีใจมาก จากนั้นบอกให้
อวี้ถานช่วยเอากล่องใส่ของมีค่าของนางทั้งหมดสามกล่องออกมา ในนั้นมีของที่คังซีและเชื้อพระวงศ์
คนอื่นๆ ปูนบำเหน็จให้นางตั้งแต่เริ่มเข้าวังจนถึงตอนนี้ทั้งหมดอยู่ แล้ววานให้องค์ชายสิบกับสิบสี่ช่วย
เอาไปให้ลูกเมียของสิบสามใช้ เพราะสิบสามถูกริบยศกับยกเลิกเบี้ยหวัดทั้งหมด แล้วสิบสามไม่ได้มี
ที่นาอะไร รายได้ของบ้านเขามีแต่เบี้ยหวัดนี้ล้วนๆ ในระยะสั้นอาจจะไม่มีปัญหาก็จริง แต่นานไปย่อมจะ
เริ่มฝืดเคือง  สิบสี่รับมาแค่สองกล่อง ให้รั่วซีเก็บไว้กล่องหนึ่ง จากนั้นบอกว่าไม่ต้องห่วง ระหว่างนี้
พวกเขาจะช่วยดูแลครอบครัวของสิบสามให้เอง ถึงยังไงเขาก็ไปคุกเข่าต่อหน้าเสด็จพ่อช่วยขอร้อง
แทนพี่สิบสามไปแล้ว ถ้าเสด็จพ่อจะระแวงว่าเขาเกี่ยวข้องกับพี่สิบสาม ก็ระแวงไปแล้ว เขาจะทำอะไร
ให้สิบสามเพิ่ม มันก็ไม่ได้เลวร้ายหนักไปกว่านี้อยู่แล้ว ส่วนองค์ชายสิบบอก เขาก็จะช่วยด้วย เขาไม่กลัว
เสด็จพ่อระแวงเหมือนกัน เพราะเขาไม่ได้สนิทกับสิบสามมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เขากับน้องสิบสี่จะ
ช่วยกันดูแลไม่ให้ใครไปรังแกคนในครอบครัวของสิบสามได้เด็ดขาด
         หลังจากองค์ชายสิบกับสิบสี่จากไปแล้ว หวางสี่ ขันทีลูกศิษย์ของหลี่เต๋อเฉวียน หัวหน้าขันที ซึ่ง
สนิทกับรั่วซีมากพอสมควรก็มาบอกรั่วซีตามคำสั่งของอาจารย์เขาว่า เรื่องที่รั่วซีถูกสั่งให้คุกเข่านั้น
ฮ่องเต้อนุญาตกลายๆ ให้ปล่อยข่าวให้ทุกคนรู้ได้ คำบอกเล่านี้ของหวางสี่ ในตอนที่ได้ยิน รั่วซียังเดา
เจตนาของคังซีไม่ออก แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เดาออก เรื่องของเรื่องคือ คังซีเบื่อหน่ายกับการวางแผน
เล่นงานกันเองเพื่อจะชิงบัลลังก์ของพวกองค์ชายทั้งหลายเต็มที จึงจงใจใช้เรื่องของรั่วซีมาดูใจของ
พวกองค์ชายว่าจะมีใครบ้างไหมที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ ไม่กลัวว่าเขาจะกริ้ว กล้าเสี่ยงมาร้องขอความ
เมตตาให้แก่รั่วซีและสิบสามด้วย “คุณธรรม” อย่างแท้จริง เวลานี้ผู้ที่คังซีอยากจะได้มาสืบบัลลังก์ คือ
ลูกชายที่มีคุณธรรมรักพี่รักน้องและไม่คิดถึงแต่ตัวเองดังนั้นหลังจากที่สิบสี่เสี่ยงต่อความโกรธของ
เสด็จพ่อไปคุกเข่าขอให้ยกโทษให้รั่วซีและสิบสาม แทนที่หลังจากนั้นคังซีจะเย็นชากับสิบสี่ ก็กลับ
เมตตาเอ็นดูสิบสี่เป็นพิเศษ จนสิบสี่กลายเป็นลูกชายคนโปรดของพ่อไป  
         ในวันที่อวี้ถานไปเข้าเวร รั่วซีอยู่ที่ห้องคนเดียว องค์ชายสี่ได้มาหา บอกว่าเขาไม่สามารถไปขอรั่วซี
กับเสด็จพ่อได้แล้ว รั่วซีจะโกรธจะแค้นเขาอย่างไรก็ได้ตามใจ ด้วยความเอ็นดูที่เสด็จพ่อมีให้รั่วซี จะต้อง
ให้รั่วซีได้แต่งงานกับคนที่ดีอย่างแน่นอน ขอบคุณรั่วซีมากสำหรับทุกสิ่งที่ทำเพื่อสิบสาม พูดจบ
องค์ชายสี่ก็จากไป ส่วนรั่วซี ทั้งที่รู้ผลลัพธ์นี้อยู่แล้ว ก็ยังอดร้องไห้ไม่ได้  (หลังจากนั้น เพื่อให้คังซี
หายโกรธและเลิกระแวงในตัวเขา องค์ชายสี่เลิกยุ่งกับราชกิจ หันไปใช้ชีวิตอย่างสงบ ทำไร่ทำสวน
ให้ตัวเองสบายใจ (หลอกตบตาพ่อ) อยู่หลายปี จนคังซีคลายความระแวง ให้กลับมาช่วยงานราชกิจดังเดิม)
หลังจากองค์ชายสี่ออกจากห้องไป อวี้ถานก็กลับเข้ามาเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้รั่วซีฟังแก้เหงา แล้วเล่า
มาถึงเรื่องของตัวเองว่า หลังจากพ่อนางเสียไป แม่นางก็พยายามทำงานเลี้ยงพวกนางพี่น้องจนตาเกือบบอด
น้องชายก็ล้มป่วย เพื่อให้คนที่บ้านไม่อดตาย นางในวัยแปดขวบได้เดินฝ่าหิมะออกไปเคาะประตูขอทาน
ตามบ้าน แต่ไม่ได้เงินมาเลย ตอนที่เดินเหม่ออยู่ ก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมาเกือบจะชนนาง คนขับสะบัด
แส้ทำท่าจะหวดใส่นาง แต่คุณชายที่นั่งอยู่ในรถม้าเลิกม่านขึ้นพูดว่า ก็แค่เด็กผู้หญิงคนเดียว จะชนก็ชน
ไปเลย จากนั้นด่าคนขับที่มัวแต่ใจลอย ตอนนั้นนางไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหน เข้าไปเกาะคานรถแน่น
ไม่ยอมปล่อย แล้วขอเงินจากคุณชายที่นั่งอยู่ในรถม้านั้น คนขับด่านางว่าไม่รู้จักตายเสียแล้ว รู้หรือเปล่า
ว่านี่รถม้าของใคร? แต่คุณชายในรถม้ากลับหัวเราะ พูดว่า อยู่มาจนป่านนี้เพิ่งจะเคยเห็นคนกล้ามาขอเงิน
ข้าซึ่งๆ หน้าแบบนี้เป็นครั้งแรก ไหนบอกมาซิว่าทำไมข้าถึงต้องให้เงินเจ้าเปล่าๆ ด้วย? นางบอกว่า นาง
อยากได้เงินไปรักษาแม่กับน้องที่ป่วย คุณชายในรถม้าตอบว่า ข้าไม่ใช่โรงทาน แม่กับน้องเจ้าป่วยเกี่ยว
อะไรกับข้า? นางบอก ถ้าเขาให้เงินนาง นางจะยอมเป็นข้าทาสให้เขาช่วงใช้ เขาบอก บ้านเขามีข้าทาส
อยู่เยอะมากแล้ว ข้าขอร้องว่า ข้าเก่ง ทำได้หลายอย่าง หรือถึงจะทำไม่ได้ ข้าก็หัดได้ เขาหัวเราะ บอกว่า
คนที่ยินดีช่วยเขาทำโน่นทำนี่มีอยู่มากมาย จากนั้นทิ้งม่านลง สั่งให้คนขับขับต่อไป นางทั้งผิดหวังและ
สิ้นหวังมาก รู้สึกเหมือนรถม้าคันนี้ได้พาชีวิตของแม่และน้องชายนางไปด้วย นางถึงตัดสินใจเด็ดขาด
เกาะคานรถแน่นไม่ยอมปล่อย คนขับโมโหสุดขีดหวดแส้ใส่นางไม่ยั้ง จนเมื่อนางถูกรถม้าลากไปกับพื้น
ได้ระยะหนึ่ง คุณชายบนรถม้าก็ตวาดสั่งให้คนขับหยุดฟาดแส้ใส่ข้าและหยุดรถ จากนั้นออกจากรถม้ามา
ดูข้า พยักหน้าถามว่า อายุเท่าไหร่แล้ว? ข้าตอบว่าแปดขวบ เขาหัวเราะ พูดว่า เจ้าเป็นยายหนูที่เยี่ยมมาก
คู่ควรกับเงินของข้า จากนั้นให้ตั๋วแลกเงินข้ามา แล้วสั่งให้คนขับเอาเงินทั้งหมดที่มีติดตัวให้ข้า เป็น
จำนวนเงินมากถึงยี่สิบตำลึง  ตอนที่ข้าเดินจากมา เขายังเรียกข้าไว้ แล้วโยนเสื้อคลุมมาให้ ข้าถึงได้รู้ตัว
ว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่ถูกแส้หวดและเสียดสีกับพื้นจนขาดรุ่งริ่งหมดแล้วด้วยเงินทั้งหมดที่เขาให้ข้ามา ทำให้
ข้ารักษาแม่กับน้องชายจนหาย และอยู่ไปได้อย่างไม่ฝืดเคืองอีกหลายปี จนน้องชายและข้าโตพอจะ
หางานทำมาจุนเจือครอบครัวได้ หลังจากนั้นข้าก็ได้เข้ามาในวัง  รั่วซีถามว่าคุณชายคนนั้นคือใคร อวี้ถาน
มีโอกาสได้เจอเขาอีกไหม? อวี้ถานบอกว่าไม่ได้เจออีกเลย

366
          วันเวลาผ่านไป วันหนึ่ง คังซีเสด็จไปเยือนหยวนหมิงหยวน วังพักร้อนที่พระราชทานให้องค์ชายสี่
และองค์ชายสี่ก็ปลูกผักทำสวนอยู่ในวังหยวนหมิงหยวนนี้ องค์ชายสี่และภรรยาหลวงได้ออกมาต้อนรับ
คังซีเที่ยวชมสวนอย่างอารมณ์ดีมากจนกลับ ตลอดเวลานี้ องค์ชายสี่กับรั่วซีไม่ได้มองหน้ากันเลย จน
ตอนที่รั่วซีขึ้นนั่งในรถม้า เตรียมปล่อยม่านลงเหม่อรถม้าออกแล่น องค์ชายสี่ค่อยเงยหน้าขึ้นจ้องหน้ารั่วซี
แบบปุบปับ จนรถม้าแล่นลับไปจากสายตา  หลังจากนั้นไม่กี่วัน องค์ชายสี่ก็แวะมาหาที่เรือนพักของรั่วซี
ถามนางว่าทำไมถึงไม่โกรธไม่แค้นเขา? รั่วซีย้อนถามว่า ทำไมนางถึงต้องแค้นเขาด้วยเล่า? เพราะเขา
ผิดคำพูดหรือ? น่าขำสิ้นดี! อย่าว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตขององค์ชายสิบสาม ต่อให้เกี่ยวข้องกับ
แค่เขาและนางสองคน นางก็ไม่ยินดีกอดคอตายไปอย่างสูญเปล่าพร้อมๆ กับเขา นางยินดีให้ทั้งเขาและ
นางต่างยังรอดชีวิตอยู่ต่อไปมากกว่า  องค์ชายสี่นิ่งไปครู่ แล้วบอกว่า ลวี่อู๋ไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าวังเขา
เหมือนกัน รั่วซีบอก นางรู้แล้ว ทั้งนางและลวี่อู๋ต่างอยากให้สิบสามผ่านวันเวลาในตอนนี้อย่างสบายขึ้น
แต่ท่านมองไปไกลกว่านั้น ท่านมุ่งหวังที่จะช่วยเขาออกมาจากที่คุมขังในกาลข้างหน้า เป้าหมายไม่เหมือนกัน
สิ่งที่ทำก็ย่อมจะแตกต่างเป็นธรรมดา เพื่อแผนระยะยาว ได้แต่จำต้องยอมเสียสละสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
องค์ชายสี่พูดว่า ตั้งแต่น้องสิบสามถูกคุมขัง ข้าไม่เคยไปเยี่ยมครอบครัวของเขาเลย รั่วซีพูดว่า ไม่อดทน
ในเรื่องเล็ก จะเสียถึงเรื่องใหญ่ ตอนนี้ก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว สิบสามอาจไม่มีโอกาสได้พบหน้าครอบครัว
ไปตลอดกาล มีแต่จำต้องยอมข่มกลั้นในตอนนี้ ต่อไปจึงจะมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง องค์ชายสี่
กำหมัดแน่นโดยไม่พูดอะไรอีก รั่วซีพูดต่อว่า เพราะเมื่อก่อนท่านสนิทกับองค์ชายสิบสามมาก แล้วความผิด
ที่เขาทำยังเป็นการแอบอ้างชื่อของท่านไปทำอีกด้วย ท่านจึงยิ่งถูกมองว่าเป็นพวกเดียวกับเขา ร่วมมือกับเขา
อย่าว่าแต่สิ่งที่ทำเป็นความผิดใหญ่หลวงจนส่งเขาเข้าไปอยู่ในที่คุมขัง  ยังถือเป็นการทรยศแทงข้างหลัง
ท่านอย่างสาหัส ใส่ร้ายป้ายสีให้ท่านกลายเป็นคนไม่จงรักภักดีและไร้คุณธรรม ไม่ว่าใครโดนแบบนี้ก็ต้อง
หนาวเยือกในใจด้วยกันทั้งนั้น แล้วท่านจะไม่โกรธเขาเลยแม้แต่น้อย ยกโทษให้เขาอย่างง่ายดาย ทั้งยัง
ไปช่วยเหลือให้การอุปถัมภ์ครอบครัวเขาในทันทีได้อย่างไร คนที่โดนผู้ที่ตัวเองไว้ใจมากที่สุดแทงข้างหลัง
แบบนี้แล้วยังยิ้มแย้มอภัยให้ได้ในทันที เกรงว่าต่อให้เป็นมหาราชที่ดีแสนดีในยุคบรรพกาลก็ทำไม่ได้
ที่ท่านแสดงให้เห็นว่าเย็นชา ไม่แยแสกับครอบครัวขององค์ชายสิบสาม ก็เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
เพื่อตบตาคนนอกให้เห็นว่าท่านถูกเขาทรยศจริงๆ  องค์ชายสี่พูดเสียงเย็นชาว่า เขาจะลืมเรื่องทั้งหมดนี้
ให้หมด รั่วซีบอก นางก็เหมือนกัน ก่อนจะต่างคนต่างแยกกันเดินไปคนละทาง รั่วซีคิดในใจอย่างปวดร้าวว่า
ท่านต้องสามารถลืมเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน

366
          ฤดูที่ดอกไม้เริ่มโรย คังซีสั่งบรรดาลูกๆ หลานๆ มารวมตัวกันแข่งขันยิงธนู เนื่องจากไม่ใช่เวรของ
รั่วซีที่ต้องไปเสิร์ฟน้ำชา และรั่วซีก็ไม่ได้อยากเข้าไปร่วมวง จึงมาเดินเล่นอยู่ห่างๆ นอกวง ก็เจอกับหมิงเยว่
ภรรยาหลวงขององค์ชายสิบซึ่งเคยทะเลาะกับนางจนตกน้ำไปด้วยกันทั้งคู่เข้าพอดี จะหลบก็ไม่ทัน และ
ครั้งนี้ หมิงเยว่ได้เข้ามาชวนนางคุยอย่างเป็นมิตร คุยกันถึงเรื่องที่เคยทะเลาะกันในครั้งนั้นว่าตอนนั้น
โมโหมาก แต่ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้วก็ขำดี ในชีวิตนาง เพิ่งจะเคยตบตีทะเลาะกับคนอื่นก็ครั้งนั้นครั้งเดียว
หมิงเยว่รู้เรื่องที่รั่วซีพูดเปรียบถังหูลู่กับขนมเม็ดบัวแล้ว จึงเลิกกินแหนงกับรั่วซี หันมาเป็นมิตรด้วย เพื่อที่
องค์ชายสิบจะได้ไม่ต้องกระอักกระอ่วนคอยพานางหลบเวลาไปไหนกับนางแล้วเจอรั่วซีเข้า  หมิงเยว่เล่าให้
รั่วซีฟังว่าพี่สาวของนางเป็นหลานรักของปู่ ปู่เลี้ยงมาเองกับมือ สอนขี่ม้าให้เอง เก่งและฉลาดไม่แพ้ผู้ชาย
เป็นคนเดียวที่กล้าต่อปากต่อคำกับปู่ แต่พี่สาวนางกลับมาหลงรักและเลือกองค์ชายแปดที่มีพระมารดาต่ำศักดิ์
ด้อยฐานะกว่าองค์ชายคนอื่นๆ หมิงเยว่เองก็ไม่ค่อยชอบใจนักหรอก ปู่ก็ด้วย แต่ในเมื่อพี่สาวยืนกราน ปู่ก็เลย
ต้องตามใจ แล้วนี่กลายเป็นว่าองค์ชายแปดกลับไปรักรั่วหลาน ทั้งที่รั่วหลานไม่ได้ทำอะไรให้องค์ชายแปด
เลยสักนิด ขณะที่หมิงฮุ่ยพี่สาวของหมิงเยว่พยายามช่วยองค์ชายแปดทุกอย่าง แล้วจะไม่ให้หมิงฮุ่ยโมโห
ได้ยังไง แต่ตอนนี้หมิงฮุ่ยก็เริ่มปลง ขี้เกียจไปยุ่งไปหึงรั่วหลานแล้วสองคนยืนคุยกันอยู่หลังต้นไม้ จนพอจะ
แยกจากกัน ก็พากันเดินอ้อมออกมาจากหลังต้นไม้ ตอนนั้นได้ยินเสียงเด็กพูดขึ้นว่า “อยู่ทางนี้...” รั่วซีจึง
เงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มีใครบางคนกระโจนเข้ามาคว้าร่างนางเอาไว้พาย้ายไป
ด้านข้างอย่างรวดเร็ว รั่วซีตาลายไปวูบหนึ่ง ได้ยินเสียงกรีดร้องของหมิงเยว่ดังมา รอจนได้สติก็พบว่า
องค์ชายสี่กำลังกอดนางแน่น ตามองหน้านางอย่างตกตะลึง นางเองก็มองเขาอย่างตกตะลึงพอกัน ก่อนจะ
ได้สติ รีบดิ้นออกจากอ้อมแขนเขาพร้อมกับที่องค์ชายสี่เองก็รีบคลายแขนจากนั้นรั่วซีจึงหันไปเห็น
องค์ชายสิบกับหมิงเยว่นอนหมอบอยู่อีกทาง และด้านหลังมีองค์ชายหงสือ ลูกชายคนโตขององค์ชายสี่
ยืนถือธนูหน้าซีดอ้าปากค้างอยู่  เรื่องของเรื่องคือ องค์ชายหงสือไม่รู้ว่าด้านหลังต้นไม้มีคนอยู่ จึงยิงธนู
เข้าใส่ต้นไม้ในจังหวะที่สองสาวเดินอ้อมออกมาจากด้านหลังต้นไม้พอดี องค์ชายสี่กับสิบมาเห็นเข้า
ต่างคนจึงต่างกระโจนเข้ามาช่วยรั่วซีกับหมิงเยว่ องค์ชายสี่เอาตัวเข้าบังธนูให้รั่วซีโดยสัญชาตญาณ
องค์ชายสี่มองหน้าลูกชาย ถามเสียงเย็นว่ายังจะยืนทื่ออยู่อีกนานไหม หงสือรีบเข้าไปคุกเข่าขอโทษหมิงเยว่
องค์ชายสี่ด่าลูกว่าทำอะไรไม่เคยดูให้ดีๆ คิดเอาแต่เล่นสนุกอยางเดียว หมิงเยว่ถวายบังคมองค์ชายสี่
แล้วบอกว่าหงสือเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ไม่เป็นไรหรอก องค์ชายสี่บอก แม้พระชายาสิบจะไม่ถือสา แต่ทำผิด
ก็ต้องถูกลงโทษจะเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นสั่งว่า ยังไม่รีบกราบขอบคุณที่พระชายาสิบไม่เอาความอีกรึ! หงสือ
รีบโขกศีรษะขอบคุณ แล้วลุกขึ้นเผ่นหนีไปทันทีหลังหงสือวิ่งจากไปแล้ว องค์ชายสี่หันมาสั่งขันทีที่ดูแล
หงสือว่า กลับไปขอรับโทษจากขันทีพ่อบ้านซะ ขันทีดูแลหงสือก็กราบถวายบังคมแล้วรีบผละจากไป
รั่วซียืนดูทั้งหมดด้วยสายตาเหม่อลอย สักพักองค์ชายสิบก็มาแกว่งๆ มือตรงหน้า ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า?
หมิงเยว่พูดแซวว่าทำไมเวลาอยู่กับรั่วซีแล้วมักจะมีเรื่องทุกทีสิน่า องค์ชายสิบหันมามองภรรยาอย่าง
ประหลาดใจ หมิงเยว่ถลึงตาใส่ พูดว่าทำไม ข้าพูดเล่นกับรั่วซีบ้างไม่ได้หรือไง องค์ชายสิบก็ยิ้มกระดาก
แต่สีหน้าดีใจมากที่หมิงเยว่ยอมพูดกับรั่วซีดีๆ แล้ว จากนั้นสองสามีภรรยาก็ขอตัวจากไป  องค์ชายสี่ทำท่า
จะไปบ้าง รั่วซีร้องถามว่า ทำไม? (ทำไมถึงช่วยนางไว้) องค์ชายสี่บอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม พอรู้ตัวเขาก็
ทำลงไปแล้ว รั่วซีมองลูกศรที่ปักอยู่บนต้นไม้ ในใจมีความรู้สึกหลากหลายจนยากจะบรรยายที่ได้รู้ว่า
ในช่วงเวลาคับขันเป็นตาย เขายอมเอาตัวเข้ามาบังลูกศรนี้แทนนาง องค์ชายสี่พูดเสียงเย็นชาว่า เจ้าไม่
จำเป็นต้องคิดลึก เพราะหากข้ามีเวลาคิดสักนิด ข้าจะไม่มีทางเสี่ยงอันตรายทำอย่างนี้แน่ รั่วซีรั้งสายตา
กลับมาพูดยิ้มๆ ว่า ข้ารู้แต่ว่าท่านได้ทำลงไปแล้ว! องค์ชายสี่มองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินจากไป
หลังองค์ชายสี่ไปแล้ว รั่วซีก็เรียกขันทีที่ผ่านมาช่วยแงะลูกธนูออกจากต้นไม้ไปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

366
          ในการเสด็จประพาสมองโกลครั้งหนึ่ง คังซีพาพวกองค์ชายที่โตแล้วไปกันหมด เหลือแต่สิบสี่
อยู่ว่าราชการแทนที่เมืองหลวงคนเดียว การประพาสหนนี้กินช่วงเวลาถึงวันครบรอบวันตายของพระมารดา
องค์ชายแปด องค์ชายแปดจึงขอตัวกลับก่อน แต่เมื่อคังซีกลับมาถึงเมืองหลวง องค์ชายแปดก็ส่งคนสนิท
ถือกรงนกมาให้เป็นของขวัญแก่คังซี พอเลิกผ้าที่คลุมกรงออก ปรากฏว่าข้างในเป็นนกอินทรีที่อาการร่อแร่
ใกล้ตาย คือการแช่งคังซีให้รีบแก่ตายเร็วๆ ทุกคนตกตะลึง คังซีโกรธจัดจนถีบโต๊ะล้มโครม ทุกคนรีบคุกเข่า
ลงก้มหน้าจดพื้นตัวสั่นสะท้าน รั่วซีเองก็ด้วย ในสมองของนางร้องตะโกนก้องว่าองค์ชายแปดไม่มีทางทำ
แบบนี้แน่ ต่อให้คังซีไม่ชอบองค์ชายแปดยังไง องค์ชายแปดก็ไม่มีทางแช่งพ่อตัวเองแบบนี้ ที่สำคัญคือ
เขาไม่มีทางทำอะไรโง่ๆ แบบนี้แน่นอน  คังซีฝากคำพูดให้คนสนิทขององค์ชายแปดไปบอกองค์ชายแปด
อย่างเย็นชาว่า เราพ่อลูกขาดกันแต่เพียงเท่านี้ ไสหัวไป! จากนั้นสั่งร่างราชโองการปลดตำแหน่งองค์ชายแปด
ทันที รั่วซีทำท่าจะลุกขึ้นร้องขอเมตตาให้องค์ชายแปด แต่ถูกหวางสี่ ขันทีลูกศิษย์ของหัวหน้าขันทีหลี่เต๋อเฉวียน
คว้ามือเอาไว้ กระซิบบอกว่าเจ้ายังมีพ่อและพี่น้องอยู่  ทำให้รั่วซีจำต้องกัดฟันข่มกลั้นตัวเองเอาไว้ 
เหตุการณ์นี้ทำให้องค์ชายแปดถูกตราหน้าว่า “อกตัญญู” และคุณธรรมทั้งหมดของคนจีน “กตัญญู” มาเป็น
อันดับหนึ่ง องค์ชายแปดเคยได้รับยกย่องจากทั้งขุนนางและชาวบ้านว่ามีคุณธรรมพร้อมมูล มาครั้งนี้
กลับกลายเป็นว่าขาดคุณธรรมที่สำคัญที่สุด นับแต่นี้เขาจึงถูกตราหน้าว่ากลายเป็นวิญญูชนจอมปลอมไป
ตลอดกาล หากทำดี ก็จะถูกมองว่าเล่นละคร หากทำชั่ว ก็จะถูกมองว่าเผยธาตุแท้ เรียกว่าคนที่เล่นงานเขา
หนนี้ทำได้เจ็บแสบมาก แล้วคนที่ถือกรงนกอินทรีมา ยังเป็นคนสนิทขององค์ชายแปดเองอีกด้วย ไม่มีทาง
ที่คนนอกจะเข้ามาสับเปลี่ยนได้  หลังเรื่องนี้ ขันทีคนสนิทที่เกี่ยวข้องกับกรงนกอินทรีนี้ทุกคนต่างฆ่าตัวตาย
เพราะกลัวความผิดกันหมด  และคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้...รั่วซีมาคิดใคร่ครวญโดยละเอียดในหลายปีต่อมา
ก็รู้ว่าคือองค์ชายสี่นั่นเอง  นี่คือก้าวแรกของการเอาคืนองค์ชายแปดขององค์ชายสี่ เป็นแค่ “ก้าวแรก” เท่านั้น
ก็ทำเอาองค์ชายแปดล้มป่วยหนักลุกไม่ขึ้น และถูกทุกคนเมินหน้าหนีตัดสัมพันธ์ไปเลย

366
        วันหนึ่ง คังซีเรียกตัวรั่วซีไป บอกว่าจะให้รั่วซีแต่งงานกับองค์ชายสิบสี่ รั่วซีปฏิเสธขัดราชโองการ คังซี
กริ้วมาก สั่งร่างราชโองการลงโทษตีรั่วซีสี่สิบไม้ แล้วส่งไปเป็นคนงานระดับล่างสุดในโรงซักผ้า องค์ชายสิบ
กับสิบสี่ตกใจมาก เข้าไปเยี่ยมรั่วซี พยายามถามว่ารั่วซีทำเรื่องอะไรให้ท่านพ่อกริ้ว ร้องขอให้ยกโทษให้พี่แปด
หรือ? พวกเขาจะได้ไปช่วยขอร้องให้ยกโทษให้  รั่วซีบอกว่าไม่ใช่ แล้วไม่ยอมบอกว่าโดนลงโทษเพราะเรื่อง
อะไร  สิบกับสิบสี่จนปัญญาจะช่วย จึงได้แต่ติดสินบนให้ จางเชียนอิง ขันทีที่ทำหน้าที่คุมโรงซักผ้าช่วยดูแล
รั่วซีให้ดีๆ แต่ขันทีนี้เป็นคนขี้อิจฉา เปลือกนอกทำเป็นดูแลรั่วซีดี แต่ความจริงจงใจกระตุ้นให้สาวใช้ในโรงซักผ้า
ทุกคนเขม่นรั่วซีกันหมด แต่รั่วซีก็จัดการคลี่คลายสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง เพียงแต่กว่ารั่วซีจะเริ่มลุกขึ้นหา
ทางคลี่คลายสถานการณ์ ปิ่นที่องค์ชายสี่ให้มาก็ถูกสาวใช้ที่นอนร่วมห้องแกล้งปาทิ้งลงพื้นหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไปเสียแล้ว  ระหว่างที่รั่วซีมาอยู่โรงซักผ้า อวี้ถานก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปแทนตำแหน่งของรั่วซี แต่ก็ยังคอย
แวะเวียนมาดูแลรั่วซีอยู่เนืองๆ  องค์ชายสี่หาโอกาสมาเจอรั่วซีในวันหยุดของรั่วซีที่หนึ่งเดือนจะมีเพียงวันเดียว
และรั่วซีแวะมาคุยกับอวี้ถานที่เรือนพักหลังเก่าที่เคยอยู่ หลังจากสั่งให้อวี้ถานหลบไปแล้ว องค์ชายสี่ก็ถามรั่วซี
ว่าทำไมถึงถูกลงโทษมาอยู่ที่นี่ รั่วซีไปทำอะไรเข้า ท่านพ่อที่เอ็นดูรั่วซีมากถึงได้กริ้วขนาดนั้น? รั่วซีไปร้องขอ
ให้ยกโทษให้น้องแปดงั้นหรือ?  รั่วซีบอกว่าไม่ใช่ และนางไม่อยากบอกสาเหตุที่ถูกลงโทษ องค์ชายสี่ก็ถอน
หายใจ บอกว่าตามใจ จากนั้นถามว่าตอนนี้ความเป็นอยู่ของรั่วซีเป็นอย่างไรบ้าง? รั่วซีบอกสบายดี องค์ชายสี่
คว้ามือรั่วซีที่ซ่อนไขว้หลังไว้ออกมาดู บอกว่านี่หรือที่ว่าสบายดี?  รั่วซีบอก นางสบายดีจริงๆ ถึงจะต้องทำงาน
หนักตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก และอาหารการกินกับที่พักสู้เมื่อก่อนไม่ได้ แต่ตอนนี้นางไม่ต้องกลัว
ไม่ต้องกังวลเหมือนอย่างเมื่อก่อนที่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องหวาดระแวงว่าวันนี้จะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นอีก
หรือฮ่องเต้จะสั่งยกนางให้แต่งงานกับใคร ตอนนี้แต่ละวันนางได้รู้เพียงว่ามีเสื้อผ้ากองใหญ่รอให้นางซักเท่านั้น
องค์ชายสี่นิ่งไป แล้วบอกว่าให้รั่วซีอดทนอีกสักพัก แล้วเขาจะไปขอรั่วซีกับเสด็จพ่อ รั่วซีนึกอบอุ่นอยู่ในใจ
แต่ก็บอกไปว่า ฮ่องเต้ไม่มีทางรับปากหรอก องค์ชายสี่บอก ตอนนี้เรื่องของน้องสิบสามผ่านมาได้สองปีกว่าแล้ว
เสด็จพ่อเริ่มจะหายโมโห และกลับมารู้สึกดีกับเขาเหมือนเดิมแล้ว หากเขาขอรั่วซี น่าจะไม่มีปัญหา และต่อให้
รั่วซีได้เป็นแค่เมียไม่มีตำแหน่งของเขา เขาก็ไม่มีทางให้รั่วซีต้องอยู่อย่างคับใจแน่  รั่วซีนิ่งไป แล้วบอกไป
ตามตรงว่า สาเหตุที่นางโดนลงโทษนี้ เพราะนางขัดราชโองการ ฮ่องเต้คิดจะยกนางให้แต่งงานกับองค์ชายสิบสี่
องค์ชายสี่หน้าเครียดทันที ถามย้ำว่าเสด็จพ่อจะยกเจ้าให้น้องสิบสี่ แล้วทำไมเจ้าถึงปฏิเสธเล่า? เจ้าอยากจะ
ไปจากวังหลวงแห่งนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือไร? เจ้าอยากจะได้อยู่อย่างสงบมานานแล้วไม่ใช่หรือ? ในเมื่อ
โอกาสอันดีมาถึงตรงหน้า แล้วทำไมเจ้าถึงปฏิเสธ? ทำไมถึงต้องขัดราชโองการ? น้องสิบสี่หน้าตาดีมาก
ทั้งด้านบุ๋นและบู๊ล้วนแต่โดดเด่นในหมู่พวกเราพี่น้อง ตอนนี้ยังเป็นคนโปรดที่เสด็จพ่อให้ความสำคัญ
อย่างมาก แล้วเขายังดีกับเจ้ามากอีกด้วย เจ้าลืมแล้วหรือว่าเขาเคยยอมคุกเข่าตากฝนเพื่อเจ้าถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน?
เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก?  รั่วซีบอก เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปรื้อฟื้นอีกเลย องค์ชายสี่ไม่ยอมปล่อยผ่าน
พูดเสียงหนักว่า รั่วซี เจ้าต้องบอกเหตุผลกับข้า รั่วซีจึงเอามือกุมหัวใจตัวเอง หันมายิ้มให้ พูดว่า ข้าก็แค่ทำ
ตามหัวใจของตัวเอง ในเมื่อมันไม่ยินยอม ข้าเองก็จนปัญญา  องค์ชายสี่จ้องหน้านางด้วยสายตาทั้งยินดีและ
หม่นเศร้า พูดว่า โชคชะตาเล่นตลกงั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะไร้วาสนาต่อกันจริงๆ ต่อให้สวรรค์ไม่
ยอมมอบให้ข้า ข้าก็จะแย่งมาจากมือสวรรค์เองให้จงได้! องค์ชายสี่ยื่นมือขึ้นแตะใบหน้ารั่วซี พูดเน้นเสียง
หนักทีละคำว่า ข้าจะต้องช่วยน้องสิบสามออกมา และจะต้องแต่งงานกับเจ้าให้จงได้! จบคำก็ก้าวยาวๆ จากไป
         ในระหว่างนี้ คังซีได้ส่งกองทัพใหญ่ไปรบ แล้วแพ้ยับเยินกลับมา พินาศสิ้นทั้งกองทัพ เรื่องนี้รั่วซีรู้
ผลลัพธ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้ตื่นตกใจไปกับทุกคน และนางยังรู้ด้วยว่าจากประวัติศาสตร์ หลังจากนี้ไม่นาน
คังซีจะจัดขบวนทัพอีกครั้งโดยให้องค์ชายสิบสี่นำทัพไปรบ และครั้งนี้จะชนะศึกกลับมาอย่างงดงาม ทำให้
ชื่อเสียงเกียรติภูมิขององค์ชายสิบสี่เกริกก้องเกรียงไกรไปทั่วแผ่นดินและทุกอย่างก็เป็นไปตามที่รั่วซีรู้มา
ในระหว่างนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุนกอินทรีขององค์ชายแปด เหล่าองค์ชายที่เคยสนับสนุนองค์ชายแปดก็หันมา
สนับสนุนองค์ชายสิบสี่กันแทน รวมถึงองค์ชายแปดเองด้วย  องค์ชายสี่หาโอกาสมาเจอรั่วซีได้แค่ปีละหน
มาครั้งนี้เขาถามรั่วซีว่า นึกเสียดายบ้างไหม? (ที่ปฏิเสธไม่แต่งงานกับสิบสี่) รั่วซีบอกว่าไม่ องค์ชายสี่จึงยิ้ม
รั่วซีพูดว่า ท่านจะเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน!  องค์ชายสี่บอกว่าลวี่อู๋คลอดลูกสาวให้สิบสามแล้วหนึ่งคน
เสด็จพ่อให้รั่วซีเป็นคนตั้งชื่อให้ รั่วซีดีใจมาก ตั้งชื่อให้ลูกของสิบสามว่า เฉิงฮวน และองค์ชายสี่ขออนุญาต
รับเฉิงฮวนมาเลี้ยงที่วังเขา เพราะในที่คุมขังไม่เหมาะจะเลี้ยงเด็ก คังซีก็อนุญาต

        สิบสี่นำทัพออกรบเป็นเวลาสองปี ก็ชนะศึกกลับมาพร้อมด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ โดยในระหว่างเวลา
สองปีที่ออกรบนี้ ข่าวคำร่ำลือเกี่ยวกับสิบสี่ถูกส่งกลับมาเรื่อยๆ และรั่วซีก็รู้สึกแปลกหน้ากับสิบสี่ในคำเล่าลือ
ซึ่งเป็นสิบสี่ที่นางไม่รู้จักมากขึ้นทุกที จนเมื่อสิบสี่กลับคืนมายังนครหลวง และมาเยี่ยมรั่วซีในวันหนึ่ง รั่วซี
จึงได้พบว่าเพื่อนคนนี้เปลี่ยนไปมากในเวลาสองปีที่ไม่ได้พบกัน สิบสี่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก สุขุมเยือกเย็น
จนนางไม่สามารถคาดเดาความคิดได้อีกต่อไป เมื่ออยู่กันตามลำพัง สิบสี่ก็มองรั่วซีด้วยสายตาประหลาด
และบอกว่า เขาเคยขอรั่วซีแต่งงานกับเสด็จพ่อสองครั้งเมื่อตอนที่รั่วซีเพิ่งจะถูกลงโทษย้ายมาทำงานที่นี่
ใหม่ๆ แต่ถูกปฏิเสธทั้งสองครั้ง มาครั้งนี้ที่ชนะศึกกลับมา เสด็จพ่อถามเขาว่าอยากได้อะไรเป็นของรางวัล
เขาก็ขอแต่งงานกับรั่วซีอีกครั้ง และขอให้เสด็จพ่อยกโทษให้รั่วซี ต่อให้รั่วซีทำให้เสด็จพ่อกริ้วมากแค่ไหน
ผ่านมานานตั้งหกปีกว่าเข้านี่แล้ว รั่วซีก็น่าจะได้รับโทษมากพอแล้ว เสด็จพ่อน่าจะยกโทษให้ได้เสียที
รั่วซีลองทายดูสิว่าครั้งนี้เสด็จพ่อบอกอะไรเขา?  รั่วซีสะดุ้งในใจ นึกไม่ถึงว่าสิบสี่จะไปขอนางแต่งงาน
แสดงว่าก่อนหน้านี้สิบสี่ไม่เคยรู้มาก่อนน่ะสิว่านางถูกลงโทษเพราะอะไร  สิบสี่ถามยิ้มๆ ว่า “เพราะอะไรกัน?
ทำไมข้าถึงได้ไม่เข้าตาเจ้าถึงเพียงนั้น? เจ้าถึงได้ยอมมาซักผ้าให้ขันทีอยู่ที่นี่โดยไม่ยอมแต่งงานกับข้า!”
สิบสี่บอก วันนี้เขาจะไม่ยอมให้รั่วซีเสไปเรื่องอื่น เขามีความอดทนมากพอที่จะรอจนกว่าจะได้รู้คำตอบ
รั่วซีบอก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เจ้า เจ้าเป็นคนดี ดีมากๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ข้า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี สิบสี่ถามว่า
ในใจของเจ้ามีคนอื่นอยู่แล้วสินะ? พอเห็นรั่วซีลังเล สิบสี่ก็บอกว่า ถึงไม่ตอบ ท่าทางของเจ้าก็ตอบข้าแล้ว
พี่สี่หรือพี่แปด? รั่วซีถอนหายใจ ถามว่า จะถามเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร? สิบสี่บอกว่า ท่าทางจะเป็นพี่สี่สินะ
เขาอยู่บ้านทำตัวว่างๆ แสนสบาย ส่วนเจ้าต้องมาลำบากอยู่ที่นี่ เจ้ามอบหัวใจให้เขาแบบนี้ คู่ควรแล้วหรือ?
รั่วซีจึงย้อนถามว่า เจ้าทำเพื่อข้าแบบนี้ คู่ควรแล้วหรือ? สิบสี่ยิ้มกว้าง บอกว่า ตั้งแต่วันที่เจ้าแข่งม้าเพื่อ
ช่วยข้า ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนที่พี่สิบสามทำ ถือเจ้าเป็นเพื่อน คบหาอย่างจริงใจ
พยายามปกป้องช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ ตอนนี้ข้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ถือว่า
ไม่ได้ละอายต่อความตั้งใจของตัวเอง  รั่วซีถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินสิบสี่บอกแบบนี้ และบอกว่า
ความจริงสิบสี่ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณหรอก เพราะนั่นนางก็ทำเพื่อตัวเองด้วย สิบสี่บอก หากไม่ใช่เพราะเขา
รั่วซีก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายทำถึงขนาดนั้นอยู่ดี จากนั้นบอกว่า รั่วซีผอมไปมาก รั่วซีบอก ส่วนเจ้า
ดูเท่ขึ้นมาก สิบสี่นิ่งไป แล้วถามว่า เจ้ายังไม่ยอมแต่งงานกับข้าอยู่ดีงั้นหรือ? เมื่อรั่วซีพยักหน้า สิบสี่ก็
ยิ้มบางๆ บอกว่าตามใจ แต่หากเจ้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีก ก็บอกข้าได้ทุกเวลา รั่วซีบอกว่า ขอบคุณ

366
          หลังจากนั้นไม่นาน คังซีก็ป่วยหนัก และบอกว่าอยากจะกินขนมพุดดิ้งแบบที่รั่วซีเคยทำให้กิน
อีกสักครั้ง หลี่เต๋อเฉวียนหัวหน้าขันทีจึงมาพารั่วซีออกจากการเป็นคนงานซักผ้าไปเป็นนางกำนัลเิสิร์ฟชา
ตามเดิม และให้ทำขนมพุดดิ้งให้ฮ่องเต้กิน จากนั้นรั่วซีก็ไม่ต้องกลับไปทำงานที่โรงซักผ้าอีกเลย
        หลังจากนั้นไม่นาน ในปีคังซีที่ 61 รั่วซีรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีนี้ เมื่อได้เจอสิบสี่ จึงพูดเตือนไป
ทั้งที่รู้ดีว่าคำเตือนนี้ไม่มีผล คือเตือนไปว่า พยายามอย่าออกไปรบอีก สิบสี่ก็หัวเราะ บอกว่าถ้ามีคำสั่ง
เขาก็ต้องไปอยู่ดี และก็มีคำสั่งมาจริงๆ สิบสี่จึงต้องออกไปรบในปีนี้ คังซีสวรรคต และในวันสุดท้าย
ได้เรียกขุนนางเข้าไปร่างราชโองการแต่งตั้งฮ่องเต้คนต่อไป โดยผู้ที่อยู่กับคังซีในตอนร่างราชโองการ
มีแต่หัวหน้าขันทีหลี่เต๋อเฉวียนกับขุนนางร่างราชโองการ
         หลังจากคังซีสวรรคต หลี่เต๋อเฉวียนก็สั่งให้หวางสี่ลูกศิษย์ปิดข่าวไม่ให้แพร่งพรายออกไป พร้อมกับ
ให้ขุนนางร่างราชโองการส่งทหารมาล้อมวังห้ามใครเข้าออก โดยเฉพาะพวกองค์ชาย แต่ปรากฏว่า
ขุนนางร่างราชโองการออกมาประกาศว่า คังซียกบัลลังก์ให้องค์ชายสี่ และทั้งที่ถูกสั่งปิดข่าวและมี
ทหารล้อมวัง องค์ชายสี่กลับได้ทราบข่าวและเดินผ่านพวกทหารเข้ามารับราชโองการได้อย่างราบรื่น
หลี่เต๋อเฉวียนหน้าซีดทันที รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งขุนนางร่างราชโองการและหวางสี่ลูกศิษย์ของเขา
ต่างก็ถูกองค์ชายสี่ซื้อตัวเอาไว้แล้ว และราชโองการก็ถูกเขียนขึ้นโดยไม่ตรงกับความประสงค์ของคังซี
โดยที่คังซีคิดจะยกบัลลังก์ให้องค์ชายสิบสี่ ไม่ใช่องค์ชายสี่  (ข้อเท็จจริงที่ว่าองค์ชายสี่ปลอมราชโองการ
ชิงบัลลังก์มาจากองค์ชายสี่จริงหรือไม่นี่ ยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้)  หลังจากได้ขึ้นครองราชย์
ช่วงแรกอิ้นเจิน(ชื่อขององค์ชายสี่) ยุ่งมาก ทั้งเหยียบให้พวกขุนนางเงียบ จัดการสั่งกักตัวพวกพี่น้อง
ด้วยกันให้ไม่กล้าลุกมาคัดค้าน และแยกย้ายส่งไปทำงานตำแหน่งไม่สูงอยู่ห่างๆ เมืองหลวง ไกลบ้าง
ใกล้บ้างต่างๆ กันไป มีแต่องค์ชายแปดที่เขามอบหมายตำแหน่งสำคัญพอสมควรให้ เปลือกนอกเหมือน
ไว้ใจมาก ความจริงคือหาเรื่องด่าตำหนิเรื่องทำงานบกพร่องให้ได้อายต่อหน้าพวกขุนนาง จนจากตอนแรก
องค์ชายแปดโกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไง กลายเป็นปลง ขนาดว่าเลิกคิดเรื่องชิงบัลลังก์โดยสิ้นเชิงไปแล้ว
อิ้นเจินก็ยังไม่เลิกแค้น ไม่วางมือในการกลั่นแกล้ง พร้อมกันนี้ อิ้นเจินได้ปล่อยตัวองค์ชายสิบสาม “อิ้นเสียง”
ออกมาจากที่คุมขัง และอนุญาตให้ไม่ต้องแก้ชื่อ (คนที่ชื่อมีเสียงอ่านและตัวอักษรซ้ำกับฮ่องเต้ ต้องเปลี่ยน
ชื่อเป็นตัวอักษรที่มีเสียงอื่น พี่น้องของยงเจิ้งทุกคน ชื่อตัวแรกเป็นอักษรเดียวกันหมดคือ “อิ้น”) แต่สิบสาม
ไม่ยอม ขอเปลี่ยนชื่อเหมือนกันพี่น้องคนอื่นๆ คือเปลี่ยนจาก อิ้นเสียง เป็น อวิ่นเสียง ยงเจิ้งไม่อยากทำให้
น้องชายที่รักมากลำบากใจ จึงตามใจ (แต่หลังจากสิบสามตาย เขาก็แก้ชื่อสิบสามกลับมาเป็น อิ้นเสียง ตามเดิม)
       สิบสามถูกคุมขังสิบปี ด้วยสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย อากาศที่ร้อนทารุณและหนาวทารุณ ส่งผลให้ทั้งที่มี
อายุแค่ 30 เศษ แต่ผมกลับขาวไปแล้วครึ่งหัว และข้อต่อทั่วร่างมีปัญหาเหมือนคนแก่อายุ 50-60 ปี พอ
เคลื่อนไหวมากหน่อยหรืออากาศหนาวหน่อยก็จะปวดมาก เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก อิ้นเจินจึงอนุญาต
ให้สิบสามนั่งเกี้ยวมาจนถึงหน้าท้องพระโรงได้เป็นกรณีพิเศษ  ในระยะแรกที่ได้ออกจากที่คุมขังและเข้าเฝ้า
อิ้นเจิน สิบสามดูเกร็งมาก เพราะข้างนอกมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจนเขาปรับตัวไม่ทัน แต่เขาจะค่อยๆ
ปรับตัวได้มากขึ้นเรื่อยๆ  ด้านรั่วซี หลังจากอิ้นเจินขึ้นครองราชย์ อิ้นเจินก็รับนางเข้าไปอยู่ที่ตำหนักส่วนตัว
ให้นอนที่ห้องของเขา และไม่แต่งตั้งตำแหน่งพระสนมหรืออะไรให้ทั้งนั้น ให้เป็นนางกำนัลในวังเฉยๆ ด้วย
เหตุผลว่า หากแต่งตั้งตำแหน่งให้ รั่วซีจะต้องมีตำหนักของตัวเองและต้องไปอยู่ในเขตตำหนักใน หากเขา
อยากจะเจอหน้า จะต้องส่งขันทีไปตามตัวมา เขาไม่ชอบและไม่อยากอยู่ห่างกันมากแบบนั้น อยากให้รั่วซี
อยู่ใกล้ๆ แบบเขาเดินมาหาเองได้ตลอด จึงใช้วิธีนี้  รั่วซีไม่ได้ว่าอะไรที่อิ้นเจินไม่มอบตำแหน่งให้ ออกจะ
ชอบด้วยซ้ำ นอกจากจะเพราะได้อยู่ใกล้ๆ อิ้นเจินแล้ว  หากมีตำแหน่ง ก็หมายความว่าตัวนางได้ถูกผูกติด
อยู่กับวังหลวงแห่งนี้ และจะออกไปไม่ได้ไปชั่วชีวิต ขณะที่นางยังคงหวังอยู่ว่าสักวันจะได้ออกไปใช้ชีวิต
อยู่นอกวังหลวง  แม้โดยฐานะบังหน้า รั่วซีจะเป็นแค่นางกำนัล แต่ทุกคนในวังต่างรู้ความสำคัญของนางดี
โดยเฉพาะหัวหน้าขันทีคนใหม่ที่มาแทนที่หลี่เต๋อเฉวียนยิ่งมีหน้าที่ฟังคำสั่งและคอยจับตาดูแลรั่วซีแทบจะ
โดยเฉพาะ
         วันหนึ่ง รั่วซีมีโอกาสได้เจอหวางสี่ ลูกศิษย์ของหลี่เต๋อเฉวียน จึงถามเขาว่า เขามาเป็นคนของ
อิ้นเจินตั้งแต่เมื่อไหร่ หวางสี่บอก เขารู้อยู่แล้วว่าปิดรั่วซีไม่อยู่ จึงตอบตามตรงว่าตั้งแต่ตอนปีคังซีที่ 52
เพราะว่าครอบครัวเขายากจน พี่น้องอดตายกันหมดจนเหลือแต่เขากับน้องชาย หลังจากเขามาเป็นขันที
ทางบ้านก็สบายขึ้น แต่แล้วน้องชายเขากลับไปพลั้งมือฆ่าคนโดยไม่ได้เจตนา และถูกขุนนางหาเรื่องกะ
ลงโทษประหาร แต่ได้คนขององค์ชายสี่ช่วยเอาไว้ให้ไม่ต้องถูกประหาร เขาจึงภักดีและทำงานให้องค์ชายสี่
นับแต่นั้นมา  รั่วซีฟังแล้วบอกว่า หลี่เต๋อเฉวียนคงจะเสียใจมาก ไม่แค่เจ้าเท่านั้นที่ทรยศเขา ยังมีข้าอีก
(หลี่เต๋อเฉวียนหัวหน้าขันทีรักและเอ็นดูรั่วซีมาก และมีหวางสี่เป็นลูกศิษย์คนเดียว)  จากที่รั่วซีรู้ในตอนแรก
หลังอิ้นเจินขึ้นครองราชย์ หลี่เต๋อเฉวียนก็ถูกให้ปลดเกษียณส่งตัวออกไปใช้ชีวิตวัยชรากับครอบครัวที่
นอกวัง แต่ความจริงคือ...ถูกอิ้นเจินสั่งเก็บไปแล้วตั้งแต่หลังวันที่คังซีสวรรคตไม่กี่วัน หวางสี่ถูกอิ้นเจิน
สั่งให้ปิดเรื่องนี้ อย่าบอกให้รั่วซีรู้  รั่วซีถามถึงอวี้ถาน เมื่อหวางสี่บอกว่า นางถึงวัยปลดเกษียณ จึงถูกส่ง
ออกไปอยู่นอกวังแล้ว รั่วซีก็บอกอิ้นเจินว่าขอพบหน้าอวี้ถานอีกสักครั้ง เมื่อได้พบอวี้ถาน อวี้ถานก็ร้องไห้
ขอร้องรั่วซีว่านางอยากอยู่ทำงานต่อในวังหลวง ไม่อยากปลดเกษียณ นางอยากอยู่ช่วยรับใช้และอยู่เป็น
เพื่อนรั่วซี รั่วซีจึงมาขออิ้นเจิน และอิ้นเจินก็รับปากแบบไม่เต็มใจนัก
         อิ้นเจินได้เรียกหมอหลวงมาตรวจร่างกายของรั่วซีโดยละเอียด เพราะหนก่อนตอนที่รั่วซีคุกเข่า
กลางฝนจนล้มป่วย และคังซีให้หมอหลวงหลี่มาตรวจนั้น เขาก็สืบรู้อาการของรั่วซีมาบ้างเหมือนกัน
แล้วหลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบสิบปี รั่วซีไม่ได้รักษาตัวอย่างดีอีกเลย เขาจึงเป็นห่วง กะรักษาให้หายดี
แต่ผลการตรวจทำเอาอิ้นเจินช็อคมาก เพราะหมอหลวงบอกว่า เนื่องจากโรคเก่าไม่ได้รับการรักษาให้ดีๆ
บวกกับการที่ต้องทำงานซักผ้า มือแช่น้ำทั้งวันมาตลอดเจ็ดปี ส่งผลให้ความเย็นแทรกซึมเข้าสู่ร่าง
มากเกินไป ทำให้อาการทรุดลงจนเข้าขั้นไม่สามารถรักษาให้กลับเป็นอย่างเดิมได้ หากรักษาตัวให้ดีๆ
ตามที่หมอสั่งทุกอย่าง หมอรับประกันได้ว่าในสิบปีนี้จะไม่เป็นปัญหา ส่วนสิบปีให้หลัง...ค่อยรอดูกันอีกที
(หมอไม่กล้าพูดว่าถ้ารักษาตัวแบบดีที่สุด จะมีชีวิตอยู่ได้อีกสิบปี แต่อิ้นเจินก็ฟังออก) 
        รั่วซีถามอิ้นเจินตรงๆ ว่า นกอินทรีสองตัวที่องค์ชายแปดถวายให้คังซีนั่น เป็นฝีมืออิ้นเจินใช่ไหม?
อิ้นเจินนิ่งไป แล้วถามว่า รั่วซีรู้ได้ยังไง? รั่วซีบอก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหวางสี่เป็นคนของอิ้นเจิน และ
ตอนนั้นที่นางทำท่าจะลุกขึ้นขอให้คังซียกโทษให้องค์ชายแปด หวางสี่ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ นาง เหมือน
ตามประกบจับแขนนางไว้แล้วเตือนนางว่านางยังมีพ่อกับพี่น้องอยู่ ซึ่งไม่ใช่ลูกหลานฮ่องเต้ ถึงหวางสี่
จะฉลาด แต่ไม่น่าจะรู้เรื่องของนางและเข้าใจนางดีมากขนาดนี้จนถึงขั้นพูดแบบนั้นออกมาได้ในทันทีได้
มีเหตุผลเดียวที่อธิบายได้คือมีคนสั่งเขามาให้ทำแบบนั้น และคนที่จะสั่งให้เขาทำแบบนั้นได้ ก็มีแต่อิ้นเจิน
อิ้นเจินจึงบอกว่า แม้รั่วซีจะฉลาด แต่ใจอ่อนเกินไป แล้วเวลาร้อนใจยังชอบทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่น
น้องแปดเป็นพี่เขยของเจ้า เจ้าย่อมต้องหาทางช่วยเขาอยู่แล้ว และจะเป็นการพาตัวสู่ภัยเสียเปล่าๆ
ข้าถึงต้องให้หวางสี่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ เฝ้าประกบเจ้า  รั่วซีพูดว่า ทีแรกนางนึกว่าเป็นฝีมือของสิบสี่ คิดว่า
องค์ชายแปดเองก็คงคิดเหมือนกันกับนาง จากนั้นถามต่อว่าอิ้นเจินทำยังไงถึงได้ซื้อตัวคนสนิทที่ภักดี
ขององค์ชายแปดได้? อิ้นเจินบอก เขาซื้อตัวขันทีพ่อบ้านขององค์ชายแปด คนยิ่งแก่ตัวกิเลสยิ่งมาก
เขาจับจุดอ่อนตรงนั้น รั่วซีถามต่อว่า แล้วทำไมหลังจากนั้นถึงได้ฆ่าตัวตายกันหมดล่ะ? อิ้นเจินบอก
เขาไม่อยากให้รั่วซีต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้ รั่วซีขอร้องให้อิ้นเจินตอบนาง เพราะนางข้องใจเรื่องนี้มานาน
มากแล้ว อิ้นเจินจึงตอบว่า ขันทีเฒ่าวางยาองครักษ์ที่ถือกรงนกมา จากนั้นผูกคอตาย ภาพที่ปรากฏ
จึงเป็นว่าองครักษ์กินยาพิษฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด ส่วนขันทีก็ผูกคอตายด้วยเหตุผลเดียวกัน
รั่วซีฟังแล้วได้แต่หนาวเยือกในใจ

366
         หลังจากจัดการสถานการณ์จนสงบลงได้ อิ้นเจินถึงค่อยส่งคนไปแจ้งข่าวการตายของคังซีต่อสิบสี่
และเรียกตัวสิบสี่กลับมาเคารพศพพ่อ และออกคำสั่งปลดตำแหน่ง “หวาง” ของสิบสี่ จากนั้นส่งไปทำหน้าที่
เฝ้าสุสาน  รั่วซีรู้สึกละอายใจต่อสิบสี่มากที่นางไม่สามารถช่วยแจ้งข่าวอะไรต่อสิบสี่ได้ก่อนหน้านี้ และ
ไม่ได้พยายามช่วย เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องเป็นไปตามประวัติศาสตร์
       วันรุ่งขึ้น อยู่ๆ สิบสามก็ผลุนผลันเข้ามาเข้าเฝ้าด้วยท่าทางลนลานมาก บอกว่าลวี่อู๋หนีไป ขอให้
อิ้นเจินอนุญาตให้เขาส่งทหารออกตามหาตัว อิ้นเจินก็อนุญาต หลังสิบสามออกไปแล้ว รั่วซีจึงบอกว่า
ท่าทางสิบสามจะรักลวี่อู๋เข้าแล้ว และรักมากด้วย ถึงได้เผลอตัวลนลานถึงขนาดนั้น คงเป็นเพราะอยู่
ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในยามยากถึงสิบปีเต็ม  ทหารที่ตามหาตัวเล่าว่ามีคนพบเห็นคนที่มีลักษณะและหน้าตา
ตามภาพลวี่อู๋ยืนอยู่ริมแม่น้ำ และวันรุ่งขึ้นแหของชาวประมงก็ทอดติดศพของผู้หญิงที่ใส่ชุดแบบและสีเดียว
กันนั้น ข้อมือใส่กำไลเหมือนที่เห็นในภาพ (เป็นภาพลวี่อู๋ที่สิบสามวาดเอาไว้ตอนอยู่ในที่คุมขัง มีเยอะมากๆ)
แต่หน้าตาถูกปลาแทะเละหมดจนมองหน้าไม่ออก อิ้นเจินและรั่วซีตกใจมาก สั่งปิดข่าวไม่ให้สิบสามรู้
จากนั้นสั่งให้ฝังศพลวี่อู๋อย่างสมเกียรติ  สิบสามลางานออกติดตามหาตัวลวี่อู๋อยู่พักใหญ่โดยไร้ข่าวคราว
ก็ท้อใจกลับบ้านมากินเหลาเมาหยำเป  ฟังข่าวอย่างสิ้นหวัง อิ้นเจินจึงขอให้รั่วซีช่วยไปปลอบใจสิบสาม
รั่วซีจึงเอาจดหมายที่ลวี่อู๋เขียนมาขอร้องนางที่สิบสี่เคยเอามาให้ไปด้วย อ่านทบทวนระหว่างทาง แล้วนึก
หาวิธีที่จะเกลี้ยกล่อมออก  รั่วซีบอกสิบสามว่า ในจดหมายของลวี่อู๋บอกว่า นางเป็นคน....(บอกบ้านเกิด)
เดิมทีนางเป็นคนในครอบครัวมีอันจะกิน แต่ต้องโทษจนต้องออกมาเร่ร่อนอย่างที่เห็น และก่อนหน้านี้
หลายสิบปี ในยุคของคังซี เคยเกิดเรื่องใหม่มากขึ้นในพื้นที่นั้น นั่นคือผู้ทำหน้าที่ชำระประวัติศาสตร์
ราชวงศ์หมิง (ราชวงศ์ก่อนหน้าราชวงศ์แมนจู) ได้ใช้ปีของราชวงศ์หมิงในการบันทึก ซึ่งถือว่ามีโทษ
เทียบเท่าก่อกบฏ ประหารเก้าชั่วโคตร เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้ที่ถูกประหารทั้งหมดเกือบสองร้อย และมีผู้
ที่ติดร่างแหถูกจำคุกกว่าสองพัน ครอบครัวที่จากเดิมเป็นเศรษฐีคหบดี ต้องกลายเป็นขอทานในชั่วข้ามวัน
มีไม่รู้กี่บ้าน ลวี่อู๋คือหนึ่งในลูกหลานของครอบครัวเหล่านั้นเพราะงั้น หลังสิบสามได้รับการปล่อยตัว ลวี่อู๋
จึงไม่สามารถเป็นภรรยาที่มีตำแหน่งของสิบสามได้ เพราะการเป็นภรรยาของสิบสามต้องมีการสืบประวัติ
อย่างละเอียดเสียก่อน และหากถูกสืบรู้ประวัติโดยละเอียดว่านางเป็นคนในครอบครัวของผู้ที่เคยต้องโทษ
มีส่วนพัวพันกับผู้ที่ต้องโทษกบฏจากกรณีนี้ จุดนี้จะถูกพวกองค์ชายเก้านำมาใช้เล่นงานทั้งสิบสามและ
อิ้นเจินได้ นางถึงได้หนีไปเพื่อตัดปัญหานี้ หากสิบสามเข้าใจนาง ก็ปล่อยนางไปเถอะ อย่าได้พยายามตามหา
นางอีกเลย  สิบสามฟังแล้วก็คอตก เสียใจมากแต่ก็เข้าใจ และตัดสินใจเลิกตามหา ยอมกลับมาทำงาน
ในราชสำนักตามเดิม

366
          วันปีใหม่ อิ้นเจินนัดพระมารดาและสิบสี่มาทานอาหารพร้อมหน้ากันสามแม่ลูก พระมารดาของอิ้นเจิน
ต่อว่าอิ้นเจินต่อหน้าสิบสี่ว่าอิ้นเจินแย่งบัลลังก์จากน้อง (แม่อิ้นเจินลำเอียงรักสิบสี่มากกว่าเพราะเลี้ยงมา
เองกับมือ ส่วนอิ้นเจิน พระสนมคนอื่นช่วยเลี้ยงให้) เพราะก่อนสวรรคต คังซีเคยมาหานางและบอกว่าคนที่
เขาถูกใจจะยกบัลลังก์ให้คือสิบสี่ ไม่ใช่อิ้นเจิน พระมารดายังบอกว่า อิ้นเจินไม่ต้องมาแต่งตั้งนางเป็นไทเฮา
ตราบใดที่อิ้นเจินเป็นฮ่องเต้ นางจะไม่มีทางยอมเป็นไทเฮาเด็ดขาด ทำให้อิ้นเจินทั้งโกรธและเสียใจมาก
รั่วซีเห็นสีหน้าเป็นทุกข์สุดขีดของเขากับท่าทีนิ่งเงียบไม่ยอมพูด ก็หาทางให้เขาระบายออกมาด้วยการ
จับมอมเหล้า (อิ้นเจินคออ่อนกว่ารั่วซี) พอเมา อิ้นเจินก็ระบายเรื่องพระมารดาออกมา แล้วบอกว่า เสด็จพ่อ
คงไม่ยกโทษให้เขาแน่ที่แย่งบัลลังก์จากน้อง รั่วซีจึงปลอบ (แบบคนรู้ประวัติศาสตร์ดี) ว่า องค์เซิ่งจู่ (คังซี)
จะไม่โกรธท่านในเรื่องนี้หรอก หากท่านเป็นฮ่องเต้ที่ดี เพราะองค์เซิ่งจู่เป็นห่วงแผ่นดินมากที่สุด หากท่าน
ปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็น ประชาราษฎร์เป็นสุข องค์เซิงจู่ย่อมจะไม่โกรธท่านอย่างแน่นอน อิ้นเจินฟังแล้ว
จึงค่อยสบายใจขึ้น  ตื่นเช้ามา อิ้นเจินเปิดลิ้นชักหยิบกล่องเครื่องประดับยื่นให้รั่วซี เมื่อเปิดออกดู ปรากฏว่า
เป็นปิ่นหยกรูปดอกมู่หลานหมือนอันที่ถูกทำหักไปไม่มีผิด รั่วซีเห็นแล้วดีใจมาก (รั่วซีบอกแค่ว่าเผลอทำตกแตก
ไม่กล้าบอกว่าโดนคนงานหญิงในโรงซักผ้าแกล้งขว้างใส่พื้น ไม่งั้นป่านนี้คนงานที่ว่าไม่ได้ตายดีไปแล้ว)
        ในวันปีใหม่นี้ อิ้นเจินมีเรื่องที่ทำให้รั่วซีต้องพยายามทำใจ  คือต้องไปนอนค้างกับพระสนมคนอื่น
ตามหน้าที่ (จนตอนนี้ ถึงอิ้นเจินจะนอนค้างกับรั่วซีเกือบทุกคืน แต่ก็แค่นอนกอดเฉยๆ ยังไม่มีอะไรกัน) อิ้นเจิน
ไม่รู้จะปลอบใจยังไงดี จึงส่งภรรยาหลวงมาคุยกับรั่วซี อย่าให้รั่วซีคิดมาก  ภรรยาหลวงของอิ้นเจินแวะมา
คุยกับรั่วซีตามที่สั่ง พูดว่า สิบปีแล้วนะ นับตั้งแต่ข้าได้พิจารณาดูเจ้าอย่างละเอียดเป็นครั้งที่สอง จากนั้น
เล่าให้ฟังว่า ตอนที่รั่วซีถูกคังซีสั่งให้คุกเข่านั้น ข่าวนี้แพร่ไปทั่วทั้งวัง จากนั้นตอนเย็นฝนก็ตกหนัก อยู่ๆ
อิ้นเจินก็เข้าวังไปแบบกะทันหัน กลับออกมาอีกทีก็เปียกโชกไปทั้งตัว หลังจากอาบน้ำแล้ว ข้าวเย็นก็ไม่กิน
เอาแต่ยืนเหม่อดูฝนอยู่ริมหน้าต่าง จากนั้นอยู่ๆ ก็ก้าวออกไปยืนตากฝนทั้งคืน นางพยายามร้องไห้ทัดทาน
ก็ไม่ฟัง สั่งเสียงเย็นชาให้คนมาพานางออกไปห่างๆ  ตอนนั้นนางไม่แน่ใจว่าที่อิ้นเจินทำแบบนั้นเพราะรั่วซี
หรือสิบสาม แต่หลังจากนั้น ในงานเลี้ยงคืนวันสิ้นปี เมื่อสังเกตเห็นว่าอิ้นเจินจงใจไม่ยอมมองหน้ารั่วซีเลย
นางถึงได้แน่ใจ  รั่วซีนึกถึงความเจ็บปวดของอิ้นเจินในตอนนั้นที่จำต้องดูสิบสามถูกลงโทษและดูนางคุก
เขาโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้ทั้งที่ตัวเขาเป็นถึงองค์ชายแล้ว ความรู้สึกเคืองก็ค่อยๆ ลดน้อยลงเปลี่ยนเป็น
เห็นใจ ภรรยาหลวงบอกว่า นางมาพูดเรื่องพวกนี้เพื่อให้รั่วซีสบายใจขึ้น อิ้นเจินเองจะไม่ได้ต้องกลุ้มใจมากด้วย
นางรู้ว่ารั่วซีไม่อยากไปเจอหน้าพวกนาง เพราะงั้นนางขอตัวล่ะนะ รั่วซีตกใจ รีบบอกว่านางไม่ได้ไม่อยาก
เจอหน้าเมียคนอื่นๆ ของอิ้นเจิน หรือคิดแย่งอิ้นเจินมาเก็บไว้คนเดียว เพียงแต่มีบางเรื่องที่นางยังคงรู้สึก
ขัดแย้งในใจอยู่ ภรรยาหลวงยิ้ม บอกว่า นางเข้าใจดี เพราะนางจับตาสังเกตรั่วซีมานานถึงสิบเอ็ดปี จึงรู้ดี
ว่ารั่วซีเป็นคนแบบไหน ไม่อย่างนั้นนางคงไม่เล่าเรื่องนี้ให้รั่วซีฟังหรอก
         หลังจากสิบสามออกจากที่คุมขัง อิ้นเจินก็เอาเฉิงฮวน ลูกสาวสิบสามที่เกิดกับลวี่อู๋กลับไปให้สิบสามเลี้ยง
เพราะเฉิงอวนหน้าคล้ายลวี่อู๋มาก สิบสามยิ่งเห็นหน้าลูกก็ยิ่งเจ็บปวดและเย็นชาใส่โดยไม่รู้ตัว อิ้นเจินจึงพา
เฉิงฮวนกลับมาดูแลเอง โดยให้รั่วซีช่วยเลี้ยง รั่วซีก็เลี้ยงเฉิงฮวนแบบปล่อยๆ สอนให้รู้จักใช้ไหวพริบ แบบที่
สอนลูกในยุคปัจจุบันให้ฉลาด และเฉิงฮวนก็เป็นเด็กฉลาดอยู่แล้ว เรียนรู้เร็ว ไม่นานก็ทั้งพูดประจบทั้ง
โกหกเก่งเป็นไฟและเนียนมาก จนอิ้นเจินเห็นแล้วส่ายหน้า แต่รั่วซีก็สอนให้เฉิงฮวนรู้จักเลือกปฏิบัติและ
ดูกาลเทศะด้วย ดังนั้นเฉิงฮวนจึงกลายเป็นเด็กที่รับมือสถานการณ์เก่งและมีไหวพริบในการเอาตัวรอดสูงมาก
แต่น่าแปลกที่เฉิงฮวนกลายเป็นเด็กที่กลัวและเกรงพ่อมาก ทั้งที่พวกเด็กๆ ไม่มีใครกลัวสิบสามเลย แต่กับ
อิ้นเจินที่ใครๆ ก็กลัว เฉิงฮวนกลับไม่กลัวเลย
        วันหนึ่ง องค์ชายแปดมาขอพบรั่วซี และอิ้นเจินก็อนุญาตให้พบ ทำให้รั่วซีประหลาดใจมาก เพราะนาง
ทราบดีว่าตั้งแต่อิ้นเจินขึ้นครองราชย์ เขาก็พยายามกีดกันไม่ให้นางได้พบกับองค์ชายแปด สิบ และสิบสี่
ปรากฏว่าองค์ชายแปดมาหารั่วซีเพราะรั่วหลานอยากหน้าพบรั่วซีเป็นครั้งสุดท้าย รั่วซีจึงรีบไปหารั่วหลานทันที
ในตอนที่รั่วซีมาบ้านองค์ชายแปดนี้ องค์ชายสิบกับสิบสี่ได้มาพบรั่วซี สิบสี่โวยวายว่าอิ้นเจินทำงี้กับรั่วซี
ได้ไง ถ้าเขาต้องการรั่วซี ก็น่าจะแต่งตั้งตำแหน่งให้ ถ้าไม่ต้องการ ก็น่าจะปล่อยรั่วซีออกจากวังไป แต่นี่
มาทำแบบลักลั่น อะไรก็ไม่ใช่สักอย่าง มันหมายความว่ายังไง? อีกอย่าง ถ้าจะบอกว่ารั่วซีเป็นแค่นางกำนัล
ก็ได้ยินว่ากระทั่งหัวหน้าขันทียังต้องเชื่อฟังคำสั่งรั่วซี ถ้าจะบอกว่ารั่วซีเป็นเจ้านายในวัง แบบนี้ถือเป็น
เจ้านายแบบไหนกัน ยศตำแหน่งอะไรก็ไม่มีสักอย่าง  รั่วซีก้มหน้านิ่ง สิบสี่ก็พูดต่อว่า เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ว่ารั่วซีคิดอะไรอยู่ สิ่งที่ผู้หญิงให้ความสำคัญ รั่วซีกลับไม่สนใจเลยสักอย่าง  องค์ชายสิบปรามว่า อย่าไปว่า
รั่วซีมากนักเลย แค่นี้รั่วซียังทุกข์ใจไม่พออีกหรือ สิบสี่จึงถามว่า รั่วซีอยากจะออกจากวังหรือเปล่า? องค์ชาย
สิบบอก เรื่องนี้ใช่ว่ารั่วซีมีสิทธิ์ตัดสินใจ ก็เหมือนพวกเขาที่จะถูกฮ่องเต้ส่งไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้โดยไม่มีสิทธิ์เลือก
นั่นแหละ สิบสี่ไม่สนใจ ถามย้ำว่า ตัวรั่วซีเองอยากจะออกจากวังไหม? รั่วซีตอบว่า นางไม่รู้ บางครั้งนางก็
อยากออกจากวัง แต่บางครั้งก็ตัดใจไม่ลง สิบสี่ก็เข้าใจ พูดว่าเจ้าตัดใจจากเขาไม่ได้สินะ รั่วซีก็นิ่ง แล้ว
ขอตัวไปพบรั่วหลานต่อ
         รั่วหลานใกล้สิ้นลมแล้ว นางระบายให้น้องสาวฟังว่านางไม่กลัวตาย เพราะความตายคือการปลดปล่อย
นางจะได้ไปพบกับคนรักของนางเสียที แต่นางกลัวว่านางจะไปไม่ได้ เพราะตอนนี้นางเป็นคนของตระกูล
อ้ายซินเจว๋หลัวไปแล้ว รั่วซีจึงบอกขอตัวจากพี่สาวแป๊บ แล้วมาพบองค์ชายแปด ขอร้องให้เขาเขียนใบหย่า
ให้พี่สาวนาง พร้อมกับบอกเหตุผลว่าพี่สาวนางกลัวว่าหลังจากตายแล้ว จะถูกพันธะแต่งงานนี้ผูกมัดจนไป
พบกับคนรักไม่ได้  สิบสี่บอกว่าการหย่าพระชายาต้องได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้จึงจะได้ รั่วซีก็คุกเข่าลงกราบ
ขอร้อง บอกให้องค์ชายแปดเขียนใบหย่ามาก่อนเหอะ แล้วนางจะไปขอฮ่องเต้ให้เอง  หมิงฮุ่ย เมียหลวงของ
องค์ชายแปดเข้ามาช่วยพูด บอกให้องค์ชายแปดยอมเขียนใบหย่าให้ไปเถอะ องค์ชายแปดจึงยอมเขียนให้
อย่างปวดใจมาก รั่วซีเอาใบหย่าไปให้พี่สาว รั่วหลานจึงสามารถสิ้นลมจากไปด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
         หลังรั่วหลานตาย รั่วซีซึมอยู่พักใหญ่ ทั้งเสียใจกับการตายของพี่สาวและโกรธงอนอิ้นเจินที่ไม่ยอมให้
นางตามไปส่งศพพี่สาวถึงบ้านเกิดซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ จนอิ้นเจินต้องเฝ้าง้ออยู่นาน เมื่อรั่วซี
ถามเหตุผลว่าทำไมอิ้นเจินถึงไม่อนุญาตให้นางตามไปส่งศพรั่วหลาน ทั้งที่นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก อิ้นเจิน
น่าจะยอม อิ้นเจินก็เงียบไป ก่อนจะบอกว่าเขารู้ว่ารั่วซีไม่อยากอยู่ในวังหลวง เขากลัวว่ารั่วซีกลับบ้านไปแล้ว
จะไม่ยอมกลับมาหาเขาอีก อิ้นเจินอนุญาตใบหย่าขององค์ชายแปด และลบชื่อของรั่วหลานออกจากรายชื่อ
ราชนิกุลตามที่รั่วซีร้องขอ เรียกว่ารั่วซีขอให้ช่วยทำอะไรเขาก็ทำให้หมด เว้นอย่างเดียว ไม่อนุญาตให้ตาม
ไปส่งศพรั่วหลาน  หลังจากนั้น อิ้นเจินสั่งย้ายพ่อและน้องชายของรั่วซีมาอยู่ใกล้ๆ เมืองหลวง ดูเผินๆ เหมือน
ลดตำแหน่ง ปลดอำนาจทหารในมือ ความจริงคือทำแบบนี้จะปลอดภัยต่อชีวิตของทั้งสอง ไม่ต้องเสี่ยง
กับความระแวงของอิ้นเจินเอง และไม่ต้องกลัวว่ารั่วซีจะหนีจากเขาไป

366
         วันหนึ่ง อิ้นเจินพาพวกลูกๆ และเฉิงฮวนไปเล่นที่หยวนหมิงหยวน ส่วนเขา รั่วซี และสิบสามเดินคุยกัน
ดูลูกๆ เล่น เฉิงฮวนนั่งชิงช้า หงลี่ (ต่อมาคือฮ่องเต้เฉียนหลง ตอนนี้อายุย่าง 12 ขวบ) ช่วยไกวชิงช้า แล้ว
ตอนนั้นมีนางกำนัลสาวรุ่นหน้าตาดีเดินผ่านมาถวายบังคม ก่อนจะขอตัวจากไป หงลี่ก็เผลอมองตามจนลืม
ไกวชิงช้าให้ พวกน้องๆ เลยหัวเราะโห่ฮา เฉิงฮวนก็กระโดดลงจากชิงข้ามาเท้าสะเอวร้องเพลงหัวเราะเยาะ
เพลงที่เฉิงฮวนร้องทำเอาทั้งอิ้นเจินและสิบสามอ้าปากค้าง เอามือกุมขมับด้วยกันทั้งคู่ ว่ารั่วซีสอนเด็กร้องเพลง
อะไรแบบนี้ สิบสามบ่นว่าเห็นทีเขาน่าจะพิจารณาเอาลูกกลับมาเลี้ยงเองท่าจะดีกว่า ไม่งั้นมีหวังถูกรั่วซีสอน
อะไรพิสดารจนต่อไปลูกเขาไม่รู้จะกลายเป็นเด็กแบบไหนรั่วซีบอก ไม่แค่สอนร้องเพลงนะ นางยังเล่านิทาน
ให้เฉิงอวนฟังอีกหลายเรื่องเลย สิบสามบ่นงึมงำว่าเห็นทีเขาต้องจับตัวลูกมาถามเสียแล้วว่ารั่วซีเล่านิทาน
แบบไหนให้ฟังบ้าง  จากนั้นสิบสามก็เผาพี่ชาย บอกว่าสมัยยังเด็ก ในงานวันเกิดพ่อ พี่สามดีดพิณ แล้วพี่สี่
ก็ร้องเพลงคลอ ร้องได้สุดยอดแย่มากจนเขาที่ตอนนั้นยังเล็กมากต้องเอามืออุดหูแน่น ส่วนสิบสี่วิ่งไปซ่อน
ใต้โต๊ะ มีแต่เสด็จพ่อที่ฟังจนจบแล้วหัวเราะ

        ไม่นานต่อมา พระมารดาของอิ้นเจินก็สวรรคต เนื่องจากสิบสี่ถูกส่งไปอยู่ที่อื่น จึงกลับมาไม่ทันดูใจแม่
เป็นครั้งสุดท้าย เขาเสียใจมาก คุกเข่านิ่งอยู่ข้างศพแม่อยู่พักใหญ่ เมื่อขันทีจะมาเคลื่อนย้ายศพ สิบสี่ค่อย
ร้องไห้ออกมาอย่างหนักจนหมดสติไป รั่วซีเห็นแล้วทั้งปวดใจและสงสารเพื่อนมาก อดนึกโมโหอิ้นเจินไม่ได้
ที่ทำกับสิบสี่ขนาดนี้ ตอนพ่อตาย สิบสี่ก็ไม่ทันได้ดูใจไปหนหนึ่งแล้ว นี่ยังมาแม่อีก
         วันหนึ่ง สิบสามมาเล่าให้รั่วซีฟังว่าวันนี้ฮ่องเต้หาเรื่องด่าว่าพี่แปดทำงานชุ่ยอีกแล้ว และสั่งให้พี่แปด
คุกเข่าไม่ให้ลุก รั่วซีจึงไปนั่งคุกเข่าในห้องพระประท้วงอิ้นเจิน อิ้นเจินโมโหมาก แต่ก็ยอมยกเลิกคำสั่งให้
องค์ชายแปดคุกเข่า จากนั้นทำเย็นชาใส่รั่วซี ไม่ยอมพูดกับรั่วซีไปหลายวัน รั่วซีจึงย้ายไปนอนกับอวี้ถาน
สิบกว่าวันผ่านไป สิบสามก็มาเยี่ยมรั่วซี (อิ้นเจินส่งมาให้ช่วยดูลาดเลา) คุยเรื่องในราชสำนัก สุดท้ายบอกว่า
ตั้งแต่รั่วซีกับพี่สี่ทะเลาะกัน พี่สี่หารอยยิ้มไม่มี เย็นชาทั้งวันจนคนรับใช้ใกล้ตัวกลัวหัวหดกันไปหมดแล้ว
หลังจากสิบสามกลับไป ตกค่ำ อิ้นเจินก็ส่งขันทีมาตามตัวรั่วซีกลับห้องไปง้อขอคืนดี
       
         หมิงเยว่ ภรรยาหลวงขององค์ชายสิบ มาขอพบรั่วซีและขอร้องให้รั่วซีไปคุยกับฮ่องเต้ให้เพลาๆ มือ
ในการเล่นงานสามีนางหน่อย เพราะอดีตแก๊งองค์ชายแปดทุกคนถูกเล่นงานหนักมากจนจิตใจจะรับไม่ไหว
อยู่แล้ว รั่วซีจึงมาช่วยเกลี้ยกล่อมอิ้นเจิน อิ้นเจินบอกว่าจะให้เขาหายแค้นได้ยังไง ดูสภาพร่างกายของ
สิบสามตอนนี้สิ แล้วยังรั่วซีอีก ที่ทั้งสิบสามและรั่วซีต้องกินยาเพื่อยืดชีวิตอยู่ทุกวันในตอนนี้มันเพราะใครกัน?
รั่วซีบอกว่านางไม่เคยคิดแค้นพวกองค์ชายแปดเลย เพราะที่พวกนั้นทำอย่างนี้เป็นเพราะจุดยืนแตกต่างกัน
เท่านั้น และนางเชื่อว่าสิบสามเองก็ไม่คิดแค้นเช่นกัน อิ้นเจินจึงรับปากแค่ว่าเขาจะไม่เล่นงานพวกน้องๆ
ถึงชีวิต รั่วซีจึงค่อยโล่งใจได้

366
         ตั้งแต่อิ้นเจินขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา เขาก็เน้นจัดการปัญหาคอรัปชันเป็นหลัก เพราะในยุคของ
คังซีมีการทำสงครามค่อนข้างบ่อย การคลังจึงค่อนข้างฝืดเคือง บวกกับคังซีเน้นเมตตาธรรม ลงโทษ
แต่สถานเบา ทำให้พวกที่คอรัปชันไม่หลาบจำ อิ้นเจินตั้งใจจัดการกับพวกนี้ให้หนักๆ มาตั้งแต่สมัยยังเป็น
องค์ชายสี่แล้ว มาตอนนี้จึงกำหนดโทษขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงไว้ที่ประหารไม่ละเว้น นอกจากนี้
เพื่อป้องกันพวกขันทีและนางกำนัลที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง แอบแพร่งพรายเรื่องที่ไม่ควรพูด หรือทำงานเป็นสาย
ให้พวกพี่น้องคนอื่นๆ เมื่อจับสายสืบพวกนี้ได้ อิ้นเจินจะสั่งลงโทษถึงตายในหลายๆ แบบ โดยให้พวกขันที
นางกำนัล และองครักษ์ในวังไปดูการลงโทษจนถึงตายนี้เอาไว้ จะได้หวาดกลัวไม่กล้าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
รั่วซีมารู้เรื่องนี้เมื่อวันหนึ่งไปเยี่ยมอวี้ถาน แล้วเห็นหน้าซีดกลับมา อวี้ถานเล่าให้ฟังว่าไปดูนางกำนัลคนหนึ่ง
ถูกลงโทษตีจนตายคาไม้มา เพราะนางกำนัลคนนี้ไปเล่าเรื่องความเคลื่อนไหวของฮ่องเต้ในตำหนักส่วนตัว
ให้พระสนมคนหนึ่งฟัง (ก็เล่าเรื่องที่อยู่กับรั่วซีนั่นแหละ) ทำให้ฮ่องเต้โกรธมากเพราะไม่ชอบให้ใครมายุ่ง
มาสืบเรื่องส่วนตัว จึงสั่งให้ทั้งคนในตำหนักนี้และตำหนักของพระสนมคนนั้นทั้งหมดมาดูการลงโทษนี้
รั่วซีฟังแล้วหนาวเยือกในใจทันที
         วันหนึ่ง รั่วซีเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปจนถึงโรงซักผ้า เจอคนงานสาวที่รู้จัก จึงทักถามถึงจางเชียนอิง
ขันทีคุมโรงซักผ้า คนงานสาวก็หน้าซีด ตอบว่าออกจากวังไปแล้ว รั่วซีฟังแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะ
ขันทีจะไม่เหมือนคนงานในวังจำพวกอื่น พวกขันทีมักจะทำงานอยู่ในวังกันจนตาย ออกจากโรงซักผ้า
รั่วซีก็ไปเยี่ยมหวางสี่ที่ที่พัก แล้วบังเอิญเห็นหวางสี่ร้องไห้แอบไหว้วิญญาณอาจารย์ จึงเข้าไปเค้นถาม
และได้รู้ว่าหลี่เต๋อเฉวียนกินยาพิษฆ่าตัวตายหลังจากคังซีสวรรคตได้เดือนเศษ ไม่ได้ปลดเกษียณออกจาก
วังไปอย่างที่นางคิด และศพก็ถูกนำไปเผาทิ้ง รั่วซีช็อคมาก นั่งนิ่งตะลึงน้ำตาไหลพราก รู้ดีว่าที่หลี่เต๋อเฉวียน
ต้องกินยาตายเพราะรู้มากเกินไป ถึงไม่ฆ่าตัวตายเอง อิ้นเจินก็ไม่มีทางไว้ชีวิตเขาอยู่แล้ว  รั่วซีร่วมไหว้
วิญญาณหลี่เต๋อเฉวียนด้วย แล้วถามว่าจางเชียนอิงล่ะ ถูกฆ่าไปแล้วด้วยหรือเปล่า? หวางสี่ตอบว่า ตอน
ออกจากวังยังไม่ตาย ตอนนี้ไม่รู้ แต่ก็คงใกล้ตายแล้วล่ะ รั่วซีถามว่าหมายความว่ายังไง? หวางสี่บอก
จางเชียนอิงถูกฮ่องเต้สั่งตัดลิ้นตัดแขน แล้วไล่ออกจากวัง (เพราะอิ้นเจินสืบรู้ว่าหมอนี่แอบแกล้งรั่วซี
ตอนอยู่ในโรงซักผ้า)  รั่วซีฟังจบก็ลุกพรวดเปิดประตูห้องไปโก่งคออาเจียนทันที  คืนนั้น ตอนอิ้นเจินมาหา
รั่วซีไม่กล้าเปิดไฟ ตอนนอนคุยด้วยก็เลือกคำพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนนี้นางคิดแค่ว่าที่อิ้นเจินโหดกับ
พวกองค์ชายแปด แค่เพราะรักแรงแค้นแรง และอิ้นเจินคงไม่มีทางทำร้ายนาง แต่มาตอนนี้นางเริ่มไม่แน่ใจ
และเริ่มกลัวเขา
          หลังจากได้รู้เรื่องของหลี่เต๋อเฉวียนจากหวางสี่ รั่วซีก็หมกตัวอยู่แต่ในห้อง อ่านหนังสือ ฝึกคัดลายมือ
พยายามปิดกั้นตัวเองไม่รับรู้เรื่องราวในโลกภายนอก เพราะกลัวที่จะรับรู้  วันหนึ่ง เฉิงฮวนแอบได้ยินพวก
นางกำนัลคุยกันว่าข้างนอกกำลังนึ่งคนทั้งเป็น จึงเอามาเล่าให้รั่วซีฟัง รั่วซีฟังแล้วตกใจมาก รีบออกไปดู
กลัวว่าคนที่โดนจะเป็นหวางสี่  หัวหน้าขันทีพยายามห้ามรั้งตัวไว้ แต่รั่วซีก็ดึงดันไปจนได้ เมื่อไปถึงที่ลงโทษ
และเห็นหวางสี่ยืนน้ำตาไหล ก็โล่งอก แต่แล้วก็ใจหายวูบขึ้นมา เพราะหวางสี่ร้องไห้แบบนั้น แสดงว่าคนที่
ถูกนึ่งทั้งเป็นเป็นคนที่หวางสี่รู้จัก จึงหันมาเค้นถามหัวหน้าขันทีว่าคนที่ถูกนึ่งอยู่คือใคร หัวหน้าขันทีตอบ
ปากคอสั่นว่าคืออวี้ถาน รั่วซีช็อคสุดขีด วิ่งออกไปอ้วกจนหมดไส้หมดพุงแล้วล้มลงหมดสติไป  รั่วซีฟื้นมา
อีกทีก็เห็นอิ้นเจินนั่งอยู่ข้างๆ บอกว่านางตั้งต้องได้หนึ่งเดือนแล้ว ถึงจะโกรธเขายังไงก็ให้คิดถึงลูก รักษา
สุขภาพบ้าง และบอกว่าสาเหตุที่เขาลงโทษอวี้ถาน เพราะนางเป็นสายสืบที่องค์ชายเก้าส่งมาอยู่ข้างๆ รั่วซี
และเขาเคยให้โอกาสอวี้ถานกลับตัวแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เคยส่งออกจากวัง และแสดงอาการเตือนกลายๆ แต่
อวี้ถานก็ยังไม่ยอมเข็ดหลาบ เขาจึงต้องลงโทษสถานหนักอย่างที่เห็นเมื่อรั่วซีได้ฟัง ก็ปะติดปะต่อเรื่องราว
ได้ทันทีว่าคุณชายในรถม้าที่อวี้ถานเคยเล่า คือองค์ชายเก้านี่เอง  หวางสี่แอบเอาผืนผ้าที่อวี้ถานใช้เลือด
เขียนแล้วยัดลงใต้ประตูห้องของเขาก่อนจะถูกจับตัวไปนึ่งทั้งเป็นมาให้รั่วซี ในนั้นบอกขอโทษรั่วซีที่ไม่ได้
อธิบายให้ฟัง และบอกว่าถึงอย่างไรนางก็ไม่เสียใจในสิ่งที่นางได้ทำลงไป และไม่แค้นใครในจุดจบของนาง
         อิ้นเจินส่ง เฉี่ยวฮุ่ย สาวใช้ของรั่วหลานที่เคยดูแลรั่วหลานมาตั้งแต่เล็ก และเคยช่วยดูแลรั่วซีตอนที่
เพิ่งข้ามเวลามาในยุคนี้ใหม่ๆ มาอยู่เป็นเพื่อรั่วซีเป็นการชดใช้ที่เขาฆ่าอวี้ถานจนทำให้รั่วซีโกรธแค้นเขามาก
และเฉี่ยวฮุ่ยก็ดูแลรั่วซีอย่างดีจนสุขภาพทั้งกายและจิตของรั่วซีดีขึ้น  วันหนึ่ง เฉิงฮวนมาร้องขอดีดเจิง
ให้รั่วซีฟังเพื่อให้รั่วซีอารมณ์ดีขึ้น สิบสามกับอิ้นเจินก็มาฟังด้วย เนื้อหาของเพลงบ่งบอกถึงอิสรภาพ
อิ้นเจินฟังแล้วตกใจมาก ถามเฉิงฮวนว่าใครสอนให้เลือกดีดเพลงนี้ เฉิงฮวนบอกว่าเลือกเพลงนี้เอง
ข้าดีดไม่เพราะหรือ? พวกผู้ใหญ่จึงพากันกลบเกลื่อนว่าดีดเพราะมาก  หลังจากเฉิงฮวนกับสิบสามออกไปแล้ว
อิ้นเจินก็บอกว่า เขาจะแต่งตั้งตำแหน่งให้รั่วซี เพราะตอนนี้รั่วซีท้องแล้ว จะไม่มีตำแหน่งไม่ได้ เพราะถ้าลูก
เกิดมาแล้ว คนเขาจะครหาเอาได้ รั่วซีตัวแข็งทื่อ บอกว่านางไม่อยากได้ตำแหน่ง ถ้ากลัวคนครหาก็ให้นาง
ออกไปอยู่นอกวังสิ จะได้ไม่มีใครรู้เห็นและพูดถึง อิ้นเจินหน้าซีด บอก เขาไม่มีทางยอมปล่อยให้รั่วซีและ
ลูกไปอยู่ห่างๆ เขาแน่  หลังจากกอดรั่วซีนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง อิ้นเจินก็ถามว่ารั่วซียังแค้นเขาอยู่อีกหรือเปล่า?
รั่วซีน้ำตาไหล บอกว่านางอยากแค้นเหมือนกัน แต่แค้นไม่ลง นางแค่กลัววังหลวงนี้และกลัวฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยม
จนน่ากลัวคนนั้นมาก อิ้นเจินเช็ดน้ำตาให้นาง บอกว่า เขาคืออิ้นเจินของนาง แต่ก็เป็นฮ่องเต้ของวังหลวง
แห่งนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในหลายๆ เรื่อง เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ รั่วซีบอกแน่ใจหรือว่าทำอะไรไม่ได้ ความจริง
มีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องเลือกผลลัพธ์ที่โหดร้ายแบบนี้ แต่อิ้นเจินไม่ยอมเลือกทางนั้นเองมากกว่า ทำไมถึง
ต้องอาฆาตแค้นรุนแรงขนาดนี้ด้วย? อิ้นเจินก็เงียบ

366
         หลังจากนั้น วันหนึ่ง รั่วซีจับเฉิงฮวนมาถามว่าใครเป็นคนบอกให้ดีดเพลงที่เฉิงฮวนดีดในวันนั้น?
เฉิงฮวนจึงตอบมาตามตรงว่านางกำนัลที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้ไม่นานสอนนาง แล้วยังฝากข้อความมาให้รั่วซี
ด้วยว่า “ขอเพียงยินยอมตัดใจ สองเจ็ด(สิบสี่)จะช่วยให้สมหวัง”  รั่วซีสั่งให้เฉิงฮวนย้ายสาวใช้คนนี้ไป
ทำงานอย่างอื่น อย่ามารับใช้ข้างตัวอีก เพื่อความปลอดภัยของชีวิตสาวใช้คนนั้นเอง เฉิงฮวนก็เชื่อฟัง

         ต่อมาวันหนึ่ง หมิงฮุ่ย ภรรยาหลวงขององค์ชายแปดได้มาขอร้องให้เฉี่ยวฮุ่ยช่วยมาบอกรั่วซีว่านาง
ขอพบรั่วซี เนื่องจากหมิงฮุ่ยมีบุญคุณที่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้องค์ชายแปดยอมเขียนใบหย่าให้รั่วหลาน บวกกับ
องค์ชายแปดเองก็มีบุญคุณกับรั่วซีอยู่มาก รั่วซีจึงยอมไปตามนัดพบ    หมิงฮุ่ยบอกรั่วซีว่า ที่ครั้งนั้นองค์ชายแปด
เล่นงานองค์ชายสี่จนสิบสามต้องถูกคุมขังสิบปีนั่น สาเหตุเป็นเพราะรั่วซีเองนั่นแหละไปบอกองค์ชายแปด
ให้ระวังองค์ชายสี่ องค์ชายเก้าเป็นคนบอกนางเรื่องนี้ ดังนั้นที่สิบสามถูกคุมขัง รั่วซีนั่นแหละเป็นต้นเหตุ
นางขอให้รั่วซีไปเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ให้เลิกหาเรื่ององค์ชายแปดเสียที ไม่อย่างนั้นนางจะบอกเรื่องนี้ให้
ฮ่องเต้รู้ หากฮ่องเต้จะทำให้พวกนางต้องเจ็บปวด ความเจ็บปวดนี้ก็ต้องรับกันไปฝ่ายละครึ่ง!  การได้รู้ว่า
ตัวเองเป็นต้นเหตุทำร้ายสิบสาม จนสุดท้ายส่งผลกระทบต่อเนื่องให้อิ้นเจินกลายเป็นคนโหดเหี้ยมอย่างที่
เป็นอยู่ในตอนนี้ ทำให้รั่วซีช็อคและโทษตัวเองมาก สะเทือนใจมากจนแท้งลูก  การแท้งลูกของรั่วซีทำให้
อิ้นเจินแค้นหมิงฮุ่ยสุดๆ จนออกราชโองการสั่งให้องค์ชายแปดให้หย่าหมิงฮุ่ย สิบสามมาบอกรั่วซีเรื่องนี้
รั่วซีตกใจมาก รีบขอร้องสิบสามให้พาไปที่บ้านองค์ชายแปด  เมื่อไปถึงวังองค์ชายแปด รั่วซีไปร้องบอกว่า
องค์ชายแปดจะหย่าหมิงฮุ่ยไม่ได้นะ แต่องค์ชายแปดเขียนใบหย่าให้ไปแล้ว และหมิงฮุ่ยก็พาลูกออกจาก
บ้านไปแล้วด้วย รั่วซีโวยวาเขียนใบหย่าให้ไปได้ไง นี่เขาไม่ได้รักหมิงฮุ่ยเลยหรือไง รู้หรือเปล่าว่าหมิงฮุ่ย
ทุ่มเทเพื่อเขามากแค่ไหน?  องค์ชายแปดบอก เขามีหรือจะไม่รัก มีหรือจะไม่รู้ ตอนที่เขานอนป่วย มีแต่
หมิงฮุ่ยที่ช่วยดูแล ตอนที่เขาถูกทุกคนเมิน มีแต่หมิงฮุ่ยที่ไม่ทอดทิ้ง เขาคิดจะทำอะไร หมิงฮุ่ยคอยสนับสนุน
ตอนเขาท้อแท้ หมิงฮุ่ยก็คอยปลอบใจ อยู่เคียงข้างเขาตลอด เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ไม่อยากให้นางต้องมา
ร่วมชะตากรรมนี้กับเขา  รั่วซีด่าองค์ชายแปดว่านี่เขาไม่ได้เข้าใจจิตใจของหมิงฮุ่ยเลยหรือ? หมิงฮุ่ยไม่ได้
ต้องการอะไรเลยในชีวิตนอกจากได้อยู่เคียงข้างเขาในฐานะภรรยา แต่เขากลับทำลายความหวังเพียง
หนึ่งเดียวในชีวิตของนาง ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกันเมื่อความหวังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตถูกทำลาย หมิงฮุ่ย
จะทำยังไง? องค์ชายแปดฟังแล้วเพิ่งรู้ตัว หน้าซีดเผือด รีบไปที่บ้านหมิงฮุ่ยทันที สิบสามก็ทำแบบเดียวกัน
แล้วพารั่วซีขึ้นขี่ม้าตามไป
         เมื่อไปถึงบ้านหมิงฮุ่ย ก็สายเกินไปแล้ว เพราะหมิงฮุ่ยได้วางเพลิงเผาบ้านและผูกคอตายอยู่ในนั้น
องค์ชายแปดเสียใจแทบบ้า หันมาด่ารั่วซีว่าหมิงฮุ่ยแค่ไปพบหน้าคุยกับรั่วซีครั้งเดียว ฮ่องเต้ก็ทำกันถึง
ขนาดนี้เลย มันเกินไปแล้ว สิบสามจึงตวาดใส่หน้าองค์ชายแปดว่า แค่พบหน้าคุยด้วยครั้งเดียวนี่น่ะ ทำให้
รั่วซีต้องแท้ง และมีลูกไม่ได้อีกไปตลอดชีวิตเชียวนะ จะไม่ให้ฮ่องเต้แค้นมากจนทำแบบนี้ได้ยังไง!
องค์ชายแปดเลยเงียบ แล้วจะโถมเข้ากองไฟตายตามไป แต่สิบสามเข้าไปยึดตัวไว้ บอกให้คิดถึงลูกบ้าง
ว่าถ้าพ่อแม่ตายไปหมดแล้วจะเป็นยังไง องค์ชายแปดถึงได้หยุดคิดฆ่าตัวตาย  รั่วซีถามสิบสามว่า นางจะ
มีลูกไม่ได้อีกตลอดชีวิตหรือ? สิบสามก็ซึมไป บอกว่าใช่ พี่สี่สั่งให้ปิดเรื่องนี้ห้ามบอกให้เจ้ารู้ รั่วซีบอกว่า
นางไม่คิดอะไรมากหรอก สีหน้าก็บอกว่าเฉยๆ กับข่าวนี้จริงๆ สิบสามจึงถอนใจ บอกว่าเจ้านี่คิดอะไร
ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไปจริงๆ ผู้หญิงทั่วไปถ้ารู้ว่ามีลูกไม่ได้ไปตลอดชีวิต ป่านนี้ได้เสียใจแทบขาดใจไปแล้ว
แล้วถึงเจ้าจะเฉยๆ ก็คิดถึงใจพี่สี่บ้างสิ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนที่หมอหลวงบอกว่าเจ้าจะมีลูกอีกไม่ได้ไปชั่วชีวิต
แววตาของพี่สี่เจ็บปวดมากแค่ไหน
        รั่วซีกับสิบสามกลับมาถึงวัง ก็เจอกับอิ้นเจินนั่งหน้าเรียบเฉยเย็นชา บอกว่าโมโหมากเต็มที่ รั่วซีจึง
เข้าไปบอกเรื่องที่นางเคยบอกองค์ชายแปดให้ระวังเขา บอกว่าการที่เขาไปโมโหองค์ชายแปดสำหรับเรื่อง
ทั้งหมดนี้ เขาโมโหผิดคนแล้ว เขาควรจะมาโมโหนาง เพราะนางเป็นต้นเหตุของเรื่องพวกนี้ทั้งหมด เพราะ
นางพูดแบบนั้นออกไป องค์ชายแปดถึงได้เล่นงานเขา ทำให้สิบสามต้องออกรับโทษแทนจนถูกคุมขัง
จนสุขภาพทรุดโทรมแบบนี้ และนางเองก็ต้องไปคุกเข่าขอร้องกลางสายฝนจนสุขภาพแย่ลง สุดท้ายนางเอง
ที่เป็นคนทำให้ลูกต้องแท้ง  สิบสามตกใจ รีบร้องห้ามรั่วซีว่าอย่าเอาความผิดทุกอย่างมาสุมใส่ตัวเองแบบนั้น
ส่วนอิ้นเจินโกรธมากจนสั่งให้รั่วซีออกไปให้พ้นๆ หน้าเขา รั่วซีจึงเดินออกจากตำหนักส่วนตัวของอิ้นเจิน
มาในอาการเบลอ รู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้ไม่เหลือใครและไม่มีที่ไป เฉี่ยวฮุ่ยรีบตามออกมา เจอรั่วซีมีอาการ
ประหลาด พูดว่าจะไปพบพี่สาว ก่อนจะล้มพับลงหมดสติไปในอ้อมแขนของเฉี่ยวฮุ่ย

         ในระหว่างหมดสติ รั่วซีไม่อยากจะตื่นขึ้นมา อยากจะหลับไปตลอดกาล แต่มีเสียงหนึ่งคอยเรียกชื่อนาง
เอาไว้ไม่ยอมให้นางไป เสียงนั้นคอยพูดว่า “รั่วซี เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ๆ” เพราะเสียงเรียกนี้ ทำให้นาง
ยังไม่สามารถจากไปได้สุดท้ายรั่วซีก็ฟื้นคืนสติมา เจอหน้าสิบสาม พูดว่า “รั่วซี ! ทำไมเจ้าถึงได้โง่แบบนี้
ได้รู้จักกันหนึ่งวัน เป็นเพื่อนรู้ใจกันไปชั่วชีวิต! เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย ข้าไม่ได้นึกโทษเจ้า
สักนิด หากจะโทษ ได้แต่โทษโชคชะตาที่เล่นตลกเท่านั้น!”  รั่วซีฟังแล้วน้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน สิบสาม
ย้ำให้รั่วซีรับปากว่าอย่ายอมแพ้ อย่าละทิ้งชีวิตแต่เพียงเท่านี้ รั่วซีไข้สูงมาหลายวัน ตอนนี้ให้พักผ่อนให้หายดี
ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง รั่วซีเจ็บคอจนพูดไม่ได้ จึงทำมือให้สิบสามยื่นฝ่ามือออกมา แล้วเขียนลงใน
ฝ่ามือว่า “สิบสี่ ยินดี” สิบสามถามว่าจะให้เขาติดต่อสิบสี่ให้หรือ? สิบสี่มีวิธีพารั่วซีออกจากวังหลวงได้หรือ?
รั่วซีพยักหน้า สิบสามจึงจัดการแจ้งข่าวบอกสิบสี่ให้
          หลายวันผ่านไป จนอาการป่วยของรั่วซีดีขึ้นเป็นลำดับ สิบสามก็มาเยี่ยม บอกว่าเขานึกไม่ถึงเลยว่า
สิบสี่จะมีราชโองการยกรั่วซีให้สิบสี่ของเสด็จพ่ออยู่ ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว และขอ
เพียงสิบสี่ยอมแต่งกับรั่วซี ใครก็ขวางสิบสี่ไม่ได้ รู้ไหมว่าตอนที่รู้เรื่องนี้ พี่สี่ถึงกับหน้าซีดเผือดทันทีเลยละ
รั่วซีฟังแล้วถึงกับตะลึง เพิ่งเข้าใจว่ามิน่าเล่า สิบสี่ถึงได้มั่นใจนักว่าสามารถพานางออกไปจากวังได้ และ
ถามว่าราชโองการนี้ของเมื่อไหร่? สิบสามตอบว่าปีคังซีที่ 60 เดือน 11 รั่วซีจึงนึกออกว่าตอนนั้นสิบสี่
มาหานางที่โรงซักผ้า บอกว่าเขาขอนางแต่งงานกับองค์คังซีเป็นครั้งที่สาม เพิ่งรู้ว่าในตอนนั้นสิบสี่ได้
ราชโองการมาแล้ว สิบสามบอกว่าอีกเดี๋ยวฮ่องเต้จะมาหา ให้รั่วซีเตรียมคำพูดเอาไว้เถอะ  เมื่ออิ้นเจินมา
สิบสามก็นั่งอยู่ด้วยเผื่อช่วยรั่วซี อิ้นเจินมาถึงก็พูดเสียงเย็นว่า ถ้ารั่วซีคิดจะแต่งงานกับสิบสี่ แล้วทำไม
ตอนนั้นถึงได้ยอมขัดราชโองการจนโดนลงโทษแบบนั้น? สิบสามฟังแล้วตกใจมาก ทวนคำว่า
“ขัดราชโองการ?” อิ้นเจินพูดกับสิบสามว่า ข้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า ที่นางถูกลงโทษไปอยู่โรงซักผ้า
เพราะขัดราชโองการไม่ยอมแต่งงานกับสิบสี่ สิบสามฟังแล้วต้องหันมามองหน้ารั่วซีอย่างนับถือมากที่กล้า
ขัดราชโองการโดยไม่ยอมทำในสิ่งที่ฝืนใจ  อิ้นเจินบอก เขาสั่งให้องค์ชายแปดหย่าเมียได้ เขาก็มีปัญญา
ทำให้สิบสี่แต่งกับรั่วซีไม่ได้ รั่วซีบอก คุณธรรมอันดับหนึ่งคือกตัญญู ราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน
มิอาจขัด หาไม่แล้วจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้ลูกหลานกระทำตาม และนับแต่โบราณมา ฮ่องเต้ต่างหวาดกลัว
เรื่องที่ราชโองการของตัวเองไม่ถูกให้ความสำคัญ ไม่ถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดมากที่สุด หากท่าน
ไม่ยอมทำตามราชโองการขององค์เซิ่งจู่ ต่อไปราชโองการของท่านเองจะยังมีใครยอมทำตามอีกเล่า?
อิ้นเจินแค่นยิ้ม ประชดว่า ความฉลาดของเจ้ามีไว้เพื่อรับมือข้าอย่างนั้นรึ? รั่วซีจึงพูดว่า เมื่อก่อนตอนที่
นางยังอยู่ในโรงซักผ้า แม้จะได้พบกันปีละครั้ง แต่เขากับนางก็รักกันมาก แต่มาตอนนี้ ทั้งที่ได้พบหน้ากัน
เกือบทุกวัน แต่กลับมีเรื่องให้ต้องหมางใจกัน ตอนนี้นางย้อนนึกแล้วแค้นเขามากในหลายๆ เรื่อง เขาเอง
ก็แค้นนางมากเช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะถึงขั้นต่างฝ่ายต่างแตกหัก มิสู้แยกทางกันแต่ตอนนี้ที่ยังมีความรู้สึก
ดีๆ ให้กันอยู่บ้างจะดีกว่า  อิ้นเจินเงียบไป แล้วบอกว่า หากเจ้ายินดี เราหวนกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ได้นี่
รั่วซีส่ายหน้า พูดว่า ไม่มีใครหรอกที่หวนกลับไปเป็นเช่นอดีตได้ อวี้ถานตายแล้ว ลูกแท้งไปแล้ว สิบสาม
ถูกคุมขังสิบปีไปแล้ว ช่วงเวลาที่ท่านต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังหลังจากสิบสามถูกคุมขังเป็นต้นมา เหล่านี้
ล้วนกั้นขวางอยู่ระหว่างเรา พวกเราไม่สามารถทำเป็นเหมือนว่าทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ และข้า
ก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจถามไถ่ถึงพวกองค์ชายแปดได้ ข้าวางไม่ลง!  หลังรั่วซีพูดจบ อิ้นเจินก็กระแทกเท้า
กลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก  หมอหลวงมาตรวจอาการรั่วซีเป็นครั้งสุดท้าย บอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะหายดี รั่วซี
ถามหมอหลวงว่าชีวิตนางในตอนนี้เหลืออีกกี่ปี? หมอหลวงบอกตามตรงว่า หากรักษาตัวดีๆ จะอยู่ได้อีกนาน
ที่สุด 3-4 ปี
        ก่อนหน้ารั่วซีจะออกเดินทางไปอยู่กับสิบสี่ อิ้นเจินได้มาหารั่วซีอีกครั้งด้วยสีหน้าโกรธจัด บอกว่า
องค์ชายแปดมาหาเขา เล่าให้เขาฟังว่าเคยคบกับรั่วซีมาก่อน เคยหวานชื่นกันยังไงขนาดไหน เคยหัดขี่ม้า
ให้รั่วซี เคยกอดเคยจูบรั่วซี รู้ไหมว่าตัวเขาที่ต้องนั่งฟังคำพูดที่เหมือนถูกเอามีดแทงใส่หัวใจมีดแล้วมีดเล่า
โดยที่สีหน้าจำต้องทำเป็นยิ้มอย่างไม่แยแสนั่นน่ะ รู้สึกยังไง ต้องเจ็บปวดมากแค่ไหน แล้วทำไมเขาถึงต้อง
มาทนเจ็บปวดแบบนี้ด้วย! เขารู้แล้วว่าทำไมวันนั้นรั่วซีถึงได้ยืนกรานคุกเข่าจนกว่าเขาจะยอมยกโทษให้
องค์ชายแปด! เขารู้แล้วว่าทำไมรั่วซีถึงไม่สามารถเลิกสนใจกังวลเรื่องของแปดได้! เขาไม่อยากเจอหน้า
รั่วซี และจะไม่ยอมเจ็บปวดใจเพราะรั่วซีอีกต่อไป! พูดจบอิ้นเจินก็จากไปอย่างเดือดจัด

366
         ในวันออกเดินทาง สิบสามกับเฉิงฮวนนั่งรถม้าไปส่งรั่วซี ระหว่างทางเจอองค์ชายแปดมาส่งรั่วซี
รั่วซีขอให้หยุดรถลงไปคุยกับองค์ชายแปด รั่วซีพูดขอบคุณเขาที่จงใจไปพูดแบบนั้นเพื่อให้อิ้นเจินยอม
ตัดใจจากนางและยอมปล่อยนางไป องค์ชายแปดก็ยิ้ม บอกว่าไม่จำเป็นต้องขอบใจ ครึ่งหนึ่งเขาก็ทำเพราะ
ความสะใจของตัวเองด้วย รั่วซีบอก แต่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการส่งเสริมความคิดอยากไปจากที่นี่ของนาง
องค์ชายแปดไม่มีทางยอมไปพูดแบบนั้นแน่  องค์ชายแปดบอกให้รั่วซีถนอมรักษาตัวให้ดีๆ สิบสี่ต้องดีกับ
รั่วซีมากอยู่แล้ว และในเมื่อได้ตัดสินใจที่จะไปแล้ว ก็ให้ตัดอดีตให้ขาด รั่วซีถามว่ามีคำพูดอะไรจะฝากไป
บอกสิบสี่ไหม? องค์ชายแปดบอกไม่มี แล้วรั่วซีก็คงเข้าใจความรู้สึกและความคิดของเขาดี ในเมื่อเข้าใจ
ก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา จงไปเถอะ  รั่วซีเดินจากไปได้ช่วงหนึ่ง ก็หันหลังกลับวิ่งมากอดองค์ชายแปดแน่น
องค์ชายแปดตัวแข็งทื่อไปนิด ก่อนจะกอดตอบ พูดเสียงหนักว่า จงลืมวังหลวงเสียให้หมด! จงลืมเรื่อง
ของเราเสียให้หมด! แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้ พูดว่า เป็นเจ้าสาวทั้งทีก็ต้องทำตัวให้สมกับ
ที่เป็นเจ้าสาวหน่อยสิ อะไรมาร้องไห้แบบนี้ รีบไปเถอะ สิบสามทำหน้าอย่างกับยักษ์แล้วนั่น รั่วซีพยักหน้า
แล้ววิ่งกลับไปที่รถม้า  กลับไปถึง ขึ้นนั่งในรถม้า สิบสามก็บ่นว่า ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าพี่แปดไปเล่าเรื่อง
ตอนที่คบกับเจ้าให้พี่สี่ฟัง แต่ดันไม่เล่าเรื่องตอนที่เลิกกันให้ฟังสักคำ ทำเอาพี่สี่โมโหหึงแทบตาย รั่วซีจึง
บอกว่า องค์ชายแปดจงใจพูดแบบนั้นเพื่อให้ฮ่องเต้ตัดใจไม่ขัดขวางนางออกจากวังน่ะสิ สิบสามจึงนิ่งไป
แล้วถอนหายใจ พูดว่า เขาไม่ได้มองพี่แปดผิดไปจริงๆ  ก่อนรถม้าจะออกจากเมืองหลวง รั่วซีใจกระตุกวูบ
รีบเลิกม่านหน้าต่างออกดู ก็พบอิ้นเจินขี่ม้ายืนดูนางอยู่เงียบๆ ในที่ห่างออกไป
         เมื่อรถม้าไปถึงสุดเขตเมืองหลวง รั่วซีก็บอกลาสิบสาม แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถม้าของสิบสี่ที่ส่งมารับ
ออกเดินทางไปบ้านของสิบสี่ซึ่งอยู่อีกเมือง  เมื่อใกล้จะถึงบ้านสิบสี่ เฉี่ยวฮุ่ยที่ตามมารับใช้รั่วซีก็เอาผ้าคลุม
ศีรษะเจ้าสาวสีแดงออกมาให้ รั่วซีหัวเราะ บอก ไม่ต้องใช้หรอกหน้า ไม่ได้จริงจังอะไรสักหน่อย เฉี่ยฮุ่ยก็บอก
องค์ชายสิบสี่เป็นเพื่อนเล่นกับคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีทางไม่ให้เกียรติคุณหนูถึงขนาดนั้นหรอก และพอ
มาถึงหน้าบ้านสิบสี่ ก็ได้ยินเสียงดนตรีมโหรีของขบวนเจ้าสาวจริงๆ รั่วซีจึงได้แต่กลอกตา ยอมให้เฉี่ยวฮุ่ย
จับคลุมผ้าเจ้าสาวพาเดินเข้าไปในบ้านจนถึงห้องของรั่วซี  เมื่อไปถึงห้อง รั่วซีก็เอาผ้าคลุมหน้าออก
บอกรู้สึกมันดูแปลกๆ ยังไงชอบกล มีวงมโหรีก็จริง แต่ดูไม่เหมือนบรรยากาศแต่งงานเลย พูดถึงตรงนี้
สิบสี่ก็ยิ้มแฉ่งเดินเข้ามา บอกว่าแหงสิ เพราะฮ่องเต้มีราชโองการ ห้ามจัดงานแต่งงานใดๆ ทั้งสิ้น ห้ามติด
ตัวอักษรมงคลไว้ในบ้านด้วย (เวลามีงานแต่ง จะมีการติดตัวอักษร “มงคลคู่” อยู่ในบ้าน) รั่วซีเลิกคิ้ว
ถามว่าแล้ววงมโหรีนั่นล่ะ? สิบสี่บอก จงใจกวนตีนขัดราชโองการเล่น รั่วซีเลยส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ สิบสี่
แนะนำเขตเรือนพักที่จัดเอาไว้ให้รั่วซีอยู่ บอกว่าห้องหนังสืออยู่ตรงโน้น เบื่อๆ ก็แวะไปอ่านได้ หรือมีอะไร
จะบอกจะขอเพิ่มเติมก็ส่งคนไปบอกเขาได้ กับให้สาวใช้เพิ่มมาหนึ่งคน ชื่อเฉินเซียง หลังจากนั้นสิบสี่ก็แวะ
มาคุยกับรั่วซีทุกวัน วันละครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้มาค้างคืน เพราะความจริงนี่ก็เป็นแค่การแต่งงานแค่ในนาม
เพื่อช่วยเพื่อนเฉยๆ แต่ทำเอาเฉินเซียงงงไปเหมือนกันว่าตกลงองค์ชายสิบสี่โปรดหรือไม่โปรดรั่วซีกันแน่
เพราะถ้าไม่โปรด ทำไมถึงมาหาทุกวัน แต่ถ้าโปรด ก็ไม่ยักค้างคืนด้วยสักคืน ส่วนรั่วซี เก็บตัวอยู่แต่ในเขต
เรือนพักของตัวเองเงียบๆ โดยไม่ไปเสวนากับพวกเมียๆ ของสิบสี่
         หมินหมิ่นเขียนจดหมายฝากสิบสี่เอามาให้รั่วซี เนื้อความบอกว่า พี่สาว ไม่ว่าพี่จะเจอเรื่องอะไรมา
ก็ขอให้ลืมเสียให้หมดเถอะ องค์ชายสิบสี่เป็นคนที่คู่ควรให้รัก ตอนนี้อายุมากขึ้น ถึงค่อยรู้ว่าวันเวลามันผ่าน
ไปเร็ว ขอให้พี่รักษาความสุขเอาไว้  ระหว่างนี้ เวลาว่าง รั่วซีจะนั่งคัดลายมือตลอดโดยเอาตัวหนังสือที่
เคยขอให้อิ้นเจินเขียนให้มานั่งคัด จนลายมือเหมือนกับลายมือของอิ้นเจินมากขึ้นทุกที เมื่อมาอยู่ห่างไกล
กันแบบนี้ ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องหมางใจกัน สิ่งที่นึกได้จึงมีแต่ความรักที่มีให้กัน เหมือนยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งรักลึกล้ำ
มากขึ้นทุกวัน  รั่วซีถามสิบสี่ว่าองค์ชายแปดเป็นยังไงบ้าง? สิบสี่บอก ถูกด่าหนักขึ้นทุกวัน แต่ข้าดูว่าพี่แปด
เฉยชาไม่สนใจไปแล้ว จากเดิมระวังตัวสุดขีด มาตอนนี้เหมือนจงใจแกล้งทำงานชุ่ยให้ถูกด่าจริงๆ รั่วซีจึง
บอกว่า องค์ชายแปดคิดแต่อยากจะจากไปเท่านั้น สิบสี่บอก แน่ล่ะสิ โดนแบบนี้ ใครจะไปอยากอยู่ใกล้ๆ
ฮ่องเต้ต่อล่ะ รั่วซีจึงเสริมว่า เขาอยากจะจากไปอยู่กับพระชายาของเขาต่างหาก สิบสี่เลยนิ่งไป รั่วซีบอก
ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่า การตายก็ถือเป็นการปลดปล่อยจากความทุกข์ทางหนึ่งเหมือนกัน สิบสี่ฟังแล้วคว้ากระดาษ
มาเขียนกลอนด่าอิ้นเจิน เอาให้รั่วซีดูแล้วหัวเราะ บอกจะส่งไปให้เจ้าตัวดู ถึงจะทำอะไรฮ่องเต้ไม่ได้ ก็ขอ
ด่าให้สะใจหน่อยเหอะ รั่วซีได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
         วันหนึ่ง รั่วซีได้ยินว่าสิบสี่ฝึกกระบี่อยู่ จึงไปยืนดู ก็เห็นสิบสี่รำกระบี่โดยมีนางบำเรอคนหนึ่งดีดพิณ
คลอให้เข้าจังหวะ แต่ดีดช้าเกินไป ตามจังหวะกระบี่ไม่ทันจนสายพิณขาด รั่วซีจึงเดินออกไปทัก สิบสี่
บอกมาดูก็ไม่บอกกันบ้าง ไม่เห็นต้องลับๆ ล่อๆ เลย รั่วซีเห็นเพื่อนเหงื่อออกเต็มตัว (ถอดเสื้อรำกระบี่)
เลยส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้ บอกเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก แต่สิบสี่ดันยื่นหน้ามาให้ช่วยเช็ดให้ รั่วซีทำหน้าแปลกใจ
นิดๆ แต่ก็ช่วยเช็ดให้ จากนั้นสิบสี่ชวนรั่วซีไปนั่งดื่มชากันที่ห้องหนังสือ จงใจจูงมือเดินไป รั่วซีดึงมือกลับ
ก็ไม่ยอมปล่อย  หลังจากนั้น วันเกิดของเมียหลวงสิบสี่ก็มาถึง มีการจัดงานฉลองกัน รั่วซีก็ไปร่วม แต่ขอ
ตัวกลับมาก่อน สิบสี่กินเหล้ามามึนพอสมควร เข้ามาขอคุยด้วย นอนแผ่บนเตียงรั่วซี แล้วถามว่าตอนที่
เสด็จพ่อเขาเสีย เสด็จพ่อยกบัลลังก์ให้ใคร? ท่านแม่บอกเขาว่าเสด็จพ่อบอกท่านแม่ว่าคิดจะยกบัลลังก์
ให้เขา เขาจึงข้องใจเรื่องนี้มาตลอด  รั่วซีโกหกไปว่า ยกบัลลังก์ให้องค์ชายสี่ สิบสี่ก็ทำท่าซึมไป บอกว่า
เขาเชื่อรั่วซี ขอบใจนะ เขาจะได้เลิกคิดถึงเรื่องนี้ได้เสียที จากนั้นร้องเพลงผู้กล้าที่ปณิธานถูกกัดกร่อน
จนหลับไป ก็ละเมอออกมาโดยที่น้ำตาไหลว่า เสด็จพ่อ เพราะอะไรกัน? หม่อมฉันทำผิดอะไรหรือ...
รั่วซีได้แต่กำผ้าเช็ดหน้าแน่น นึกขอโทษเพื่อนอยู่ในใจ สั่งให้เฉี่ยวฮุ่ยเอาฉากมากางกั้น ส่วนนางก็เอา
เก้าอี้นอนมาตั้งหลังฉาก แล้วนอนบนเก้าอี้สิบสี่ตื่นมาร้องคอแห้งกลางคืน รั่วซีจึงลุกมารินน้ำชาให้
สิบสี่ดื่มชาแล้วลงนอนต่อ พึมพำว่าเขานึกว่าฝันไปเสียอีกที่เห็นรั่วรินน้ำชาป้อนให้เขาดื่ม หลังจากนอน
อยู่พักหนึ่ง สิบสี่ก็ถามรั่วซีหลับหรือยัง? รั่วซีบอกว่ายัง สิบสี่จึงชวนคุย ถามว่านี่เจ้ายังนอนหลับไม่ค่อยสนิท
อยู่เหมือนเดิมสินะ? รั่วซีบอก อืมม์ สิบสี่บอก เมื่อก่อนเขาเคยไม่เข้าใจว่าทำไมรั่วซีถึงนอนหลับไม่ค่อยสนิท
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว หากมีเรื่องกลุ้มใจ จะนอนหลับได้ยากเย็น และตื่นได้ง่าย กลางคืนก็ยาวนานนัก
หลับๆ ตื่นๆ เป็นหลายครั้ง ฟ้าก็ยังไม่ยอมสางเสียทีจากนั้นสิบสี่ก็ชวนคุยถึงเรื่องสมัยยังเด็ก ถามว่ารั่วซี
ยังจำได้หรือเปล่าว่าพวกเราเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่ พูดถึงตอนที่รั่วซีทะเลาะกับหมิงเยว่จนตกน้ำไปด้วยกัน
ทั้งคู่ว่าตอนที่สิบสามอุ้มรั่วซีขึ้นมาจากน้ำ สารรูปรั่วซีดูไม่ได้เลย แล้วบอกว่าพี่สิบเคยบอกว่า เขาเคยรับปาก
จะทำตามที่รั่วซีขออย่างหนึ่ง เขาทำตามที่รับปากไว้หรือยัง? รั่วซีบอก ถ้าไม่บอกนี่ลืมไปแล้วจริงๆ ด้วย
สิบสี่จึงบอกว่า งั้นคงไม่มีหวังที่พี่สิบจะทำตามที่เคยรับปากไว้แล้วล่ะ (เพราะองค์ชายสิบถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น
ไม่มีโอกาสมาเจอกันได้) จากนั้นพูดว่า ตอนที่รั่วซีร้องเพลงเป็นของขวัญวันเกิดให้พี่สิบ เขาเคยขอว่า
ไว้ถึงคราววันเกิดเขา ให้ร้องให้เขาบ้างสิ แล้วรั่วซีก็รับปาก นี่ก็ยังไม่ได้ทำตามที่รับปากไว้เลยนะ รั่วซีจึง
บอกว่าวันเกิดสิบสี่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน เอาไว้วันเกิดปีหน้านางจะร้องให้ฟังแน่นอน
         หลังจากนั้นสิบสี่ก็แวะมาคุยและค้างคืนกับรั่วซีเกือบทุกวันในลักษณะนี้ คือคนหนึ่งนอนบนเตียง
อีกคนนอนบนเก้าอี้นอน มีฉากคั่นกลาง ไม่กี่เดือนต่อมา รั่วซีเริ่มมีอาการง่วงนอนบ่อย หลายครั้งที่อยู่ดีๆ
ก็หลับไป จนสิบสี่เริ่มรู้สึกผิดปกติ จึงให้หมอมาตรวจ เปลี่ยนหมอไปสามราย ผลการตรวจออกมาเหมือนกัน
หมด นั่นคือ ร่างกายเป็นเหมือนตะเกียงที่ใกล้ดับแสง ตอนแรกสิบสี่โมโหมาก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียใจ
อย่างที่สุด เขาพยายามทำทุกอย่างที่จะทำให้รั่วซีสบายใจ สั่งคนทำอาหารที่ชอบมาให้กิน มาคุยด้วย
อยู่เป็นเพื่อนนานที่สุดเท่าที่จะนานได้  ช่วงไม่กี่วันก่อนตาย รั่วซีนึกถึงอิ้นเจิน อยากเจอหน้าเขาอีกครั้ง
เป็นครั้งสุดท้าย จึงเขียนจดหมายถึงเขาเนื้อความว่า ตอนที่นางถามเขาว่าอยากได้บัลลังก์หรือไม่ แล้วเขา
ตอบว่า “อยากได้” ในตอนนั้นเขาได้กำกุญแจที่จะเปิดหัวใจนางเอาไว้แล้ว ต่อมาเมื่อเขาโยนร่มทิ้งและมา
ยืนเคียงข้างนางในคืนวันที่ฝนตก ประตูหัวใจของนางได้เปิดออกให้แก่เขาอย่างเต็มที่ และเมื่อเขาเอาตัว
เข้าบังลูกธนูให้นาง นางก็ไม่อาจที่จะลืมเขาได้อีกไปจนชั่วชีวิตนี้ ส่วนเรื่องราวทั้งหลายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
มีแต่จะทำให้ความรู้สึกของนางยิ่งลึกล้ำมากขึ้นทุกทีเขียนมาถึงตรงนี้ เขายังจะถามนางเรื่ององค์ชายแปด
อีกหรือไม่? ไม่ทราบว่าตอนนี้เขายังแค้นนางอยู่ไหม? ยังคงโกรธนางอยู่ไหม? นางอยากจะพบหน้าเขา
อีกสักครั้ง  รั่วซีปิดผนึกซอง เขียนไว้บนซองว่า ฮ่องเต้เปิดด้วยพระองค์เอง จากนั้นกะว่าสักสามวัน
กว่าอิ้นเจินจะได้รับจดหมายและเดินทางมาถึง ในวันที่สี่ นางจึงแต่งตัวรอให้เขามาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ปรากฏว่าอิ้นเจินไม่มา...  ในวันถัดมาและถัดมา อิ้นเจินก็ไม่มา จนในวันที่สี่ ที่เป็นวันสุดท้ายของชีวิต
รั่วซีขอให้สิบสี่พาออกไปชมสวน ระหว่างชมสวน รั่วซีรู้สึกหนาวมากขึ้นทุกที ก็รู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว
จึงขอให้สิบสี่รับปากนางอย่างหนึ่ง สิบสี่พานางนั่งพาดตักและกอดนางไว้แน่น บอกให้นางพูดสิ่งที่ขอมา
รั่วซีบอก หลังจากนางตายแล้ว ขอให้เผาศพนางทันที นางไม่อยากให้ร่างตัวเองมีกลิ่นเน่า และไม่ชอบถูกฝัง
เพราะจะถูกหนอนแทะ สิบสี่ก็รับปาก แล้วถามว่าชาติหน้า รั่วซีจะยังจำเขาได้ไหม? รั่วซีบอก นางจะขอ
น้ำแกงจากเมิ่งผอเยอะๆ ซดไปหลายๆ ชาม นางอยากจะลืมพวกเขาให้หมด

(รั่วซีเสียชีวิตในปียงเจิ้งที่ 3 เดือน 3 สิริอายุ 34 ปี)

366

         ทางด้านอิ้นเจิน เขามีสายสืบอยู่ในบ้านของสิบสี่เยอะมากที่คอยบอกเรื่องของรั่วซีให้เขารู้ตลอด
และสิบสี่ก็รู้เรื่องนี้ดี ในวันที่ฝึกกระบี่ ที่สิบสี่จงใจให้รั่วซีเช็ดเหงื่อที่หน้าให้และจูงมือรั่วซีเดินไปหอสมุด
ก็เพราะจงใจเล่นละครให้สายสืบเห็น กะให้พี่ชายหึงเล่น และอิ้นเจินก็หึงเป็นบ้าจริง มาโวยกับสิบสามว่า
ไหนบอกว่ารั่วซีแต่งกับสิบสี่แค่ในนามไง สิบสามอธิบายแบบเหงื่อตกว่า รั่วซีเขาไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป
เรื่องจับมือถือแขนแค่นี้ รั่วซีไม่คิดอะไรมากหรอกน่า  ตอนที่สิบสี่ส่งกลอนด่ามาให้ อิ้นเจินโมโหมาก ด่ากลับ
ต่อหน้าสิบสามไฟแลบ ทำเอาสิบสามคิดในใจว่าพี่น้องคู่นี้นี่สมเป็นพี่น้องแม่เดียวกันจริงๆ เวลาโมโหปุ๊บ
ปากด่าออกไปก่อนเลยทั้งคู่   ต่อมาเมื่อสายสืบรายงานว่าสิบสี่เข้าไปนอนค้างในห้องรั่วซี และได้ยินเสียง
สองคนคุยกันหัวเราะร่าเริงดังมา อิ้นเจินก็ยิ่งหึงหน้ามืด ทนทำใจอ่านต่อไปไม่ไหว จึงสั่งสายสืบว่าไม่ต้อง
รายงานเรื่องของรั่วซีมาแล้ว  ตอนที่รั่วซีฝากสิบสี่เอาจดหมายมาให้ เนื่องจากลายมือของรั่วซีเหมือนกับ
ลายมือของอิ้นเจินมาก สิบสี่กลัวจะเกิดคำครหา จึงหาซองใหญ่กว่าหน่อยมาใส่ แล้วเขียนเอาไว้บนซอง
ด้วยลายมือตัวเองว่า ฮ่องเต้เปิดด้วยพระองค์เอง แล้วเนื่องจากกลอนด่าที่สิบสี่เคยส่งมาก่อนหน้านี้ ทำให้
อิ้นเจินคิดว่านี่ก็คงจะเป็นกลอนด่าอีกเหมือนกัน จึงโยนลงลิ้นชัก ไม่สนใจจะอ่าน
        จนกระทั่งวันหนึ่ง ในรายงานของสายสืบที่บ้านสิบสี่ส่งมาว่า พระชายาหม่าเอ่อร์ไท่ขององค์ชายสิบสี่
เสียชีวิตแล้วเมื่อวานนี้ ตอนนี้กำลังจัดงานศพ เนื่องจากก่อนหน้านี้ฮ่องเต้มีราชโองการห้ามจัดงานศพ
แบบหรูหราสิ้นเปลือง เขาจึงรายงานมาให้รู้ไว้ จะได้จับตาดูงานศพ.....
         อิ้นเจินอ่านถึงตรงนี้ก็ช็อคตัวแข็งทื่อ พู่กันตกจากมือ สิบสามเห็นเข้าก็ตกใจ รีบเอาน้ำชาไปให้
บอกให้ใจเย็นๆ แล้วตาเหลือบลงดูเห็นฎีกานี้เข้า ก็ตกตะลึง มือกระตุกจนถ้วยชาที่ถือตกพื้นแตกดังเพล้ง
เรียกสติอิ้นเจินให้กลับคืนมาอิ้นเจินพึมพำว่า เขาไม่เชื่อว่านางแค้นเขามากขนาดนี้ แล้ววูบนึกขึ้นได้ถึง
จดหมายที่สิบสี่ส่งมาก่อนหน้านี้ จึงหนาวเยือกไปทั้งตัว รีบค้นจดหมายนั้นในลิ้นชักมือไม้สั่น พอเจอก็รีบ
เปิดอ่าน จึงได้พบว่าข้างในมีซองอีกซองอยู่...

          คืนนั้น อิ้นเจินกับสิบสามเร่งเดินทางไปจนถึงบ้านสิบสี่ เข้าไปจนถึงตัวเรือนที่รั่วซีอยู่ เห็นมีแต่ความเงียบ
และไม่มีโลงศพตั้งอยู่ อิ้นเจินเกิดความหวังวูบขึ้นว่าบางทีรั่วซีอาจจะยังไม่ตาย จึงเรียกให้สิบสี่ออกมาคุย
กันสิบสี่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง และเห็นอิ้นเจินเดินเข้ามาแต่แรกแล้ว จึงร้องรับและลุกขึ้น
บอกว่ารั่วซีตายแล้ว ตอนนี้อยู่ในนี้ พูดจบก็หยิบกระปุกที่นั่งกอดเอาไว้ตลอดวางลงที่หลังป้ายสถิตวิญญาณ
อิ้นเจินตัวแข็งทื่อ ก่อนจะตบหน้าสิบสี่เต็มแรง สิบสามก็ตวาดใส่ว่าสิบสี่คิดจะแกล้งฮ่องเต้ถึงขนาดไม่ยอมให้
ได้เจอหน้ารั่วซีเป็นครั้งสุดท้ายเลยหรือ?  สิบสี่บอก รั่วซีสั่งเอาไว้ต่างหากว่าหลังจากนางตายแล้วให้เผา
ศพนาง อย่าเอาไปฝัง นางไม่อยากถูกหนอนแทะ จากนั้นพูดเสียงหยันว่าทีก่อนหน้านี้ทำไมไม่รู้จักมา เพิ่งจะ
โผล่หัวมาเอาป่านนี้ แล้วที่มาทำท่าโกรธนี่ กะทำให้ใครดูงั้นรึ?  อิ้นเจินตะคอกว่าที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มาก็
เพราะเจ้านั่นแหละ! สิบสามจึงถอนใจ บอกว่าเพราะซองจดหมายนั่นเขียนด้วยลายมือสิบสี่ พี่สี่นึกว่าเขียน
กลอนมากวนประสาทอีกแล้ว เลยไม่สนใจจะเปิดอ่าน สิบสี่ก็ตกใจ บอกว่า แต่ในบ้านนี้มีสายสืบของพี่สี่
ตั้งเยอะนี่ ต่อให้ไม่มีจดหมาย แล้วสายสืบพวกนั้นไม่ได้รายงานเลยหรือไง?  อิ้นเจินฟังแล้วกัดฟันกรอด
สิบสามเป็นคนอธิบายตามเคยว่า ตั้งแต่สิบสี่มาค้างที่ห้องรั่วซี พี่สี่ก็สั่งสายสืบว่าไม่ต้องรายงานเรื่องของรั่วซี
ให้เขารู้อีก  สิบสี่อึ้งมาก หันไปคุกเข่าตรงหน้าป้ายวิญญาณรั่วซี ร้องขอโทษ บอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
เขานึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ เรื่องที่เขาให้รั่วซีเช็ดหน้าให้กับจูงมือนั่น เขาจงใจแกล้งพี่สี่จริง
แต่ที่เขาเข้ามานอนคุยกับรั่วซีผ่านฉากกั้น เพราะคุยกับรั่วซีแล้วเขารู้สึกสบายใจมาก เหมือนได้กลับไป
ช่วงเวลาที่ยังเป็นเด็ก แล้วเวลาได้คุยกับรั่วซี เขาจะนอนหลับสนิทไม่หลับๆ ตื่นๆ ด้วย แล้วถึงจะมีฉากกั้น
แค่ได้รู้ว่ารั่วซีนอนอยู่ใกล้ๆ ใจเขาก็...  สิบสี่พูดถึงตรงนี้ อิ้นเจินก็ตวาดสั่งให้หยุดพูด แล้วตรงเข้าไปหยิบ
กระปุกใส่อัฐิของรั่วซีมา ทำท่าจะเดินจากไป สิบสี่รีบร้องว่าตอนนี้รั่วซีเป็นภรรยาเขา อิ้นเจินจะเอาอัฐิของ
รั่วซีไปไม่ได้ อิ้นเจินหันมาพูดว่า รั่วซีจะเป็นภรรยาเจ้าหรือไม่ คนตัดสินคือข้า ไม่ใช่เจ้า ข้าไม่ได้ใส่ชื่อ
รั่วซีเอาไว้ในรายชื่อราชนิกุลแต่แรก และพวกเจ้าก็ไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานกันด้วย นางไม่ได้เป็นภรรยาของเจ้า
สิบสี่เลือดขึ้นหน้า ร้องว่ามันจะแกล้งกันมากเกินไปแล้ว อิ้นเจินพูดเสียงเย็นชาว่า จะแกล้งซะอย่าง จะทำไมรึ?
สิบสามเข้ามาประนีประนอมว่า ยังไงรั่วซีคงจะยินดีที่ได้ไปอยู่กับอิ้นเจินอยู่แล้ว สิบสี่แค่นหัวเราะว่าแน่ใจรึ
เฉี่ยวฮุ่ย สาวใช้ของรั่วซีออกมาบอกว่า รั่วซีต้องยินดีไปอยู่กับฮ่องเต้แน่ จากนั้นขอให้อิ้นเจินเข้ามาดูของ
ที่รั่วซีเหลือทิ้งเอาไว้ มีทั้งชุดน้ำชาและใบชาแบบที่อิ้นเจินชอบ กระดาษคัดลายมือที่นางฝึกคัดตามลายมือ
ของอิ้นเจิน และลูกธนูที่นางเก็บไว้เป็นที่ระลึก ตอนที่เห็นลูกธนู อิ้นเจินถึงกับเข่าอ่อนทรุดนั่งลงร้องไห้...
นอกจากนี้ รั่วซียังฝากของเอาไว้ให้สิบสาม เป็นจดหมายฉบับหนึ่งกับผ้าผืนหนึ่ง สิบสามก็รับไปอ่าน
แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที  จดหมายของรั่วซีที่ให้สิบสาม เนื้อความขอให้สิบสามไปพบ
องค์ชายเก้าพร้อมด้วยผืนผ้าที่ให้มาด้วยกัน สิบสามยื่นยาพิษให้องค์ชายเก้า บอกว่ารั่วซีวานให้เขามา
ทำหน้าที่นี้ และรั่วซีทำอย่างนี้เพื่อน้องสาวของนาง รั่วซีให้องค์ชายเก้าเลือกเอาว่า จะยอมรับหัวใจของ
อวี้ถานหรือไม่ หากยอมรับ ก็รับยาพิษนี้ไป หากไม่ยอมรับ ก็เอายาพิษคืนมา องค์ชายเก้าฟังแล้วเจ็บแปลบ
ในใจทันที ในชีวิตเขา ผู้หญิงไม่เคยมีความหมายอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ใช้ปลดเปลื้อง มีแต่อวี้ถานที่เขา
ไม่เคยเข้าใจนาง และไม่เคยลืมนางได้เลย องค์ชายเก้าบอกว่า ตกลง เขาจะรับไว้ สิบสามจึงมอบผืนผ้า
ข้อความสุดท้ายที่อวี้ถานเขียนให้รั่วซีให้ไป จากนั้นออกจากไปห้องคุมขัง  องค์ชายเก้าอ่านข้อความของ
อวี้ถาน เมื่ออ่านถึงข้อความสุดท้ายที่บอกว่า อวี้ถานไม่เสียใจ และไม่แค้นใคร ก็ตะโกนถามในใจว่าทำไม
ถึงไม่เสียใจ ทำไมถึงไม่แค้นเขาเล่าที่ทำให้นางต้องพบจุดจบแบบนั้น? จากนั้นหัวเราะก้อง ร้องว่า รั่วซี
เจ้าสมแล้วที่เป็นผู้หญิงของพี่สี่ เจ้าเหี้ยมยิ่งกว่าพี่สี่เสียอีก! พี่สี่ทรมานข้าได้แต่ร่างกาย ข้ายังสามารถ
หัวเราะได้อย่างไม่ยี่หระ อย่างมากก็แค่ตาย แต่เจ้า...ทำให้ข้าต้องเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไปจนแม้ตาย
ก็ตายตาไม่หลับ!

องค์ชายเก้าสิ้นชีวิตในปียงเจิ้งที่ 4  เดือน 9 สิริอายุ 43 ปี


        สิบสามไปหาสิบแปดเป็นรายต่อไป เอายาพิษหงอนกระเรียนแดงไปให้ เป็นการตอบแทนที่
องค์ชายแปดช่วยรั่วซีในครั้งสุดท้ายนั้น เพื่อที่องค์ชายแปดจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการถูกเคี่ยวกรำ
อีกต่อไป องค์ชายแปดมองยาพิษแล้วยิ้ม พูดว่าเจ้ามาช่วยข้าครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ ไม่กลัวฮ่องเต้โกรธ
หรือไง? สิบสามตอบว่า แค่บอกว่าเป็นคำสั่งเสียของรั่วซี ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าว่าอะไรแล้ว เพราะฮ่องเต้เองก็
ทำผิดพลาดที่ไปดูใจรั่วซีไม่ทัน


องค์ชายแปด เสียชีวิตในปียงเจิ้งที่ 4 เดือน 9 สิริอายุ 46 ปี
ปียงเจิ้งที่ 8 เดือน 5 องค์ชายสิบสาม อวิ่นเสียง เสียชีวิต

        อิ้นเจินยืนอยู่บนยอดเขา ตาทอดลงมองทั่วทั้งพระราชวังต้องห้ามที่ใต้ฝ่าเท้า ในส่วนลึกของดวงตา
มีเพียงความว่างเปล่าเหมือนเช่นท้องฟ้า กว้างไกล และอ้างว้าง...

รักและแค้นได้จรจากไกล จะเหลือก็แต่เขาเพียงคนเดียว...


bbjx 




บทต่อไป จะพูดถึง ถงหัว  คนแต่งนิยายเรื่อง BBJX ครับผม!!

####  ปู้ปู้จิงซิน Bu Bu Jing Xin (4)  ###





2a81946294aaa

4 ความคิดเห็น:

  1. อ่านจบหมดแล้วค่ะ แต่งเรื่องย่อได้ดีมาก เราอ่านจนจบเลย ขอบคุณมากค่ะ ทำให้เข้าใจเรื่องได้เยอะขึ้น เพราะเราไม่อยากดูซีรีย์เวอร์จีน ดูเกาหลีอยู่่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

    ตอบลบ
  2. อ่านจบแล้วถึงกับซึม เป็นนิยายและซีรี่ย์ที่ดีจริงๆค่ะ ชอบบท พล็อตเรื่อง งดงามหมดจดตั้งแต่ต้นจนจบเลย รอดูของเกาหลีว่าจะเป็นอย่างไรค่ะ

    ตอบลบ
  3. รอดูเกาหลีว่าจะเศร้ากว่ากันไหม แงๆๆ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณนะคะ อ่านจนจบ เป็นเรื่องที่ดีมาก ชอบอ่านมากกว่าชอบดู ขอบคุณอีกครั้งคะ

    ตอบลบ