นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 10 ความแตกแยก

 

 

          “ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเราได้ตระเวนทั่วอาณาจักรแห่งแลนด์เดียร์ว่าแล้ว ไม่ปรากฏร่องรอย
ใด ๆ ที่จะแสดงว่ามีผลึกแห่งแสงอยู่ในดินแดนของเรา”  หญิงสาวผมสั้นในชุดรัดรูปสีดำเจ้าของนามวาเรีย 
รายงานผลการปฏิบัติงานต่อผู้เป็นเจ้านาย

          “เจ้าคิดว่าจะหาผลึกแห่งแสงได้ง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ  เพียงสามอาทิตย์พวกเจ้าก็พากันท้อถอยกลับมา
เช่นนี้”  ร็องดอร์ยังกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่ดังขึ้นกว่าเดิม “หากมันหาได้ง่ายเช่นนั้น  ผลึก
แห่งแสงทั้งหกคงอยู่ในมือข้าแล้ว”

          “ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา  พวกมันยังคงเก็บตัวเงียบอยู่  ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ท่านคิดหรือไม่ว่า
ผลึกแห่งแสงบางส่วนอาจอยู่ในมือเจ้าเฒ่านั่นแล้ว”  เคลอิตั้งข้อสังเกต

          “อาจเป็นไปได้  ตลอดเวลาสิบหกปีที่ผ่านมา เจ้าเฒ่านั่นอาจให้ธาราเทพค้นหาผลึกแห่งแสงเพื่อ
รอเด็กผู้หญิงนั่นกลับมา หากข้อสังเกตของเจ้าเป็นจริง ว่าเจ้าเฒ่านั่นมีผลึกแห่งแสงบางส่วนอยู่ในมือ 
พวกมันคงหาผลึกแห่งแสงส่วนที่เหลือได้ง่ายขึ้น”

          “ทำไมหรือครับ”  เทอเรนถามด้วยความสงสัย

          “หากมีผลึกแห่งแสงชิ้นใดชิ้นหนึ่งในครอบครอง  ชิ้นต่อ ๆ ไปก็จะถูกหาได้ง่ายขึ้น เพราะมันเหมือน
มีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน  แต่ข้าว่าพวกมันอาจจะยังไม่เจอผลึกแห่งแสงเลยก็ได้  เพราะถ้ามีการปรากฏของ
ผลึกแห่งแสงสีใดสีหนึ่ง ข้าก็น่าจะรับรู้บ้าง อย่างน้อยด้วยสัญชาติญาณของชาวเฮเวนน่า”  ครูเอลเป็นผู้
ให้ความกระจ่างแทนนายใหญ่

          “พวกเจ้าพาคนออกหาข่าวเรื่องแปลก ๆ ให้ทั่วดินแดนของเรา  หาข่าวให้ละเอียดไม่ว่ามีเหตุการณ์
แปลกประหลาดใด ๆ ต้องเก็บมารายงานข้าให้หมด  ข้าเชื่อว่าผลึกแห่งแสงบางส่วนต้องอยู่ในแลนด์เดียร์ว่า
แน่นอน  เราเสียเวลามามากแล้ว”

************************************

          “เป็นไงบ้างล่ะ ราฟา”

          “ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา  ทั้งสามคนสามารถใช้เวทได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ”

          “อืม…ดี…ดีแล้ว  มีอะไรน่าหนักใจหรือเปล่า”

          “ก็คงมีแต่แซนด์ล่ะครับ  ที่รู้สึกว่าจะช้ากว่าคนอื่น ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นถึงจะทำได้  ดูท่าทาง
เค้าค่อนข้างเครียด ยิ่งเครียดก็เลยยิ่งแย่  เลยต้องให้เค้าหยุดฝึกแล้วออกไปสูดอากาศนอกห้องบ่อย ๆ”

          “ดูแลให้มากหน่อยแล้วกัน  นี่ทุกคนคงอยู่ในห้องหนังสือสินะ”

          “ครับ  กำลังฝึกใช้เวทจาก ตำราเซริทิซ กันอยู่  เอ่อ… ข้ามีข้อสงสัยอยากจะถามอะไรบางอย่างจากท่าน”

          “ว่ามาสิ”

          “ข้าข้องใจเรื่องของเจย์  เค้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจากโลกอื่น แต่กลับฝึกฝนการใช้เวทได้อย่าง
รวดเร็ว และดีพอ ๆ กับราชินีน้อย  ส่วนแซนด์ซึ่งมีสายเลือดแห่งเฮเวนน่าแท้ ๆ กลับทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร”

          “เด็กคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาหรอกราฟา  แล้วสักวันเจ้าก็จะรู้เอง  เจ้าไปดูแลพวกเค้าต่อเถอะ”

*******************************************

          “เธอนั่นแหละซายน์   พี่บอกแล้วว่าอย่าลอง ก็ไม่เชื่อ”

         “ไม่ต้องเลยพี่เจย์   ช่วยกันคิดหน่อยซิ จะทำยังไงดี เดี๋ยวนายนั่นกลับเข้ามาก็โวยวายอีกหรอก”

         “ก็เธอน่ะดื้อ   จะทำไงล่ะ ก็ลองกลับไปเปิดหาดูซิ   มีเวทอะไรที่ทำให้กลับสู่สภาพเดิมได้บ้าง”

          หญิงสาวรีบเดินไปยังมุมห้อง ตรงไปยังแท่นวางหนังสือซึ่งเป็นเสาหินทรงกลมสีดำสนิทสี่ต้น
ขนาดไม่ใหญ่มากนักสูงประมาณหน้าอก วางทำมุมเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส  โดยที่ปลายเสาทั้งสี่ได้รองรับ
แผ่นหินอ่อนสีดำมันเงา  หนาประมาณห้านิ้ว   เพื่อเป็นที่ตั้งของหนังสือขนาดใหญ่ สีเงินสุกสกาวหนาพอ
ประมาณ  หน้าปกของหนังสือไม่มีตัวอักษรใด ๆ ปรากฏอยู่  นอกจากลายปักฉลุด้วยดิ้นสีทองตามขอบ
หนังสือเป็นรูปเถาวัลย์เกี่ยวพันกัน  เธอรีบวางมือซ้ายลงบนปกหนังสือ  และเอ่ยเบา ๆ  “ข้าแต่เซริทิซ
แห่งเวทมนต์  ข้าจะตั้งใจฝึกฝนอย่างแท้จริง”
ทันใดนั้นเกิดแสงสีเงินเรืองรอง เมื่อเธอชักมือกลับมา 
บนปกหนังสือปรากฏรูปแมลงปอซึ่งล้อมรอบไปด้วยตัวอักษรคล้าย ๆ ดอกไม้พันเกี่ยวกัน  อ่านได้ใจความว่า
“ตำราเวทเซริทิซ”

          “รีบ  ๆ  หาเข้าสิ  เดี๋ยวราฟากลับมาก็เป็นเรื่องหรอก”

          “ค่ะ ๆ”   เธอรีบรับคำ   ก่อนจะเปิดหนังสือไปหน้าแรก   สายตาจับจ้องไปยังหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า  
ก่อนจะค่อย ๆ มีตัวอักษรสีทองเคลื่อนที่ช้า ๆ จากทางซ้ายไปทางขวา   “จงบอกความต้องการของเจ้า  
ลูกหลานแห่งเฮเวนน่า”
 
ซายน์ใช้นิ้วชี้ของมือซ้ายแตะลงไปกลางหน้ากระดาษ ก่อนเอ่ยถ้อยคำเบา ๆ 
“เวทที่ทำให้ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม”  หลังจากเธอเอ่ยจบปรากฏแสงสีเงินเรืองรองอีกครั้ง และ
เมื่อเธอชักมือกลับหนังสือก็พลิกหน้าด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว  จนหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง  ก่อนที่จะมีตัวหนังสือ
สีทองปรากฏขึ้นมาช้า ๆ

                                                               รีออลี่
                   ด้วยสติและสมาธิ จงระลึกถึงสภาพดั้งเดิมก่อนการเปลี่ยนแปลง  

หลังอ่านจบเธอปิดหนังสือแห่งเวท  แล้วเดินกลับไปหาเจย์อีกครั้ง  สายตาจับจ้องไปยังต้นไม้ที่อยู่มุมห้อง
อีกฝั่ง  ตรงกันข้ามกับฝั่งที่ตั้งหนังสือแห่งเวท  มันเป็นต้นไม้ที่มีชีวิตและกำลังมีท่าทางหวาดระแวงคนทั้งสอง
อย่างเห็นได้ชัด  กิ่งทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาจากส่วนลำต้นดูเสมือนมือทั้งสองข้างของมนุษย์   ส่วนของ
โคนต้นมีรากขนาดใหญ่แยกออกจากกันเป็นสองแฉกทำให้มันเดินไปมาด้วยอาการลุกลี้ลุกลน  หันซ้ายหันขวา
เหมือนกำลังจะหาทางออกหลบหนีออกจากห้องแต่ก็ขยับหนีไปไหนไม่ได้เนื่องจากกลัวเจย์ที่ยืนคุมเชิงอยู่

          ซายน์ถอนหายใจหนัก ๆ หลับตารวบรวมสมาธิ  ก่อนจะลืมตาจ้องไปยังเจ้าต้นไม้ตรงหน้าแล้วร่ายเวท
เสียงดังเหมือนจะเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง  “รีออลี่”  เกิดแสงสว่างทั่วทั้งห้อง เธอหลับตานิดหนึ่งเพื่อหลบ
แสงนั่น และเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเจ้าต้นไม้ได้กลับคืนสู่สภาพเดิม กลับกลายเป็นเก้าอี้ไม้ทรงสูงของราฟา 
ที่ใช้นั่งดูเวลาพวกเธอฝึกใช้เวท

          “เฮ้อ…”   เจย์ถอนหายใจโล่งอกที่ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพปกติ

          “เห็นมั้ย  เรื่องแค่นี้เอง สบายมาก  คราวนี้เราจะลองเปลี่ยนรูปร่างอะไรเล่นก็ได้แล้วซิพี่เจย์ เรารู้วิธี
คืนสภาพให้มันแล้ว  นี่ถ้าเรามัวแต่ฝึกใช้เวทตามที่นายนั่นสั่ง  ก็ไม่ได้ลองทำอะไรสนุก ๆ แบบนี้หรอก  มัวแต่
ฝึกเวทเด็ก ๆ น่าเบื่อจะตาย เดี๋ยวซายน์ลองเปิดหาเวทแปลก ๆ มาฝึกอีกดีกว่านะ”

         “พอ  พอเลย”  ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ

          “แหม!  แค่นี้ก็กลัวไปได้  ซายน์ว่า…..”  พูดยังไม่ทันจบ เธอก็ต้องหันไปมองที่ประตูซึ่งกำลังเลื่อนเปิดออก
พร้อม ๆ กับราฟาที่กำลังก้าวเดินเข้ามา

         “อยู่กันสองคนหรือ แล้วแซนด์ไปไหนล่ะ”  ราฟาเริ่มระแวงเมื่อเห็นสีหน้าของหน้าของหญิงสาวที่ซีดเผือด
และไม่กล้าสู้สายตา  ไม่ต่อปากต่อคำเหมือนทุกที  “มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าท่านราชินีน้อย”

         “เปล่าซะหน่อย  พี่แซนด์คงออกไปคลายเครียดเหมือนเดิมนั่นแหละ”   เธอพยายามทำตัวให้เป็นปกติ
ไม่ให้ราฟาจับได้ว่าเพิ่งจะเล่นอะไรแผลง ๆ ไป  มาถึงวันนี้เธอเริ่มชินกับสรรพนามการเรียกของเขาและท่านผู้เฒ่า
บ้างแล้ว  วันแรก ๆ เธอทั้งขอร้องและห้ามปราม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยเมื่อท่านผู้เฒ่าก็ยังคงเรียกเธอว่า
ราชินีน้อยเช่นเดิม  และเมื่อเธอเริ่มยอมรับ  ราฟาก็เริ่มเรียกเธอบ้างเช่นกัน

          “ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว  เริ่มฝึกกันต่อเถอะ  เอาล่ะ ถึงไหนแล้ว….”  ยังไม่ทันที่ราฟาจะพูดจบ เสียงตะโกน
โหวกเหวกของแซนด์ก็ดังเข้ามา พร้อม ๆ กับเจ้าของเสียงที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับดอกบัวในมือ

          “ข้าทำได้แล้ว  ข้าทำได้แล้ว  เห็นมั้ยดอกบัวนี่ ข้าเก็บโดยไม่ได้ใช้เวทใดช่วย ๆ เลย” เขากล่าวพร้อมกับ
รอยยิ้มกว้าง

          “อืม…ดี…ดีแล้ว  ถ้าเช่นนั้นอีกสามวันเราจะมาประลองเวทกัน”

          “อะ…อะไรนะ”  ทั้งสามคนอุทานออกมาพร้อม ๆ กัน

************************************

          สายฝนยังคงโปรยปรายไม่มีท่าทีว่าจะหยุด  สายลมพัดหอบละอองฝนเข้ามาปะทะร่างจนรู้สึกได้  ครูเอล
ยืนนิ่งริมหน้าต่างเหม่อมองฝ่าสายฝนไปแสนไกล  แม้ฝนจะตกหนักอากาศหนาวเย็นยะเยือก แต่ไม่สามารถ
ดับความร้อนรุ่มในใจของเขาได้เลย  ความคิดว่าตนเองทำถูกหรือผิดที่ช่วยคนนอกเข้ารุกรานดินแดนของ
ตนเองรบกวนจิตใจเขาอีกครั้งหลังจากมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในวันที่เกิดการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นั้น  แต่ในวันนี้
วันที่ทายาทที่เหลืออยู่ตามคำทำนายกลับมา ความรู้สึกนั่นมันก็กลับมาด้วย  แต่การกลับมาของมันคราวนี้
เขารู้ตัวเองดีว่าเขาทำผิดเหลือเกินที่ยอมทรยศต่อคนในเฮเวนน่า  ช่วยคนที่เพิ่งรู้จักเข้ารุกรานบ้านเกิดของ
ตนเอง  ผิดจนไม่สามารถให้อภัยได้แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

          ครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับชายผู้เป็นเจ้านายในตอนนี้  เป็นตอนที่เขากำลังท้อแท้สิ้นหวัง เขากำพร้า
พ่อตั้งแต่เล็ก จู่ ๆ แม่ที่อยู่ด้วยกันมาตลอดต้องมาจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัวอีก  แค่นั้นก็ทำให้เขาเสียใจมาก
อยู่แล้ว  แต่นี่ เกรซเน่ หญิงสาวที่โตมาพร้อมกันกับเขา หญิงสาวคนเดียวที่เขาคิดว่านางจะเป็นผู้เข้าใจเขา
มากที่สุด  ผู้ที่จะอยู่กับเขาตลอดไปไม่ทิ้งเขาไปไหน ก็กำลังจะทอดทิ้งเขาไปอีก  นางปฏิเสธความรักที่เขา
มีให้หันไปรับปากแต่งงานกับเจ้าเท็นซิน  อันที่จริงเขาควรจะดีใจกับนางด้วยซ้ำ เท็นซินเป็นชายหนุ่มรูปงาม
กำลังจะมีอนาคตไกล มันกำลังจะได้เลื่อนยศเป็นทหารเอกของกององครักษ์ฝ่ายขวาตั้งแต่ยังหนุ่ม  ในขณะที่
เขายังรู้สึกมืดมนกับชีวิตไม่รู้อนาคตจะไปทางไหนดี เขากับมันคงจะเป็นเพื่อนรักกันได้อีกนาน  ถ้าหากว่า
มันไม่ได้เป็นคนแย่งชิงหัวใจคนรักของเขาไป  ซึ่งทำให้ยากที่จะทำใจยินดีให้กับคนทั้งคู่เหลือเกิน

          แล้วในเวลานั้นเอง  เวลาที่เขาท้อแท้ที่สุด  ชายคนนี้ก็ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา แนะนำตัวเองว่าชื่อร็องดอร์ 
และกำลังจะปฏิบัติภารกิจสำคัญ จึงต้องรวบรวมคนที่มีความสามารถด้านต่าง ๆ อีกมาก และเขาก็ได้รับรู้อีกว่า
ภารกิจสำคัญนั่นคือการยึดครองเฮเวนน่า  ตอนแรกครูเอลก็คิดว่านี่คือเรื่องตลก ชายคนนี้คงสติฟั่นเฟือน
พูดจาเหลวไหล  แต่เมื่อได้รู้ว่า ด้วยกองทัพที่ยังมีไม่มากนี้สามารถยึดครองแลนด์เดียร์ว่าได้แล้ว ทำให้เขา
ต้องคิดหนัก แต่แล้วรางวัลที่ชายคนนี้สัญญาว่าเขาจะได้รับหากภารกิจนี้สำเร็จมันทำให้เขาตัดสินใจได้
ง่ายดายยิ่งขึ้น มันคือตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพส่วนหน้า พร้อมคฤหาสน์ประจำตำแหน่งหลังใหญ่ ที่เขา
คิดว่าคงจะทำให้เกรซเน่หันกลับมามองเขาบ้าง

          “หยุดเดินซะทีได้มั้ย ข้าเวียนหัวจะแย่แล้วนะ”  เสียงตวาดอย่างหงุดหงิดของเทอเรนดังขึ้น

          “แล้วจะให้ข้าทำอะไร นั่งนิ่ง ๆ เหมือนกับพวกเจ้านะเหรอ ข้าเบื่อเจ้าฝนนี่จริง ๆ นี่มันฤดูอะไรกันแน่เนี่ย 
ฝนตกได้ทุก ๆ สามชั่วโมงเลย ทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วเมื่อไหร่จะทำงานให้ท่านร็องดอร์ได้สำเร็จ” 
วาเรียบ่นอย่างหงุดหงิด

          “ไม่เห็นเป็นไรเลย  ในเมื่อท่านร็องดอร์ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนไว้ เราก็ไม่เห็นต้องรีบเลยดีซะอีก
ได้เที่ยวไปตามเผ่าต่าง ๆ  ในแลนด์เดียร์ว่าตั้งหลายวัน  น่าสนุกออก  พวกเราไม่ได้ออกมาแบบนี้นานแล้วนะ” 
โลนอฟกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน  เขานอนเอกเขนกอยู่มุมในสุดของกระท่อมร้างที่ทุกคนเข้ามาหลบฝน  โดยมี
ไซเทรนนั่งอยู่ข้าง ๆ  รวมถึงลูกสมุนอื่น ๆ อีกประมาณสิบคนที่พากันนั่งและนอนระเกะระกะ อยู่ในกระท่อมร้างแห่งนี้

          “เที่ยวเหรอ  นี่เจ้าคิดแบบนี้เองเหรอ  โลนอฟ”  วาเรียหันกลับมามองโลนอฟด้วยสีหน้าหงุดหงิดก่อนจะ
แสยะยิ้ม  “มิน่า เจ้าถึงเป็นเพียงลูกน้องระดับกระจอกอยู่แบบนี้  สู้เจ้าเคลอิก็ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่มันมาทีหลังเจ้าด้วยซ้ำ”

          ได้ผลเกินคาด คำพูดของเธอทำให้คนที่โดนดูถูกถึงกับโกรธจนหน้าแดงก่ำลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับผู้พูด
อย่างไม่เกรงกลัว “เจ้าว่าอะไรนะ วาเรีย!”  เขาถามไปด้วยน้ำเสียงที่โกรธจัด

           “ยังต้องให้ข้าพูดย้ำอีกหรือ อย่าดีกว่า ข้าว่าเจ้าคงไม่ชอบมันเท่าไหร่หรอก”

          “สักวัน  สักวันเถอะ  ข้าจะทำให้เจ้านั่นหลุดกระเด็ดจากตำแหน่งมือขวาคนสนิทของท่านร็องดอร์ให้ได้ 
เจ้าก็เถอะ  วาเรีย”  เขาลากเสียงตรงชื่อของผู้ที่กล่าวถึงช้า ๆ เหมือนจะท้าทาย “เจ้าก็มาก่อนมันตั้งนาน
แถมยังอยู่ในเหตุการณ์สำคัญวันนั้น  ข้าก็เห็นเจ้าเป็นได้แค่ 1 ใน 2 ขุนพลอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็น
ท่านร็องดอร์จะให้ความสำคัญอะไรกับเจ้ามากมาย  ถึงข้าจะเป็นแค่ผู้บัญชากองกำลัง แต่ก็ถือว่าเป็นตำแหน่ง
ที่ได้มาอย่างรวดเร็วถ้าเทียบกับระยะเวลาที่อยู่รับใช้ท่านร็องดอร์มา  หรือเจ้าว่าไง”

         “ปากดีนักนะ”  และด้วยความรวดเร็ว วาเรียตวัดฝ่ามือฟาดเข้าที่ใบหน้าโลนอฟทันที และเพราะไม่ทัน
ระวังตัวส่งผลให้โลนอฟเซลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น  เขารีบยกมือเช็ดเลือดที่หยดออกจากมุมปาก  ก่อนจะลุกขึ้น
และตรงเข้าหาวาเรียเหมือนจะเปิดศึก

          “พอ  พอได้แล้ว หยุดทั้งสองคนนั่นแหละ”  ครูเอลตวาดอย่างหงุดหงิดเมื่อเกิดเรื่องทำให้ความคิดเขา
สะดุดลง  และเมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตามที่เขาสั่ง  เขาจึงลงมือร่ายเวทเบา ๆ แต่รวดเร็ว ทำให้
ทั้งสองยืนนิ่งแข็งค้างอยู่กับที่  มีเพียงสายตาที่เหลือบมองครูเอลด้วยความไม่พอใจของคนทั้งคู่ 
“ยังมีงานใหญ่รอให้ทำอยู่  พวกเจ้าก็ดันมาทะเลาะกันเอง ข้าไม่แปลกใจเลยทำไมเจ้าเคลอิถึงได้รับความ
ไว้วางใจจากท่านร็องดอร์เป็นพิเศษ  ไม่ใช่เพราะมันเป็นธรณีเทพหรอก แต่เพราะมันสุขุมและเฉลียวฉลาด
กว่าพวกเจ้ามาก ถึงแม้มันจะเข้ามาทีหลังพวกเราก็เถอะ  ข้าว่าพวกเจ้าร่วมมือทำงานที่ท่านร็องดอร์สั่งมาให้
สำเร็จเถอะ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าได้ทะเลาะกันต่อในคุกมืดแน่ ๆ”   เมื่อเขาคลายมนต์สะกดให้ทั้งคู่แล้ว 
เขาก็หันมองไปยังนอกหน้าต่างปล่อยความคิดให้ล่อยลอยออกไปแสนไกลต่อไป  ไม่ได้สนใจคนทั้งคู่เลยว่า
ถึงจะทำตามที่เขาบอกคือเลิกทะเลาะกันแล้ว  แต่ทั้งคู่ยังคงมีท่าทางกระฟัดกระเฟียด และจ้องมองอย่างอาฆาตใส่กัน

          “ฝนหยุดเมื่อไหร่   เราจะไปเผ่าคาร์มีลกัน”    ครูเอล ส่งเสียงแหบ ๆ  กลับมาอีกครั้ง

***************************

          “พี่คะ  เชื่อซายน์เหอะเราต้องลองแล้ว  ไม่รู้ว่านายนั่นจะให้เราประลองเวทกันแบบไหน เราจะฝึกเผื่อไว้
ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร”

          “แต่ถ้าเราทำแบบนั้น  ราฟาอาจจะว่าเราได้นะ ที่เราฝึกเวทนอกเหนือคำสั่ง”  พี่ชายฝาแฝดเอ่ยด้วยความวิตก

          “พี่เจย์  เล่าให้พี่แซนด์ฟังซิว่าเมื่อตอนกลางวันที่พี่แซนด์ไม่อยู่ เราหัดทำอะไรกัน”  สาวสวยโอ้อวด
อย่างภูมิใจ  ขณะนี้ทั้งสามคนแอบมาคุยกันอยู่ในห้องนอนชาย  ซึ่งเป็นห้องของแซนด์และเจย์

         “อะไร  มีลับลมคมในอะไรกัน  สองคนนี่ ชักจะไว้ใจไม่ได้แล้ว”

          “ไม่มีอะไรหรอก ก็น้องสาวของนายนะซิ แอบฝึกใช้เวทเปลี่ยนร่างสิ่งของตอนราฟาไม่อยู่ทำเอาเกือบแย่
แต่ยังโชคดีที่หาเวทเปลี่ยนกลับสู่สภาพเดิมได้ทัน  คราวนี้เลยติดใจจะลองฝึกเวทอื่นๆ เพิ่มนะซิ”

          “แล้วไม่ดีหรือไง อย่างน้อยตอนนี้ ซายน์ก็รู้เวทเพิ่มขึ้นตั้งสองอย่างแนะ  พี่เจย์ก็เหอะถึงจะยังไม่ได้ลองใช้
เวททั้งสองดู  แต่ก็รู้คำสั่งเวทแล้วใช่มั้ยล่ะ ลองดูซิ ทำให้พี่แซนด์ดู จะได้ให้พี่แซนด์ได้ลองฝึกด้วยนะ  นะพี่เจย์นะ”

          “พี่คงทำไม่ได้เหมือนเดิมอีกนั่นแหละ  เธอกับเจย์ฝึกกันไปเถอะ”  แซนด์กล่าวอย่างท้อแท้

          “ไม่ได้นะแซนด์  หากนายไม่ลองนายจะรู้ได้ไง ถึงวันนี้จะทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยนายก็รู้คำสั่งเวทเพิ่มขึ้น
แล้วลองฝึกสักพักนายก็ต้องทำได้ มันยังดีกว่าที่นายจะไม่รู้อะไรเลย  เชื่อเราสิ”  จากนั้นเจย์ก็เดินไปที่เตียง
หยิบหนังสือตำราเวทขั้นต้นสำหรับเด็กที่เอามาจากตู้หนังสือเมื่อตอนกลางวัน  และเริ่มใช้เวททำให้หนังสือนั้น
กลายเป็นผีเสื้อโบยบินอยู่รอบ ๆ ห้อง ก่อนจะทำให้มันกลับสภาพเป็นหนังสือดังเดิม และทั้งสองก็เริ่มสอน
เวทใหม่ที่ได้รับรู้มาให้กับแซนด์

          แต่แซนด์ก็ยังคงเป็นแซนด์  เพราะผ่านไปหลายชั่วโมงเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนร่างหนังสือได้สมบูรณ์
เลยสักหน ทั้งสามคนจะได้เห็นอะไรแปลกๆ จากคำสั่งเวทของเขาเสมอ  เช่นหนังสือที่เปลี่ยนรูปไปเป็นนกที่
ไม่มีปีก  หรือแม้กระทั่งแมวที่ไม่มีขน   แต่ที่ทำให้ทั้งสามหายเครียดกลับมาร่วมกันหัวเราะจนตัวโยนคือการทำให้
หนังสือเปลี่ยนไปเป็นกระต่าย ซึ่งกำลังส่งเสียงเห่าเป็นสุนัขด้วยความหวาดกลัว  เจย์กับซายน์ต่างผลัดกันใช้
เวทเพื่อคืนสภาพเดิมให้กับสัตว์แปลกๆ เหล่านั้น  เป็นการทดลองใช้เวทไปในตัว และมีบ้างที่ให้แซนด์เป็นผู้
ลองใช้เวททำให้สัตว์ตรงหน้าที่อีกสองคนเปลี่ยนร่างไว้เปลี่ยนกลับสู่สภาพเดิมแต่ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก
  
          “พอแล้วๆ ได้แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะ เดี๋ยวชั้นจะไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกซะหน่อย สองคนก็ฝึกกันต่อ
ไปละกัน เดี๋ยวง่วงแล้วค่อยกลับมานอน  เจย์ถ้านายง่วงก็นอนไปก่อนเลยนะไม่ต้องรอ เธอก็เหมือนกันยายตัวแสบ
อย่าหักโหมเกินไปนัก  ง่วงก็กลับไปนอนซะล่ะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”  เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อกลบเกลื่อน
ความรู้สึก ไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้ทั้งสองคน

********************************

         "ทำไมเราต้องไปที่เผ่าคาร์มีล ตามที่เจ้าครูเอลต้องการด้วยนะ”   โลนอฟบ่นอย่างหงุดหงิดกับไซเทรน
เมื่อเริ่มออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง หลังจากต้องค้างคืนอยู่ในกระท่อมร้างหนึ่งคืนเต็มๆ เพื่อรอให้ฝนหยุดตก  
“เผ่าคาร์มีลไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจสักหน่อย  ไกลก็ไกล  ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าสองขุนพลนั่นจะยอมทำตาม
เจ้าครูเอลทุกอย่าง”

          “โลนอฟ  ถึงแม้ครั้งนี้ท่านร็องดอร์ไม่ได้สั่งให้ใครเป็นหัวหน้าทีมโดยตรง  แต่พวกเราก็น่าจะเคารพ
สัญชาตญาณของชาวเฮเวนน่านะ เพราะมันอาจทำให้เราเจอผลึกแห่งแสงก็ได้”  ชายร่างใหญ่ท่าทางใจดี
กล่าวด้วยน้ำเสียงเสมือนพี่ชายกำลังสอนน้องที่ดื้อรั้น

          “อะไรก็ได้  ยังไงก็ได้  เพราะเจ้ามัวแต่คิดอย่างนี้ละซิ  ถึงไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย  ทั้ง ๆ ที่เจ้ากับครูเอล
วาเรีย และเทอเรนก็ร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์วันสำคัญนั่น แต่เจ้าก็ยังเป็นได้เพียงลูกสมุนธรรมดาเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”

          “แค่ให้ข้าได้รับใช้ท่านร็องดอร์ก็เพียงพอแล้ว  ตำแหน่งใด ๆ ข้าไม่สนใจหรอก”

         “แต่ข้าไม่  ข้าจะต้องยิ่งใหญ่มากกว่านี้”   แล้วโลนอฟก็หันไปกระซิบความต้องการลึก ๆ ให้เพื่อนผู้เดิน
เคียงข้างฟัง  “ไม่แน่นะ  ต่อไปข้าเนี่ยแหละ จะเป็นผู้สืบทอดอาณาจักรต่อจากท่านร็องดอร์”  

          “เจ้าหวังสูงเกินไปแล้ว”

          “คอยดูกันต่อไปละกัน   อันที่จริงตำแหน่งข้าเป็นถึงผู้บัญชากองกำลัง น่าจะมีสิทธิ์ในการสั่งการกองกำลัง
ทั้งหมดในที่นี้นะ เจ้าเห็นด้วยมั้ย   ข้าจะไปบอกพวกมันให้เปลี่ยนเส้นทางเดิน”

          “อย่า...อย่าเลย”   แต่ไซเทรนก็ห้ามไม่ทันซะแล้ว  เมื่อโลนอฟก้าวเดินเพียงไม่กี่ก้าว แต่รวดเร็วจนมองตาม
แทบไม่ทัน เขาไปหยุดยืนประจันหน้ากับครูเอล   ทำให้ขบวนทั้งหมดหยุดชะงัก

          “เจ้ามีอะไร”  น้ำเสียงแหบๆ ออกจากปากของชายร่างเล็ก สูงเพียงหน้าอกของผู้มาหยุดยืนอยู่ข้างหน้า
เอ่ยถามขึ้น

         “ในฐานะผู้บัญชากองกำลัง  ข้าขอสั่งให้กองกำลังทั้งหมดเปลี่ยนเส้นทาง  ทางแยกข้างหน้าเราจะเลี้ยวซ้าย
ไปยังเผ่าดอฟแมนกัน”

         “ตำแหน่งผู้บัญชากองกำลังของเจ้า นำมาใช้ที่นี่ไม่ได้หรอก”  วาเรียแสดงสีหน้าเย้ยหยันหลังจากพูดจบ

         “ครั้งนี้พวกเรายกให้ครูเอลเป็นผู้นำ  พวกเราเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของชาวเฮเวนน่า”  ขุนพลหนุ่มช่วย
ยืนยันการยอมรับการติดสินใจของครูเอลอีกคน

          “เชื่อถือครูเอลผู้ใช้เวทเนี่ยนะ  ข้าคงยังไม่ได้เล่าให้พวกเจ้าฟังล่ะซิ ว่าวันที่ท่านร็องดอร์ให้ข้าเป็นหัวหน้าทีม
ไปจับเด็กผู้หญิงในทางสายหมอกวันนั้น  ผู้ใช้เวทที่พวกเจ้ากำลังเชื่อมั่นอยู่นี่ยังต้องฟังคำสั่งของข้า”  โลนอฟ
กล่าวยิ้มๆ   “ฮึ… แถมยังมองไม่เห็นการพรางตัวกระจอกๆ  ของเจ้าราฟาอีกด้วย”

          “วันนั้นข้าไปในฐานะลูกน้องในทีม ข้าก็ต้องฟังคำสั่งของเจ้าก็ไม่เห็นจะแปลก และข้าคงไม่แก้ตัวเรื่อง
การมองไม่เห็นการพรางตัวนั่น เพราะในวันนั้นเมื่อข้าได้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้น เห็นรอยปรากฏบนหลังมือ  ข้าก็
แทบไม่มีสมาธิอยู่กับตัว”

          “พวกเราไม่สนใจเรื่องเก่าๆ ที่เจ้าขุดมันขึ้นมาหรอกนะ โลนอฟ  แต่ข้าขอยืนยันว่าครูเอลจะเป็นหัวหน้าทีม
ในภารกิจครั้งนี้”

          “ใช่  ข้าเห็นด้วยกับเทอเรน  เราเสียเวลามาพอควรแล้วเดินทางกันต่อเถอะ เผ่าคาร์มีลยังอยู่อีกไกล” 
หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ย  ก่อนจะพาลูกสมุนทั้งหมดเดินเบี่ยงผ่านร่างที่กำลังสั่นด้วยความโกรธ โดยไม่สนใจใยดี

********************

          “ท่านผู้เฒ่ามาดูด้วยเหรอเนี่ย  อย่าบอกนะว่าเราจะต้องสู้กับท่านผู้เฒ่า”  แซนด์กระซิบพอให้ยินกันสามคน 
ขณะนี้พวกเขาทั้งสามกำลังยืนอยู่กลางที่โล่งกว้างในป่าสน  ด้านหลังเป็นสระบัวขนาดใหญ่   มันคือสถานที่ที่ได้
มาฝึกฝนการใช้สมาธิในการเก็บดอกบัวนั่นเอง

          “จะบ้าเหรอพี่แซนด์ ใครจะไปสู้ท่านผู้เฒ่าได้ อย่ามัวฟุ้งซ่านเลย สมาธิ สมาธิ ท่องไว้ พี่แซนด์อย่าตื่นเต้น 
ไม่เช่นนั้นเราจะใช้เวทไม่ได้นะ”

          “พี่ว่าเธอน่ะตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าพี่ชายเท่าไหร่เลย”

          “คุยกันเสร็จรึยัง” ราฟาส่งเสียงปราม “วันนี้ท่านผู้เฒ่าจะมาชมด้วยว่าพวกเจ้าสามารถใช้เวทที่ได้ฝึกฝนมา
ได้ดีเพียงใด”

          “แล้วจะให้เราประลองเวทกันยังไงคะ”

          “จับคู่…  พวกท่านต้องจับคู่ประลองเวทกัน”  ท่านผู้เฒ่าเอสโทสเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นเช่นเคย 
“ท่านชายน้อยท่านจับคู่กับเจย์แล้วกัน  ส่วนราชินีน้อยท่านจับคู่กับราฟา ผลัดกันร่ายเวทคนละครั้ง ฝ่ายหนึ่งรุก 
ฝ่ายหนึ่งต้องเป็นผู้รับ”

          “ข้า….ข้ากับราฟาเนี่ยนะ  ท่านผู้เฒ่า แล้วข้าจะสู้ได้ยังไงกันล่ะ”  สาวน้อยกระเง้ากระงอดเมื่อเห็นว่าผลการ
จับคู่ของตัวเองต้องเจอกับใคร

         “ไม่เป็นไรหรอกราชินีน้อย  ข้าจะออมมือให้เอง”   ราฟาอมยิ้มทำหน้าทะเล้นใส่หญิงสาวที่กำลังมองอย่างงอน ๆ

*********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น