นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

ปู้ปู้จิงซิน Bu Bu Jing Xin (3)




ฺเรื่องย่อ (แบบละเอียดยิบ) ของปู้ปู้จิงซิน ฉบับนิยาย
(โดยคุณ Linmou ในพันทิป  (ลงไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 52 ก่อนที่ทางไทยจะนำมาแปล))

       อ่านแล้วรู้สึกดีมากกกกกกก  แบบว่า ในซีรีย์ ทำได้เหมือนนิยายมากกก เป๊ะมากกกกกก   ชอบจัง
(ไม่เหมือนของไทย ชอบเอานิยายดีๆ มายำเละตอนเป็นละคร T__T)




          นางเอก จางเสี่ยวเหวิน อายุ 25 ปี เป็นสาวออฟฟิศในเซินเจิ้น (น่าจะทำงานในแผนกบัญชี) เป็น
ผู้หญิงเก่งที่เรียนเก่งมาแต่เด็กและเรียนจบ ม.ดัง (ในเรื่องไม่บอกว่า ม.ไหน แต่บอกว่าอยู่ใกล้สวนสาธารณะ
หยวนหมิงหยวนมาก ก็มีแต่ม.ปักกิ่งกับ ม.ชิงหัว แต่ถ้าพิจารณาว่าจบด้านบัญชี สายศิลป์ ก็มีแต่ม.ปักกิ่ง
มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของจีนที่ตอนนี้ระดับเทียบเท่า ม.อ็อกซ์ฟอร์ด)  วันหนึ่ง หลังกลับมาจากทำงาน
และปีนบันไดเปลี่ยนหลอดไฟในห้องน้ำ ก็ลื่นตกลงมาหัวน็อคพื้นสลบไป ฟื้นมาอีกครั้งเธอได้มาอยู่ในร่างของ
หม่าเอ่อร์ไท่ รั่วซี เด็กผู้หญิงวัย 13 ปีคนหนึ่งซึ่งอยู่ในยุคคังซีฮ่องเต้
          ปีนั้นเป็นปีคังซีที่ 43 รั่วหลาน พี่สาวของรั่วซีเป็นภรรยารองขององค์ชายแปด เนื่องจากก่อนหน้าที่
จางเสี่ยวเหวินจะย้อนอดีตได้ไม่กี่ปี ละครทีวีซีรีย์เรื่อง “ยงเจิ้งหวางฉาว” ของเอ้อร์เยว่เหอเพิ่งจะฉายจบไป
จางเสี่ยวเหวินจึงมีความทรงจำด้านรายละเอียดของยุคสมัยนี้มากพอสมควร อย่างน้อยก็รู้ว่าช่วงนี้อยู่ในช่วง
แย่งบัลลังก์กัน โดยที่แบ่งใหญ่ๆ เป็นสองฝ่าย คือฝ่ายสนับสนุนองค์รัชทายาท(องค์ชาย 2) ได้แก่ องค์ชายใหญ่
องค์ชายสี่ และองค์ชายสิบสาม กับฝ่ายสนับสนุนองค์ชายแปด ได้แก่ องค์ชายแปด, เก้า, สิบ, สิบสี่ เนื่องจาก
รั่วซีรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วศึกชิงบัลลังก์นี้ องค์ชายสี่จะเป็นผู้ชนะ ได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นที่รู้จักกันในนาม “ยงเจิ้ง”
และยงเจิ้งก็จัดการกับเหล่าพี่น้องที่เป็นผู้แพ้แบบโหดมาก โดยเฉพาะองค์ชายแปดกับเก้านี้โดนถึงตาย
เมื่อมองดูตัวเองที่ดันโผล่มาเป็นน้องเมียขององค์ชายแปด รั่วซีก็คาดว่าอนาคตทั้งของตัวเองและของพี่สาว
มืดมนเห็นๆ
        ในปีคังซีที่ 43 ซึ่งรั่วซีโผล่มานี้ องค์ชายแปดเพิ่งจะอายุแค่ 22-23 ปี องค์ชายสิบอายุ 16 ปี องค์ชาย
สิบสามกับสิบสี่อายุประมาณ 14 กับ 13 ปี และเนื่องจากรั่วซีอาศัยอยู่กับพี่สาวในวังขององค์ชายแปด เหล่า
องค์ชายน้องๆ ที่เป็นสมัครพรรคพวกขององค์ชายแปดจะแวะมาหาองค์ชายแปดเพื่อปรึกษาเรื่องโน้นเรื่องนี้
กันบ่อยๆ รั่วซีจึงมีโอกาสได้พบกับองค์ชาย 9, 10, 14 บ่อยๆ และสนิทกับองค์ชาย 10, 14  โดยที่การสนิทกับ
องค์ชายสิบ เพราะองค์ชายสิบค่อนข้างซื่อ ตรงไปตรงมา คุยด้วยแล้วสบายใจ เล่นหัวด้วยได้ ส่วนองค์ชาย
สิบสี่นั้นอายุน่าจะเท่ากัน ก็เลยสนิทกัน
         ภรรยาหลวงขององค์ชายแปดทั้งสวยทั้งเก่งทั้งฉลาด แต่องค์ชายแปดไม่ได้รักนางเลย เขารักรั่วหลาน
พี่สาวของรั่วซี แต่พี่สาวของรั่วซีไม่ได้รักองค์ชายแปด นางมีคนรักอยู่แล้วก่อนแต่งงาน แล้วถูกพรากจากคนรัก
มาแต่งกับองค์ชายแปด แล้วตอนที่รั่วหลานกำลังตั้งท้อง ก็รู้ข่าวว่าคนรักของตัวเองโดนพ่อของนางส่งไปอยู่
แนวหน้าและตายในการรบ ก็ช็อกจนแท้งลูก แล้วหลังจากนั้นวันๆ ก็เอาแต่เข้าห้องสวดมนตร์  องค์ชายแปดเอง
ก็เสียใจกับเรื่องนี้มาก จึงไม่กล้ามารบกวน จะแวะมาหาก็นานๆ ครั้ง จนคนในวังที่ไม่ได้รู้เบื้องลึกพากันพูดว่า
รั่วหลานไม่ใช่เมียคนโปรด ในวันเกิดขององค์ชายสิบ เนื่องจากองค์ชายสิบยังไม่มีวังเป็นของตัวเอง จึงขอจัด
ในวังองค์ชายแปด ในส่วนที่พักของพี่สาวรั่วซี องค์ชายสิบชอบรั่วซี จึงจงใจขอมาแบบนี้ และงานเลี้ยงนี้เป็น
งานเลี้ยงกันเองของพี่ๆ น้องๆ คนที่มาก็มีแต่พวกองค์ชายกับภรรยาหลวงภรรยาน้อย ในงานเลี้ยงนี้ องค์ชายสี่
ก็มาด้วย รั่วซีตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นฮ่องเต้ยงเจิ้ง  ในงานก็มีจัดแสดงงิ้ว พวกคนโบราณทั้งหลายนั่งดูเพลิน
รั่วซีดูไม่รู้เรื่องว่างิ้วมันแสดงเรื่องอะไร  แล้วบังเอิญเห็นองค์ชายสิบแวบหลบออกมาท่าทางมึนๆ จึงเดินเข้าไป
หาบอกให้ตามมา จะให้ของขวัญวันเกิด  พอไปถึงกลางสวนที่เงียบและลับตาคน รั่วซีก็กระแอม แล้วร้องเพลง
อวยพรวันเกิดให้ หลังร้องจบองค์ชายสิบยืนตะลึง ส่วนองค์ชาย 13, 14 ที่ยืนแอบดูอยู่และได้ยินก็ปรบมือชม
สิบสี่แซวว่าคราวหลังวันเกิดเขา ให้รั่วซีไปร้องให้ฟังบ้าง  องค์ชายสิบสามกับสิบสี่ลากองค์ชายสิบกลับเข้า
ไปในงาน ส่วนรั่วซีโดนหมิงเยว่ น้องภรรยาหลวงขององค์ชายแปดเข้ามาขวาง (หมิงเยว่น่าจะแก่กว่ารั่วซีหนึ่งปี
มีศักดิ์เป็นเจ้าหญิง) พูดจาหาเรื่อง ล่วงเกินไปถึงรั่วหลาน ตั้งแต่หลงมายุคนี้ คนเดียวที่รั่วซีรักมากที่สุดคือ
รั่วหลานพี่สาว เมื่อหมิงเยว่ว่ามาถึงรั่วหลาน  รั่วซีจึงโมโหมาก เข้าไปตบหน้า  จากนั้นก็กลายเป็นการฟัดกัน
นัวเนียของสองสาวน้อยตกน้ำไปทั้งคู่ รั่วซีว่ายน้ำเก่ง แต่ชุดที่ใส่เป็นอุปสรรคทำให้ว่ายไม่ได้ จึงกลั้นหายใจ
รอคนมาช่วย สุดท้ายสิบสามกับสิบสี่แยกย้ายกันลากสองสาวขึ้นมาบนฝั่ง รั่วหลานรีบเอ็ดรั่วซีแล้วเข้าไปปลอบ
หมิงเยว่ หมิงเยว่ด่ารั่วหลานแล้วทำท่าจะร้องต่อ รั่วซีตวาดสั่งเสียงดังลั่นว่า “อย่าร้องนะ !” ทำเอาทุกคน
ตะลึงกันไปหมดรวมทั้งพวกองค์ชายทั้งหลาย วีรกรรมครั้งนี้ทำให้รั่วซีชื่อเสียงโด่งดังในชั่วข้ามคืน โดยได้รับ
การตั้งฉายาว่า “น้องสาวสิบสาม” (เนื่องจากองค์ชายสิบสามนิสัยปล่อยตัวตามสบาย ทำอะไรไม่ค่อยสนใจ
พิธีการ และบ้าระห่ำมากจนขึ้นชื่อ รั่วซีจึงโดนแซวว่าเป็นน้องสาวขององค์ชายสิบสาม)

4-1-2557 23-06-40
          หลังเรื่องทะเลาะกับหมิงเยว่ในงานวันเกิดองค์ชายสิบ องค์ชายแปดส่งขันทีมาเรียกตัวรั่วซีไปพบ
รั่วซีรู้ว่าโดนเรียกไปดุแหงๆ ตัวนางไม่ได้กลัว แต่กลัวว่าพี่สาวจะพลอยโดนว่าไปด้วย ตอนขันทีมาเรียก
องค์ชายสิบกับสิบสี่ยืนอยู่ด้วยพอดี สองคนเห็นรั่วซีหน้าเสีย จึงไปเป็นเพื่อนรั่วซี สิบสี่บอก เขาจะช่วยพูดกับ
พี่แปดให้เอง เมื่อทั้งสามไปถึงห้องหนังสือ(ห้องทำงาน)ขององค์ชายแปด องค์ชายแปดก็ทักน้อง แล้วทำเหมือน
ไม่เห็นรั่วซี ปล่อยให้ยืนอยู่แบบนั้นสองชั่วโมง โชคดีที่รั่วซีเคยฝึกทหารมาก่อนแล้ว (คนจีนต้องผ่านการฝึก
ทหารทุกคนทั้งหญิงชาย เป็นเวลาประมาณสองเดือน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งเทอมสอง) ยืนสองชั่วโมง
แค่นี้เรื่องเล็ก หลังสองชั่วโมงผ่านไป องค์ชายแปดก็วางพู่กัน ชวนน้องชายทั้งสองคนอยู่กินข้าวด้วยกัน แล้ว
ให้ออกไปก่อน พอเหลือแต่รั่วซีก้บเขา องค์ชายแปดก็เดินมาหยุดยืนตรงหน้ารั่วซี สั่งให้เงยหน้าขึ้นมา รั่วซีก็
เงยหน้าขึ้นแบบกลัวๆ + กดดันมาก องค์ชายแปดมองหน้ารั่วซีแล้วหัวเราะออกมาแบบขำมาก แซวว่าท่าทาง
แบบเมื่อคืนหายไปไหนหมดแล้วล่ะ จากนั้นเดินไปที่ประตู หันมามองรั่วซีที่ยังยืนงง ถามว่าจะยืนอยู่แบบนั้น
อีกนานไหม รั่วซีจึงรีบวิ่งตามไปแบบงงๆ

          ในงานวันไหว้พระจันทร์ คังซีฮ่องเต้เสด็จมาด้วย รั่วซีได้เห็นคังซีเป็นครั้งแรก ในงาน คังซีได้สั่งยก
หมิงเยว่เป็นภรรยาหลวงขององค์ชายสิบ องค์ชายสิบหน้าซีดทันทีเพราะเขารักรั่วซี แต่ไม่สามารถขัด
ราชโองการได้ รั่วซีดูเพื่อนรักโดยจับคลุมถุงชนแล้วหนาวเยือก นางไม่ได้รักองค์ชายสิบ แต่เพราะเกิดและ
โตมาในยุคปัจจุบันที่หญิงชายเท่าเทียม และชะตาชีวิตอยู่ในกำมือตัวเอง การต้องโดนคนอื่นมาบงการชีวิต
แบบเลี่ยงหนีไม่ได้ แถมยังอาจต้องตกนรกทั้งเป็นไปจนชั่วชีวิตที่เหลือเพราะการนี้ จึงเป็นเรื่องที่คาดฝันไม่ถึง
มาก่อน รั่วซีมองชะตากรรมขององค์ชายสิบแล้วกลัวมาก อยากจะหนีไปหลบที่ไหนสักแห่งที่ใครก็หาไม่เจอ
จะได้หนีพ้นจากชะตากรรมนี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้  รั่วซีซึมอยู่หลายวัน จนได้รั่วหลานปลอบ ถึงค่อยดีขึ้น วันหนึ่ง
รั่วซียืนเหม่อดูใบไม้ร่วงอยู่ริมสระ องค์ชายแปดกับสิบสี่เดินมาหยุดยืนดูเป็นเพื่อน องค์ชายสิบสี่พูดปลอบใจ
รั่วซีเรื่ององค์ชายสิบ รั่วซีจึงบอกไปตามตรงว่านางรักองค์ชายสิบแบบเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่ได้รักแบบคนรัก
ที่นางออกอาการผิดปกติแบบนี้ไม่ใช่เพราะเสียใจที่องค์ชายสิบแต่งงาน แต่เจ็บใจที่เขาถูกคนอื่นบังคับให้
แต่งงาน เจ็บใจที่ชะตาชีวิตของเขาถูกกุมอยู่ในมือของคนอื่น สิบสี่ฟังแล้วตกใจมาก ส่วนองค์ชายแปดบีบคาง
รั่วซีขึ้นมามองหน้าแบบเอาเรื่อง สั่งเสียงเย็นว่าทีหลังห้ามพูดแบบนี้อีก ได้ยินไหม?  รั่วซีดื้อไม่ตอบ พอโดน
บีบแรงขึ้นจนเจ็บ จึงตะโกนใส่หน้าไปว่าได้ยินแล้ว! องค์ชายแปดจึงสะบัดหน้าจากไป ส่วนสิบสี่ พูดทิ้งท้าย
ว่า “คนอื่น” ที่รั่วซีพูดถึงน่ะ คือฮ่องเต้เชียวนะ แล้วเดินตามพี่ชายจากไป
          วันแต่งงานขององค์ชายสิบใกล้เข้ามา วันหนึ่ง สิบสี่มาหารั่วซี บอกว่าองค์ชายสิบทำใจไม่ได้ กำลังแย่
ให้รั่วซีช่วยไปพูดเกลี้ยกล่อมให้หน่อย รั่วซีก็ตกลง เมื่อไปถึงก็เจอองค์ชายสิบกินเหล้าเมาแอ๋ แต่พอเห็นรั่วซีมา
ก็ทำท่าจ๋อย เขาถามรั่วซีว่าจะยอมเป็นเมียน้อยเขาไหม? รั่วซีปฏิเสธทันที องค์ชายสิบก็ทำหน้าซึมบอก เขารู้
ว่าต่อให้ยกตำแหน่งเมียหลวงให้ รั่วซีก็ไม่เอาอยู่ดี เพราะรั่วซีไม่ได้รักเขา รั่วซีบอก รู้ก็ดีแล้วนี่ องค์ชายสิบ
ระบายว่า ใครๆ ก็ว่าเขาโง่ เรียนไม่เก่ง สู้พี่น้องคนอื่นไม่ได้ ทั้งที่เขาพยายามแล้ว รั่วซีล่ะ คิดว่าเขาโง่หรือเปล่า?
รั่วซีบอก ใช่ เจ้าน่ะโง่ แต่เพราะเจ้าโง่แบบนี้ ข้าถึงได้ชอบเจ้า คุยกับเจ้าได้อย่างสบายใจ พูดกันได้ตรงๆ
ไม่ต้องคิดมาก นี่แหละเป็นข้อดีของเจ้าที่คนอื่นไม่มี องค์ชายสิบฟังแล้วก็สบายใจขึ้น  
        ในวันแรกที่หิมะตก รั่วซีไม่ได้เห็นหิมะมาหลายปี จึงใส่ชุดกันหนาวอย่างดีออกไปเดินเล่นกลางหิมะ
อย่างอารมณ์ดี เดินไปเรื่อยเปื่อยแบบไม่มีจุดหมาย อยู่ๆ องค์ชายแปดไม่รู้มาจากไหนเดินเร่งฝีเท้ามาเดิน
อยู่ข้างๆ รั่วซีมองหน้า แล้วเลิกสนใจ เดินต่อไปเงียบๆ ก็พอดีเท้าดันไปเหยียบหินที่หิมะกลบ ทำท่าจะล้ม
องค์ชายแปดก็จับตัวไว้ แล้วจับมือไม่ยอมปล่อย จูงให้เดินตามไปที่ห้องหนังสือ จากนั้นให้นั่งอยู่เฉยๆ
ส่วนตัวเขาก็ไปนั่งทำงาน รั่วซีก็นั่งมองโน่นมองนี่ในห้องจนเริ่มหิว จึงบอกว่าถ้านางยังไม่กลับไปอีก
พี่สาวจะเป็นห่วง องค์ชายแปดจึงให้ขันทีพารั่วซีไปส่ง รั่วซีได้แต่มานั่งตีความว่านี่มันหมายความว่ายังไง
กันแน่ ก่อนจะเลิกสนใจ
         ในวันแต่งงานขององค์ชายสิบซึ่งจัดขึ้นในวังที่คังซีพระราชทานให้ รั่วซีกลัวองค์ชายสิบวางหน้าไม่ถูก
ตอนมาคารวะสุราให้นาง รั่วซีจึงขออนุญาตพี่สาวหลบออกไปเดินเล่นข้างนอก ก็เจอองค์ชายสิบสามนั่งอยู่
ในเงามืดเงียบๆ คนเดียว องค์ชายสิบสามบอก วันนี้ทั้งเจ้ากับข้าไม่สบายใจด้วยกันทั้งคู่ งั้นไปหาที่กินเหล้า
กันดีกว่า พูดจบก็คว้าแขนลากรั่วซีให้เดินไปด้วยกันโดยไม่ฟังเสียงประท้วง แล้วพาอุ้มขึ้นหลังม้าขี่ไปในป่า
ก่อกองไฟนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากัน จนรั่วซีเมาพับหลับไป (รั่วซีคอแข็งมาก แต่สิบสามคอแข็งกว่า) มาตื่นอีกที
ตอนฟ้าใกล้สางเมื่อสิบสามปลุก พาขึ้นขี่ม้ากลับไปส่งที่หน้าประตู แล้วจากไป รั่วซีหนาวจนแข็งไปทั้งตัว
และคิดว่าองค์ชายสิบสามต้องชอบหมิงเยว่แหงๆ ถึงได้ล้างแค้นแทนหมิงเยว่ เอานางไปแช่แข็งอยู่บนม้า
คืนวันรุ่งขึ้น กว่ารั่วซีจะตื่นก็ตอนกินข้าวเย็น องค์ชายแปดก็มากินด้วย รั่วหลานถามว่าเมื่อคืนสิบสามพาไปไหนมา
รั่วซีนึกถึงว่าตัวเองเคยฝันหวานตอนอ่านนิยายกำลังภายในว่าได้นั่งม้าตัวเดียวกับจอมยุทธ์ แล้วมองตากัน
แบบหวานเจี๊ยบ ก็นึกขำว่าเมื่อคืน ฝันเป็นจริงแล้ว เพียงแต่นอกจากได้ขี่ม้าตัวเดียวกับจอมยุทธ์ นอกนั้น
ไม่ตรงกับที่ฝันเอาไว้เลย จึงหัวเราะก๊าก ก่อนจะรีบหุบปากเมื่อเจอสายตาเย็นชาสุดๆ ขององค์ชายแปดที่มองมา
และบอกพี่สาวว่าองค์ชายสิบสามพาไปกินเหล้ามาทั้งคืน  รั่วหลานจึงถามว่าทำไมสิบสามต้องพารั่วซีไป
กินเหล้าด้วย รั่วซีบอกว่า เขาคงเห็นใจนางมั้ง แล้วตัดสินใจไม่บอกความลับเรื่องที่สิบสามชอบหมิงเยว่
       ต่อมา องค์ชายรัชทายาท (องค์ชาย 2) ชวนทุกคนไปแสดงฝีมือขี่ม้าโชว์ รั่วซีขี่ม้าไม่เป็น เลยนั่งอยู่
ในกระโจมดูเฉยๆ หมิงเยว่ก็มาด้วย และขี่ม้าโชว์ได้เจ๋งมาก หลังจากโชว์จบ หมิงเยว่ก็เข้ามาในกระโจม เจอรั่วซี
ก็ท้าให้ขี่โชว์บ้าง องค์ชายสิบสามกับสิบสี่ก็อยู่ในกระโจมด้วย รั่วซีกลัวโดนสิบสามแก้แค้นเอาอีกหากนาง
หาเรื่องหมิงเยว่ จึงอดทนไม่กล้าสวนกลับใส่หมิงเยว่ สุดท้ายหมิงเยว่พูดท้าจนรั่วหลานทนไม่ไหว ออกแสดง
ฝีมือโชว์ให้ดูเองอย่างงดงามมาก จากนั้นองค์ชายสิบก็ตามเข้ามาในกระโจม รั่วซียังกระอักกระอ่วนอยู่ ไม่ค่อย
อยากเจอหน้าองค์ชายสิบ จึงขอตัวออกมาเดินเล่น สิบสามตามออกมาพูดเยาะๆ ว่ารีบๆ ทำใจซะเหอะ เขาเป็น
ของคนอื่นไปแล้ว รั่วซีหันไปมองหน้า พูดว่า “เช่นกันๆ” สิบสามทำหน้างง นิ่งคิด ก่อนจะหัวเราะก๊าก ถึงว่า
ทำไมเมื่อกี้ตอนอยู่ในกระโจมถึงได้เรียบร้อยผิดปกติ เพราะเข้าใจผิดว่าเขาชอบหมิงเยว่นี่เอง รั่วซีก็มองหน้า
แบบประหลาดใจ ก่อนจะบอกว่า นางก็ไม่ได้ชอบองค์ชายสิบเหมือนกัน พูดจบทั้งคู่ก็หัวเราะ  รั่วซีถามว่า
แล้ววันก่อนสิบสามไม่สบายใจเรื่องอะไร? สิบสามบอก วันนั้นเป็นวันตายของแม่เขา การที่มีการจัดงาน
แต่งงานในวันนั้นเลยเสียดแทงสายตาเขามาก อยากไปให้พ้น จากนั้นชวนรั่วซีไปดวดเหล้ากันต่อ รั่วซีก็ตกลง
สิบสามพารั่วซีไปหอนางโลมแบบขายฝีมือไม่ขายตัวที่เขาสนิทกับนางโลมอายุน้อยแต่ฝีมือดีมากคนหนึ่งในนั้น
แล้วเรียกคนใช้มาตั้งโต๊ะกินเหล้าไปคุยไปกับรั่วซี ยิ่งคุยยิ่งถูกคอกันมากจนนึกแค้นใจว่าทำไมไม่ได้เจอกัน
คุยกันให้เร็วกว่านี้ และตกลงคบหาเป็นเพื่อนรู้ใจกันสิบสามพารั่วซีกลับมาส่งหนนี้ ก็เข้าไปคุยอธิบายกับ
องค์ชายแปด วันรุ่งขึ้น องค์ชายแปดสั่งคนใช้มาเรียกให้รั่วซีไปพบ ถามว่าเมื่อวานไปไหนมากับสิบสาม
รั่วซีย้อนถามว่าสิบสามไม่ได้บอกเขาหรือ? องค์ชายแปดเน้นเสียงหนักว่าตอนนี้เขาถามรั่วซี รั่วซีชักไม่สบายใจ
แต่เห็นว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่มันน่าละอายใจ จึงจ้องตาตอบไปตามตรงว่าสิบสามพาไปกินเหล้า องค์ชายแปด
ก็จ้องตานิ่งไม่พูดอะไร จนรั่วซีชักตะครั่วตะครอ จึงทำเป็นมองหาเก้าอี้นั่งหลบสายตา แต่เพิ่งจะนั่งลงได้
องค์ชายแปดก็เรียกให้เดินเข้าไปหา จึงต้องเดินเข้าไปหาแล้วหยุดยืนนอกระยะยื่นมือถึงแบบไม่เต็มใจ
องค์ชายแปดถอนหายใจ พูดว่าเขาน่ากลัวมากเลยหรือ? แล้วเดินเข้ามาใกล้ คว้ามือรั่วซีขึ้นมา ใส่กำไล
วงหนึ่งให้ แล้วบอกให้ไปได้ รั่วซีก็จากไปแบบงงๆ

366
         ในวันตรุษจีน มีจัดงานเหมือนเดิม ในงาน องค์ชายสิบเห็นรั่วซีปุ๊บ ก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาทันที
ด้วยสายตาร้อนแรง ส่วนหมิงเยว่ พระชายาสิบก็มองตรงมาเขม็งเช่นกันด้วยสายตาเย็นชาสุดๆ หลังจาก
ทนสายตาหนึ่งร้อนหนึ่งหนาวอยู่พักใหญ่ รั่วซีก็สุดทน จ้องตาองค์ชายสิบกลับด้วยสายตาเพชฌฆาต
องค์ชายสิบสะดุ้ง แล้วเบือนสายตาหลบไปทางอื่น หมิงเยว่เห็นสามีเลิกจ้องรั่วซีแล้ว จึงพลอยเลิกจ้อง
ไปด้วย รั่วซีเพิ่งนึกโล่งอกได้แป๊บเดียว ก็รู้สึกว่ามีคนจ้องอีกแล้ว เลยเดือดจัด เงยหน้าขึ้นจ้องกลับไป
ทางทิศที่รู้สึกว่ามีคนจ้องมาด้วยสายตาอยากฆ่าคน ปรากฏว่าคนที่จ้องมาดันเป็น...สิบสามที่มองมาด้วย
สายตาเป็นมิตร  สิบสามยิ้มค้างทันทีที่เจอสายตาอยากฆ่าคนของรั่วซีมองตอบกลับไป รั่วซีรีบเปลี่ยนจาก
สายตาฆ่าคนเป็นยิ้มตอบทันควันจนกล้ามเนื้อหน้าแทบกระตุก แล้วทำสีหน้าจนปัญญา สิบสามก็ยิ้มตอบ
แล้วยกจอกเหล้าคารวะ รั่วซีก็ยกจอกเหล้าคารวะตอบ จากนั้นพอทำท่าจะก้มหน้าเหม่อต่อไป ก็เห็นว่า
องค์ชายแปดมองมายิ้มๆ  รั่วซีทำตัวไม่ถูกว่าควรรับมือยังไง จึงรีบรินเหล้าให้ตัวเองแล้วยกจอกเหล้าคารวะ
ให้เหมือนสิบสาม องค์ชายแปดก็ยกจอกเหล้าคารวะตอบด้วยสีหน้าเหมือนหัวเราะ  รั่วซีวางจอกเหล้าลง
นึกในใจว่าคราวนี้คงพักได้สักทีแล้วสินะ แต่ดันกวาดตามองไปเห็นสิบสี่มองมาด้วยสายตาครุ่นคิด นางขี้เกียจ
เดาความคิดของสิบสี่ว่าคิดอะไรอยู่ เลยยิ้มร่าแล้วทำหน้าแลบลิ้นหลอกใส่ สิบสี่ก็ส่ายหน้าให้แล้วอมยิ้ม
รั่วซีก็หัวเราะตอบ กวาดตามองต่อ ก็ไปเจอองค์ชายสี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ สิบสี่มองมาเหมือนจะเห็นหมดแล้วว่า
เมื่อกี้นางทำอะไรไปบ้าง เนื่องจากยงเจิ้งนั้นขึ้นชื่อมากว่าโหดเหี้ยมไร้ปรานี ดังนั้นห้ามไปทำให้เขาขัดตา
หรือไม่พอใจเด็ดขาด รั่วซีจึงรีบยิ้มหวานประจบ แล้วก้มหน้าลงนั่งเหม่อตามเดิม
         ผ่านเทศกาลตรุษจีนก็เป็นเทศกาลโคมไฟ รั่วซีออกมาเดินเที่ยวแต่หัววัน ก็เจอสิบสามที่มาดักเจอ
โผล่มาทัก ลากไปกินเหล้าด้วยกัน คราวนี้สิบสามพารั่วอู๋ หญิงนางโลมอายุพอๆ กันที่ขายฝีมือไม่ขายตัว ที่เขา
ช่วยดูแลอยู่มาด้วย ชวนกันไปกินเหล้าชมโคมไฟในภัตตาคาร ก็เจอองค์ชายเก้ากับสิบสี่และพวกเพื่อนๆ มา
เที่ยวด้วยพอดี สิบสี่เห็นรั่วซีกับสิบสามอยู่กับหญิงนางโลมก็ไม่พอใจมาก ตอนจะแยกกัน จึงบอกว่าเขาจะไป
ส่งรั่วซีให้เองเมื่อมาถึงวังองค์ชายแปด สิบสี่ก็พารั่วซีไปฟ้องพี่ชายว่าวันนี้เจอรั่วซีกับสิบสามและหญิงนางโลม
รั่วซีไปสนิทกับสิบสามขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วยังไปสนิทกับหญิงนางโลมอีก รั่วซีก็พูดแบบเอาเรื่องว่า
อยู่กับสิบสามแล้วไง อยู่กับหญิงนางโลมแล้วไง? จากนั้นร่ายชื่อหญิงนางโลมที่สร้างวีรกรรมน่านับถือใน
ประวัติศาสตร์ออกมาตอกใส่หน้าสิบสี่ บอกว่าหญิงนางโลมไม่ดีตรงไหน สิบสี่เถียงกลับไม่ทันเลยได้แต่
ถลึงตาใส่ รั่วซีก็ถลึงตาตอบ องค์ชายแปดจึงบอกให้สิบสี่กลับไปก่อน เขาจะคุยกับรั่วซีเอง หลังจากสิบสี่
กลับไปแล้ว องค์ชายแปดก็ถามรั่วซีว่า กลัวการคัดเลือกนางกำนัลหรือเปล่า? รั่วซีก้มหน้านิ่งโดยไม่ตอบ
ที่รั่วซีมาอยู่กับพี่สาวนี้ ก็เพื่อเตรียมตัวเข้าไปให้ในวังเลือกเป็นนางกำนัลในตอนที่รั่วซีอายุครบ 14 ปี และ
ตอนนี้ก็อายุครบ 14 ปีแล้ว หากถูกเลือกเป็นนางกำนัลในวังหลวง ก็คือต้องทำงานในนั้นจนกว่าจะถึงเวลา
เกษียณอายุ (น่าจะ 21 ปี) และในระหว่างนั้น มีโอกาสที่จะโดนฮ่องเต้สั่งยกให้แต่งงานกับใครก็ตามที่เหมาะสม
สูงมาก หรือเลวร้ายที่สุดคือกลายเป็นสนมคนหนึ่งของฮ่องเต้ รั่วซีจึงกลัวมาก  องค์ชายแปดเปลี่ยนเรื่อง
เล่าให้รั่วซีฟังว่าเขาเจอพี่สาวของรั่วซียังไง และหลงรักรั่วหลานตั้งแต่แรกพบ จากนั้นก็ดีใจมากตอนที่
เสด็จพ่อยกรั่วหลานให้แต่งงานกับเขา เขาตระเวนทั้งเมืองหลวงหาซื้อกำไลวงนี้เพื่อมอบให้คนที่เขารัก
แต่ในวันแต่ง ตอนเลิกผ้าคลุมหน้า เขากลับพบว่ารั่วหลานต่างจากตอนที่เขาพบโดยสิ้นเชิง เขาจึงส่งคน
ไปสืบเรื่องนี้ แต่กลายเป็นว่าคนที่ส่งไปสืบดันไปทำให้พ่อของรั่วหลานกับรั่วซีรู้ตัว จึงส่งคนรักของรั่วหลาน
ไปเป็นทหารแนวหน้า สุดท้ายก็ตาย  รั่วซีฟังแล้วทำท่าจะถอดกำไลที่ควรจะเป็นของพี่สาวออกคืนให้
องค์ชายแปดคว้ามือไว้ บอกอย่าถอด กำไลนี้เขามอบให้แก่คนที่เขารัก ขอให้รั่วซีรับปากว่าจะไม่ถอดมันออก
ตลอดไป รั่วซีโดนองค์ชายแปดมองหน้าแบบขอร้อง ก็ใจอ่อนจึงพยักหน้า องค์ชายแปดค่อยยิ้มออกมา
บอกว่าไม่ต้องกลัวเรื่องคัดเลือกนางกำนัล เขาจะไปบอกเสด็จพ่อให้ยกรั่วซีให้เขาเอง  รั่วซีฟังแล้วรีบปฏิเสธ
นางไม่อยากแต่งกับองค์ชายแปด เพราะอนาคตอายุสั้นเห็นๆ (องค์ชายแปดจะถูกยงเจิ้งสั่งขังและเคี่ยวกรำ
จนตายในที่คุมขังในปียงเจิ้งที่สี่) องค์ชายแปดฟังแล้วเข้าใจผิด หน้าเครียดทันที ถามว่าหรือนางอยากจะเป็น
สนมของเสด็จพ่อเขา รั่วซีก็ส่ายหน้า  แล้วนึกกลัวมากจนร้องไห้ องค์ชายแปดเลยถอนใจ บอกตามใจ
เอาไว้เขาจะหาทางออกให้เองก็แล้วกัน

366
         เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รั่วซีอายุ 17 ปี เข้ามาทำงานเป็นนางกำนัลในวังหลวงได้ 3 ปีแล้ว โดย
ทำตำแหน่งนางกำนัลผู้นำน้ำชาและอาหารว่างเข้าไปถวายในตอนที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ ตอนเข้าพิธีเลือก
นางกำนัล ความจริงมีพระสนมที่มีศักดิ์สูง 2 รายระบุพร้อมกันว่าต้องการรั่วซีไปรับใช้ในตำหนักของตัวเอง
คือพระสนมที่เป็นพระมารดาขององค์ชายใหญ่ กับพระสนมที่เป็นพระมารดาขององค์ชายสี่กับสิบสี่ รั่วซี
มารู้จากสิบสี่ตอนเรื่องผ่านมาได้สามปีแล้วว่า ที่ท่านแม่เขาจงใจระบุชื่อรั่วซีไปเป็นนางกำนัลที่ตำหนัก
ตัวเองนั้น เป็นเพราะเขากับพี่สี่ไปขอร้องท่านแม่ด้วยกันทั้งคู่ ท่านแม่เห็นเขาสองพี่น้องเพิ่งจะมีความคิด
ตรงกันเป็นครั้งแรก จึงรับปากทันที และที่เขาไปขอร้องท่านแม่ ก็เพราะพี่แปดมาขอร้องเขาอีกที ส่วนที่พี่สี่
ไปขอร้องท่านแม่ เพราะพี่สิบสามไปขอร้องพี่สี่ แล้วที่พระมารดาขององค์ชายใหญ่ก็เลือกรั่วซีด้วย เพราะ
พี่ชายของภรรยาหลวงของพี่แปดเป็นเพื่อนร่วมเรียนขององค์ชายใหญ่ เขาเลยไปขอให้องค์ชายใหญ่ช่วย
บอกให้พระมารดาเลือกรั่วซี และเพราะพระสนมสูงศักดิ์สองคนเลือกรั่วซีพร้อมกัน เพื่อเลี่ยงการล่วงเกิน
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หัวหน้าขันทีจึงกำหนดให้รั่วซีเป็นนางกำนัลเสิร์ฟชาให้ฮ่องเต้ซะเลย  สิบสี่บอกตอนแรก
ที่รู้ว่ารั่วซีต้องไปเป็นนางกำนัลเสิร์ฟชาให้ฮ่องเต้ พี่แปดทั้งโมโหและร้อนใจมาก แต่พอต่อมาเห็นว่าเสด็จพ่อ
ไม่ได้คิดอะไรในแง่นั้นกับรั่วซีจริงๆ ถึงค่อยวางจลงได้ เมื่อรั่วซีรู้ความจริงเรื่องนี้ ก็ไปขอบคุณสิบสาม
สิบสามก็หัวเราะ บอกว่า ก็ตอนนั้นเขาถามรั่วซีว่า ถ้าถูกเลือกให้กลายเป็นพระสนมของเสด็จพ่อ รั่วซีจะว่ายังไง
รั่วซีตอบว่า แบบนั้นยอมตายซะดีกว่า เขาเลยต้องหาทางช่วยให้ได้น่ะสิ รั่วซีฟังแล้วตื้นตันใจมาก เพราะตอน
ที่รั่วซีเพิ่งเข้าวัง สิบสามก็อายุแค่ 14-15 ปีเท่านั้น เพื่อช่วยเพื่อน เขาถึงกับยอมไปขอร้องพี่ชายคนเดียวที่
เขาพึ่งพาได้ให้ช่วย เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้ที่คู่ควรแก่คำว่า “เพื่อนแท้” จริงๆ 
       รั่วซีเป็นคนโปรดของคังซี เพราะตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง มีความคิดสร้างสรรค์ และไม่พาตัวเข้ามายุ่ง
เกี่ยวกับการแย่งบัลลังก์ของพวกองค์ชาย ทั้งไม่ให้ร้ายฝ่ายไหนและลำเอียงเข้าข้างฝ่ายไหน เพราะทั้งสองฝ่าย
ต่างมีเพื่อนสนิทของรั่วซีอยู่กันทั้งนั้น คือฝ่ายองค์ชายรัชทายาทก็มีสิบสามที่รั่วซีสนิทด้วยมากที่สุดอยู่ ฝ่าย
องค์ชายแปดก็มีทั้งองค์ชายแปด สิบ และสิบสี่อยู่ และระหว่างที่รั่วซีมาเป็นนางกำนัลนี้ ทุกอย่างเป็นไปอย่าง
ราบรื่นก็เพราะพวกองค์ชายทั้งหลายที่สนิทกันคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะองค์ชายแปดด้วยแล้ว
ยังส่งกลอนมาถามใจรั่วซีอยู่ทุกปี ปีละหนในวันเดียวกัน แต่รั่วซีไม่ตอบกลับไปเลย ความจริงไม่ใช่เพราะว่า
ไม่มีใจให้ แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาจะต้องตายในปียงเจิ้งที่ 4 แล้ว สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดก็ทำการป้องกัน
ตัวเองโดยไม่ยอมใจอ่อน  เนื่องจากรู้ประวัติศาสตร์อยู่แล้วว่าสุดท้ายคนที่จะชนะในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้คือ
องค์ชายสี่และสิบสาม (ตอนแรกที่สิบสามชวนออกไปดวดเหล้ารอบสอง รั่วซีรับปากเพราะจงใจพาตัวเข้าไป
สนิทด้วยเพื่อความอยู่รอดของตัวเองในอนาคต แต่หลังจากได้คุยกันแล้วก็ถูกคอกับสิบสามจริงๆ จึงกลาย
เป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ) รั่วซีจึงพยายามเอาใจองค์ชายสี่ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตัวเองที่เป็นน้องเมีย
ขององค์ชายแปดซึ่งจะเป็นฝ่ายแพ้
          ในปีที่สามที่ทำงานเป็นนางกำนัลเสิร์ฟชา รั่วซีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้านางกำนัลฝ่ายเสิร์ฟชา
จึงทำการปฏิรูปการเสิร์ฟชาที่เดิมเสิร์ฟเหมือนกันหมดทั้งขนมและน้ำชาตามแบบที่คังซีชอบ เปลี่ยนเป็น
ไปสืบว่าองค์ชายทุกคนชอบน้ำชาอะไร จากนั้นไปหามาจนครบ เวลาเสิร์ฟก็เสิร์ฟตามที่แต่ละคนชอบ
แล้วองค์ชายสี่จะได้บริการพิเศษ (คล้ายกับว่าน้ำชาที่เสิร์ฟเวียนชนิดกัน เป็นชนิดที่องค์ชายสี่ชอบบ่อยที่สุด)
อาจเป็นเพราะความตั้งใจที่จะประจบมันปิดไม่มิดพอ โดยเฉพาะในสายตาของคนที่จับตาสังเกตรั่วซีอยู่ตลอด
คือ องค์ชายแปด สิบสาม และสิบสี่ กับในสายตาของเจ้าตัวองค์ชายสี่เองที่เป็นเป้าการประจบ สี่คนนี้สังเกต
เห็นเรื่องนี้ และต่างเข้าใจผิดว่ารั่วซีแอบชอบองค์ชายสี่  ยิ่งกว่านั้น ในปีที่สามที่รั่วซีเข้ามาทำงานในวังหลวง
ได้เกิดเรื่องที่เป็นความผิดขององค์ชายรัชทายาท คังซีจึงเรียกพวกองค์ชายที่โตแล้วทุกคนมาร่วมประชุม
ถามความเห็น ตอนที่องค์ชายสิบกำลังพูดแสดงความเห็นตำหนิองค์ชายรัชทายาท และเลยมาถึงองค์ชายสี่
รั่วซีตกใจมาก กลัวว่าคำพูดของเจ้าเพื่อนซี้คนนี้จะไปทำให้องค์ชายสี่ผูกใจเจ็บอาฆาตในวันหน้า จึงจงใจ
แกล้งทำน้ำชาหกใส่ขัดจังหวะการพูด แต่กลายเป็นถูกมองว่ารั่วซีจงใจช่วยองค์ชายสี่ไม่ให้ต้องโดนคังซีตำหนิ
ส่วนน้ำชาที่ทำหก เนื่องจากทำหกใส่องค์ชายสิบเพื่อนซี้กันเอง เพื่อนเลยไม่กล้าด่าไม่กล้าว่าอะไร (ยงเจิ้งก่อน
ขึ้นครองราชย์ จะเก็บความคิดความทะเยอทะยานของตัวเองไว้มิดชิดมากจนคังซีไม่รู้เลย แถมยังเป็นคน
จดจำความแค้นและอาฆาตมากด้วย เมื่อได้ขึ้นครองราชย์แล้ว ใครที่เคยล่วงเกินอะไรเขาไว้สมัยเขายังเป็น
องค์ชายสี่ โดนจัดการอย่างโหดหมดทุกคน รั่วซีจึงกลัวว่าการพลั้งปากพูดในครั้งนี้ขององค์ชายสิบ จะนำพา
ภัยมาสู่ตัวหนักหนากว่าที่ควรจะเป็นในอนาคต)
         สิบสี่รู้ว่าพี่แปดที่เขารักและเคารพรักรั่วซี จึงเคืองมากที่เห็นรั่วซีปกป้องและลำเอียงเอาใจองค์ชายสี่
เรื่องเสิร์ฟชา เขาโวยใส่รั่วซีว่าไม่รู้หรือไงว่าพี่แปดทุ่มเทเพื่อรั่วซีมากแค่ไหน ในใจของรั่วซีมีพี่แปดอยู่บ้างไหม
รั่วซีตอบว่าไม่รู้ แต่บอกได้เลยว่านางไม่ได้จงใจทำน้ำชาหก ไม่ได้คิดจะช่วยองค์ชายสี่ ในใจของนางไม่ได้มี
องค์ชายสี่อยู่ ความจริงคือถึงจะพยายามแอบประจบแบบลับๆ แต่รั่วซีกลัวองค์ชายสี่มาก เพราะพี่แกหน้าเย็นชา
อีกหนึ่งคือรู้ดีอยู่แก่ใจว่าองค์ชายสี่เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนขึ้นชื่อ ถึงแม้ยงเจิ้งจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีมากสำหรับ
ประชาชน แต่ก็โด่งดังมากในเรื่องเป็นฮ่องเต้ที่โหดสุดๆ ไม่มีการยั้งมือไว้ไมตรีกับพี่น้องน้องแย่งบัลลังก์ด้วย
กันมาและกับขุนนางโกงกิน ในตอนอ่านเรื่องของยงเจิ้งในฐานะคนนอกวงที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครในเรื่องนั้น
จางเสี่ยวเหวินชื่นชมยงเจิ้งมาก แต่เมื่อตัวเองต้องมาอยู่ในยุคนี้ที่มีโอกาสตายเพราะคำสั่งของยงเจิ้งได้ง่าย
นิดเดียว  ดังนั้นการพยายามอยู่ห่างๆ แต่อย่าให้เจ้าตัวรู้สึกอคติ มองในแง่ลบ จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อชีวิตของ
ตัวเองมากที่สุด
         เนื่องจากสิบสามสนิทกับองค์ชายสี่มากที่สุดถึงขนาดแทบจะไปไหนมาไหนด้วยกัน เวลาเจอก็มักจะเห็น
โผล่มาด้วยกัน รั่วซีจึงหาโอกาสลากตัวสิบสามมาถามข้อมูลขององค์ชายสี่ แต่เมื่อถามแล้วสิบสามโวยว่าใคร
จะไปรู้ละเอียดขนาดนั้น เขารู้แค่ไม่กี่อย่างเอง รั่วซีก็บังคับบีบคอสั่งให้สิบสามไปสืบมาซะ   ผลคือ...วันหนึ่ง
รั่วซีบังเอิญเจอองค์ชายสี่ตามลำพัง ตอนที่ถวายบังคมแล้วขอตัวเพื่อรีบย่องหนี องค์ชายสี่ดันไม่อนุญาตให้หนี
แล้วพูดว่า วันหลังมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขา ก็ให้มาถามเขาตรงๆ ได้ ไม่ต้องไปวานคนอื่น
มาถาม รั่วซีฟังแล้วหน้าซีด นึกด่าสิบสามในใจว่าไปสืบอีท่าไหน เจ้าตัวเขาถึงรู้ตัวแบบนี้ แล้วนึกในใจว่า
นี่นางต้องก้มลงกราบขอโทษองค์ชายสี่ บอกข้าน้อยผิดไปแล้ว หรือฉวยโอกาสที่เจ้าตัวเปิดโอกาส ถามให้
หมดเปลือกเลยดี?  สุดท้ายรั่วซีก็เลือกทำอย่างหลัง ถามอย่างกับถามข้อมูลของดารา ชอบสีอะไร ไม่ชอบสีอะไร
ชอบอากาศแบบไหน เกลียดอากาศแบบไหน ชอบดอกไม้อะไร ชอบสัตว์เลี้ยงอะไร เกลียดสัตว์อะไร ฯลฯ
นึกอะไรได้ก็ถามออกไปหมด จนนึกไม่ออกแล้วก็บอกแบบตัวแข็งทื่อว่า ไม่มีอะไรจะถามแล้ว ขอบคุณมากเพคะ
จากนั้นรีบเผ่นโดยด่วน   หลังจากนั้น พอเจอสิบสาม รั่วซีก็ตรงเข้าไปจ้องหน้าแบบเอาเรื่อง สิบสามเห็นเข้า
ก็หน้าเจื่อน เสหลบสายตา แต่เพราะองค์ชายสี่ก็อยู่ข้างๆ สิบสามด้วย รั่วซีเลยไม่กล้าเอาเรื่องเพื่อน

366
         ต่อมา คังซีจะออกประพาสมองโกล (ตอนนั้นมองโกลอยู่ในเขตปกครองของแมนจู) ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี
รั่วซีก็ได้ตามไปรับใช้ด้วย ดีใจมาก ว่าได้ไปเที่ยว  ตั้งแต่ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้านางกำนัลฝ่ายเสิร์ฟชา รั่วซีก็
ได้ย้ายมาอยู่เรือนส่วนตัวที่กว้างขวางสบายมาก มีเพื่อนร่วมเรือนเป็นนางกำนัลเสิร์ฟชาฐานะต่ำกว่า ชื่อ อวี้ถาน
นิสัยดีมาก รั่วซีรักเหมือนน้องสาว ก่อนออกเดินทาง ระหว่างที่กำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
รั่วซีก็บอกให้เข้ามาได้ พอหันไปดูว่าใครมา ก็ช็อคค้างอยู่ตรงนั้น เพราะคนที่มาคือองค์ชายแปด
        องค์ชายแปดยิ้มทักว่าเขาเพิ่งเคยมาดูที่พักของรั่วซีเป็นครั้งแรก  รั่วซีบอก ถ้ามาเมื่อครึ่งปีก่อน ก็ไม่ได้
อยู่สบายมากเท่านี้หรอก องค์ชายแปดบอก เขาเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่ารั่วซีจะทำงานเก่งก้าวหน้าเร็วขนาดนี้
จากนั้นบอกว่าไปมองโกลครั้งนี้เขาไม่ได้ตามไปด้วย ให้รั่วซีระวังรักษาตัวให้ดีๆ กับเตือนโน่นนี่อีก 2-3 อย่าง
ก็ขอตัวกลับไป  ออกประพาสหนนี้ คังซีพาองค์ชายรัชทายาท องค์ชายสี่ และสิบสามไปด้วย ช่วงกลางคืนก็มี
งานรื่นเริงกัน ท่านอ๋องมองโกลถวายม้ามังกรเหงื่อโลหิตให้คังซีสองตัว แล้วมีการจัดงานเลี้ยงล้อมรอบกองไฟ
ท่านอ๋องให้ลูกสาวคนเล็ก อายุประมาณ 13-14 ปีออกมาเต้นรำเสิร์ฟเหล้าให้พวกองค์ชาย ตอนเสิร์ฟเหล้าให้
องค์ชายสี่ รั่วซีมองแบบอยากเห็นมากว่าคนที่หน้าเย็นชาตลอด เวลามีสาวมาเต้นยั่วเสิร์ฟเหล้าให้ตรงหน้า 
จะทำหน้ายังไง ปรากฏว่าองค์ชายสี่ไม่ทำหน้ายังไง เย็นชายังไงก็เย็นชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน  รั่วซีเลยยิ้มแล้ว
ส่ายหน้า นึกในใจว่ายอมแพ้เลยจริงๆ  องค์ชายสี่หันมาเห็นรั่วซีพอดี ก็ทำหน้าเฉย แต่ตายิ้มๆ
        ตอนองค์หญิงมองโกลเสิร์ฟเหล้าให้สิบสาม สิบสามลุกขึ้นร้องเพลงตอบ เนื่องจากสิบสามทั้งหล่อทั้งเท่
และเสียงร้องเพลงก็เพราะกระชากใจสาวมาก องค์หญิงมองโกลจึงตกตะลึง และหลงรักสิบสามในทันที
วันถัดมา รั่วซีแสดงฝีมือของตัวเอง ทำน้ำแข็งใสถวายให้คังซีและพวกองค์ชาย โดยแต่ละคนเสิร์ฟด้วยถ้วย
จานรอง และน้ำผลไม้แตกต่างกันไปตามที่แต่ละคนชอบ องค์ชายสี่ได้ถ้วยเป็นรูปดอกมู่หลาน จานรอง
เป็นรูปใบมู่หลาน กับได้เสิร์ฟน้ำองุ่น ผลไม้ที่เขาชอบ พอเห็นถ้วยกับน้ำองุ่น องค์ชายสี่ก็วางหน้าเฉย แต่ยิ้ม
ด้วยสายตา ส่วนสิบสามได้ถ้วยดอกเหมยบนจานรูปเกล็ดหิมะ คังซีเห็นแล้วถูกใจมาก ถูกใจทั้งถ้วย จานรอง
และน้ำแข็งใส  ถ้วยและจานรองพวกนี้ รั่วซีวาดออกแบบเอง แล้วขอให้ช่างทำภาชนะดินเผาของทาง
วังหลวงช่วยทำให้ คังซีปูนบำเหน็จรางวัลให้รั่วซีเพราะถูกใจน้ำแข็งใสนี้ รั่วซีจึงบอกว่า ผลงานครั้งนี้
เป็นของทุกคน ไม่ใช่ของนางคนเดียว นางจึงขอแบ่งรางวัลครั้งนี้ให้ทุกคน ด้วยการขอให้พวกนางมีโอกาส
ได้ขี่ม้าเป็น คังซีก็อนุญาตให้พวกนางกำนัลและขันทีในกลุ่มเสิร์ฟชาทั้งหมดหัดขี่ม้าจนเป็นได้  หลังจาก
กินเสร็จและปลีกตัวมาคุยกัน สิบสามก็ถามรั่วซีว่า ทำไมพี่สี่ได้ถ้วยดอกมู่หลานที่พี่เขาชอบ แต่เขาได้ถ้วย
ดอกเหมยล่ะ? รั่วซีบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะต่อไปสิบสามจะโดนมรสุมการชิงบัลลังก์จนต้องถูกคุมขังสิบปีเต็ม
แต่หลังจากได้รับการปล่อยตัวออกมา ก็จะมีชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุขเต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญไปจนตาย
เหมือนดอกเหมือนที่จะส่งกลิ่นหอมโชยมาหลังความหนาวเหน็บของหิมะน่ะสิ แต่ปากตอบไปว่าแล้วไม่ชอบ
หรือไง? ยังไงคำถามของสิบสามก็ทำให้รั่วซีนึกถึงบัญชีเก่าที่ยังไม่ได้สะสางกับเพื่อนขึ้นมาทันที จึงจ้องหน้า
สิบสามแบบเอาเรื่อง แค่นเสียงว่า ทีตอนนี้ละดันรู้นะว่าองค์ชายสี่ชอบดอกอะไร ตอนแรกที่ถามละดันไม่รู้
พอบอกให้ไปสืบก็ไปสืบซะจนเจ้าตัวเขารู้เรื่อง สิบสามก็หัวเราะแห้งๆ แก้ตัวว่า เพราะตั้งใจสืบมากไง พี่สี่ถึงได้
รู้ตัว
         เมื่อได้เริ่มหัดขี่ม้า รั่วซีก็ชักเดือดมากขึ้นทุกทีเมื่อพบว่าทหารองครักษ์ที่มาช่วยหัดให้กลัวว่านางจะตก
จากหลังม้า จึงไม่ยอมหัดให้ม้าวิ่ง ให้แต่ขี่ม้าเดินไปเรื่อยๆ  สิบสามกับองค์ชายสี่ผ่านมาเห็นเข้า สิบสามจึง
รับปากว่างั้นคืนนี้หลังข้าวเย็นเขาพอมีเวลาว่าง จะสอนขี่ม้าให้เองก็แล้วกัน หลังข้าวเย็น รั่วซีรีบไปเตรียมตัว
รอให้สิบสามสอนขี่ม้าให้แบบตื่นเต้น เพราะจะได้หัดขี่ม้าจริงๆ แล้ว แต่สิบสามมาช้า รั่วซีจึงเอาเสื้อคลุม
ปูนอนรอ ปรากฏว่าคนที่มาดันเป็นองค์ชายสี่ ไม่ใช่สิบสาม องค์ชายสี่บอกว่าสิบสามโดนองค์ชายรัชทายาท
เรียกตัวไปกะทันหัน จึงวานให้เขามาแทน รั่วซีก็หัวเราะแห้งๆ บอก งั้นไว้วันหลังก็ได้เพคะ แล้วรีบขอตัว
แต่องค์ชายสี่ไม่ให้ไป ถามเสียงเย็นว่าทำไมเขาหัดให้ไม่ได้หรือไง?  ด้วยความกลัวตาย ไม่กล้าขัดคำสั่ง
รั่วซีเลยได้แต่คอตกยอมให้องค์ชายสี่หัดขี่ม้าให้  ความจริงองค์ชายสี่ก็สอนเก่งหรอก แต่ความกลัวทำให้
สมาธิรั่วซีแตกกระเจิง แค่นั่งบนหลังม้าได้โดยไม่ตกลงมาก็เต็มกลืนแล้ว
         วันรุ่งขึ้น รั่วซีนึกว่าจะได้หัดขี่ม้ากับสิบสามแบบจริงจังเสียที ปรากฏว่าคนที่มาสอน ดันเป็นองค์ชายสี่
อีกแล้ว รั่วซีนึกในใจว่าเห็นทีต้องกระชากคอสิบสามมาพูดกันแบบจริงจังเสียแล้ว ปากก็โกหกองค์ชายสี่ไปว่า
วันนี้นางเข้าเวรทำงาน จึงค่อนข้างเหนื่อย ขอไม่เรียนแล้วกันนะเพคะ จากนั้นค่อยๆ ก้าวหนี พอก้าวผ่าน
ตัวองค์ชายสี่ไปได้ ก็เปลี่ยนจากค่อยๆ ก้าวแบบระวังเป็นชักเท้าเผ่นหนีแบบรวดเร็ว แต่ปรากฏว่าองค์ชายสี่
ขี่ม้าตามมา กระโดดลงจากหลังม้าจับตัวรั่วซีมาจูบเฉยเลย รั่วซีโมโหมาก ไม่สนใจแล้วว่านี่คือ ว่าที่ยงเจิ้งหรือ
อะไร ร้องสั่งเสียงดังบอกให้ปล่อย องค์ชายสี่บอก ถ้ารั่วซีอยากจะติดตามเขา เขาจะไปขอเสด็จพ่อให้ยกรั่วซี
ให้เขา รั่วซีฟังแล้วแทบหมดแรง เพราะไม่อยากแต่งกับใครทั้งนั้น เลยจงใจใช้แผนแกล้งยั่ว พูดว่าองค์ชายสี่
อึดอัดไม่มีที่ระบายเพราะไม่ได้พาผู้หญิงมาด้วยหรือไง? ถ้าจะใช้กำลังกันก็ตามใจ เพราะไงนางก็ขัดขืนไม่ได้
อยู่แล้ว พูดจบก็แกล้งเงยหน้าเสนอตัวให้ ปรากฏว่าองค์ชายสี่ก้มลงจูบจริงๆ  รั่วซีร้องเหวอในใจว่าแผนนี้ใช้
ไม่ได้ผล แต่อยู่ๆ องค์ชายสี่ก็ปล่อย แล้วสั่งให้ขึ้นขี่ม้า หัดขี่ม้าให้ต่อ หลังจากวันนั้น รั่วซีก็เลิกหัดขี่ม้าไปเลย
ตลอดวันที่เหลือที่ยังอยู่ในมองโกล
       วันรุ่งขึ้น มีการโชว์ฝีมือขี่ม้ายิงธนู พอเจอสิบสาม รั่วซีก็พุ่งดิ่งเข้าไปหาด้วยสายตาฆ่าคนได้ ชนิดว่าถ้า
สายตาสามารถฆ่าคนได้จริงๆ ป่านนี้สิบสามไม่ตายก็คางเหลืองไปแล้ว สิบสามโดนจ้องจนหนาวไปทั้งตัว
ไม่กล้าต่อตา เสมองไปทางอื่น รั่วซีจ้องไปๆ ก็รู้สึกผิดปกติ เพิ่งรู้ตัวว่าองค์ชายสี่ยืนอยู่ด้วย และกำลังมองมา
ด้วยสายตาเรียบเฉย เลยแอบสะดุ้ง รีบรั้งสายตากลับยืนจ๋องอยู่ข้างๆ แล้วบอกสิบสามเบาๆ ตอนเดินผ่านว่า
คืนนี้นางจะไปหาที่กระโจม  ตกกลางคืน พอรั่วซีโผล่หน้าไป สิบสามรีบถามว่าเขาทำอะไรผิดมาเรอะ รั่วซีเลย
ต่อว่าเรื่องรับปากแล้วไม่มาสอนขี่ม้า แต่ดันส่งองค์ชายสี่มาแทนนี่หมายความว่ายังไง? หากไม่อยากสอนนาง
ขี่ม้าก็บอกมาก็ได้ ใครจะกล้าไปบังคับ สิบสามก็บอกเขาติดธุระจริงๆ ไม่ได้โกหก อีกอย่าง เขาวานพี่สี่ไปแทน
รั่วซีน่าจะดีใจ รั่วซีถามว่าทำไมถึงคิดว่านางจะดีใจ? สิบสามบอกเห็นที่ผ่านมาเวลาเสิร์ฟชาเสิร์ฟขนม รั่วซี
เสิร์ฟตามรสนิยมพี่สี่มากกว่าใคร ไม่ได้แปลว่าชอบพี่สี่หรอกเหรอ? จากนั้นก็แล้วช่วยเชียร์องค์ชายสี่ พี่ชาย
สุดที่รักเป็นการใหญ่ว่าพี่ชายเขาเปลือกนอกเย็นชา แต่จริงๆ ข้างในใจดีออกนะ รั่วซีก็บอก ไม่ใช่เลย นางไม่ได้
ชอบองค์ชายสี่ จำเอาไว้ด้วย แล้วออกจากกระโจมไป
        ช่วงท้ายของการประพาส เนื่องจากมีข่าวมาจากเมืองหลวงว่าองค์ชายสิบแปดล้มป่วย คังซีจึงกลับ
ก่อนกำหนด ในระหว่างเตรียมเก็บของกลับ องค์ชายรัชทายาทเอาม้าที่เป็นของบรรณาการออกมาขี่เล่น
ชาวมองโกลเห็นแล้วโกรธมาก เพราะพวกเขาถวายให้คังซี ไม่ใช่ให้รัชทายาท จนคังซีต้องออกหน้าพูดจา
ตำหนิรัชทายาท จากนั้นระหว่างเดินทางกลับ ข่าวจากเมืองหลวงก็ส่งมาต่อว่า องค์ชายสิบแปดตายแล้ว
ด้วยวัยเพียงแปดขวบ ระหว่างที่คังซีกำลังเศร้า องค์ชายรัชทายาทก็ทำตัววางอำนาจสั่งให้ขันทีคนสนิท
ของคังซีออกมาตอบคำถามเขา คังซีโมโหมาก สั่งให้ร่างราชโองการปลดองค์ชายรัชทายาทจากตำแหน่งเดี๋ยวนั้น
        หลังกลับมาจากมองโกล ในวันที่องค์ชายแปดส่งขันทีเอากลอนถามใจมาให้ทุกปีนั้น หนนี้ขันทีที่มา
เป็นคนละคนกับครั้งก่อนๆ และของที่เอามาให้ไม่ใช่จดหมายอย่างทุกที แต่เป็นห่อของ รั่วซีรับมาอย่าง
ประหลาดใจ พอแกะห่อออกดู ปรากฏว่าเป็นกล่องใส่สร้อยห้อยจี้รูปดอกมู่หลาน ก็รู้ทันทีว่านี่มันองค์ชายสี่ให้มา
ไม่ใช่องค์ชายแปด  ส่วนจดหมายขององค์ชายแปดมาถึงตอนกลางคืน
      หลังรัชทายาทถูกปลด องค์ชายแปดที่เล็งตำแหน่งรัชทายาทอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว แต่พวกขุนนางที่ปกติ
ผูกสัมพันธ์เอาไว้เคลื่อนไหวน่าเกลียดไปหน่อย คือพากันถวายฎีกาขอให้แต่งตั้งองค์ชายแปดเป็นรัชทายาท
จนเหมือนกับบีบคังซี คังซีจึงโกรธมากจนกล่าวตำหนิองค์ชายแปดอย่างรุนแรง องค์ชายสิบสี่รีบออกหน้า
เอาชีวิตตัวเองเข้ารับประกันว่าองค์ชายแปดไม่ได้ยุยงให้พวกขุนนางถวายฎีกาให้ตัวเองเป็นรัชทายาทอย่าง
แน่นอน คังซีที่โมโหอยู่แล้วเลยยิ่งโกรธจัดที่ลูกเข้าข้างพี่ มองไม่เห็นหัวพ่อ จึงชักกระบี่ออกมาจะแทงใส่สิบสี่
องค์ชายห้ารีบร้องไห้คุกเข่าเข้าไปกอดขาพ่อไว้ขอร้องไม่ให้ฆ่าน้อง หลังจากนั้นพวกองค์ชายทุกคนก็รีบ
เข้ามาร้องขอให้คังซียกโทษให้องค์ชายแปดกับสิบสี่กันทุกคน สุดท้ายสิบสี่ถูกลงโทษตีด้วยไม้กระดาน
สี่สิบครั้ง จากนั้นทั้งองค์ชายแปดและสิบสี่ก็ถูกสั่งให้อยู่สำนึกตัวที่บ้านระยะหนึ่ง
         แม้จะรู้ประวัติศาสตร์อยู่แล้วว่าสิบสี่จะอายุยืนไปจนถึงยุคเฉียนหลงครองราชย์  เมื่อได้ฟังข่าวนี้
รั่วซีก็ทั้งตกใจและเป็นห่วงมากอยู่ดี และสิบสี่ก็รู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง จึงส่งคนสนิทส่งจดหมายมาบอกว่าไม่ต้อง
เป็นห่วง เขากับพี่แปดปลอดภัยดี รั่วซีจึงค่อยโล่งอกเนื่องจากองค์ชายแปดที่เป็นพี่เขยถูกลงโทษ
พวกนางกำนัลกับขันทีในวังจึงจับตาดูท่าทีของฮ่องเต้ว่ายังโปรดรั่วซีอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าคังซีไม่ได้ลาก
รั่วซีเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และยังโปรดรั่วซีอยู่เหมือนเดิม จากนั้นวันหนึ่ง คังซีเรียกตัวองค์ชายรัชทายาท
เข้าไปพบ แล้วห้องที่เรียกเข้าไปมีสองชั้น คังซีกับรัชทายาทคุยกันในห้องชั้นใน มีหัวหน้าขันทีฟังอยู่ด้วยแค่
คนเดียว ประตูห้องด้านในแง้มเปิดนิดๆ จนรั่วซีที่นั่งอยู่ใกล้ประตูทางออกของห้องด้านนอกได้ยินเสียงร้องไห้
ของรัชทายาทดังมาแว่วๆ รั่วซีนั่งเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีความคิดที่จะไปแอบฟัง เพราะรู้ผลลัพธ์ดี
อยู่แล้วว่า ถูกปลดครั้งนี้ รัชทายาทจะได้ฟื้นตำแหน่ง แล้วจะถูกปลดอีกครั้งในปีไหน ดังนั้นถึงไม่ต้องฟังก็รู้ผล
อยู่ว่าอีกไม่นานรัชทายาทก็ได้กลับคืนตำแหน่ง  หลังการเรียกพบรัชทายาทครั้งนี้ รั่วซีโดนทั้งพวกองค์ชาย
แปดและองค์ชายสี่ถามว่าคังซีกับรัชทายาทคุยอะไรกัน? โดยเจอกลุ่มองค์ชายแปดก่อน ซึ่งรั่วซีก็ตอบไป
ตามตรงว่า ไม่ได้ยิน เพราะเขาคุยกันในห้องด้านใน แต่บอกเพิ่มเติมว่า ฮ่องเต้ยังรักองค์รัชทายาทอยู่มาก
ในตอนที่เจอองค์ชายสี่กับสิบสาม และองค์ชายสี่สั่งให้สิบสามปลีกตัวไปเพื่อที่จะคุยกับรั่วซีตามลำพัง
รั่วซีพยายามคิดหาคำอธิบายยังไงที่จะไม่ทำให้องค์ชายสี่ขายหน้าจนนึกโมโหที่หลงคิดเข้าข้างตัวเองว่า
นางแอบชอบเขา แต่ปรากฏว่าองค์ชายสี่กลับถามว่า คังซีกับรัชทายาทคุยอะไรกัน รั่วซีจึงค่อยโล่งอกและ
แอบผิดหวังนิดๆ ตอบไปว่านางไม่ได้ยิน เพราะเขาคุยกันในห้องด้านใน องค์ชายสี่ฟังกระแสเย็นชาในน้ำเสียงออก
จึงถามว่ายังโกรธเขาอยู่หรือไง รั่วซีรีบส่ายหน้าหวือ นึกในใจว่า แค่เขาไม่โกรธเธอก็บุญแล้ว องค์ชายสี่มอง
หน้ารั่วซี แล้วพูดว่า ตอนนั้นเขาอาจจะเข้าใจรั่วซีผิดไปจริงๆ รั่วซีรีบพยักหน้า องค์ชายสี่พูดต่อว่า แต่เขา
ไม่เสียใจหรอกนะที่จูบไปนั่น จากนั้นยื่นมือมาแกะกระดุมดูที่คอ ถามว่าทำไมไม่ใส่สร้อยที่เขาให้ไป? รั่วซี
เดือดมาก บอกว่าสร้อยอยู่ที่ห้อง ไว้เจอกันคราวหน้าจะเอามาคืนให้ องค์ชายยิ้มหยัน บอกให้แล้วให้เลย
ไม่รับคืน และสักวันเขาจะให้รั่วซียอมใส่สร้อยนั่นอย่างเต็มใจเองให้ได้ จากนั้นถามต่อว่า ถึงจะไม่ได้ยินที่คังซี
กับรัชทายาทคุยกันชัดๆ แต่ก็น่าจะได้ยินอะไรบ้างหรือไง ? รั่วซีบอก ไม่ได้ยิน ได้ยินแต่เสียงรัชทายาทร้องไห้
องค์ชายสี่ถามว่าเจ้าบอกพี่เขยของเจ้าแบบนี้ด้วยรึ? รั่วซีบอก ใช่ องค์ชายสี่ก็ไม่ว่าอะไร เดินจากไป
         ในตอนนี้องค์ชายสี่กับสิบสามเข้าใจผิดคิดว่ารั่วซีชอบพออยู่กับสิบสี่ เพราะสิบสี่เป็นตัวแทนองค์ชายแปด
มาพูดกับรั่วซีตลอด บวกกับค่อนข้างสนิทกันมาก (สนิทกันแบบเพื่อนร่วมก๊วนเดียวกันที่คบกันโดยไม่แบ่งแยก
เพศ แต่สิบสี่จะสนิทน้อยกว่าสิบสาม)  ถึงวันเกิดของรั่วซี (เป็นเรื่องบังเอิญมากที่วันเกิดของรั่วซีเป็นวันเดียว
กับจางเสี่ยวเหวิน จางเสี่ยวเหวินคิดว่านี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่วิญญาณของตัวเองมาอยู่ในร่างของรั่วซี)
ก่อนหน้านี้ องค์ชายแปดส่งสิบกับสิบสี่มาหยั่งเสียงดูว่ารั่วซีอยากได้อะไร พอรั่วซีบอกว่าอยากเจอหน้าพี่สาว
เพราะตั้งแต่เข้าวังมาสามปีกว่า ก็ไม่ได้เจอหน้าพี่อีกเลย องค์ชายแปดจึงส่งรั่วหลานมาเยี่ยมท่านแม่ของเขา
แล้วขอให้ท่านแม่เขาส่งคนไปตามรั่วซีมาพบ ให้ได้เจอรั่วหลานหนึ่งวัน   ในหนึ่งวันที่ได้เจอรั่วหลาน นอกจาก
คุยกันตามประสาพี่น้องเพราะความคิดถึงแล้ว รั่วหลานยังถามรั่วซีว่าถูกใจใครบ้างหรือเปล่า ได้เวลาควร
แต่งงานแล้วนะ องค์ชายสิบสามก็ดีนะ เห็นสนิทกันและดีกับรั่วซีมาก องค์ชายสิบก็เหมือนกัน หรือองค์ชายสิบสี่
ก็เห็นดีกับรั่วซีมากเหมือนกัน รั่วซีฟังแล้วหัวเราะ พูดแซวเล่นๆ ว่าหลายคนจังนะ ยังมีอีกไหม? รั่วหลานก็พูดหน้า
ซีเรียสว่าองค์ชายแปดเองก็ดีกับรั่วซีมากเลยนะ  รั่วซีฟังแล้วยิ้มค้างทันที เพราะยังทำใจไม่ได้เรื่องที่พี่กับน้อง
จะมีสามีคนเดียวกัน (ความจริงรั่วหลานไม่ได้ถือสาเรื่องนี้เลย เพราะไม่ได้รักองค์ชายแปดเลย) จึงเสพูดว่า
เห็นตอนก่อนเข้าวัง พี่พยายามย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าไปหลงรักใคร ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจมาพูดแบบนี้เสียแล้วล่ะ?
รั่วหลานบอกก็ตอนนั้นรั่วซียังเป็นแค่นางกำนัลธรรมดา หากหลงรักใคร โอกาสสมหวังจะมีน้อยมาก ไม่เหมือน
ตอนนี้ที่ทั้งได้เวลาแต่งงานแล้ว และยังเป็นคนโปรดของคังซี หากชอบใคร โอกาสได้แต่งงานกับคนที่รัก
เรียกว่ามี 100% ก็ว่าได้ รั่วซีก็บอกปัดไปว่ายังไม่อยากคิดเรื่องนี้ในตอนนี้
        ในวันเกิด สิบสี่แวะมาเยี่ยมรั่วซี รั่วซีจึงเอาโต๊ะเตี้ยออกมาตั้งข้างนอก แล้วชงชารับแขก ใบชาที่ใช้
เป็นเครื่องบรรณาการของดีสุดที่คังซีพระราชทานให้ ส่วนชุดน้ำชาที่ใช้เป็นชุดน้ำชาที่รั่วซีขอให้สิบสี่ช่วยไป
หาซื้อมาให้เมื่อสองปีก่อน รั่วซีชวนคุยถามว่าองค์ชายแปดเป็นไงบ้าง  สิบสี่ก็เล่าให้ฟัง แล้วระบายว่าตอนที่
เขาเอาชีวิตตัวเองเป็นประกันให้พี่แปด แล้วเสด็จพ่อชักกระบี่ออกมาจะฆ่าเขานั่น คนที่ลุกขึ้นร้องไห้กอดขา
ห้ามเสด็จพ่อเป็นคนแรกคือองค์ชายห้า ไม่ใช่พี่สี่ที่เป็นพี่แม่เดียวกับเขา พี่สี่เพิ่งจะมาคุกเข่าร้องขอชีวิต
ให้เขาเมื่อองค์ชายคนอื่นๆ คุกเข่ากันจนหมดแล้ว คิดดูว่ามีพี่ชายใจร้ายแบบนี้ จะให้เขารู้สึกยังไง? รั่วซีก็เงียบ
(เป็นความจริงที่ว่าองค์ชายสี่กับสิบสี่แม่เดียวกัน แต่องค์ชายสี่รักสิบสามเป็นน้องอยู่คนเดียวก็ว่าได้ ส่วนสิบสี่
ก็ไปติดองค์ชายแปด) หลังจากระบายจบ สิบสี่ก็ช่วยเป็นพ่อสื่อให้พี่ชายแปด  บอกว่าพี่แปดนะพยายามช่วย
รั่วซีอย่างนั้นอย่างนี้ รั่วซีรู้ตัวบ้างไหม แล้วพี่เขานะ ตั้งแต่รั่วซีเข้าวังมา นอกจากเมียเอก (พี่สาวหมิงเยว่)
และเมียรอง(รั่วหลาน) ที่แต่งมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนกับเมียไร้อันดับสองคนที่รับใช้มาแต่เด็กแล้ว ก็ไม่ได้
รับเมียคนใหม่อีกเลย อย่างพวกเขาทุกคนนี่ ก็ยังมีเมียทั้งหลวงทั้งน้อยกันคนละหลายคนทั้งนั้น เขาเองยังมี
เมียหลวงเมียรองแล้วตั้งสี่คน สิบสามก็มีตั้งสามคน จนคนนอกพากันพูดว่าพี่ชายแปดเขากลัวเมียหลวงมาก
จนไม่กล้าแต่งเมียเพิ่ม ทั้งที่ความจริงแล้วพี่ชายเขารอรั่วซีคนเดียว แล้วรั่วซีล่ะคิดยังไงกับพี่ชายเขา มีใจตอบ
พี่เขาบ้างไหม รั่วซีบอกไม่รู้ สิบสี่ก็ฉุนจัด ขึ้นเสียงถามว่า หม่าเอ่อร์ไท่รั่วซี เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?! สิบสี่
ยังไม่ทันอาละวาดมากไปกว่านี้ ก็มีเสียงพูดหนักๆ ดังขึ้นว่า “น้องสิบสี่” ปรากฏว่าสิบสามกับองค์ชายสี่ก็แวะมา
เยี่ยมอวยพรวันเกิดรั่วซีพอดี สิบสี่เลยต้องขอตัวจากไปแบบอารมณ์เสีย และพฤติกรรมของสิบสี่ก็ทำให้องค์ชายสี่
กับสิบสามยิ่งมั่นใจในความเข้าใจผิดของตัวเองเข้าไปใหญ่ว่าสิบสี่รักอยู่กับรั่วซี และตอนนี้กำลังระหองระแหงกัน
พอสิบสี่ไป รั่วซีก็เชิญสององค์ชายลงนั่ง แล้วชงชาให้ ส่วนใหญ่รั่วซีคุยกับสิบสาม องค์ชายสี่นั่งมองสองคน
คุยกันแล้วยิ้มอยู่เงียบๆ สิบสามแกล้งทวนคำถามของสิบสี่ก่อนจะไปว่า หม่าเอ่อร์ไท่รั่วซี เจ้าต้องการอะไรกันแน่?
รั่วซีจึงแกล้งแบมือออกไป บอกต้องการของขวัญวันเกิดน่ะสิ เอามาเลย สิบสามหัวเราะ ตีมือรั่วซีที่แบมาตรงหน้า
บอกไม่มีให้ รั่วซีแกล้งโวยว่า กล้าหาญมากนะที่มาดื่มชาของนางแล้วไม่มีของขวัญมาให้นี่ สิบสามเลยบอก
เขาไม่มีของขวัญให้ แต่พี่สี่มี แล้วเอากล่องที่ถือมาด้วยยื่นให้ บอกพี่สี่ส่งลูกน้องไปทำงานทางใต้ เลยฝากให้
ซื้อมาให้ด้วย รั่วซีไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธไม่รับต่อหน้าเจ้าตัวและสิบสาม จึงขอบคุณแล้วรับเอาไว้ ข้างในเป็น
ขวดเล็กๆ ใส่เครื่องสำอางและน้ำมันหอม

366
        หนึ่งปีเวียนมาบรรจบ คังซีจะออกประพาสมองโกลอีกครั้งตามปกติที่จะไปเป็นประจำทุกปี ปีนี้รั่วซี
อายุ 18 ปีแล้ว ออกประพาสมองโกลหนนี้ คังซีพาไปแต่องค์ชายรัชทายาทที่เพิ่งคืนตำแหน่งให้ กับ
องค์ชายแปด เพราะหลังจากได้ตำแหน่งคืน รัชทายาทก็ทำการคบหาพวกขุนนางจนคังซีเริ่มไม่สบายใจ
กลัวจะมีเหตุการณ์ลูกบีบให้เขาสละบัลลังก์ องค์ชายแปดเอง เขาก็ไม่วางใจที่จะปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ใน
เมืองหลวง จึงพามาด้วยทั้งคู่  ประพาสมองโกลหนนี้ องค์หญิงมองโกลที่ออกมาเต้นเสิร์ฟเหล้าครั้งก่อน
ชื่อ องค์หญิงหมินหมิ่น เห็นรั่วซีเข้าก็จำได้ว่าปีที่แล้วเคยเจอรั่วซีมาแล้ว จึงเข้ามาคุยด้วย แล้วถามถึง
องค์ชายสิบสาม พวกพระชายาขององค์ชายสิบสามนี่สวยไหม รั่วซีฟังแล้วแทบหัวเราะก๊าก ว่าสิบสาม
โปรยเสน่ห์จนสาวหลงรักเข้าให้ซะแล้ว จึงถามหมินหมิ่นว่า ชอบสิบสามหรือ? แล้วพูดให้กำลังใจว่า
ในสายตานาง หมินหมิ่นสวยกว่าเมียของสิบสามทุกคน หมินหมิ่นรู้มาว่าสิบสามเป่าขลุ่ยเก่งมาก แต่ไม่ค่อย
เป่าให้ใครฟัง รั่วซีจึงบอกว่านางสนิทกับสิบสาม เพราะเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก เอาไว้ครั้งหน้าถ้าสิบสาม
มาด้วย นางจะขอให้สิบสามเป่าขลุ่ยให้หมินหมิ่นฟังก็แล้วกัน หมินหมิ่นจึงดีใจมาก ชวนรั่วซีไปขี่ม้าเล่น
รั่วซีบอกนางยังขี่ไม่คล่อง หมินหมิ่นจึงอาสาช่วยหัดให้ผลคือ หมินหมิ่นสอนไม่เป็น ดันไปหวดแส้เร่งม้า
ของรั่วซีจนวิ่งเตลิด รั่วซีกลัวมากจนปล่อยบังเหียนกอดคอม้าแน่น ม้าถูกรัดคอก็ยิ่งวิ่งเร็วเข้าไปใหญ่จน
รั่วซีนึกว่าตัวเองคงได้ย้อนเวลามาเพื่อที่จะตกม้าตายซะแล้ว โชคดีที่องค์ชายแปดผ่านมาเห็นเข้า เลยช่วย
เอาไว้ได้ เนื่องจากม้าวิ่งเตลิดออกมาไกลมาก และรั่วซีหมดแรงและหมดความกล้าจะขี่ม้ากลับแล้ว หมินหมิ่น
จึงจะให้รั่วขี่นั่งซ้อนท้ายม้านางกลับ แต่องค์ชายแปดบอกไม่ต้อง เขาจะพารั่วซีกลับเอง รั่วซีอยากปฏิเสธ
แต่พูดไม่ออก หมินหมิ่นเห็นรั่วซีไม่คัดค้าน จึงตกลง แล้วขี่ม้าแยกกลับกระโจม  ทั้งสองยืนดูจนหมินหมิ่น
ลับหายจากสายตา องค์ชายแปดก็คว้ามือรั่วซีขึ้นมาดูรอยช้ำ ขมวดคิ้วถามว่าเจ็บหรือเปล่า? รั่วซีดึงมือกลับ
องค์ชายแปดกำมือแน่นขึ้นไม่ยอมปล่อย แล้วบังเอิญกดลงตรงรอยช้ำพอดี รั่วซีสูดปากเจ็บ องค์ชายแปด
จึงรีบปล่อย แล้วถอนหายใจพูดว่า ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดี? รั่วซีเมินหน้าไปอีกทางโดยไม่พูด องค์ชายแปด
จึงอุ้มรั่วซีขึ้นหลังม้า โอบเอาไว้หลวมๆ พาขี่ม้ากลับแบบจงใจขี่ช้าๆ
        ในหลายปีที่ผ่านมา สิ่งต่างๆ ที่องค์ชายแปดทำเพื่อนางได้ค่อยๆ ซึมซาบลงในใจของรั่วซี ตอนนี้จึง
พูดได้ว่านางมีใจให้องค์ชายแปดจนเข้าขั้นรักก็ว่าได้ เมื่อได้มาอยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ รั่วซีที่เหนื่อยกับการ
พยายามสร้างกำแพงกั้นหัวใจตัวเองก็ตัดสินใจที่จะปล่อยตัวตามที่หัวใจต้องการสักครั้ง ทิ้งตัวลงพิงอก
องค์ชายแปด ทำเป็นลืมว่าเขามีเมียแล้ว ลืมว่าเขาต้องตายในปียงเจิ้งที่สี่ องค์ชายแปดรู้สึกว่ารั่วซีทิ้งตัว
ลงพิงอกเขา ก็ดีใจ กระซิบที่ข้างหูอย่างมั่นใจว่าในใจของเจ้ามีข้า เมื่อเห็นรั่วซีไม่ปฏิเสธ ก็หัวเราะเบาๆ
มือที่โอบรั่วซีไว้หลวมๆ กระชับแน่นขึ้น พูดย้ำอย่างดีใจมากว่าในใจของเจ้ามีข้า!
         เมื่อมาถึงเขตกระโจมที่พัก องค์ชายแปดอุ้มรั่วซีลงจากม้าแล้วมองหน้ารั่วซีไม่วางตาจนรั่วซีเขินจัด
จึงก้มหน้าก้มตาเดินหนี องค์ชายแปดหัวเราะ ตามมาดึงตัวไว้ ถามว่าทำไมถึงไปอยู่กับหมินหมิ่นได้ รั่วซีจึง
บอกว่าหมินหมิ่นสอนขี่ม้าให้ แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น องค์ชายแปดจึงบอกว่าครั้งหน้าถ้าอยากหัดขี่ม้า เขาจะ
สอนให้เอง เมื่อองค์ชายแปดกลับไป รั่วซีก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีใครบางคนตบไหล่
นางเบาๆ พร้อมกับมีเสียงผู้ชายแปลกหน้าพูดขึ้นว่า “รั่วซี ข้าเอง”  รั่วซีตกใจมาก ลุกพรวดขึ้น พอเห็นว่า
คนที่มาตบไหล่คือชาวมองโกลไว้หนวดเครารุงรัง ก็ทำท่าจะอ้าปากร้องให้ช่วย ชายมองโกลรีบเอามือปิดปาก
รั่วซีไว้ รั่วซีทำท่าจะดิ้น แล้วรู้สึกกะทันหันว่าชาวมองโกลตรงหน้าดูคุ้นๆ ตาชอบกล พอดูดีๆ ปรากฏว่าคือ
องค์ชายสิบสี่! รั่วซีตกใจมาก ร้องโพล่งว่าเจ้าจะบ้าหรือ นี่ขัดราชโองการโผล่มาแถวนี้ทำไมกันหา!
       เรื่องของเรื่องคือ องค์ชายรัชทายาทฉวยโอกาสที่คังซีกับองค์ชายแปดไม่อยู่เมืองหลวงวางแผนเล่นงาน
องค์ชายแปดด้วยการให้พวกขุนนางที่ตัวเองลากมาเป็นพวกทำการเปลี่ยนตำแหน่งเอาขุนนางที่เป็นพวกของ
องค์ชายแปดออก แล้วเอาขุนนางที่เป็นพวกเขาเข้ามาเสียบแทน สิบสี่จึงต้องเสี่ยงปลอมตัวมาหาองค์ชายแปด
เพื่อปรึกษาวางแผนรับมือ แล้วมาขอหลบในกระโจมของรั่วซี รั่วซีฟังแล้วก็นึกดีใจว่าสิบสี่ต้องไว้ใจนางมาก
ถึงได้เลือกขอหลบในกระโจมของนาง รั่วซีตกลงรับปากช่วยสิบสี่ ช่วยคิดหาวิธีให้สิบสี่นัดเจอและคุยกับ
องค์ชายแปดได้ ตอนแรกรั่วซีแกล้งพูดว่ามีวิธีให้สิบสี่นัดเจอกับองค์ชายแปดดีๆ อยู่วิธีหนึ่งที่รับรองว่าไม่มีใคร
จับได้ คือให้สิบสี่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงออกไปนัดพบกับองค์ชายแปด  สิบสี่ฟังแล้วอ้าปากค้าง แล้วโล่งอก
เมื่อรั่วซีบอกว่าแค่พูดเล่น
       รั่วซีให้สิบสี่นอนพักในกระโจมกับเตรียมของกินเอาไว้ให้ระหว่างที่นางออกไปบอกเรื่องนี้กับองค์ชายแปด
เพราะสิบสี่เร่งเดินทางมาแบบไม่ได้กินไม่ได้นอน หลังจากบอกเวลาและสถานที่นัดหมายให้องค์ชายแปด
มาเจอกับสิบสี่เรียบร้อย รั่วซีก็กลับมาบอกสิบสี่  แต่ตอนสิบสี่กับองค์ชายแปดนัดเจอกัน คนขององค์ชาย
รัชทายาทไปพบเข้าพอดี จึงร้องบอกว่ามีโจรบุกเข้ามา แล้วสั่งค้นทั่วทุกกระโจมเพื่อหาตัวโจร แถมยังบอก
ด้วยว่ายิงธนูใส่โจรไปแล้ว โจรเป็นชาวมองโกลหนีเข้าไปในเขตกระโจมของมองโกลแล้ว พวกองค์ชาย
จึงตามไปค้นในเขตกระโจมมองโกล ตอนนั้นรั่วซีกำลังคุยอยู่กับหมินหมิ่นที่แวะมาหาอยู่พอดี เมื่อรู้ว่าการ
นัดเจอกันขององค์ชายแปดกับสิบสี่ถูกจับได้ รั่วซีก็ตกใจมาก เป็นห่วงทั้งองค์ชายแปดและสิบสี่ จึงโกหก
หมินหมิ่นไปว่าคนรักของนางตามมาพบนางจากเมืองหลวง แล้วโดนเจอตัวเข้า ตอนนี้หนีไปซ่อนตัวอยู่ใน
เขตกระโจมมองโกล หมินหมิ่นที่เป็นเด็กสาวกำลังมีความรักจึงอยากช่วยคนที่กำลังมีความรักเหมือนกัน
ก็อาสาช่วยอย่างเต็มใจ พาไปหาดูในทุกที่ที่ซ่อนคนได้ จนได้เจอตัวสิบสี่ก่อนทหารขององค์ชายรัชทายาท
      รั่วซีรีบถามสิบสี่ว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า พอสิบสี่บอกว่าเปล่า ก็โล่งอก แต่เมื่อสิบสี่เสริมว่าคนที่
โดนธนูคือพี่แปด เพราะเอาตัวมารับธนูแทนเขา รั่วซีก็ร้องอุทาน สั่นไปทั้งตัวจนสิบสี่ต้องจับมือเอาไว้แน่น
พูดย้ำว่าพี่แปดโดนธนูแค่ตรงแขนเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไร รั่วซีจึงค่อยหายสั่นหมินหมิ่นให้สิบสี่
ซ่อนตัวในกระโจมของนาง รั่วซีก็เตี๊ยมกับสิบสี่ให้รู้ว่ารั่วซีโกหกเอาไว้ว่าสิบสี่เป็นแฟนนาง สิบสี่ก็โอเค
เมื่อแยกจากสิบสี่มาแล้ว รั่วซีก็ไปกระโจมองค์ชายแปด กระโจมองค์ชายแปดเงียบสงบ ไม่มีใครมาตรวจค้น
มีแต่ขันทีและองครักษ์คนสนิทเฝ้าอยู่หน้ากระโจม เมื่อเข้าไปในกระโจม ก็เห็นว่าองค์ชายแปดถูกยิงเข้า
ที่แขนจริง ขันทีคนสนิทกำลังทำแผลให้อยู่ รั่วซีก็เข้าไปบอกว่าตอนนี้สิบสี่หลบอยู่ในกระโจมมองโกล
หมินหมิ่นช่วยดูแลให้หลังจากทำแผลเสร็จ ขันทีก็ออกไป องค์ชายแปดขอให้รั่วซีนั่งลงข้างๆ เขา แล้ว
พูดยิ้มๆ ว่าอย่างกับฝันไปเลย เขาคาดหวังให้รั่วซีเต็มใจมานั่งข้างๆ เขาแบบนี้มานานแล้ว รั่วซีรีบเปลี่ยนเรื่อง
ถามถึงเรื่องที่ออกไปพบกับสิบสี่ และคุยกันถึงเรื่องที่องค์ชายรัชทายาทถึงกับใช้ธนูยิงกันเลย องค์ชายแปด
บอกว่าถ้าฆ่าเขาได้ก็เท่ากับกำจัดศัตรูได้ รั่วซีจึงนึกถึงจุดจบขององค์ชายแปดที่ได้รู้มา และนึกเศร้าใจจนเริ่ม
อยากทำตัวเหินห่างอีกครั้ง เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเจ็บเมื่อถึงเวลานั้น องค์ชายแปดรู้สึกได้ถึงสายตาของ
รั่วซีที่เปลี่ยนไป จึงรั้งร่างรั่วซีเข้ามากอดแน่น บอกว่าเขาไม่ชอบสายตาแบบนี้ของนางเลย มันเหมือนกับว่า
นางอยู่ห่างไกลจากเขามาก นางกลัวอะไรงั้นหรือ? มีเขาอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น!
        ตอนนั้นเอง ขันทีได้เข้ามารายงานว่า องค์ชายรัชทายาทค้นจนทั่วกระโจมไป 2-3 รอบแล้ว แต่ไม่เจอโจร
เนื่องจากชาวมองโกลไม่ชอบขี้หน้าองค์รัชทายาทมาตั้งแต่เมื่อปีก่อนที่เอาม้าซึ่งพวกเขามอบให้คังซีเป็น
ของบรรณาการไปขี่เล่น จึงยิ่งเขม่นหน้าองค์ชายรัชทายาทหนักขึ้นที่มาบอกว่าโจรเป็นชาวมองโกล แต่พอ
ค้นกระโจมแล้วกลับหาตัวไม่พบเหมือนจงใจปรักปรำกัน ตอนนี้องค์ชายรัชทายาทจึงย้อนกลับมาค้นทาง
กระโจมของเราแทน องค์ชายแปดจึงวางแผนให้ลูกน้องไปต้มน้ำชาเดือดๆ มา แล้วแกล้งทำเป็นหกรดใส่
แผลของเขาในตอนที่รัชทายาทเข้ามาหา  รั่วซีก็กลับไปกระโจมของตัวเองทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี
องค์ชายแปดได้แผลน้ำร้อนลวก พันผ้าเอาไว้โดยที่ความลับเรื่องแผลธนูไม่ถูกเปิด ส่วนสิบสี่ ผ่านไป 2-3 วัน
ก็ออกเดินทางกลับไปเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพ แต่ระหว่างที่สิบสี่ยังหลบอยู่ในกระโจมของหมินหมิ่น และ
แอบออกไปเจอองค์ชายแปดครั้งหนึ่งเพื่อคุยปรึกษากันต่อให้จบ ขากลับมา สิบสี่รู้เรื่องที่องค์ชายแปดคบกับ
รั่วซีแล้ว จึงเข้ามาคารวะถวายบังคมให้รั่วซีแบบดีใจมากที่รั่วซีจะได้มาเป็นพี่สะใภ้ของเขา และพี่แปดของเขา
จะได้สมหวังเสียทีหลังจากที่ต้องรอมาหลายปี ทำเอารั่วซีเขินจัด
         หลังจากสิบสี่กลับไปแล้ว รั่วซีก็ได้ทำการตัดสินใจเด็ดขาดอย่างหนึ่ง โดยตกลงที่จะคบกับ
องค์ชายแปด เรียกว่าช่วงนี้เป็นช่วงหวานชื่นมากๆ องค์ชายแปดช่วยสอนขี่ม้าให้รั่วซีจนเป็น สองคนก้าวหน้า
ไปถึงขั้นกอดจูบกัน องค์ชายแปดบอกว่ากลับไปเมืองหลวงเมื่อไหร่ เขาจะขอรั่วซีกับเสด็จพ่อ
         วันหนึ่ง รั่วซีไปที่กระโจมองค์ชายแปด ก็เห็นเขากำลังเขียนรายชื่อและตำแหน่งของขุนนางจำนวนหนึ่ง
ก็ชะโงกหน้าเข้าไปดู เห็นชื่อขุนนางที่คุ้นตาอยู่ลำดับสุดท้าย จึงอ่านชื่อขุนนางคนนั้งออกมา องค์ชายแปด
หันมามองหน้า พูดว่า เขาสงสัยมานานแล้วว่าทำไมรั่วซีถึงดูจะสนใจเรื่องขององค์ชายสี่เป็นพิเศษ? (ขุนนาง
คนที่ว่าถือเป็นคนขององค์ชายสี่) รั่วซีฟังแล้วสะดุ้งในใจ แก้ตัวว่าคงเป็นเพราะองค์ชายสิบสามล่ะมั้ง! เพราะ
นางสนิทกับสิบสาม เลยพลอยใส่จถึงองค์ชายสี่ไปด้วย จากนั้นนิ่งไป ก่อนจะถามว่า การที่ขุนนางคนนี้ได้รับ
แต่งตั้ง เป็นผลร้ายกับองค์ชายแปดมากไหม? องค์ชายแปดก็ยิ้ม บอกว่านี่ถ้ารั่วซีไม่ถามประโยคนี้ออกมา
คืนนี้เขามีหวังนอนไม่หลับแน่ๆ พอรั่วซีถามออกมา เขาค่อยสบายใจหน่อย ก่อนจะตอบว่า ไม่ได้เป็นผลดี
หรือร้ายอะไร แต่ถือเป็นผลดีสำหรับองค์ชายสี่ (เพราะญาติสนิทคนไหนสักคนของขุนนางคนนี้เป็นเมียน้อย
คนหนึ่งขององค์ชายสี่) แล้วพูดว่าน่าเสียดายที่ท่านพ่อของรั่วซีไม่ปล่อยน้องชายมาเป็นแม่ทัพในเมืองหลวง
บ้างเลย ไม่งั้นเขาคงสบายขึ้น ไม่ต้องแอบอิจฉาองค์ชายสี่แบบนี้ รั่วซีฟังแล้วแอบฉุนที่องค์ชายแปดเอานาง
ไปเปรียบกับเมียน้อยขององค์ชายสี่ที่มีไว้แค่เพื่อเป็นบันไดสู่อำนาจของสามี
        หลายวันต่อมา ในวันสุดท้ายของการเสด็จประพาส วันรุ่งขึ้นทั้งขบวนก็จะออกเดินทางกลับเมืองหลวง
รั่วซีพูดกับองค์ชายแปดว่า นางมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องเขา องค์ชายแปดก็บอกให้ว่ามา เรื่องไหนเขาก็
รับปากทั้งนั้น รั่วซีบอกว่า นางอยากให้องค์ชายแปดถอนตัวจากศึกชิงบัลลังก์ซะ ถ้าตกลง นางก็จะแต่งงาน
กับเขา ถ้าไม่ตกลง ก็เลิกคบกันแค่นี้ องค์ชายแปดหน้าเปลี่ยนสีทันที ถามเหตุผล รั่วซีบอก ศึกชิงบัลลังก์
มันอันตรายมาก ถ้ากลายเป็นผู้แพ้ผลลัพธ์จะเลวร้ายอย่างที่สุด องค์ชายแปดบอก ท่านแม่ของเขามีฐานะต่ำต้อย
เขาถูกพวกองค์ชายที่มีท่านแม่ศักดิ์สูงดูถูกมาตั้งแต่เด็ก เขาต้องพยายามทุ่มเทมากแค่ไหนกว่าจะได้รับ
การยอมรับในความสามารถจนเหนือกว่าองค์ชายคนอื่นๆ เขาเตรียมการเพื่อการนี้มานานมาก ทุ่มเทความ
พยายามไปตั้งเท่าไหร่ จะมาให้เขาละทิ้งไปโดยไม่ลองสู้ให้ถึงที่สุด ลองเสี่ยงให้ถึงที่สุดดูสักตั้งนั้น เขาทำไม่ได้
เขาพร้อมที่จะยอมรับผลลัพธ์ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะมากกว่าที่จะยอมละทิ้งกลางคัน ทำไมรั่วซีถึงไม่ยอมเข้าใจ
เขาบ้าง? แล้วบอกว่าตอนนี้รั่วซีคงเหนื่อยเกินไป กลับไปพักผ่อนแล้วคิดใหม่ดูดีๆ อีกทีดีกว่า  รั่วซีบอก
นางไม่ได้เหนื่อย และถ้าองค์ชายแปดไม่รับปากถอนตัว กลับเมืองหลวงไปแล้วก็ไม่ต้องไปขอนางกับ
องค์ฮ่องเต้ เพราะนางไม่มีทางรับปากแน่ องค์ชายแปดบอก หากเสด็จพ่อมีราชโองการ รั่วซีก็ขัดไม่ได้
รั่วซีบอก ถ้านางไม่ยอมแต่งเสียอย่าง ใครก็มาบังคับไม่ได้ อย่างมากก็แค่ตาย องค์ชายแปดพยายามต่อรอง
ว่าแล้วถ้าเขายอมให้รั่วซีได้เป็นฮองเฮาหากเขาได้นั่งบัลลังก์ล่ะ? รั่วซีบอก นางไม่ได้สนใจตำแหน่ง นางแค่
ไม่อยากให้องค์ชายแปดเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเท่านั้น องค์ชายแปดพูดอย่างเจ็บปวดว่าถ้ารั่วซียอมตายโดย
ไม่ยอมแต่งงานกับเขาเพราะไม่อยากให้เขาเข้าร่วมในการชิงบัลลังก์ แล้วทำไมถึงไม่ยอมที่จะตายไปพร้อมๆ
กับเขาหากเขาเป็นฝ่ายแพ้ในศึกชิงบัลลังก์เล่า? คำถามนี้ขององค์ชายแปดทำให้รั่วซีนึกได้ว่าทำไมตัวเอง
ไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อน และนิ่งไป บอกว่านางจะลองกลับไปคิดดูใหม่
         หลังกลับมาจากมองโกล รั่วซีก็พยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมตัวเองยอมเลิกคบกับองค์ชายแปด
โดยไม่ยอมที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับเขา ทั้งที่นับจากปีนี้ไป ยังมีเวลาอีกถึง 16 ปีกว่าที่องค์ชายแปดจะ
ต้องตาย? แต่ก็ให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ วันหนึ่ง ฝนตกหนัก รั่วซีที่เดินกางร่มอยู่รีบเข้าไปหลบฝนในศาลา
แล้วจึงเห็นว่ามีคนหลบฝนอยู่ก่อนแล้วสองคน คือหมิงเยว่ ภรรยาหลวงขององค์ชายสิบ กับหมิงฮุ่ย ภรรยาหลวง
ขององค์ชายแปด รั่วซีแอบเซ็งทันทีขณะที่คุกเข่าลงถวายบังคม สองพี่น้องก็แกล้งไม่อนุญาตให้รั่วซียืนขึ้น
ให้คุกเข่าอยู่แบบนั้น ตอนนั้นเอง หงว่าง ลูกชายคนเดียวขององค์ชายแปด อายุประมาณ 3-4 ขวบก็วิ่งมาหาแม่
หมิงฮุ่ยก็แกล้งพูดอวดว่าองค์ชายแปดรักลูกมากขนาดไหน (สองคนนี้ไม่รู้เรื่ององค์ชายแปดกับรั่วซี แค่แกล้งพูด
ให้รั่วซีเจ็บใจแทนรั่วหลาน) พอหงว่างได้รู้ว่ารั่วซีคือน้องสาวของรั่วหลาน เด็กก็วิ่งเข้ามาเตะรั่วซีทันที ร้องด่า
รั่วซีกับรั่วหลานว่ารังแกท่านแม่เขา รั่วซีฟังแล้วโมโห ลุกขึ้นยืนโดยไม่ฟังคำอนุญาต บอกว่าดูเหมือนพระชายา
ทั้งสองไม่มีธุระอะไร งั้นหม่อมฉันทูลลา พร้อมกับนึกในใจว่านี่ถ้าแต่งงานกับองค์ชายแปด นางมีหวังได้เจอ
สงครามประสาทกับหมิงฮุ่ยทุกวันแน่ๆ หมิงฮุ่ยร้องสั่งไม่อนุญาตให้รั่วซีไป รั่วซีหันมาบอกว่า หากคิดจะลงโทษ
นางที่ทำตัวไม่รู้ธรรมเนียม นางเป็นคนของคังซี เห็นจะต้องแจ้งไปทางฝ่ายงานของนางให้มาลงโทษนางเอง
พระชายาไม่มีสิทธิ์มาลงโทษนางตรงๆ หมิงฮุ่ยฟังแล้วสะอึกมาก เพราะรู้ดีว่ารั่วซีเป็นคนโปรดของคังซี นางจึง
ไม่กล้าไปแจ้งฝ่ายงานของรั่วซีให้ลงโทษรั่วซีเพราะเรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนนั้นเอง องค์ชายสี่กับขันทีสองคนที่
ติดตามรับใช้ก็เดินเข้าศาลามาหลบฝน ทุกคนจึงถวายบังคมองค์ชายสี่ เสร็จแล้วรั่วซีจึงพูดว่าหากไม่มีอะไรจะสั่ง
นางเห็นจะต้องขอตัว องค์ชายสี่ก็ให้ไปได้ รั่วซีเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็นึกได้ว่าลืมหยิบร่ม จึงย้อนกลับมาเอา
ล้วพูดเหน็บหมิงฮุ่ยที่ส่งลูกไปแกล้งพี่สาวของนาง และถามว่าการหลบอยู่เบื้องหลังทำตัวเป็นคนดีมันน่าภูมิใจ
มากหรือ ก่อนจะเดินจากไป
        คืนนั้น องค์ชายสี่ส่งขันทีเอายานัตถุ์มาให้ ทีแรกรั่วซีจะไม่รับ แต่ขันทีใช้วิธีวางเอาไว้แล้วรีบจากไป
เมื่ออวี้ถานกลับมาเห็นเข้า บวกกับได้ยินเสียงรั่วซีเหมือนจะเป็นหวัดนิดหน่อย จึงแตะยานัตถุ์ป้ายจมูก
ให้จามออกมา พอจมูกโล่งขึ้นจริง บวกกับอวี้ถานร้องทักว่าขวดยานัตถุ์สวยดี วาดเป็นรูปหมา รั่วซีจึงเอา
ขวดยานัตถุ์ขึ้นมาดู ปรากฏว่าบนขวดวาดรูปหมาสีขาวตัวหนึ่งกัดกับหมาสีเหลืองสองตัว แต่หมาสีขาวดู
เป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งที่ถูกรุมสองต่อหนึ่ง ก็หัวเราะว่าองค์ชายสี่นี่เห็นหน้านิ่งๆ แต่มีอารมณ์ขันร้ายเหมือนกัน
มาเปรียบพวกนางสามคนเป็นหมาสามตัวกัดกัน แล้วนี่พี่แกไปหาขวดยานัตถุ์แบบนี้มาจากไหน หลังจากที่
โดนสองพี่น้องหมิงฮุ่ยกับหมิงเยว่แกล้ง รั่วซีก็วานคนให้ไปบอกให้องค์ชายแปดช่วยมาหาหน่อย พอองค์ชายแปด
มาหา รั่วซีก็ติเขาเสียงเย็นเรื่องที่ปล่อยให้ลูกชายไปรังควานพี่สาวของนาง องค์ชายแปดฟังแล้วเคืองเหมือนกัน
บอกว่าเรื่องในบ้านเขา รั่วซีรู้จริงแค่ไหนกัน รั่วซีบอก รู้จริงแค่ไหน ให้เขาไปถามลูกเขาและไปสืบดูเอาเองให้ดีๆ
องค์ชายแปดพูดอย่างอ่อนใจว่านานๆ จะได้เจอกันทั้งที ทำไมถึงต้องมาหาเรื่องทะเลาะกับเขาด้วย ดีกันเหมือน
เมื่อตอนอยู่ที่มองโกลไม่ได้หรือ? แล้วรั่วซีตัดสินใจได้หรือยังกับเรื่องของเรา เมื่อรั่วซีตอบว่ายังตัดสินใจไม่ได้
องค์ชายแปดก็ถามว่าทำไมรั่วซีถึงไม่มั่นใจในตัวเขามากขนาดนี้ หรือว่ามีเหตุผลอื่นถึงได้ไม่ตกลงแต่งงานกับเขา?
(องค์ชายแปดระแวงความสัมพันธ์ของรั่วซีกับองค์ชายสี่มาตั้งแต่แรกแล้ว) รั่วซีก็ตัดบทโดยไม่ตอบและบอกให้
องค์ชายแปดควรจะกลับไปได้แล้ว

366
        วันหนึ่ง คังซีอารมณ์ดี จึงให้พวกองค์ชายมาเดินเล่นเป็นเพื่อน ระหว่างช่วงที่คังซีขอตัวไปครู่หนึ่ง
มีหมาสีขาวขนาดเล็กตัวหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาในกลุ่มองค์ชาย แล้วไปกัดดึงชายเสื้อขององค์ชายสี่ เนื่องจาก
องค์ชายสี่เป็นคนรักหมา จึงแค่มองยิ้มๆ พวกองค์ชายคนอื่นๆ เห็นหมากัดชายเสื้อองค์ชายสี่ก็พากันหัวเราะขำ
รั่วซีเห็นหมาสีขาวตัวนั้นก็นึกถึงหมาบนขวดยานัตถุ์ทันที เมื่อนางกำนัลเด็กสาวรุ่นที่เป็นคนเลี้ยงหมามาเจอ
หมากำลังทึ้งชายเสื้อองค์ชายสี่ก็หน้าซีด รั่วซีจึงเข้าไปช่วยขอโทษองค์ชายสี่แล้วจะอุ้มหมากลับมา
องค์ชายสี่ก้มลงอุ้มหมาขึ้นมาส่งให้ สายตายิ้มๆ บอกว่านึกถึงหมาสีขาวบนขวดยานัตถุ์เหมือนกัน รั่วซีก็ขำ
แกล้งทำเสียง “หึ” แบบเคืองนิดๆ แล้วรับหมามาให้เด็กนางกำนัล ปรากฏว่าอาการนี้ของรั่วซีกับองค์ชายสี่
ตกอยู่ในสายตาขององค์ชายแปด สิบสี่ และสิบสาม องค์ชายแปดถึงกับมองมาด้วยสายตาเย็นชา  สิบสี่รู้เรื่อง
ขององค์ชายแปดกับรั่วซี ก็จ้องรอโอกาสที่เจอรั่วซีตามลำพัง ลากมาถามให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วที่รั่วซี
ส่งสายตากับองค์ชายสี่นั่นหมายความว่าไง! รั่วซีสวนกลับว่า ถึงนายจะมีเมียแล้วสี่คน แต่นายเข้าใจเรื่อง
จิตใจระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายมากแค่ไหนกัน? (องค์ชายพวกนี้มีเมียเยอะแต่ยังไม่รู้จักความรักกันแทบทั้งนั้น)
สิบสี่ขู่รั่วซีว่าอย่าทรยศให้พี่แปดของเขาต้องเสียใจเด็ดขาด ไม่งั้นล่ะก็!  หลังจากนั้นองค์ชายแปดบอกเรื่อง
ของเขากับรั่วซีให้รั่วหลานรู้ แล้วขอให้รั่วหลานช่วยมาเกลี้ยกล่อมรั่วซีให้เขา แน่นอนว่าไม่สำเร็จ รั่วซีไม่ฟัง
        ในวันที่หิมะแรกของฤดูหนาวตกติดต่อกันมาสองวันโดยไม่หยุด รั่วซีได้มาฟังคำตอบจากองค์ชายแปด
เป็นครั้งสุดท้ายว่าจะยอมทำตามเงื่อนไขละทิ้งการเข้าชิงบัลลังก์หรือไม่ องค์ชายแปดเงียบไม่ตอบ เท่ากับปฏิเสธ
ทั้งที่รั่วซีรู้คำตอบนี้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ก็ยังอดปวดใจไม่ได้ และบอกคำพูดทิ้งท้ายว่า ให้องค์ชายแปดระวัง
องค์ชายสี่ให้ดี กับบอกชื่อขุนนางคนสนิทขององค์ชายสี่ 6-7 ชื่อที่จำมาจากละครทีวีเรื่อง “ยงเจิ้งหวางฉาว”
องค์ชายแปดฟังแล้วงงมาก เพราะตอนนี้คนพวกนั้นยังไม่มีบทบาทอะไรเลย จะให้เขาระวังไปทำไม? รั่วซีบอก
ฟังที่นางเตือนเอาไว้ก็แล้วกัน จากนั้นบอกว่านับแต่นี้เราไม่เกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันอีก แล้ววิ่งหนีจากไป รั่วซีวิ่ง
แบบไม่มองทิศทางจนสะดุดล้มลงคว่ำหน้านิ่งกับพื้นหิมะ สิบสามกับองค์ชายสี่เดินผ่านมาเห็น ก็สงสัยว่านี่ใคร
สิบสามพยุงรั่วซีขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นรั่วซีก็ตกใจ ถามว่าเป็นอะไรไป? รั่วซีขาแพลง เดินไม่ไหว สิบสามจึงจะ
แบกไปส่ง แต่องค์ชายสี่พูดขัดว่าให้สิบสามไปหาเก้าอี้หามกับคนหามมารับรั่วซีไปดีกว่า มีอย่างที่ไหนให้
องค์ชายแบกนางกำนัล ใครเขามาเห็นเข้าจะว่ายังไง สิบสามก็ตกลง วิ่งไปตามคนเอาเก้าอี้หามมารับรั่วซี
แล้วให้องค์ชายสี่พยุงรั่วซีเอาไว้แทน พอสิบสามลับตาไปแล้ว องค์ชายสี่ก็พูดเสียดสีหน้าเฉยว่าถ้ารั่วซีอยาก
จะทำร้ายตัวเองนัก ก็ไปทำที่ห้องของตัวเองซะจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีใครมาเห็นเอาไปพูดกันสนุกปาก!
พักหนึ่งกว่าสมองที่เบลอของรั่วซีจะรู้เรื่องว่าองค์ชายสี่พูดอะไร และเดือดมาก สะบัดแขนจะให้หลุดจากมืออีกฝ่าย
แต่ไม่หลุด องค์ชายสี่พูดว่า อยากนั่งบนพื้นหิมะหรอกหรือ? แล้วปล่อยมือแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวจนรั่วซีเสียหลักล้มลง
นั่งกับพื้นหิมะทันที รั่วซีโมโหเปรี้ยง ไม่สนใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือว่าที่ยงเจิ้ง คว้าหิมะมากำปาใส่เต็มแรงไป
สองที แต่องค์ชายสี่เบี่ยงตัวหลบได้สบายๆ แล้วพูดแดกดันต่อว่า ทีเมื่อกี้เห็นนอนกับพื้นหิมะนิ่งไม่ขยับได้
ตอนนี้ก็แค่ให้นั่งบนพื้นหิมะครู่เดียวเอง จะโมโหอะไรกันนักหนา รั่วซีถลึงตาใส่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
องค์ชายสี่แค่นยิ้มเย็นชา บอกดูสารรูปเจ้าตอนนี้สิ ดูไม่ได้เลย แล้วยังจะหวังให้ใครเขามาสงสารอีกอย่างนั้นรึ?
สิบสามกลับมาถึงตอนนี้พอดี เห็นรั่วซีนั่งอยู่กับพื้นก็งง ถามว่าทำไมถึงมานั่งกับพื้นแบบนี้ล่ะ? แล้วมองหน้าพี่ชาย
องค์ชายสี่วางหน้าเฉยไม่พูดอะไร เมื่อขันทีสองคนพยุงรั่วซีขึ้นนั่งบนเก้าอี้หาม และพาเดินจากไป ตอนเดิน
ผ่านองค์ชายสี่ รั่วซีเอาหิมะที่แอบกำไว้ในมือปาใส่ชายเสื้ออีกฝ่ายเต็มแรงทันทีกะไม่ให้หลบได้ ความจริง
อยากปาใส่หน้ามากกว่า แต่ไม่กล้าหาญชาญชัยขนาดนั้น และปาถูกชายเสื้อก็ยังดี ค่อยหายโมโหหน่อย
สิบสามมองชายเสื้อพี่ชายที่เปื้อนหิมะแล้วหัวเราะก๊าก องค์ชายสี่ก็เลิกชายเสื้อตัวเองขึ้นมาดูยิ้มๆ
          เนื่องจากขาแพลง รั่วซีจึงลางาน ขณะเดียวกันก็ได้รู้ข่าวว่าองค์ชายแปดล้มป่วย ไม่ได้มาเข้าเฝ้าคังซี
รั่วซีจึงนั่งเหม่ออยู่ในห้องว่าองค์ชายแปดล้มป่วยเพราะยืนตากหิมะในวันนั้นหรือเปล่า ระหว่างที่นั่งเหม่อ ประตู
ห้องก็ถูกถีบเปิดออกโดยแรง สิบสี่เดินหน้าเครียดเข้ามา คว้าแขนรั่วซีมาบีบอย่างแรง ถามว่า เกิดอะไรขึ้น
เพราะอะไรกัน? รั่วซีมองหน้าสิบสี่ด้วยสายตาเรียบเฉย บอกให้ปล่อยมือ สิบสี่ยิ้มหยันว่าช่างเฉยสนิทดีจังนะ
ไม่รู้จักปวดใจบ้างเลยหรือไง? แล้วเพิ่มแรงบีบจนรั่วซีร้องว่าเจ็บ สิบสี่ตะคอกว่าอ้อ รู้จักเจ็บเป็นเหมือนกันหรือ?
ทำแบบนี้แล้วจะได้รู้ซึ้งขึ้นบ้างไหมว่าคนอื่นเขารู้สึกเจ็บมากแค่ไหน? ถ้าต้องได้รับมาแล้วเสียไป สู้ไม่ต้อง
ได้รับเสียตั้งแต่แรกจะดีกว่า ถ้าคิดจะปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้วมารับปากทำไม? เจ้าจงใจจะปั่นหัวใครงั้นรึ?
ใจร้ายสิ้นดี!  รั่วซีร้องไห้ ตะคอกสั่งให้ปล่อยมือ บอกว่าเรื่องของนาง เขาไม่มีสิทธิ์มายุ่ง สิบสี่ก็ตวาดว่า
มาดูกันว่าเขามีสิทธิ์ยุ่งหรือไม่มีสิทธิ์ ระหว่างที่ทั้งสองตะคอกใส่กัน เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นว่า “น้องสิบสี่ !”
ทั้งสองมองไป ก็เห็นสิบสามมีสีหน้าตกใจ กับองค์ชายสี่ที่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ สิบสามแกล้งพูดแซวว่า
ดูเหมือนพวกเขาจะมาผิดเวลาซะแล้ว สิบสี่กำลังแสดงงิ้วบทไหนอยู่หรือไง? แล้วเดินเข้ามาใกล้  สิบสี่
คลายแรงที่บีบแขนลง แต่ไม่ยอมปล่อย สิบสามก็ยิ้มตอบสีหน้าเย็นชาของน้องชาย ตามองมือสิบสี่ที่จับแขน
รั่วซีอยู่ แล้วเบนมามองหน้าสิบสี่อีกครั้งด้วยสายตามีเลศนัย องค์ชายสี่ก้าวเข้ามาช้าๆ พูดเนิบๆ ว่าเขากับ
สิบสามเพิ่งไปเยี่ยมท่านแม่มา ถ้าสิบสี่ว่างก็แวะไปเยี่ยมท่านแม่เสียบ้าง สิบสี่จึงค่อยปล่อยมือจากแขนรั่วซี
เขารู้ว่าพี่ชายเขากับสิบสามเข้าใจผิดเรื่องเขากับรั่วซี จึงจงใจแกล้งก้มหน้าลงมาจนชิดหน้ารั่วซี พูดกลั้ว
หัวเราะว่า เอาไว้วันหลังว่างๆ เขาค่อยมาหาใหม่ จบคำก็ถวายบังคมให้สิบสามกับองค์ชายสี่ด้วยสีหน้ายิ้มๆ
ก่อนจะเดินจากไป สิบสามถามว่านี่เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงถึงได้มาเล่นงิ้วบทนี้กับสิบสี่ได้เนี่ย รั่วซีก็ก้มหน้านิ่ง
ไม่ยอมพูด สิบสามจึงบอก เอาเถอะๆ ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ถ้าสิบสี่มาหาเรื่องอีกก็บอกเขาได้ เขาพอจะช่วย
จัดการให้ได้ หรือถ้าไงก็ไปฟ้องพี่เขยเจ้าได้ เพราะสิบสี่เชื่อฟังองค์ชายแปดมาก รั่วซีได้แต่ยิ้มแหย ไม่กล้า
บอกว่าสิบสี่มาโวยแทนองค์ชายแปดนั่นแหละ และบอกแค่ว่าช่างเถอะ ผ่านไปสักพักเดี๋ยวสิบสี่ก็เลิกใส่ใจ
เรื่องนี้ไปเอง จากนั้นบอกขอบคุณสิบสามที่แวะมาเยี่ยมและที่ช่วยพามาส่งครั้งก่อน องค์ชายสี่ถามว่าขาดีขึ้น
บ้างไหม รั่วซีบอก หมอหลวงพักรักษาตัวสักพักก็จะหายดีได้ องค์ชายสี่ก็พยักหน้า พูดกับสิบสามว่า ไปกันเถอะ
รั่วซีนึกอะไรขึ้นได้กะทันหัน จึงรีบเรียกสิบสามเอาไว้ พอสิบสามหันมามองหน้าเป็นเชิงถาม รั่วซีก็ลังเล
องค์ชายสี่เข้าใจว่าต้องการพูดกันตามลำพัง จึงบอกขอตัว สิบสามรีบคว้าแขนพี่ชาย บอกรั่วซีว่าเขาไม่มีอะไร
ที่ต้องปิดบังพี่สี่หรอกนะ รั่วซีก็บอก เรื่องที่จะพูดไม่ใช่ว่าให้องค์ชายสี่ได้ยินไม่ได้ เพียงแต่กำลังนึกเรียบเรียง
ว่าจะพูดอะไรดี จากนั้นเชิญทั้งสิบสามกับองค์ชายสี่นั่งลงก่อน ก่อนจะเกริ่นว่า ไปมองโกลครั้งนี้ นางได้เจอ
องค์หญิงหมินหมิ่นด้วย สิบสามทำหน้าตกใจทันที เมื่อรั่วซีพูดต่อว่า สิบสามคิดยังไงกับหมินหมิ่น สิบสามก็
ลุกพรวดขึ้นยืน ทำท่าจะขอตัว องค์ชายสี่มองหน้ารั่วซี แล้วหันมามองหน้าสิบสามยิ้มๆ ก่อนจะคว้าแขน
สิบสามไว้ไม่ให้หนี พูดกลั้วหัวเราะว่าจะรีบไปไหนกัน ฟังให้จบก่อนก็ได้ สิบสามแทบเต้นผาง ว่าทำไมงิ้ว
มันเปลี่ยนบทเร็วอย่างนี้ เมื่อกี้ยังเป็นเรื่องของรั่วซีกับสิบสี่อยู่เลย ไหงแป๊บเดียวกลายมาเป็นเรื่องของเขา
กับหมินหมิ่นซะแล้ว  รั่วซีหัวเราะ ถามตรงๆ ว่าสิบสามคิดยังไงกับหมินหมิ่น? ส่วนหมินหมิ่นน่ะชอบสิบสาม
สิบสามจึงบอกออกไปตามตรงว่าหมินหมิ่นไม่ใช่สเปคเขา ถ้าไม่โดนบังคับนี่เขาไม่มีทางแต่งด้วยแน่นอน
รั่วซีฟังแล้วได้แต่ถอนใจ นึกสงสารหมินหมิ่นอยู่ในใจ

366
          ย่างเข้าปีใหม่ ในวันที่องค์ชายแปดจะส่งจดหมายมาให้เป็นประจำทุกปี รั่วซีเอาจดหมายที่องค์ชายแปด
ให้มาก่อนหน้านี้ทั้งสามฉบับห่อผ้าเอาไว้รวมกัน จากนั้นเขียนจดหมายถึงองค์ชายสี่ เนื้อหาบอกว่าขอคืนของ
ชาตินี้นางไม่อยากแต่งงานกับใคร อยากทำงานจนเกษียณ แล้วกลับบ้านไปทำตัวเป็นลูกกตัญญูอยู่ปรนนิบัติ
พ่อจนแก่ตายมากกว่า จากนั้นเอาใส่ซองพร้อมกับจี้ห้อยคอที่องค์ชายสี่ให้มา แล้วนั่งรอคนขององค์ชายทั้งสอง
มาเยือน  คนขององค์ชายแปดมาถึงก่อน พร้อมด้วยจดหมายฉบับใหม่ รั่วซีแก้ห่อผ้า เอาจดหมายฉบับใหม่ใส่
รวมลงไปโดยไม่เปิดอ่าน แล้ววานคนส่งของเอากลับไปให้องค์ชายแปด จากนั้นเมื่อคนขององค์ชายสี่เอาของ
มาให้ คือปิ่นหยกในกล่อง รั่วซีก็เอาปิ่นหยกออกมาใส่รวมลงในซองที่ใส่จดหมายกับจี้ห้อยคอ ปิดซองเรียบร้อย
แล้ววานคนส่งของเอากลับไปให้องค์ชายสี่ เป็นอันสะบั้นสัมพันธ์กับองค์ชายทั้งสอง 
         วันหนึ่งคังซีก็จะเสด็จประพาสภูเขาอู่ถายซาน พวกองค์ชายทั้งหลายที่รั่วซีสนิทด้วยไปกันครบครัน
รั่วซีจึงกะอ้างเรื่องขายังไม่หายดีโดดงานนี้เต็มที่ และได้รับอนุญาตให้โดดได้  หลังกลับมาจากเที่ยวอู่ถายซาน
แววตาขององค์ชายแปดเวลาสบตารั่วซีดูสงบลงมาก เหมือนเริ่มจะทำใจได้แล้ว วันหนึ่ง ระหว่างที่เดินอยู่
รั่วซีหันมาเห็นองค์ชายแปด แล้วหลบไม่ทัน จึงได้แต่ถวายบังคม องค์ชายแปดถามว่า ชื่อที่วันก่อนรั่วซีเคยบอก
ให้ระวังนั่น หมายความว่ายังไง เพราะบางคนเขาไม่รู้จัก พร้อมกับยกตัวอย่างชื่อที่เขาไม่รู้จัก รั่วซีฟังแล้วงง
ถามว่าในคนสนิทขององค์ชายสี่มีคนขาเป๋ข้างหนึ่งไหม? องค์ชายแปดบอก ไม่มี แล้วก็มีคนหนึ่ง รั่วซีบอกว่า
ชื่อเถียนจิ้งเหวิน แต่เขารู้จักแต่เถียนเหวินจิ้ง ความคิดแรกของรั่วซีคือ เธอถูกละครทีวีหลอกเข้าให้แล้ว แถมยัง
ดันจำชื่อตัวละครผิดด้วย เลยกลบเกลื่อนไปว่า เออๆ เอาเท่าที่รู้จักนั่นแหละ ระวังๆ ไปเหอะ จากนั้นรีบขอตัว
แล้วมานึกด่าทั้งละครทีวีและความจำตัวเองยกใหญ่ที่ดันจำชื่อคนผิด
          เวลาผ่านไปถึงฤดูร้อน รั่วซีมาเดินเที่ยวที่ริมสระบัวเล่น แล้วเจอองค์ชายสี่ใส่ชุดเขียวโผล่มาจาก
ใต้ต้นหลิว (ต้นหลิวใบจะทิ้งตัวลงเป็นเส้นเหมือนม่านสายฝนสีเขียวปกคลุมพื้น) รั่วซีรีบคุกเข่าลงถวายบังคม
ออกจะเกร็งๆ อยู่ เพราะตั้งแต่คืนของไปให้ ก็ไม่ได้อยู่ตามลำพังกับองค์ชายสี่เลย เพิ่งจะครั้งนี้ครั้งแรก
องค์ชายสี่บอกให้ลุกขึ้นได้ แล้วเดินเข้ามาแถวๆ ใต้สะพานโค้งข้ามสระ รั่วซีขออนุญาตขอตัว แต่องค์ชายสี่
ทำเหมือนไม่ได้ยิน (ก็คือไม่อนุญาตให้ขอตัวหนีไปนั่นแหละ) แล้วเอาเรือออกมาจากใต้สะพาน รั่วซีถามว่า
รู้ได้ยังไงน่ะว่าใต้สะพานมีเรือ องค์ชายสี่บอก ตอนเขาอายุสิบสี่ เสด็จพ่อสั่งให้ทำเรือลำนี้เอาไว้พายเล่นใน
สระนี่ พูดจบก็ขึ้นไปนั่ง แล้วทำมือสั่งให้รั่วซีลงมานั่งในเรือด้วย รั่วซีถามว่าแน่ใจนะว่าเรือมันยังใช้งานได้อยู่
องค์ชายสี่ไม่ตอบ รอให้รั่วซีขึ้นมานั่งด้วยอยู่เงียบๆ รั่วซีอยากเผ่นหนี แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง เลยยืนลังเลว่า
เอาไงดี องค์ชายสี่ก็ทิ้งตัวลงนอนในเรือ บอก ตัดสินใจขึ้นมานั่งได้เมื่อไหร่ก็เรียกปลุกด้วยแล้วกัน รั่วซี
หมดทางเลือก ได้แต่ยอมลงไปนั่งในเรือด้วย  องค์ชายสี่พายเรือฝ่าดงใบบัวออกไปอยู่กลางสระ แล้วทิ้งตัว
ลงนอนใต้ร่มใบบัว (ใบบัวของจีนจะชูโผล่ขึ้นพ้นน้ำสูงประมาณ 1 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางของใบเกือบ
1 เมตร) ทีแรกรั่วซีเกร็งมาก แต่พอเห็นอีกฝ่ายนอนเหมือนหลับไปแล้ว ส่วนตัวนางก็ไม่มีอะไรทำ เลยเด็ดใบบัว
มาแปะหน้าหนึ่งใบแล้วทิ้งตัวลงนอนอีกปลายหนึ่งของเรือ ให้หัวอยู่ใต้ร่มใบบัวบ้าง  ตอนกำลังเคลิ้มจะหลับ
เรือก็ไหวเอนจนรั่วซีตกใจ เอาใบบัวออกลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าองค์ชายสี่เปลี่ยนตำแหน่งมานั่งอยู่ข้างขานาง
อยู่ชิดจนถ้านางลุกขึ้นนั่ง หน้าของสองคนจะอยู่กันใกล้มาก รั่วซีจึงไม่กล้าลุก แล้วองค์ชายสี่ก็หันมามองหน้า
รั่วซีด้วยสายตาอ่อนโยนมาก จ้องเอาๆ จนรั่วซีตีหน้าไม่ถูก เอาใบบัวปิดหน้า ร้องว่าห้ามมามองหน้ากันด้วย
สายตาแบบนั้นนะ องค์ชายสี่ยื่นมือมาจะเอาใบบัวออก รั่วซีปัดมือ ก็โดนคว้ามือไว้ รั่วซีบอกให้ปล่อยมือ
องค์ชายสี่บอก งั้นก็เอาใบบัวออก รั่วซีบอกรับปากก่อนสิว่าถ้าเอาใบบัวออกแล้วจะไม่มองหน้านางด้วยสายตา
แบบนั้น องค์ชายสี่บอก ก็ได้ รั่วซีถึงค่อยยอมเอาใบบัวออกจากหน้า องค์ชายสี่ก็พายเรือกลับเข้าฝั่ง  รั่วซี
ถามว่าท่านมาที่นี่บ่อยๆ หรือ? องค์ชายสี่บอก นานๆ ครั้ง และมาตรวจสอบอยู่ทุกปีว่าเรือยังใช้งานได้ดีอยู่
หรือเปล่า รั่วซีถามว่าถ้าชอบที่นี่แล้วทำไมไม่มาบ่อยๆ ล่ะ? องค์ชายสี่บอก ทิวทัศน์สงบแบบนี้ มานานๆ ครั้ง
จะช่วยให้ใจสงบ มาบ่อยเกินไปจะหลงใหลมันจนกัดกร่อนปณิธานหมด! รั่วซีก็ถอนใจว่าคนคนนี้คือยงเจิ้งจริงๆ

366
        เวียนมาบรรจบครบอีกปี คังซีจะเสด็จประพาสมองโกลอีกแล้ว ปีนี้รั่วซีอายุ 19 องค์ชายที่ตามเสด็จ
ไปในครั้งนี้ก็มีรัชทายาท องค์ชายสี่ แปด เก้า สิบสาม และสิบสี่ รั่วซีเห็นรายชื่อองค์ชายแล้วนึกอยาก
โดดทันที แต่โดนหัวหน้าขันทีดักคอว่าไปอู่ถายซานหนก่อน รั่วซีโดดไปทีแล้ว หนนี้อย่าหวังเลยว่าจะโดดได้
รั่วซีจึงจำใจต้องเก็บเสื้อผ้าเตรียมตามเสด็จอย่างหมดทางเลือกหนนี้ หมินหมิ่นก็มาด้วย รั่วซีจึงไปดักคุยกับสิบสี่
ปรึกษาว่าถ้าเจอหมินหมิ่นแล้วจะพูดแก้ตัวเรื่องปีก่อนกันยังไงดี สิบสี่บอกก็บอกไปตามตรงสิ ไม่ก็แต่งเรื่อง
โกหกซ้อนซะ รั่วซีถนัดอยู่แล้วนี่ เมื่อหมินหมิ่นเจอตัวรั่วซี ก็จับมาถามถึงคำตอบของสิบสาม เมื่อรู้ว่าสิบสาม
บอกว่าไม่ชอบตน หมินหมิ่นก็เสียใจมาก คว้าม้าขี่ไปหาสิบสามเพื่อจะถามทันทีว่าทำไมถึงไม่ชอบนาง รั่วซี
ตกใจ รีบขี่ม้าตามไป แล้วเมื่อเห็นสิบสามเดินอยู่กับสิบสี่ก็ยิ่งหน้าซีด ระหว่างที่หมินหมิ่นถาม ก็หันไปเห็น
คนที่สิบสามเรียกว่า “น้องสิบสี่” และตาค้าง จำได้ว่าคือคนที่รั่วซีบอกว่าเป็นแฟนเมื่อปีก่อน จึงถามรั่วซี
ต่อหน้าสององค์ชายว่า สิบสี่คือคนรักของรั่วซีหรือเปล่า? รั่วซีส่ายหน้า หมินหมิ่นก็ร้องทันทีว่า เจ้าโกหกข้า!
จากนั้นชี้มาที่รั่วซี ถามสิบสามว่า สิบสามสนิทกับรั่วซีมากใช่ไหม? สิบสามพยักหน้า หมินหมิ่นถามต่อว่า
แล้วสิบสามรู้ไหมว่ารั่วซีมาหลอกนางเพื่อขอให้ช่วยซ่อนตัวสิบสี่เอาไว้? สิบสามมองหน้าสิบสี่ แล้วบอกว่า
เขาไม่รู้ หมินหมิ่นฟังแล้วได้ข้อสรุปทันทีว่า รั่วซีโกหกทั้งสิบสามและนางที่ต่างก็เป็นเพื่อนของรั่วซี รั่วซี
ขอร้องให้หมินหมิ่นยกโทษให้ หมินหมิ่นไม่ยอม บอกว่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกฮ่องเต้ สิบสี่รีบก้าวออกมาพูดว่า
มีเรื่องอะไรให้มาลงที่เขาสิ เขาเป็นคนผิด เขาจะรับผิดชอบเอง สิบสามก็ก้าวออกไปขวางหมินหมิ่น พูดว่า
มีเรื่องใหญ่โตอะไรหรือถึงกับต้องไปบอกเสด็จพ่อเขา หมินหมิ่นชี้มาที่รั่วซี บอกว่ารั่วซีหลอกใช้นางช่วย
องค์ชายสิบสี่ทำเรื่องลับๆ ล่อๆ ที่เปิดเผยไม่ได้ สิบสามมองหน้าสิบสี่กับรั่วซี แล้วบอกว่า เขารู้จักรั่วซีดี
รั่วซีไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ หมินหมิ่นฟังแล้วโมโหจี๊ด เล่าเรื่องเมื่อปีก่อนให้สิบสามฟัง สิบสามฟังจบก็หันมา
มองหน้าสิบสี่ แล้วบอกว่า รั่วซีกับสิบสี่ก็เล่นกันมาด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เขาจะปลอมตัวมาหารั่วซีก็ไม่ใช่
เรื่องแปลก หมินหมิ่นยิ่งโมโหสุดขีด บอกว่าทำไมสิบสามถึงปกป้องรั่วซีขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นนางล่ะ จะพูด
ปกป้องแบบนี้ไหม? สิบสามมองหน้ารั่วซี รั่วซีรีบร้องห้ามว่า “องค์ชายสิบสาม!” แต่ช้าไป สิบสามพูดออก
เสียก่อนว่า เขาคบกับรั่วซีมาหลายปีแล้ว รั่วซีเป็นคนแบบไหน ตัวเขารู้ดี! เท่านั้นแหละ ลมเพชรหึงของ
หมินหมิ่นก็ระเบิดตูม แค่นหัวเราะเสียงเย็น ขึ้นขี่ม้าควบตรงเข้าไปหาคังซีทันที สิบสาม สิบสี่ กับรั่วซี
รีบขึ้นขี่ม้าควบตามไป สิบสี่บอกรั่วซีว่าอีกเดี๋ยวให้โยนความผิดทั้งหมดมาที่เขา เขาเป็นองค์ชาย ต่อให้
ถูกลงโทษยังไงก็ไม่ถึงตายอยู่แล้ว แต่รั่วซีเงียบ ไม่พูดอะไร สิบสามรีบร้องขอให้หมินหมิ่นยั้งมือไว้ไมตรี
เขาจะขอบคุณอย่างมาก หมินหมิ่นหันมามอง เห็นสิบสามในชุดขี่ม้าสีดำ สะพายธนู อย่างเท่แถมยังมองมา
ด้วยสายตาขอร้อง ก็นิ่งตะลึง จากที่คิดจะฟ้อง ก็เปลี่ยนเป็นขออนุญาตคังซีแข่งขี่ม้ากับรั่วซี แล้วบอกว่า
นางจะให้โอกาสก็แล้วกัน ถ้ารั่วซีชนะ นางจะไม่บอกเรื่องนี้กับคังซี รั่วซีตกลง ส่วนสิบสี่แดกดันหมินหมิ่นว่า
ถ้าให้โอกาสจริง ทำไมไม่มาขี่ม้าแข่งกับเขาล่ะ ไปแข่งกับรั่วซีที่เพิ่งหัดขี่ม้าได้แค่ไม่นานทำไม แต่หมินหมิ่น
ไม่สนใจ การแข่งม้าเริ่มขึ้น แน่นอนว่าหมินหมิ่นควบม้าได้เร็วกว่าอยู่แล้ว รั่วซีตัดสินใจทิ้งแส้ม้า ดึงปิ่นปักผม
ออกมาแทงใส่ก้นม้าทันที ม้าร้องด้วยความเจ็บ แล้ววิ่งตะบึงแซงม้าของหมินหมิ่นไปจนชนะขาดลอย แต่ดัน
วิ่งเลยเส้นชัยไปแล้วไม่ยอมหยุด จนสิบสี่ต้องขี่ม้านำทหารองครักษ์ไปช่วย ขณะที่รั่วซีในตอนนี้ขี่ม้าเก่งกว่า
เมื่อก่อนแล้ว จึงจับบังเหียนแน่น พยายามพยุงตัวไม่ให้ตกลงจากหลังม้า รู้ว่าเดี๋ยวก็จะมีคนมาช่วย จึงไม่มี
ความรู้สึกกลัว มีแต่ความรู้สึกตื่นเต้นสุดขีดเหมือนนั่งรถไฟเหาะ ตอนที่ทหารองครักษ์ช่วยกันหยุดม้าไว้ได้
และสิบสี่ช่วยอุ้มรั่วซีลงมา รั่วซีก็ตาลายเห็นหน้าสิบสี่เป็นสามหน้าเรียงกัน จึงหัวเราะลั่น หูอื้อไม่ได้ยินอะไร
ทั้งนั้น พูดจาไม่รู้เรื่อง จนสิบสี่ต้องพาอุ้มนั่งข้างหน้าควบกลับแบบช้าๆ อยู่พักใหญ่กว่าตาจะหายลาย
สิบสามกับหมินหมิ่นที่ชักม้าขี่ตามมาติดๆ ร้องโล่งอกกันทั้งคู่หลังจากหายตาลาย รั่วซีก็ขอลงจากม้า และ
พอเห็นม้าที่ตัวเองขี่แข่งมีเลือดหยดติ๋งลงมาถึงขา ก็หน้าซีด ทหารองครักษ์เอาปิ่นที่เช็ดสะอาดแล้วมาให้
รั่วซีบอกไม่เอาปิ่นนี้แล้ว ทิ้งๆ ไปเถอะ สิบสี่เลยรับปิ่นมา แล้วไล่ทหารไป ถามรั่วซีว่ายังขี่ม้าไหวไหม? พอ
รั่วซีบอกว่าไหว สิบสี่ก็ให้รั่วซีขี่ม้าเขากลับ ส่วนเขาจะขี่ม้าตัวที่เจ็บนี่กลับไปเองกลับไปถึงกระโจม คังซีก็ถาม
ถึงสาเหตุที่พนันแข่งม้ากัน ท่านพ่อของหมินหมิ่นรู้ว่าลูกสาวหลงรักสิบสามรีบขอคุยกับคังซีเป็นการส่วนตัว
เพื่ออธิบายเรื่องนี้ รั่วซีจึงรอดตัวไป และเพื่อเป็นการสลายพิษหึงของหมินหมิ่น สิบสามจึงเข้าไปเล่าและ
อธิบายให้หมินหมิ่นฟังว่าเขาเจอและคบกับรั่วซีแบบไหน จนหมินหมิ่นเข้าใจและหายหึง
         หลังจบเรื่อง รั่วซีกับสิบสี่ต่างคนต่างไปที่กระโจมของสิบสาม และไปเจอกันโดยบังเอิญที่หน้ากระโจม
จึงเข้าไปด้วยกัน จากนั้นเล่าเรื่องนี้ให้สิบสามฟังโดยละเอียด รั่วซีขอให้สิบสามอย่าบอกเรื่องนี้กับองค์ชายสี่
สิบสามบอกเป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีเรื่องไหนปิดบังพี่สี่ แต่รับปากว่าเรื่องนี้จะรู้กันแค่นี้ และพี่สี่ไม่ปากโป้งแน่
จากนั้นรั่วซีก็ชี้ไปที่กาน้ำชา สิบสามหยิบมารินน้ำชาให้ รั่วซีกินเสร็จ สิบสามก็ถามว่าเอาอีกไหม เมื่อรั่วซีส่ายหน้า
สิบสามก็เก็บถ้วย สิบสี่มองสองคนตาค้าง ชี้มาที่รั่วซี ถามสิบสามว่า นี่เวลาอยู่กันตามลำพัง รั่วซีเป็นแบบนี้
ทุกครั้งเลยเรอะ รั่วซีกับสิบสามมองหน้ากัน แล้วหันมามองสิบสี่ หัวเราะออกมาพร้อมกัน สิบสามบอก นี่น่ะ
อย่างเบาะๆ แล้ว ยิ่งกว่านี้ยังมีเล้ย สิบสี่ก็มองรั่วซีด้วยสายตาประหลาดก่อนจะก้มหน้าลง  รั่วซีบอกท่านพ่อ
หมินหมิ่นเข้าไปอธิบายกับฮ่องเต้แบบนี้ หนนี้มีแววว่าสิบสามอาจได้แต่งกับหมินหมิ่นนะนี่ สิบสามบอก
เขาไม่ได้ชอบหมินหมิ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องรับเป็นภรรยาก็ช่วยไม่ได้ รั่วซีฟังแล้วฉุนทันที ว่าถ้าไม่ได้ชอบหมินหมิ่น
ก็อย่าแต่งกับนางสิ สิบสามบอก เขาก็ไม่ได้อยากแต่ง ไม่ต้องแต่งได้ย่อมจะดีที่สุด แต่ถ้ามีราชโองการมา
เขาก็ต้องแต่งอยู่ดี รั่วซีจึงจากมาแบบอารมณ์เสียเพราะสงสารหมินหมิ่น ออกมาจากกระโจมของสิบสาม
รั่วซีกับสิบสี่ก็มุ่งหน้าไปกระโจมของหมินหมิ่น ระหว่างทางสิบสี่บอกว่า เขาก็ไม่อยากให้สิบสามแต่งกับ
หมินหมิ่นเหมือนกัน เพราะจะไม่เป็นผลดีต่อพี่แปด รั่วซีหันมามองหน้า บอกว่าเรื่องนี้สิบสี่ไม่จำเป็นต้อง
มาบอกนางก็ได้ สิบสี่บอก เขาก็พยายามจะคบรั่วซีแบบจริงใจอย่างที่สิบสามคบไง ถึงได้บอกเรื่องนี้ออกมา
ตามตรง แล้วทำไมรั่วซีถึงมาพูดแบบนี้ล่ะ เขาสู้สิบสามไม่ได้ตรงไหน? แล้วอย่าลืมสิว่ารั่วซีเป็นคนของ
ทางวังของพี่แปด รั่วซีบอกว่า สิบสามจะไม่เอาเรื่องพวกนี้มาบอกนางหรอก และจะไม่พูดอะไรแบบนี้กับนางด้วย
นี่แหละที่เรียกว่า “เพื่อนแท้” นี่แหละคือสิ่งที่สิบสามแตกต่างจากสิบสี่ สิบสี่ฟังแล้วก็เงียบไป เริ่มที่จะเรียนรู้
การคบใครสักคนเป็น “เพื่อน” อย่างแท้จริง โดยไม่มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งคู่ยังไปไม่ทันถึงกระโจม
ของหมินหมิ่น ก็ได้ยินเสียงหมินหมิ่นอาละวาดขว้างปาข้าวของดังมาจากในกระโจม จึงรีบเข้าไปดู ปรากฏว่า
ท่านพ่อของหมินหมิ่นจะบังคับให้นางแต่งงานกับเจ้าชายมองโกลจากคนละเผ่าคนหนึ่ง ที่ถูกราชโองการ
เรียกตัวมาในวันพรุ่งนี้ หมินหมิ่นจึงทั้งโกรธและโมโหจนอาละวาดไม่ยอมหยุด  รั่วซีอาสาเข้าไปช่วยพูด
ปลอบตามลำพัง และเล่าให้หมินหมิ่นฟังถึงเรื่องของนางกับองค์ชายแปด เล่าว่าเมียหลวงขององค์ชายแปด
นิสัยยังไง แกล้งพี่สาวนางยังไง เสี้ยมสอนลูกตัวเองยังไง แล้วถ้าหากหมินหมิ่นแต่งไปอยู่กับสิบสาม
โดยที่สิบสามก็ไม่ได้ชอบหมินหมิ่นเป็นพิเศษ หากเกิดทะเลาะกันขึ้นระหว่างพวกเมียๆ ด้วยกัน หมินหมิ่น
จะเป็นยังไง แล้วไปอยู่ที่นั่นแล้ว จะออกมาขี่ม้าแบบอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ เหมือนถูกขัง  หมดอิสรภาพ วันๆ ได้แต่
นั่งรอให้สามีมาหา หมินหมิ่นอยากมีชีวิตแบบนั้นหรือ? ท่านพ่อของหมินหมิ่นแค่ไม่อยากให้หมินหมิ่นต้องไป
มีชีวิตแบบนั้น ถึงได้จะบังคับให้แต่งงานกับคนที่เขาแน่ใจว่าจะดูแลหมินหมิ่นให้มีความสุขและให้เกียรติได้
แต่ถ้าหมินหมิ่นไม่อยากแต่ง แค่ขู่ไปว่าจะฆ่าตัวตาย ท่านพ่อก็ไม่กล้าบังคับแล้ว เพียงแต่นั่นหมายความว่า
หมินหมิ่นต้องเลิกอยากที่จะแต่งงานกับสิบสามด้วย  หมินหมิ่นฟังชีวิตการเป็นเมียของสิบสามแล้วขนหัวลุกมาก
หายอยากแต่งงานกับสิบสามแทบเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็บอกว่าถึงจะไม่ได้แต่งงานกับสิบสาม ก็อยากจะให้สิบสาม
จำนางได้ตลอดไป รั่วซีจึงปิ๊งไอเดีย บอกจะจัดการให้ แล้วบอกไอเดียของตัวเองกับหมินหมิ่น หมินหมิ่นก็ตกลง
ให้ความร่วมมือเต็มที่ หมินหมิ่นขอสาบานเป็นพี่น้องกับรั่วซี เรียกรั่วซีเป็นพี่สาว รั่วซีก็ตกลง สิ่งที่รั่วซีคิดไว้คือ
จัดเวทีให้หมินหมิ่นขึ้นไปโชว์ร้องเพลงและเต้น โดยรั่วซีเป็นคนเขียนและกำกับบท รวมถึงออกแบบเวที
จัดการออกแบบแสงสี ออกแบบฉาก เทคนิค คิดเองหมด แล้วท่านพ่อของหมินหมิ่นกับคังซีเป็นสปอนเซอร์เต็มที่
โดยนอกจากทำงานรับใช้คังซีตามปกติแล้ว รั่วซีก็ยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่สองเดือนเต็มเพื่อการนี้จนไม่มี
เวลาว่างคุยกับใครเลย ทุกคนได้แต่มองแบบงงๆ กับรอดูว่าผลงานจะออกมาเป็นยังไง
         เมื่อถึงวันสุดท้ายก่อนที่จะเดินทางกลับ ก็ได้เวลาแสดงบนเวทีของหมินหมิ่น รั่วซีจัดเวทีเป็นรูปพระจันทร์
ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากข้างเวทีด้านหนึ่ง ผ่านข้างขึ้นไปจนจดข้างแรม โดยพื้นเวทีทำให้ดูเหมือนพื้นน้ำ และ
หมินหมิ่นใส่ชุดขาวเป็นเหมือนเทพีแห่งดวงจันทร์ร่ายรำอย่างสง่างามตามเสียงดนตรีอยู่เหนือพื้นน้ำ ทุกคน
มองอย่างตกตะลึงหลังชุดแรกจบ ตามด้วยโชว์ร้องเพลง เรียกว่างานนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ภาพของหมินหมิ่นตราตรึงอยู่ในใจของเจ้าชายมองโกลคนที่ท่านพ่อหมินหมิ่นอยากให้แต่งกับหมินหมิ่น
สิบสามเองก็มองอย่างชื่นชม หลังการแสดงบนเวทีจบลง ก็เป็นงานเลี้ยงอำลา รั่วซีทำตามที่หมินหมิ่นเคยขอไว้
ขอให้สิบสามเป่าขลุ่ยส่งลา เพลงที่เป่าใช้เพลงที่หมินหมิ่นร้องบนเวทีซึ่งรั่วซีเป็นคนเลือกให้ ท้ายงานเลี้ยง
ท่านพ่อของหมินหมิ่นบอกขอมอบของขวัญให้กับรั่วซีต่อหน้าทุกคน ของขวัญนั้นคือหยกประดับ แล้วบอกว่า
ตอนที่หมินหมิ่นเกิด มีพี่สาวฝาแฝดเกิดมาด้วย ท่านพ่อหมินหมิ่นจึงสั่งทำหยกประดับเป็นคู่ให้ลูกสาว แต่หยก
ยังทำไม่ทันเสร็จ พี่สาวหมินหมิ่นก็เสียไปซะก่อน ตอนนี้เขาจะขอมอบหยกชิ้นนี้ให้แก่รั่วซี ทีแรกรั่วซีไม่กล้ารับ
แต่เมื่อท่านพ่อหมินหมิ่นยืนกรานจะให้ บวกกับคังซีอนุญาต รั่วซีจึงรับไว้
        วันรุ่งขึ้น พวกมองโกลจากไปแล้ว พวกคนงานง่วนกับการเก็บกวาด บรรยากาศหลังงานเลี้ยงมักเป็น
ความเงียบเหงา รั่วซีมายืนดูคนงานเก็บกวาดเวทีอยู่บนเนิน องค์ชายสี่ตามมายืนข้างๆ แล้วพูดว่าเอาแต่
ตัดชุดวิวาห์ให้คนอื่น หรือเจ้าคิดจะอยู่เป็นโสดแบบนี้ไปชั่วชีวิตจริงๆ? แล้วอย่ามาทำเป็นพูดหน่อยเลยว่า
อยากทำตัวเป็นลูกกตัญญู คนอย่างเจ้าไม่ใช่คนที่จะมีความคิดแบบนั้นได้! รั่วซีตอบว่า ข้าเหนื่อยมาก! หลายปี
ที่อยู่ในวัง ทุกย่างก้าวมีแต่ธรรมเนียม ทุกแห่งหนมีแต่เล่ห์กล ไม่ว่าเรื่องใดต่างต้องคิดแล้วคิดอีกไม่รู้กี่ตลบ
กว่าจะกล้าลงมือทำ ตัวนางไม่ใช่คนที่ชอบหรือชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ได้ จึงไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้อีกต่อไป
นางอยากจะออกไปจากวังหลวงให้ไกลๆ อยากอยู่ในที่ที่อยากจะทำอะไรก็ทำได้อย่างที่ใจอยากทำ อยากหัวเราะ
ก็หัวเราะออกมาดังๆ อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมาดังๆ โมโหก็ระบายออกมา ถ้าแต่งงาน มันก็แค่ย้ายจากกรง
ที่ชื่อว่าวังหลวงไปยังกรงแบบเดียวกันที่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น แถมยังจะมีชีวิตที่อิสระน้อยกว่า ย่ำแย่กว่า
มีคนเกรงใจน้อยกว่าตอนอยู่ในวังหลวงเสียอีก แล้วนางจะอยากแต่งงานไปทำไม?  องค์ชายสี่บอกว่า
ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีทางหรอกที่จะเป็นอย่างที่เจ้าพูดมานั่นได้ เจ้าในตอนนี้เป็นคนโปรดของ
เสด็จพ่อ เสด็จพ่อย่อมต้องหาทางให้เจ้าได้แต่งงานกับใครสักคนที่มองว่าดีต่อเจ้ามากที่สุด เจ้าไม่มีทาง
หนีได้พ้น ไม่มีทางที่จะได้ปลดเกษียณไปอยู่บ้านอย่างสงบเหมือนอย่างนางกำนัลคนอื่นๆ หรอก เพราะงั้น
ข้าขอเตือนให้เจ้าละทิ้งความคิดนั่นเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า!  รั่วซีตะลึง พูดว่าถ้านางไม่อยากแต่ง ใครก็มา
บังคับไม่ได้  องค์ชายสี่ถามว่าเจ้าจะทำยังไง? ผูกคอตายงั้นรึ? คิดบ้างไหมว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วทำให้ฮ่องเต้กริ้ว
โทษจะลามไปถึงพ่อแม่พี่น้องของเจ้า ทุกคนจะต้องถูกประหารเพราะเจ้ากันหมด? รั่วซีก็อึ้งไป องค์ชายสี่
พูดต่อว่า วังหลวงคือสถานที่ที่ไม่อนุญาตให้ฝันหวาน เจ้าจงรีบตื่นจากความฝันเสียจะดีกว่า แล้ววางแผน
รับมือกับอนาคตของตัวเอง ไม่อย่างนั้นหากเวลานั้นมาถึง คนที่จะแย่เพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจก็คือ
ตัวเจ้าเอง   รั่วซีพูดอย่างเจ็บใจว่านางไม่แต่งงานไม่ได้หรือไง? นางไม่แต่งงาน ก็ไม่มีใครเดือดร้อนสักหน่อย
องค์ชายสี่บอก ฟังที่เขาพูดเมื่อกี้ไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร? หรือจงใจที่จะไม่ยอมรู้เรื่อง? คนที่จะกำหนดเรื่องนี้ได้
มีแต่เสด็จพ่อเท่านั้น เจ้ามีหน้าที่แค่ทำตาม! จากนั้นถามว่า ในใจเจ้าไม่มีใครที่เจ้ายินดีจะแต่งงานด้วยเลย
งั้นหรือ? ไม่มีใครเลยหรือที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าหากแต่งงานด้วยแล้วจะไม่ใช่การพาตัวเข้าสู่กรงขัง?  รั่วซีนิ่งไป
แล้วส่ายหน้า องค์ชายสี่มองหน้ารั่วซีอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปมองข้างหน้า ไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นพักใหญ่ ตอนถวายบังคมขอตัวจากมา รั่วซีก็เอ่ยขอบคุณองค์ชายสี่อย่างจริงใจที่เตือนสตินาง

366
          หลังกลับจากมองโกล วันหนึ่ง รั่วซีเห็นสิบสามวิ่งมาท่าทางร้อนรน จึงถามว่ามีอะไรหรือ? สิบสามบอก
ว่าวันนี้พี่สี่โดนเสด็จพ่อตำหนิแรงมาก ตอนออกมาจากท้องพระโรง พี่สี่บอกขอตัวอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพัก
แล้วแยกไปอีกทาง หลังจากนั้นขันทีจึงวิ่งออกมาบอกเขาว่า เสด็จพ่อให้ตามพี่สี่กลับไปพบ แต่เขาหาตัวพี่สี่
ไม่พบ ไม่รู้ว่าหายไปไหน รั่วซีนึกขึ้นได้ว่าองค์ชายสี่อาจจะไปที่สระบัว จึงบอกให้สิบสามตามมา เมื่อไปถึงสระบัว
ดูที่ใต้สะพาน เห็นเรือหายไปจริงๆ จึงบอกว่าองค์ชายสี่อยู่ในสระนี้แหละ  ไปเอาเรือมาเสี่ยงดวงพายหาเอา
แล้วกัน สิบสามก็สั่งขันทีเอาเรือมา รั่วซีกระโดดลงเรือช่วยตะโกนเรียก พักหนึ่งก็เจอองค์ชายสี่พายเรือตรงเข้า
มาหา หลังจากรู้เรื่องจากสิบสาม องค์ชายสี่ก็มองหน้ารั่วซีแวบหนึ่ง ก่อนจะพายเรือเข้าฝั่ง เรื่องที่องค์ชายสี่
ถูกตำหนิ ดูเหมือนจะเป็นเพราะมีการจับกรณีขุนนางโกงกินได้ คังซีจึงถามพวกลูกๆ ว่าควรจะจัดการยังไงดี
องค์ชายสี่เสนอให้จัดการลงโทษอย่างหนักเพื่อให้หลาบจำ และเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ขณะที่คังซีเป็นฮ่องเต้
ที่ถือเมตตาธรรม เน้นการลงโทษสถานเบาแบบให้โอกาสกลับตัวกลับใจ เมื่อฟังความเห็นขององค์ชายสี่
จึงโมโหมาก พูดตำหนิไปแรงๆ
         ไม่กี่วันถัดมา รั่วซีขึ้นไปบนหอชมวิว แล้วเจอสิบสามกับองค์ชายสี่นั่งอยู่ก่อน ก็ทำท่าจะถอยหนีลงไป
เงียบๆ แต่สิบสามตาไวหันมาเห็นเข้าเสียก่อนและร้องเรียกไว้ รั่วซีจึงต้องเข้าไปนั่งด้วยอย่างเลี่ยงไม่พ้น
สิบสามถามรั่วซีว่าถ้าจะลงโทษขุนนางโกงกิน ควรจะลงโทษสถานเบาหรือสถานหนักดี? รั่วซีในฐานะที่เป็น
คนยุคปัจจุบันและรู้เรื่องปัญหาการคอรัปชันดีตอบว่ามันก็ต้องลงโทษสถานหนักอยู่แล้ว ไม่งั้นขืนมัวแต่
อะลุ้มอล่วย ได้มีการคอรัปชันอย่างหนักในวงกว้างขึ้นเรื่อย ระบบขุนนางมีหวังได้เละเทะหมด สิบสามจึงถามว่า
แล้วถ้าคนที่โกงกินคือองค์ชายเก้าล่ะ? รั่วซีคงไม่คิดหรอกนะว่า “ฮ่องเต้ทำผิด โทษเท่าสามัญชน” มีอยู่จริง?
รั่วซีบอก ถึงคนทำผิดเป็นองค์ชายเก้าก็ต้องลงโทษ ถ้าลงโทษหนักมากไม่ได้ ก็ตีก้นซะให้นอนหงายไม่ได้
ไปครึ่งปีเลยสิ แล้วไล่ให้ออกไปขอทานสักหลายเดือน เดี๋ยวก็รู้ซึ้งเองว่าชาวบ้านที่เขาไม่มีจะกินรู้สึกยังไง
ส่วนพวกขุนนางที่อาศัยบารมีองค์ชายเก้าทำผิด ก็จัดการลงโทษสถานหนักซะ  พูดถึงตรงนี้ องค์ชายสี่ที่นั่ง
เหม่อค่อยพูดขึ้นว่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะเอามาพูดถึงอีกไปทำไม จากนั้นลุกขึ้นเดินลงจากหอไป สิบสาม
กับรั่วซีก็ลุกขึ้นเดินลงจากหอตามมาถึงชั้นล่าง รั่วซีทำท่าจะถวายบังคมขอตัว แต่ยังไม่ทันอ้าปากพูด
องค์ชายสี่ก็บอกให้สิบสามล่วงหน้าไปก่อน แล้วหันมาพูดกับรั่วซีว่า ตามข้ามา! รั่วซีจึงเดินตามหลังองค์ชายสี่
เข้าไปในป่าตามที่สั่ง เดินไปได้สักพักจนแน่ใจว่ารอบด้านไม่มีคน องค์ชายสี่ก็หันกลับมา ล้วงกล่องเครื่องประดับ
กล่องหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อยื่นให้ บอกว่าเดิมทีคิดจะให้ตั้งแต่ตอนเพิ่งกลับมาจากมองโกล แต่มีเรื่องรบกวน
จนถ่วงมาจนถึงตอนนี้  รั่วซีมองกล่อง แล้วบอกว่านางรับไว้ไม่ได้ องค์ชายสี่ก็มองหน้ารั่วซีนิ่ง จากนั้นทำหน้า
ประหลาดใจ พูดว่า “น้องสิบสี่!”  รั่วซีสะดุ้ง รีบคว้ากล่องมาใส่ในอกเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วหันไปถวายบังคม
ทันทีปรากฏว่า...ข้างหลังไม่มีใคร  รั่วซียังไม่อยากเชื่อ กวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจริงๆ
ก็หันมามองหน้าองค์ชายสี่อย่างนึกไม่ถึงสุดขีด ร้องว่า “ท่านโกหกรึ?!” ช็อคมากว่าคนอย่างองค์ชายสี่โกหกกัน
ซึ่งๆ หน้าแบบนี้เป็นด้วย   องค์ชายสี่ยิ้มหยัน พูดว่าได้ผลจริงๆ ด้วย ดูเจ้าจะกลัวน้องสิบสี่จริงๆ   รั่วซีบอก
ไม่ได้กลัว เพียงแต่... แล้วส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก ล้วงกล่องออกมาคืนให้ องค์ชายสี่หันหลังเดินจากไป
โดยไม่รับ รั่วซีรีบวิ่งตามไปจะคืนให้ได้ องค์ชายสี่พูดว่าวิ่งตามมาแบบนี้ เดี๋ยวน้องสิบสี่ก็ได้มาเห็นเข้าจริงๆ หรอก
รั่วซีจึงจำต้องหยุดวิ่งตามและรับกล่องเครื่องประดับเอาไว้แบบไม่เต็มใจ

366
          หลังเทศกาลโคมไฟ รั่วซีก็มายืนสังสรรค์คุยกับองค์ชายเก้า สิบ และสิบสี่ องค์ชายสิบเอาโคมไฟที่ซื้อ
มาจากในงานมาให้รั่วซี ประมาณว่าสวยมาก รั่วซีเห็นแล้วก็ชอบ องค์ชายสิบจึงยืดใหญ่ สิบสี่เหล่พี่ชาย แล้ว
บอกว่ายังมีหน้ามายืดอีกนะ คนเขาไม่ยอมขายให้ก็ไปเบ่งทับเขาว่าตัวเองเป็นองค์ชาย บังคับให้เขาขายให้
ข้าละขายหน้าแทนจะแย่จนต้องรีบเดินหนีไปห่างๆ รั่วซีได้ฟังก็บอกให้องค์ชายสิบเอาโคมไฟไปคืน องค์ชายเก้า
บอกไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว ยังจะทำเป็นยุ่งยากไปได้ แล้วก็ใช่ว่าไม่ได้จ่ายเงินให้ไปสักหน่อย รั่วซีไม่สนใจ ยืนกราน
ให้องค์ชายสิบเอาไปคืน องค์ชายสิบจึงทำหน้ามุ่ย รับโคมไฟกลับไป รั่วซีบ่นสิบสี่ว่าทำไมไม่รู้จักเตือนไม่ให้
องค์ชายสิบทำแบบนี้ สิบสี่โวยว่าเขาเนี่ยนะไม่เตือน ลองถามเจ้าตัวดูสิว่าเขาเตือนหรือเปล่า แล้วในโลกนี้น่ะ
เวลาพี่สิบดื้อขึ้นมา นอกจากเสด็จพ่อแล้ว มีแค่สามคนเท่านั้นแหละที่ห้ามอยู่ รั่วซีถามว่าใครบ้าง? สิบสี่ตอบ
หนึ่ง พี่แปด สอง รั่วซี สาม พระชายาสิบ รั่วซีฟังถึงชื่อสุดท้ายก็หัวเราะ ส่วนองค์ชายสิบถลึงตาใส่น้องชายแบบ
เคืองจัด  ตอนนั้นเอง อยู่ๆ สิบสามก็วิ่งตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีดเอาเรื่องเต็มที่ แล้วชกเปรี้ยงเข้าใส่
หน้าองค์ชายเก้าทันที องค์ชายสิบกับสิบสี่รีบเข้าไปแยก  สิบสี่ให้องค์ชายสิบรีบพาองค์ชายเก้าจากไป แล้ว
สกัดสิบสามเอาไว้ไม่ให้ตามไป รั่วซีถามว่ามีเรื่องอะไรกัน สิบสามบอกว่าองค์ชายเก้าไปลวนลามลวี่อู๋ เขาเลย
จะมาเอาเรื่องมัน  หลังจากเกลี้ยกล่อมสิบสามจนยอมจากไปแล้ว สิบสี่ก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อวันเทศกาลโคมไฟ
องค์ชายเก้าได้ยินมาว่าสิบสามให้การคุ้มครองลวี่อู๋อยู่ จึงจงใจไปลวนลามกะท้าทายสิบสามโดยเฉพาะ แต่เขา
รู้เรื่องเสียก่อนและรีบเข้าไปห้ามไว้ทัน รั่วซีฟังแล้วบอกว่า ลวี่อู๋ไม่ใช่ผู้หญิงของสิบสามหรอก สิบสามแค่ช่วย
ดูแลคุ้มครองให้เฉยๆ ไม่ได้คาดหวังครอบครอง เหมือนเอาร่มไปกางให้ดอกไม้เพราะกลัวจะโดนฝนสาดใส่จนโรย
นั่นแหละ สิบสี่จึงบอกว่า สิบสามอาจไม่คิด แต่ลวี่อู๋น่ะคิดแน่นอนเชื่อสิ เพราะตอนที่เขาช่วยลวี่อู๋เอาไว้ ลวี่อู๋ขอร้อง
ว่าอย่าบอกเรื่องนี้ให้สิบสามรู้
         เวียนมาครบอีกหนึ่งปี คังซีจะเสด็จประพาสมองโกลอีกแล้ว หนนี้พวกองค์ชายแปดได้ไป กับองค์ชาย
รัชทายาท ส่วนองค์ชายสี่กับสิบสามไม่ได้ไป และหมินหมิ่นก็ไม่มา แต่ฝากพี่ชายส่งจดหมายมาให้รั่วซี
ในจดหมายเล่าว่าตั้งแต่ปีก่อน เจ้าชายมองโกลก็ไม่ยอมกลับเผ่า เอาแต่ตามจีบนางตลอด รั่วซีอ่านจดหมาย
แล้วฮามาก  รั่วซีชอบช่วงที่อยู่ในมองโกล เพราะได้ห่างไกลจากระเบียบพิธีการต่างๆ ในวัง และห่างไกลจาก
การหักเล่ห์ชิงเหลี่ยม เวลาว่างจากงาน นางชอบขี่ม้าวิ่งไปในทุ่งหญ้าทั้งวันจากตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน แวะ
ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง  วันว่างงานวันหนึ่ง ขณะที่นอนเล่นอยู่บนหลังม้าคนเดียว ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมา
พอลืมตามองไป ก็เห็นองค์ชายแปดขี่ม้ามาขนาบข้าง รั่วซีรีบนั่งตัวตรงแล้วถวายบังคม องค์ชายแปดถามว่า
เจ้าวางได้ลงจริงๆ หรือ? ใจรั่วซีปวดแปลบ แต่ก็ตอบไปว่า ข้าได้วางลงแล้ว องค์ชายแปดจึงถามว่า ในใจเจ้า
มีคนอื่นแล้วใช่หรือไม่? รั่วซีตอบไปว่า ไม่มี! องค์ชายแปดถามว่า ปีหน้าเจ้าก็จะเกษียณออกจากวังได้แล้ว
เจ้าคิดจะรอให้เสด็จพ่อเป็นคนเลือกคู่ให้จริงๆ รึ? รั่วซีตอบว่า เรื่องของปีหน้าค่อยกลุ้มใจปีหน้า ในเมื่อเรื่อง
ไม่สามารถเป็นได้ดังใจ แล้วไยต้องมัวไปคิดมาก? จากนั้นถวายบังคมขอตัว องค์ชายแปดก็ยิ้มเย็นชา โบกมือ
ให้ไปได้ รั่วซีขี่ม้าสวนกลับทางที่องค์ชายแปดขี่มา แล้วเห็นสิบสี่ยืนม้าอยู่บนเนินลูกหนึ่ง มองมาทางนี้แต่ไกล
ท่าทางจะเห็นหมดแล้ว เมื่อนึกถึงนิสัยของสิบสี่ว่าขืนเข้าไปทักตอนนี้ นางมีหวังโดนสิบสี่ด่าจนหูชาอีกแน่
จึงจงใจทำเป็นไม่เห็น ชักม้ากลับกระโจม
         กลับมาถึงเมืองหลวงปักกิ่งได้ไม่นาน วันหนึ่ง รั่วซีกำลังคุยอยู่กับสิบสี่ ถามว่าองค์ชายสิบกับพระชายา
เป็นไงบ้าง เพราะวันก่อนได้ยินว่าป่วย แล้วเวลาองค์ชายสิบป่วยทีไร เหมือนจะมีเรื่องกับพระชายาทุกที
สิบสี่ก็แซวว่านี่ถ้าไม่ใช่เพราะโตมาด้วยกันจนรู้ไส้รู้พุงกันดี มาโดนถามแบบนี้นี่ข้ามีหวังได้เข้าใจเจ้าผิดแหงๆ
มีอย่างที่ไหนมาสนใจถามไถ่เรื่องส่วนตัวของผัวเมียเขาขนาดนี้? พูดจบก็เล่าให้ฟัง เล่าไปสองคนก็หัวเราะ
ฮากันไป เพราะคู่องค์ชายสิบ นิสัยใจร้อนเอาเรื่องด้วยกันทั้งคู่ จึงทะเลาะกันบ่อยมากระหว่างที่กำลังคุยกันไป
หัวเราะกันไป อวี้ถานก็วิ่งหน้าซีดมาบอกข่าวร้ายว่า...องค์ชายรัชทายาทขอฮ่องเต้ให้ยกรั่วซีให้เขา  เมื่อได้รู้ข่าวนี้
รั่วซีก็เป็นลมล้มพับไปทันที ส่วนสิบสี่รีบวิ่งเข้าวังหลวงไปสืบข่าวให้แน่ชัด  แม้องค์ชายรัชทายาทจะขอรั่วซี
แต่ฮ่องเต้ยังไม่ได้รับปาก ระหว่างที่รอฟังข่าว รั่วซีกังวลมากจนนอนไม่หลับ จึงออกไปยืนตากน้ำค้างจนวันรุ่งขึ้น
ล้มป่วยหนักถึงขั้นไม่ได้สติระหว่างที่รู้สึกตัวแบบเบลอๆ ร้องจะดื่มน้ำ ก็เห็นว่าองค์ชายสี่นั่งอยู่ข้างเตียง เทน้ำ
ใส่ถ้วยป้อนให้แล้วบอกว่า ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่รับปาก ยังไม่ต้องใจเสีย เรื่องยังไม่แน่นอน มีโอกาสพลิกผันอยู่
หลังจากองค์ชายสี่กลับไป สิบสี่ก็มาเยี่ยม ย่อตัวลงกระซิบบอกที่ข้างหูว่า รู้ไหมว่าทำไมรัชทายาทถึงขอเจ้า
แต่งงาน? เพราะหยกชิ้นนั้นกับที่เจ้าสนิทกับหมินหมิ่นนั่นแหละ! วันนี้ฎีกาขอให้เสด็จพ่อพระราชทานงานแต่ง
องค์หญิงหมินหมิ่นกับเจ้าชายมองโกลเพิ่งมาถึง การข่าวของรัชทายาทไวมาก เพราะแสดงว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่ก่อน
ถึงได้รีบขอเจ้าแต่งงาน ตอนนี้รัชทายาทถูกคนมองโกลเหม็นขี้หน้าอยู่ เขาจึงคิดจะใช้การแต่งงานกับเจ้า
ทำคะแนนกลับมา จากนั้นถามรั่วซีว่า เจ้าอยากแต่งงานกับรัชทายาทหรือเปล่า? รั่วซีส่ายหน้า สิบสี่จึงบอกว่า
ตอนนี้พี่แปดไม่สะดวกจะมาพบเจ้า ได้แต่ฝากข้ามาบอกว่า ให้พยายามถ่วงเวลาให้ได้สักสิบวัน เรื่องก็จะมีการ
พลิกผันเอง  หลังจากสิบสี่กลับไปแล้ว องค์ชายสี่ก็ส่งคนมาบอกให้รั่วซีพยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุดเช่นกัน
รั่วซีนึกวิธีถ่วงเวลาอย่างอื่นไม่ออก นอกจากทำให้ตัวเองล้มป่วยนานที่สุด จึงจงใจออกไปตากน้ำค้างและเอาน้ำ
รดตัวเองทั้งคืน ได้ผลสมใจ วันรุ่งขึ้นเจอไข้กลับทั้งที่ไข้ยังไม่หายดี เลยป่วยหนักมากไปเลย และเพื่อถ่วงเวลา
ให้หายช้าที่สุด จึงรับยาหมอมาแต่ไม่กิน ผลคือป่วยหนนี้นอนแบบอยู่กับเตียงรวมเวลาได้เดือนครึ่ง คำสรุปของ
คังซีคือ เขายังอยากจะเก็บรั่วซีเอาไว้รับใช้ใกล้ตัวอีกสักพัก ยังไม่อยากให้แต่งงานตอนนี้
         รั่วซีเริ่มมาคิดว่า ตัวเองไม่มีทางหนีพ้นชะตากรรมโดนราชโองการสั่งให้แต่งงานจริงๆ จึงคิดจะหา
ทางออกที่ดีทีสุดให้ตัวเองด้วยการเป็นฝ่ายเลือกดีกว่าเป็นฝ่ายถูกเลือก จึงมาไล่ดูพวกองค์ชายที่สนิทด้วย
ทั้งหมดว่าจะเลือกแต่งกับใครดี องค์ชายแปดตัดทิ้งไปได้เลย เพราะยังมีชนักปักหลังอยู่ ฮ่องเต้ไม่มีทาง
ยกนางให้แต่งงานด้วยแน่ หรือถึงยกให้ นางก็ไม่เอา ต่อมาองค์ชายสิบสามก็ไม่ได้ เพราะหมินหมิ่นได้โมโห
แน่ว่านางปากว่าอย่างการกระทำเป็นอีกอย่าง ส่วนสิบสี่ก็ไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นคนของกลุ่มองค์ชายแปด
แล้ว สิบสี่เองก็คงไม่เอานางเหมือนกัน สุดท้ายรั่วซีตัดสินใจว่า ในเมื่อจะเลือกแต่งทั้งที ก็เลือกคนที่ปลอดภัย
และมั่นคงที่สุดไปเลยสิ คือองค์ชายสี่ ว่าที่ยงเจิ้ง  ดังนั้นรั่วซีจึงจงใจปักปิ่นที่องค์ชายสี่ให้มา นัดองค์ชายสี่
มาพบ พอเห็นองค์ชายสี่เดินมากับสิบสาม นางก็เดินเข้าไปหา องค์ชายสี่สังเกตเห็นปิ่นทันที สิบสามเห็นพี่
กับรั่วซีสีหน้าดูประหลาด จึงเลี่ยงออกไปเปิดโอกาสให้อยู่กันตามลำพังโดยไม่ต้องให้บอก เมื่ออยู่กันตามลำพัง
องค์ชายสี่ก็ถามว่าเรียกเขามาพบมีธุระอะไรรึ? รั่วซีบอกไปตามตรงว่าอยากให้องค์ชายสี่ขอนางแต่งงาน
องค์ชายสี่ถามเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกเขา รั่วซีตอบว่า เพราะถึงจะรอดพ้นจากการขอแต่งงานของรัชทายาท
ไปได้ แต่หนหน้าอาจเจอใครที่เป็นแบบรัชทายาทอีก แบบนั้นขอตายดีกว่า แต่นางยังอาลัยชีวิตอยู่ จึงตัดสินใจ
เลือกต้นไม้ที่พึ่งพาได้แน่ๆ  องค์ชายสี่ย้อนถามว่าแล้วรู้ได้ยังไงว่าต้นไม้ที่เลือกยินดีให้เกาะ? จากนั้นบอกว่า
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าขอรั่วซีแต่งงานหรอก เพราะจะเท่ากับเป็นการแย่งกับรัชทายาทซึ่งๆ หน้า ดังนั้นตอนนี้
จึงได้แต่รอเวลาและโอกาสเท่านั้น แต่ในเมื่อรั่วซีเลือกเขาแล้ว ทั้งยังบอกว่าอยากแต่งงานกับเขา งั้นต่อไป
ก็ห้ามคิดถึงคนอื่นแล้ว
          รั่วซีกลับมาถึงที่พัก ก็เจอองค์ชายแปดยืนรออยู่ ทำเอามีอาการเหมือนวัวสันหลังหวะ รีบบอกขอบคุณ
เพราะที่รั่วซีรอดมาได้หนนี้ เหตุผลสำคัญเป็นเพราะองค์ชายแปดช่วยวิ่งเต้นให้อยู่เบื้องหลัง องค์ชายแปดเหยียดยิ้ม
บอกว่าใครๆ ก็รู้กันทั่วว่ารัชทายาทบ้าผู้หญิง ยังไงเขาก็ไม่มีทางยอมให้รั่วซีต้องไปเป็นของคนแบบนั้นอยู่แล้ว
อย่าว่าแต่อีกไม่นานรัชทายาทก็จะโดนดี ขืนรั่วซีไปแต่งงานด้วย จะพลอยติดร่างแหตามไปด้วยเสียเปล่าๆ จากนั้น
ถามว่า รั่วซีนึกเสียใจบ้างหรือเปล่า? (ที่เลิกคบกับเขา) รั่วซีบอก เสียใจแล้วจะมีผลอะไรหรือ ตอนนี้ท่านแต่งงาน
กับข้าได้ไหมเล่า? องค์ชายแปดเมินหน้าหนี บอกว่า ช่วงนี้เสด็จพ่อจะยังไม่ยกเจ้าให้ใคร ส่วนหลังจากพ้นช่วงนี้
ไปแล้ว ก็ต้องดูสถานการณ์กันอีกที รั่วซีก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มหยัน นิ่งกันไปครู่หนึ่ง องค์ชายแปดก็ถามว่า เขามี
เรื่องหนึ่งจะถาม เพราะครั้งก่อน ตอนที่เคยถามรั่วซีว่าได้ยินเสด็จพ่อเขาคุยอะไรกับรัชทายาท รั่วซีบอกว่าไม่ได้ยิน
แต่ตอบเหมือนกันว่า ฮ่องเต้ยังรักรัชทายาทมากอยู่ แล้วก็พูดได้ตรงมาก เพราะต่อมาไม่นานรัชทายาทก็ได้คืน
ตำแหน่ง ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงอยากถามความเห็นของรั่วซี ว่าหากรัชทายาทถูกปลดตำแหน่งอีกครั้ง จะมีโอกาส
ได้คืนตำแหน่งอีกไหม?  รั่วซีตอบว่า รัชทายาทคืนตำแหน่งหนนี้ แทนที่จะทำตัวดี กลับทำตัวให้คังซีรู้สึกแย่
มากขึ้นทุกที จนตอนนี้คังซีหมดรักในตัวรัชทายาทแล้ว และพร้อมที่จะตัดสัมพันธ์เต็มที่ องค์ชายแปดก็ยิ้ม
แล้วถามว่าเรื่องแต่งงาน รั่วซีวางแผนไว้ว่ายังไง? รั่วซีบอก ชีวิตใครชีวิตมัน ต่างคนต่างเลือก ในตอนนั้น
องค์ชายแปดเลือกที่จะปล่อยนางไปแทนถอนตัวจากศึกชิงบัลลังก์ มาวันนี้ ถึงคราวนางเป็นฝ่ายเลือกบ้างแล้ว
องค์ชายแปดมองหน้ารั่วซีนิ่ง ถามว่าเจ้ามีคนอื่นอยู่ในใจแล้วหรือยัง? รั่วซีใจกระตุกวูบ โพล่งถามว่าเหตุใด
ท่านจึงเอาแต่ถามคำถามนี้? ในใจของข้าจะมีใครก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะต้องมากังวล! องค์ชายแปดถามว่า
เจ้าคิดจะเลือกใคร? ทางที่ดีอย่าได้เลือกพี่สี่ ไม่อย่างนั้นจะพลอยติดร่างแหโชคร้ายไปด้วย รั่วซีฟังแล้วใจหายวูบ
แต่ปากตอบไปว่า จะใช่หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับท่าน อย่าว่าแต่ทั้งท่านและข้าต่างก็รู้ดีว่า คนที่เลือก ไม่ใช่ข้า แต่
เป็นฮ่องเต้ต่างหาก  ไม่กี่วันต่อมา พระสนมท่านแม่ขององค์ชายแปดก็สิ้นบุญ องค์ชายแปดเสียใจมากจนล้มป่วย
อยู่กับบ้านหลายเดือน โดยในระหว่างนี้ รั่วซีไม่ถามไถ่ข่าวคราวหรือฝากคำปลอบใจไปให้เลย
         หลังงานศพผ่านพ้นไปได้ไม่นาน วันหนึ่ง รั่วซีแอบมาที่ตำหนักของท่านแม่องค์ชายแปดเพื่อเอาดอกไม้
มาวาง ก็เจอกับสิบสี่เข้าโดยบังเอิญ สิบสี่เห็นแล้วถอนใจ บอกว่าจะว่ารั่วซีไม่มีใจ ก็เห็นเอาดอกไม้มาให้
จะว่ามีใจ ก็ไม่ยอมแม้แต่จะถามไถ่ข่าวคราวพี่แปดเลย ทั้งที่พี่แปดคอยวิ่งเต้นช่วยรั่วซีมาตั้งเท่าไหร่ รู้หรือเปล่า
ว่าพี่แปดเสียใจและเจ็บปวดกับความไร้น้ำใจของรั่วซีมากแค่ไหน  รั่วซีบอกนายรู้หรือเปล่าว่าความคิดถึงน่ะ
เป็นเหมือนหนามที่คอยทิ่มตำใจอยู่ตลอด ก่อนหน้าที่พระสนมจะสิ้นบุญไม่กี่วัน นางได้คุยกับองค์ชายแปด
เขาบอกเองว่าตอนนี้ไม่สามารถแต่งงานกับนางได้ ในเมื่อไม่สามารถแต่งงานกันได้แล้ว ยังจะมัวคิดถึงกันไป
ทำไมอีก ตัดกันให้ขาดไปเลยดีกว่า ดังนั้นนางจึงจงใจทำแบบนี้ องค์ชายแปดยิ่งเสียใจมากก็ยิ่งตัดใจได้ง่าย
สิบสี่ก็นิ่งไปพักหนึ่ง แล้วถามว่า รั่วซีลืมพี่แปดได้แล้วหรือ? รั่วซีตอบว่า ลืมได้แล้ว สิบสี่จึงฝืนยิ้ม บอก เอาเถอะ
นับจากนี้ไปเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของรั่วซีกับพี่แปดอีกแล้ว และหลังจากนี้ไป เหตุการณ์พลิกผันยากคะเน
ให้รั่วซีพยายามระวังตัวเอาไว้ให้มาก หลบเลี่ยงอะไรได้ก็พยายามหลบๆ ไปซะ ก่อนจะเดินจากไป  รั่วซีมองตาม
หลังสิบสี่ไป แล้วนึกในใจว่าหากวันหน้านางแต่งงานกับองค์ชายสี่ นางจะทำตัวกับองค์ชายสิบและสิบสี่ที่จะถูก
ยงเจิ้งลงโทษกักบริเวณเป็นการทรมานกลายๆ ยังไงดี? 
          ระหว่างที่รั่วซียืนเหม่ออยู่ในลานของเรือนพัก องค์ชายสี่ก็โผล่มาถามว่ายืนเหม่อคิดอะไรอยู่ รั่วซีบอก
ไม่ได้เหม่อ กำลังชมดอกเหมยอยู่ องค์ชายสี่บอก เพิ่งรู้ว่าดอกเหมยงอกกลับหัวลงดิน ถึงต้องก้มหน้าลงมอง
รั่วซีก็หัวเราะ องค์ชายสี่ถามซ้ำว่าคิดอะไรอยู่รึ? รั่วซีบอก กำลังคิดว่าเมื่อไหร่ท่านจะยอมแต่งงานกับหม่อมฉันเสียที
องค์ชายสี่บอก พูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้โดยหน้าไม่แดงเลยนะ เพิ่งเคยเจอผู้หญิงหน้าหนาขนาดนี้ เห็นที
เมื่อก่อนละไม่อยากแต่งงาน ตอนนี้ดันอยากรีบแต่งเร็วๆ เสียแล้ว รั่วซีบอก ก็เมื่อก่อนมีความคิดอยากทำอย่างอื่น
นอกจากแต่งงานอยู่ แต่ตอนนี้วันเวลาในวังหลวงมันชักจะไม่ค่อยสบายมากขึ้นทุกที เลยอยากรีบๆ ออกจากวัง
ไปหาเรือนที่จะได้อยู่อย่างสงบเร็วๆ น่ะสิ องค์ชายสี่ก็มองมาอย่างเย็นชา รั่วซีย้อนถามว่านางพูดผิดงั้นหรือ?
องค์ชายสี่บอก ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะชอบฟังความจริง รั่วซีนิ่งคิด แล้วบอกว่า ผู้หญิงน่ะแสดงละครเก่ง
โดยธรรมชาติ ถ้าหากอยากให้นางพูดโกหก นางก็จะพูดให้ แต่นางรู้สึกว่าเขายินดีที่จะฟังความจริงมากกว่า
ถึงแม้ว่ามันจะเสียดแทงใจ  องค์ชายสี่ฟังแล้วคลี่ยิ้ม ประกายเย็นชาในดวงตาหายไป เดินเข้ามาปัดกลีบ
ดอกเหมยบนผมให้ จากนั้นถามว่า ปิ่นที่เขาให้ล่ะ? แล้วยังต่างหูที่เพิ่งให้อีก เขาหรืออุตสาห์ให้มา แล้วดันไม่ใส่
รั่วซีบอกอยู่ในห้อง แล้วเอาจี้ดอกมู่หลานออกมาให้ดู บอกแต่นางใส่สร้อยนี้อยู่นะ   องค์ชายสี่ยิ้ม พูดว่า เจ้าน่ะ
เข้าใจจิตใจของตัวเองบ้างหรือเปล่า? มัวแต่คิดมาก กลัวโน่นกลัวนี่ ระวังเรื่องโน้นเรื่องนี้ ห่วงหน้าพะวงหลัง
คิดคำนวณผลได้ผลเสียละเอียดยิบเกินไป เรื่องพวกนี้จะทำให้เจ้าแยกแยะความรู้สึกและหัวใจของตัวเอง
ไม่ออกหรือเปล่า?  รั่วซีฟังแล้วนิ่งอึ้ง มององค์ชายสี่อย่างงุนงง แล้วอยู่ๆ องค์ชายสี่ก็ดีดนิ้วใส่หน้าผากนางแรงๆ
จนรั่วซีร้องโอ๊ย เอามือกุมหน้าผาก โวยว่ามาดีดนางผากนางทำไม มันเจ็บนะ ! องค์ชายสี่ก็หัวเราะ โบกมือไล่
ให้เข้าห้องไปพักผ่อนซะ  หลังกลับเข้ามาในห้อง รั่วซีก็ตัดสินใจถอดกำไลที่องค์ชายแปดมาออก ตอนที่ถอด
เจ็บมือมาก ทำให้นางคิดว่า ที่แท้การตัดใจมันเจ็บอย่างนี้เองหลังถอดกำไลแล้ว รั่วซีก็รอให้องค์ชายแปด
หายป่วยกลับมาราชสำนักเหมือนเดิม แต่รอเป็นเดือนองค์ชายแปดก็ยังไม่หายป่วยเสียที จึงกะจะวานสิบสี่
เอาไปให้แทน
          วันหนึ่ง เห็นสิบสี่ยืนอยู่กับองค์ชายสิบ รั่วซีก็เข้าไปทำมือบอกให้สิบสี่หาทางแยกองค์ชายสิบไปซะ
นางมีเรื่องจะคุยด้วยตามลำพัง สิบสี่ขมวดคิ้วเป็นความหมายจนปัญญาจะช่วย ให้รั่วซีหาทางเอาเอง รั่วซี
จึงยิ้มขออภัย แล้วบอกให้องค์ชายสิบช่วยหลบไปอีกทาง นางมีเรื่องจะคุยกับสิบสี่ องค์ชายสิบโมโหปัง บอกที
เวลามีเรื่องจะใช้ละเรียกหาข้า พอไม่มีเรื่องจะใช้ละไล่เชียวนะ ! มีเรื่องอะไรที่ให้เขาฟังไม่ได้กัน! (องค์ชายสิบ
ไม่รู้เรื่ององค์ชายแปดกับรั่วซี) พูดจบก็หันไปถลึงตาใส่สิบสี่ สิบสี่รีบบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องนะว่ารั่วซีจะคุยอะไรด้วย
ถ้าจะถลึงตาใส่ก็ไปถลึงตาใส่รั่วซีโน่น องค์ชายสิบจึงหันกลับมาถลึงตาใส่รั่วซี รั่วซีถลึงตาตอบ ร้องว่า ตอนวัน
งานเทศกาลโคมไฟ นางเห็นองค์ชายสิบกับพระชายาเดินด้วยกันอยู่ กำลังจะเข้าไปทักอยู่เชียว องค์ชายสิบก็
รีบพาพระชายาเดินหนีหายไปซะแล้ว ที่หลบหน้านางแบบนี้หมายความว่าไงหา?! องค์ชายสิบทำหน้าจ๋อยทันที
อ้อมแอ้มว่าไม่คุยด้วยแล้ว เขาพูดสู้รั่วซีไม่ได้นี่ แล้วรีบขอตัวเผ่นจากไป  หลังองค์ชายสิบเผ่นจากไป รั่วซีกับ
สิบสี่ก็หัวเราะก๊าก สิบสี่ย้อนถามยิ้มๆ ว่าเจอพระชายาสิบแล้วแทนที่จะหลบ ดันจะเข้าไปทักเนี่ยนะ? รั่วซีหัวเราะ
อกว่าแกล้งพูดขู่องค์ชายสิบเล่น  สิบสี่ส่ายหน้า บอกว่าไม่รู้เมื่อไหร่พระชายาสิบจะเลิกคิดมากเรื่องรั่วซีสักทีสิน่า
พวกเราน่ะรู้ใจพี่สิบกันหมดแล้ว มีแต่พี่สิบกับพระชายาสิบเองนั่นแหละที่ยังไม่รู้ใจกันเองเลย รั่วซีบอกว่า
เพราะคนดูอยู่วงนอกเห็นอะไรชัดเจนกว่าคนที่อยู่วงในน่ะสิ จากนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอากำไลที่ใส่ซอง
เรียบร้อยออกมายื่นให้สิบสี่  สิบสี่รับมาคลำๆ ดู พูดว่า ดูเหมือนจะเป็นกำไล หมายความว่าไงรึ? รั่วซีบอก
เอาไปคืนให้ “เขา” แต่ไม่ต้องรีบหรอก เลือกดูวันที่เขาอารมณ์ดีหน่อยแล้วค่อยคืนไป  สิบสี่นิ่งไปครู่ แล้วบอก
ว่าทำไมต้องมาวานให้เขาทำงานอะไรที่มีโอกาสถูกเขม่นขี้หน้าแบบนี้ด้วย รั่วซีเอาไปคืนเองสิ รั่วซีทำหน้า
ขอร้อง บอกว่านางก็รอจะคืนอยู่นี่ แต่องค์ชายแปดไม่มาราชสำนักสักที แล้วนางออกไปข้างนอกได้เสีย
เมื่อไหร่ล่ะ? สิบสี่ไม่ต้องบอกอะไรหรอก เพราะแค่เห็นกำไลนี่ องค์ชายแปดก็จะรู้เอง  สิบสี่ทำหน้าลังเล
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่ง ร้องทักไปข้างหลังรั่วซีว่า พี่สี่กับสิบสามมาแล้ว! รั่วซีบอก ไม่ต้องมาเล่นมุกเลย
ไม่เชื่อหรอกน่า แต่ปรากฏว่าองค์ชายสี่กับสิบสามมาจริงๆ ทำเอารั่วซีตกใจ รีบหันกลับไปถวายบังคมแทบไม่ทัน
สิบสามมองมาที่รั่วซีกับสิบสี่ยิ้มๆ สิบสี่ทักพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแป้นว่า จะออกจากวังหรือ? องค์ชายสี่บอก
เดี๋ยวค่อยออก จะไปเยี่ยมท่านแม่ก่อน สิบสี่จึงบอกว่างั้นเขาขอตัวก่อนล่ะนะ จากนั้นหันมายิ้มให้รั่วซี แกล้ง
กระซิบแบบกะให้องค์ชายสี่กับสิบสามได้ยินว่า ขืนปฏิเสธเดี๋ยวจะเสียใจแย่ ขอบใจมากนะ! แล้วเดินจากไป
รั่วซีเห็นแล้วปวดหัวตงิดๆ ว่าสิบสี่กำลังเล่นอะไรกันแน่ ถึงจงใจทำให้องค์ชายสี่กับสิบสามเข้าใจผิดแบบนี้
         หลังสิบสี่ลับหายไปแล้ว สิบสามก็หุบยิ้ม เดินเลี่ยงไปอีกทางเปิดโอกาสให้พี่ชายกับรั่วซีได้คุยกัน
ตามลำพัง รั่วซีก้มหน้านิ่งคิดว่าจะอธิบายยังไงดี? องค์ชายสี่ถามว่า ไม่คิดจะอธิบายรึ? รั่วซีจึงตัดสินใจบอกว่า
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม บอกได้เพียงอย่างเดียวว่า เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด องค์ชายสี่พูดตอบว่า ข้ายังไม่ทัน
ซัก เจ้าก็ชิงสารภาพออกมาก่อนเสียแล้ว ที่แท้เจ้าก็แอบคบกับน้องสิบสี่จริงๆ  รั่วซีฟังแล้วอ้าปากหวอ
องค์ชายสี่บอก เดิมทีข้าคิดว่าเจ้ากับน้องสิบและน้องสิบสี่สนิทกันมากแบบเพื่อน จะให้ของขวัญกันก็เป็น
เรื่องปกติ แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าคิด คนที่สารภาพเรื่องแบบนี้ออกมาเองอย่างเปิดเผยแบบนี้
ได้นี่ น้อยนักจะได้เห็นจริงๆ!  รั่วซีฟังแล้วทั้งฉิวทั้งขำ พูดเสียงขุ่นว่าทำไมองค์ชายสี่ถึงชอบพูดแกล้งนางนักนะ
องค์ชายสี่คลี่ยิ้ม บอกน้องสิบสี่จะคิดยังไงเขาไม่สนใจ หรือรั่วซีจะไปมาหาสู่ส่งของขวัญกับน้องสิบน้องสิบสี่
เขาก็ไม่ว่า แต่อย่าให้มีเรื่องแบบยื้อยุดฉุดกระชากร้องห่มร้องไห้แบบครั้งก่อนเกิดขึ้นอีกก็พอ รั่วซีก็บอกว่า
รู้แล้วเจ้าค่ะ กับคิดในใจว่าองค์ชายสี่นี่ก็ใจกว้างมากกว่าที่คิดเหมือนกัน

366
          เช้าวันที่องค์ชายแปดกลับมาราชสำนักได้เหมือนเดิมหลังจากลาหยุดไปครึ่งปี องค์ชายสี่กับสิบสาม
และองค์ชายแปด เก้า สิบสี่ ได้มารอกล่าวอรุณสวัสดิ์กับเสด็จพ่อแต่เช้า แต่คังซียังไม่ตื่น เลยนั่งรอกันไปก่อน
ระหว่างนี้ รั่วซีก็เอาน้ำชาออกมาเสิร์ฟ ตอนเสิร์ฟให้องค์ชายแปด รั่วซีรู้สึกว่าองค์ชายแปดจ้องมาที่ข้อมือ
ซึ่งถอดกำไลออกไปแล้วเขม็ง จึงเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง ก็เจอกับสายตาสุดยอดเย็นชา ตกตะลึง
และเจ็บปวดแบบสุดๆ  รั่วซีถึงกับหนาวเยือกไปทั้งตัวจนมือสั่น ตอนยกน้ำชาให้สิบสามที่นั่งอยู่ไม่กี่ก้าวถัดไป
มือรั่วซีสั่นจนสิบสามมองเห็นชัด สิบสามเหลือบตามองรั่วซีเฉยๆ แวบหนึ่ง แล้วแกล้งเอนตัวออกมารับถ้วย
รีบจิบเหมือนว่าหิวน้ำมาก แต่สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการอะไร เมื่อเสิร์ฟน้ำชาให้สิบสี่เป็นคนถัดไป
มือรั่วซีก็หายสั่นแล้ว และอาศัยช่วงที่เสิร์ฟชามองหน้าสิบสี่เป็นเชิงถามอย่างรวดเร็วพร้อมกับชี้ไปที่ข้อมือ
สิบสี่ยกถ้วยชาขึ้นจิบและอาศัยกิริยานี้ส่ายหน้าแทบมองไม่เห็น บอกว่ายังไม่ได้คืนกำไล รั่วซีจึงเข้าใจในทันที
ว่าทำไมองค์ชายแปดถึงได้มองมาด้วยสายตาแบบนั้นจากนั้นพอหันกลับทำท่าจะถอยออกจากห้องไป ก็ชน
กับคนหนึ่งที่ก้าวพรวดพราดเข้ามาในห้องจนเสียหลักล้มลง คนเข้ามาใหม่ร้องแบบโกรธจัดว่า ไม่มีตาหรือไงวะ!
แล้วง้างเท้าเตะเข้าใส่นางทันที!  พวกองค์ชายหลายคนในห้องร้องโพล่งขึ้นแทบจะพร้อมกันว่า หยุดนะ!
แต่ช้าเกินไป รั่วซีเจ็บแปลบที่สีข้าง แต่โชคดีที่ถูกเตะตอนกำลังล้มหงายลง จึงโดนไม่ถนัดนัก ทำให้เจ็บ
ไม่มาก รั่วซีรีบคุกเข่าลงร้องขอโทษ ปรากฏว่าคนที่เตะนางคือองค์ชายสิบ องค์ชายสิบเองก็ชะงักแข็งค้าง
ไปเหมือนกันเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองเตะคือรั่วซี มือข้างหนึ่งยกขึ้นเอาแขนเสื้อปิดหน้าข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือ
รีบพยุงรั่วซีขึ้นมา รั่วซีรีบพูดขอบคุณดังๆ ที่องค์ชายสิบไม่ถือโทษ แล้วถอยออกไปจากห้อง 
         องค์ชายสิบร้องประกาศว่าวันนี้ไม่ว่าจะโดนเสด็จพ่อโมโหและลงโทษยังไง เขาก็จะหย่าเมียหลวงตัวเอง
ให้ได้ องค์ชายทุกคนฟังแล้วตะลึงกันไปหมด องค์ชายแปดขมวดคิ้ว ดุว่าเอาเรื่องในครอบครัวตัวเองมาทำ
เป็นเรื่องใหญ่ถึงในวังหลวงนี่ได้ยังไง ให้กลับไปซะ แต่องค์ชายสิบไม่ยอม สิบสี่จึงถามกลั้วหัวเราะว่าทะเลาะ
อะไรกันมาเหรอ แล้วที่เอาชายเสื้อปิดหน้านั่น เปิดออกโชว์กันหน่อยสิว่าโดนอะไรมา เผื่อพวกเขาจะได้ช่วย
เชียร์ต่อหน้าเสด็จพ่อให้ได้ องค์ชายสิบจึงสั่งให้ขันทีออกไปจากห้องให้หมด แล้วเล่าให้ฟังว่า หลายเดือนก่อน
หมิงเยว่ เขาเข้ามาในห้องทำงานเขา แล้วเห็นโคมไฟที่ประดับอยู่ในห้องว่าสวยดี เลยเอากลับไปดูเล่น ทีนี้
เมื่อวานไม่รู้หมิงเยว่ไปได้ยินข่าวลืออะไรมาจากไหน มาถึงก็ตะโกนใส่หน้าว่าเรื่องอะไรถึงได้เอาโคมไฟที่เมื่อ
ปีก่อนคนอื่นเขาไม่เอามาให้นางกันหา! จากนั้นเอาโคมไฟมาฟาดใส่หน้าเขาจนกลายเป็นแบบนี้ (องค์ชายสิบ
ลดชายเสื้อลงให้ทุกคนเห็นรอยแดงเถือกบนหน้า แล้วปิดกลับอย่างรวดเร็ว) แล้วกระทืบๆ จนโคมไฟพังยับเยิน
เขาด่าใส่หน้าไปว่า นิสัยเถื่อนสิ้นดี สู้รั่วซีไม่ได้สักนิด หมิงเยว่จึงอาละวาดทุบตีเขาเป็นการใหญ่ วันนี้ไม่ว่ายังไง
เขาก็จะหย่าหมิงเยว่ให้ได้!  องค์ชายแปดฟังแล้วดุว่าเรื่องแค่นี้เอง เขาจะให้หมิงฮุ่ยไปดุสั่งสอนหมิงเยว่ให้ก็
แล้วกัน ให้น้องสิบกลับไปก่อน แต่องค์ชายสิบไม่ยอม สิบสี่เลยมองมาทางรั่วซีที่กำลังจะเอาน้ำชามาเสิร์ฟให้
องค์ชายสิบ แล้วตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นเมื่อได้ยินเรื่องที่ทำให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันบวกกับได้ยินชื่อตัวเองหลุด
ออกมาจากปากองค์ชายสิบ สิบสี่ส่งสายตาให้รั่วซีช่วยหาทางเกลี้ยกล่อมองค์ชายสิบหน่อย รั่วซีมองๆ แล้ว
เห็นว่าในห้องมีแต่แก๊งองค์ชายสี่กับแก๊งองค์ชายแปด จึงตกลง เข้ามาพูดเกลี้ยกล่อมโดยถามองค์ชายสิบว่า
ตอนที่ทะเลาะกันแล้วโดนพระชายาสิบฟาดใส่ องค์ชายสิบได้ลงมือตอบโต้กลับไปหรือเปล่า? องค์ชายสิบ
บอกว่าไม่มี รั่วซีถามว่าเพราะอะไรหรือ? องค์ชายสิบทำท่าฮึดฮัด โพล่งว่าเขาไม่ลดตัวลงไปลงไม้ลงมือกับผู้หญิง
รั่วซีจึงตอกกลับว่านิสัยอย่างท่าน เวลาโมโหขึ้นมายังจะแยกอีกหรือว่านั่นคือผู้หญิง? ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเด็ก
ก็ขออัดให้หนำใจก่อนค่อยว่ากันทีหลังเสียละมาก จากนั้นเล่าเรื่องที่เหมือนเป็นคนละเรื่องให้ฟังว่า เมื่อสมัย
ยังเด็ก นางเคยมีโอกาสได้กินปิงถังหูลู่ แล้วรสชาติมันเปรี้ยวๆ หวานๆ ถูกใจมาก แต่ต่อมาท่านพ่อเห็นว่า
มันไม่ค่อยสะอาด จึงไม่อนุญาตให้กินอีก นางจึงยิ่งคิดถึง รู้สึกว่ามันเป็นขนมที่อร่อยที่สุดในโลก แม้ว่านาง
จะมีขนมเม็ดบัวที่ก็ชอบมากเหมือนกันให้กินอยู่ทุกวัน ก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อยสู้ปิงถังหูลู่ไม่ได้เลย จนเวลา
หลายปีผ่านไป นางมีโอกาสได้กินปิงถังหูหลุอีกครั้ง องค์ชายลองทายสิว่านางรู้สึกอย่างไร?  องค์ชายสิบ
ทายว่า คงจะดีใจมากสินะ รั่วซีตอบว่า ผิดแล้ว! รู้สึกผิดหวังมากต่างหาก เพราะมันไม่ได้อร่อยมากเท่าที่คิด
เอาไว้เลย นางจึงรู้สึกสงสัย มาลองย้อนนึกดู แล้วพบว่าเป็นเพราะนางจำได้แต่รสชาติของมันในตอนสุดท้าย
ที่กินว่าอร่อยมาก นางก็จำแต่ว่ามันอร่อยมากๆ และยิ่งไม่ได้กินนานวันเข้า มันก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นในความทรงจำ
นางจึงลองไม่กินขนมเม็ดบัวสักสามเดือนดูบ้าง ปรากฏว่านางรู้สึกอยากกินขนมเม็ดบัวมากจนแทบทนไม่ได้
นางจึงได้รู้ตัวว่า ความจริงแล้วขนมที่นางชอบมากที่สุดคือขนมเม็ดบัวต่างหาก นางไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ตลอด
เวลาหลายปีที่นางเฝ้าคิดถึงปิงถังหูลู่ นางได้ถูกความทรงจำของตัวเองหลอกว่ามันอร่อยมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ลิ้นของนางได้เปลี่ยนมาชอบขนมเม็ดบัวมากกว่าไปนานแล้ว เล่ามาถึงตรงนี้ องค์ชายสิบก็ยังทำหน้างง
ฟังไม่เข้าใจ รั่วซีชักสงสัยว่านี่นางเล่าได้เข้าใจยากมากเลยหรือ? จึงเหลือบไปมองหน้าสิบสี่ สิบสี่มองมา
ด้วยสายตาชมเชย ก่อนจะเบนไปมองพี่สิบด้วยสายตาอ่อนใจ รั่วซีจึงรู้ตัวว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่นางเล่าไม่ดีพอ
แต่อยู่ที่องค์ชายสิบต่างหาก จึงบอกออกไปให้ชัดเจนขึ้นว่า ตัวนางก็เป็นเหมือนปิงถังหลู่ ส่วนพระชายาสิบ
คือขนมเม็ดบัว จากนั้นย้อนถามอีกครั้งว่า ตอนที่โดนพระชายาลงมือใส่ องค์ชายสิบได้ตอบโต้ลงไม้ลงมือกลับ
หรือไม่? เพราะอะไรถึงไม่ได้ลงมือตอบโต้กลับ? เพราะว่าถึงจะโกรธสุดขีดยังไง ในส่วนลึกของหัวใจก็ทน
ทำร้ายอีกฝ่ายให้ต้องเจ็บตัวไม่ได้ใช่ไหม?  องค์ชายสิบฟังแล้วนิ่งอึ้งไป ร้องโพล่งว่าไม่ใช่! จากนั้นวิ่ง
พรวดพราดออกไปจากห้อง
         หลังจากนั้นคังซีก็เข้ามา องค์ชายทั้งหลายถวายบังคมกล่าวอรุณสวัสดิ์ แล้วทยอยกันจากไป คังซี
เรียกรั่วซีเข้าไปถามเรื่องที่องค์ชายสิบเข้ามาเมื่อกี้ รั่วซีก็เล่าไปตามตรงทั้งหมดตั้งแต่สาเหตุ แล้วก้มหน้า
หมอบนิ่งรอการตัดสินของคังซีอย่างหวาดเสียวมาก  คังซีพูดว่า เจ้าแยกแยะเหตุผลได้กระจ่างมาก หากถึง
คราวของตัวเอง เจ้าจะทำได้หรือไม่? ละทิ้งสิ่งที่ไม่มีทางได้มา และถนอมรักษาสิ่งที่ได้มาแล้ว? รั่วซีฟังแล้ว
งงว่าองค์คังซีหมายถึงอะไร จึงตอบไปแบบกลางๆ ว่า นางไม่ทราบ คังซีก็ถอนใจ บอกให้นางออกไปได้
หลังออกมาจากท้องพระโรง รั่วซีก็มายืนเหม่อมองต้นไม้ พวกองค์ชายแปดเดินตรงเข้ามาหา ร้องทัก
แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไร องค์ชายสี่กับสิบสามก็เดินสวนตรงเข้ามาหาเสียก่อน รั่วซีจึงรีบบอกขอตัวไปทำงานต่อ
แล้วเหลือบมององค์ชายสี่แบบขอร้อง องค์ชายสี่จึงพูดอนุญาตให้ไปได้
         รั่วซีกลับห้องมาแล้ว ก็นั่งคิดนอนคิดถึงคำพูดของคังซีจนนั่งไม่ติด จึงลุกขึ้นมาเขียนพู่กันเพื่อให้ใจ
สงบลง โดยข้อความที่เขียนเป็นข้อความที่องค์ชายสี่สั่งขันทีคนสนิทส่งเป็นการ์ดมาให้ก่อนหน้านี้ และรั่วซี
ใช้ฝึกเขียนช่วยให้ใจเย็นลง สงบลงในเวลาที่กระสับกระส่ายได้ผลดีมาก ขณะที่กำลังเขียนอยู่ ก็ได้ยินเสียง
ประตูลานของเรือนที่พักเปิดออก เมื่อเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นองค์ชายสี่เดินผ่านประตูเรือนเข้ามา รั่วซีตะลึง
ลนลานพับกระดาษที่คัดลายมืออยู่ทันที แต่องค์ชายสี่เดินเข้ามาในห้องเห็นเข้าก่อน จึงถามว่าเขียนอะไร
อยู่หรือ? รั่วซีบอกไม่มีอะไร แค่หัดคัดลายมือเท่านั้น องค์ชายสี่พูดว่า ขยันอย่างนี้เชียว แล้วหยิบกระดาษที่
รั่วซีใช้คัดลายมือขึ้นมาดูแผ่นหนึ่ง รั่วซีอย่างอาย องค์ชายสี่นิ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า นี่คงคัดมาหลายรอบมาก
แล้วสินะ? รั่วซีก้มหน้าลงพูดว่า “อืมม์” เบาๆ องค์ชายสี่ถามว่าเมื่อวานที่ถูกเตะเจ็บมากไหม? รั่วซีบอกแค่โดน
เบาๆ เท่านั้น เพราะไม่ได้โดนแบบเต็มๆ  องค์ชายสี่นิ่งไป แล้วบอกว่า รั่วซี รับปากข้าอย่างหนึ่ง นับแต่นี้ไป
ห้ามพูดโกหกกับข้าเด็ดขาด! ข้าก็เป็นเหมือนเจ้า นั่นคือแม้จะเป็นคำพูดที่ไม่น่าฟังแค่ไหนก็อยากฟัง หากว่า
นั่นคือความจริง รั่วซีจึงย้อนกลับว่า งั้นแล้วหลังจากนี้ไปท่านจะพูดความจริงกับข้าด้วยหรือไม่? องค์ชายสี่
ถอนใจ บอกว่า ไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิดจริงๆ นะ แต่โดนน้องสิบเตะไปทีนั่น ไหงถึงไม่เห็นเจ้าไปคิด
บัญชีกับเขาเลย? แล้วที่ยอมเสี่ยงกับโทษประหารเพื่อช่วยปกป้องน้องสิบสี่นั่นอีก เจ้าทำแบบนั้นเพื่อประโยชน์
ใดกัน? รั่วซีพูดยิ้มๆ ว่า นางจะคิดบัญชีแต่กับคนฉลาดเท่านั้น ถ้าเจอคนโง่นางจะพลอยโง่ไปด้วย องค์ชายสี่
แค่นเสียง แล้วถามว่า หากข้ารับปาก เจ้าจะรับปากด้วยหรือไม่? รั่วซีพยักหน้า องค์ชายสี่จึงบอกว่า ข้ารับปาก!
รั่วซีตะลึง ถามว่าเพราะอะไรหรือ? องค์ชายสี่บอก ไม่เพราะอะไร แค่รู้สึกว่าโดยเหตุผลแล้วมันควรต้องทำแบบนี้
ก็เท่านั้น รั่วซีจึงพูดว่า แต่มีบางเรื่องที่นางไม่ยินดีที่จะพูดออกมา กรณีนั้นล่ะควรทำยังไง? องค์ชายสี่บอก
อย่างนั้นก็บอกมาตรงๆ ได้ว่าไม่ยินดีที่จะพูด แต่อย่าโกหกกลบเกลื่อนเด็ดขาดรั่วซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มออกมา
พูดว่า งั้นนางมีเรื่องจะถามองค์ชายสี่เรื่องหนึ่ง เขามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ตอบได้ จากนั้นทำมือเป็นความหมาย
ให้องค์ชายสี่ยื่นมือออกมาให้ แล้วเขียนตัวหนังสือลงในฝ่ามือเขาเป็นคำว่า “บัลลังก์” จากนั้นเลิกคิ้วถามว่า
“ท่านอยากได้หรือไม่?” ถามนี้เกี่ยวพันถึงความเชื่อใจในคำพูดขององค์ชายสี่แบบไม่มีข้อกังขาในอนาคต
ของรั่วซีเลยทีเดียว เพราะนางรู้ดีว่ายงเจิ้งเก็บงำความคิดอยากได้บัลลังก์เอาไว้มิดชิดมากจนนาทีสุดท้าย
จนแม้แต่คังซีก็ยังไม่ระแคะระคายหลังจากนิ่งรออย่างกดดันอยู่พักใหญ่ องค์ชายสี่ก็พูดออกมาเสียงเรียบ
เหมือนคุยเรื่องปกติว่า “อยากได้ !”




 
เพิ่งครึ่งทางเอง…. ตามต่อกันที่  part 3-1 กันดีกว่าาาาา
####  ปู้ปู้จิงซิน Bu Bu Jing Xin (3-1)  ###

2a81946294aaa

1 ความคิดเห็น: