นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 9 การฝึกฝนบทที่ 1

 


          กลิ่นหอมจาง ๆ จากทุ่งดอกไม้ที่ได้เห็นเมื่อตอนกลางวันโชยเอื่อยมาตามกระแสลมบางเบา เหล่าแมลง
กลางคืนส่งเสียงร้องรับกันเป็นทอด ๆ ด้วยสำเนียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนกำลังพากันบรรเลงดนตรีขับกล่อม
ให้ผู้คนได้หลับฝันดีไปพร้อม ๆ กับบทเพลงอันไพเราะนั้น

          แต่ไม่ใช่ซายน์ในขณะนี้  ที่กำลังนั่งทอดสายตาเหม่อมองไปในความมืดมิดของรัตติกาล  ป่านนี้
คนอื่น ๆ คงจะเข้านอนกันหมดแล้ว  แต่ตัวเธอเองกลับรู้สึกกังวลจนนอนไม่หลับ  ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่ได้รับรู้ในวันนี้ยังคงติดตาอยู่  ทั้งภาพการยืนหยัดต่อสู้โดยลำพังของราชินีแห่งเฮเวนน่า ซึ่งก็คือ
ท่านยายของเธอ  ท่านยายที่เธอเพิ่งจะได้รู้จักและเห็นท่านเป็นครั้งแรกและคงเป็นครั้งเดียว ครั้งสุดท้าย 
ท่านยายที่สง่าและงดงาม  แต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นคงและเข้มแข็ง  ภาพความพลัดพรากของท่านแม่
ที่จากโลกแห่งนี้ไปด้วยความเศร้าเสียใจ  เธออยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ฝันไป  หากหลับตานอนหลับ
ไปในคืนนี้  ก็ขอให้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  เป็นเช้าที่สดใสในบ้านหลังเดิม  ตื่นขึ้นมาพบกับ
รอยยิ้มอันอบอุ่นที่คอยต้อนรับเธอในทุก ๆ เช้าเหมือนที่ผ่านมา

          “แค่ฝันไป  แค่ฝันไป  มันเป็นแค่ความฝัน”  ซายน์หลับตาพึมพำกับตัวเอง ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
เหมือนต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดนั้น   เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตา
ขึ้นมาช้า ๆ เพื่อพบกับความเป็นจริงตรงหน้า  ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าก็ยังคงเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ
อย่างช้า ๆ จากสีม่วง  เป็นสีคราม  สีน้ำเงิน  สีเขียว  สีเหลือง  สีแดง  และสีแสด  ตามสีของรุ้ง   แต่ไม่ว่า
พระจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีใด แสงที่ทอประกายมายังผืนดินก็ยังคงเป็นแสงสีนวลเหมือนบนโลกที่จากมา
ไม่มีผิด  หากเป็นช่วงเวลาปกติ   เธอคงรีบวิ่งไปปลุกแซนด์และเจย์    ชวนกันมาดื่มด่ำกับบรรยากาศที่
สุดแสนวิเศษนี้  ได้หัวเราะเฮฮา  นั่งพูดคุยเรื่องพระจันทร์ที่เปลี่ยนสีได้   ได้ชวนกันชี้ชมดูดวงดาวรูปทรง
แปลก ๆ  ทั้งรูปสี่เหลี่ยม  สามเหลี่ยม  วงกลมหรือแม้กระทั่งรูปทรงกระบอก  ที่แข่งกันกระพริบแสงระยิบระยับ 
ประดับท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอรู้สึกชอบที่นี่มาก ชอบมากจริง ๆ  ถ้ามันจะไม่มีเรื่องร้ายแรงต่าง ๆ เกิดขึ้น

          “นอนไม่หลับหรือราชินีน้อย”

          ซายน์สะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิดที่กำลังล่องลอยไปแสนไกล  หันกลับมามองเจ้าของน้ำเสียงนุ่ม
กึ่งหยอกเย้านั้น  “ท่านเรียกใครว่าราชินีน้อย”  เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด  เพราะไม่ค่อยพอใจกับ
สรรพนามที่เขาใช้เรียกเท่าใดนัก

          “นอกจากท่านราชินีน้อยแล้ว  ที่ตรงนี้ยังมีใครอยู่อีกหรือ”  ราฟาแกล้งชะโงกหน้าทางซ้ายและขวา
เหมือนกำลังจะมองหาบุคคลที่สาม แล้วกลับมาอมยิ้มน้อย ๆ ให้กับใบหน้าบึ้งตึง แสนงอนของสาวน้อยตรงหน้า

          “ข้าไม่ใช่ราชินีน้อย   ห้ามเรียกข้าอย่างนี้อีกเด็ดขาด”

          “ถ้านี่คือคำสั่งของท่านราชินีน้อย  เอ๊ย!..ของท่าน ข้าก็พร้อมจะทำตามด้วยความยินดี”  ราฟาเริ่มรู้สึก
สนุกที่ได้แกล้งหยอกเย้าต่อปากต่อคำกับเธอ  อันที่จริงแล้วเขารู้ว่าเธอกำลังกังวลเคร่งเครียดอยู่กับเรื่องใด 
การที่เขามาชวนทะเลาะแบบนี้อาจทำให้เธอลืมเรื่องที่กำลังคิดอยู่ไปได้บ้าง

           “พูดไม่รู้เรื่องหรือไง บอกว่าอย่าเรียกข้าแบบนั้น ข้าไม่ใช่ราชินี ไม่ใช่  ไม่ใช่ ได้ยินมั้ย”  ซายน์ทั้งโกรธ
ทั้งหงุดหงิดกับรอยยิ้มน้อย ๆ นั้น  อยากจะต่อว่าเขาให้เจ็บแสบ  แต่ก็คิดหาคำพูดใด ๆ ไม่ออก   อาจเพราะ
เจอเรื่องหนัก ๆ มาเยอะและยังมาอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวเช่นนี้อีก ทำให้เธอรู้สึกมึนงง ไม่สามารถสรรหาคำพูดใด ๆ
ออกมาได้  ทำได้แต่กัดริมฝีปากพร้อมกับส่งสายตาดุ ๆ ไปให้เขา  แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะหยุดอมยิ้ม
เหมือนล้อเลียนนั้น  เธอก็ได้แต่รู้สึกขัดใจ   “บ้าที่สุด”  เป็นอีกคำที่เธอเอ่ยออกมาก่อนจะเดินผ่านเขาไป
เพื่อกลับไปยังห้องพัก

          “เดินไปเป็นเพื่อนนะ”  ราฟายังคงเอ่ยแบบสบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          “ไม่ต้อง  มาเองได้ก็เดินกลับเองได้”

          “อย่าคิดมากเลย  เรื่องมันผ่านมาแล้วคงย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก”  ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนนี้ 
ทำให้ซายน์ชะงักหันกลับมามองเจ้าของน้ำเสียงนุ่มที่กำลังยืนจ้องมองไปยังดวงจันทร์ซึ่งกำลังเปลี่ยนสี
จากสีแสดไปเป็นสีม่วง   “สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้คือกำลังใจ เราต้องยอมรับความจริงกับสิ่งที่ได้รับรู้มา  ต้อง
ตั้งสติและเตรียมพร้อมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป”  ราฟาละสายตาจากดวงจันทร์   กลับมาจ้องหน้า
สาวน้อยที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล  แล้วค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปหาอย่างช้า ๆ   “ถ้าท่านคิดว่าเรื่องในวันนี้หนักเกินกว่า
จะรับไหวแล้ว  วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปท่านก็จะไม่สามารถต่อสู้ต่อไปได้อีกเลย  ท่านจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้
เริ่มต้นลงมือปฏิบัติเลยหรือ  ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายให้ท่านได้รับรู้และลงมือทำ”  ราฟามาหยุดยืนตรงหน้าเธอพอดี

          “ทำไมต้องเป็นข้า  ทำไม”  ซายน์พูดเบา ๆ เหมือนกับจะพึมพำกับตัวเอง

          “เพราะท่านเป็นผู้ถูกเลือก”  ราฟายิ้มให้อย่างจริงใจ  “มันได้ถูกกำหนดมาแล้ว  และไม่ว่าจะอย่างไร
ท่านจงวางใจได้ว่า  ท่านไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว”

****************************


          เช้านี้ ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่โต๊ะอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง  แต่ละคนมีสภาพไม่ค่อยจะ
แตกต่างกันสักเท่าไหร่  เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางอิดโรยเหมือนคนอดนอน  บนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายชนิด 
ทั้งนมอุ่น ๆ สำหรับทุกคน  แซนด์วิช  ขนมปังทรงกลมซึ่งตั้งกองซ้อนกันถึงสามชั้น  รวมถึงอาหารแปลก ๆ
ที่ทั้งแซนด์  ซายน์ และเจย์ต่างไม่เคยเห็น เช่นไส้กรอกสีเขียวสด หรือจะเป็นไข่ดาวที่ต้องมีขนาดใหญ่มาก ๆ
เพราะเท่าที่เห็นในจานเปลขนาดใหญ่กลางโต๊ะ คงตัดแบ่งมาเพียงเสี้ยวเดียว  และซุปข้นสีฟ้าอ่อน ๆ 
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสามไม่ได้แตะต้องอาหารแปลก ๆ เหล่านี้เลย   ทั้งหมดพากันรับประทานอาหารบนโต๊ะอย่างเงียบ ๆ

          “เอาล่ะ”  ท่านผู้เฒ่าเริ่มต้นเอ่ยเป็นคนแรก หลังจากใช้เวททำให้เหล่าจานชามลอยกลับไปยังห้องครัว
และเริ่มจัดการทำความสะอาดตัวเองโดยได้ยินเสียงน้ำและเสียงกระทบกันของจานดังมาเป็นระยะ  
“เราคงต้องมาคุยกันอย่างจริงจังสักที”   ท่านผู้เฒ่าค่อย ๆ ใช้สายตาอันอ่อนโยนมองไปที่แต่ละคน ก่อนจะ
พยักหน้าน้อย ๆ ให้นีย์

          “คือว่า … คือว่า  นีย์จากที่นี่ไปก็นานมากแล้ว และตอนนี้ทุกคนก็อยู่ในที่ที่ปลอดภัยดี  นีย์ก็เลยกะว่า
จะไปทำธุระส่วนตัวสักหน่อย เราอาจไม่เจอกันสักพักนะแซนด์ ซายน์  เจย์”  เจ้ามังกรบอกกล่าวให้ทั้งสามคนรับรู้

          “นีย์กำลังจะทิ้งพวกเราไปเหรอคะ”   น้ำเสียงซายน์เริ่มสั่น

          “นีย์ไม่ได้ทิ้ง   นีย์สัญญาเราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน”

          “นีย์ระวังตัวด้วยนะครับ  ผมกลัวว่านีย์จะไปเจอพวกมันอีก  แล้วพวกเราจะรอนีย์กลับมา”  แซนด์เอ่ย
อย่างเข้าใจพร้อมรอยยิ้ม  ก่อนจะหันมาเอ่ยกับน้องสาวเบา ๆ   “ทุกคนก็ต้องมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องทำ เราจะรั้ง
ให้เค้าอยู่กับเราตลอดไปไม่ได้หรอกนะซายน์” 

          “เอาล่ะ ๆ  เมื่อรู้เรื่องกันดีแล้ว  เรามาคุยเรื่องต่อไปกันดีกว่า”  ท่านผู้เฒ่ากวาดสายตาไปที่ทุกคนอีกครั้ง
ก่อนจะหันมาเหมือนจะจงใจพูดกับซายน์  “ทุกคนคงจะพอเข้าใจเรื่องราวเมื่อสิบหกปีก่อนบ้างแล้ว  ตาม
คำทำนายนั่น ขณะนี้เฮเวนน่าต้องการผู้ที่จะมากอบกู้ ซึ่งก็คือท่าน”

          “ทำไมถึงคิดว่าเป็นซายน์ล่ะครับ  แล้วพี่สาวของคุณป้า เอ๊ย! ..ของท่านหญิงเซร่า  ผมหมายถึง
ท่านพี่ของท่านหญิงเซร่าน่ะครับ  กับเด็กผู้หญิงที่เราเห็นเมื่อวาน ตอนนี้เค้าไม่มีชีวิตอยู่แล้วหรือครับ” 
เจย์ถามด้วยความข้องใจ

          "คำถามข้อนี้ตอบได้ง่ายมาก  สัญลักษณ์ที่มือซ้ายนี่ไง  รอยปรากฏที่หลังมือด้านซ้ายซึ่งราชินีเซ็นย่าก็มี 
แต่ทุกคนคงไม่ทันได้สังเกต  นี่คือสัญลักษณ์ของราชินีแห่งเฮเวนน่า  ซึ่งท่านหญิงซีเวียร์และลูก ๆ ของเธอ
ไม่มี  ถึงแม้ขณะนี้ทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่สามารถครอบครองและกอบกู้เฮเวนน่ากลับมาได้ ”  ท่านผู้เฒ่า
หยุดเว้นจังหวะครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตั้งใจฟัง จึงกล่าวต่อไป  “ท่านหญิงซีเวียร์และลูก ๆ  ของท่าน
ขณะนี้ยังคงมีชีวิตอยู่และอาศัยอยู่ในดินแดนเฮเวนน่า   ดินแดนที่โดดเดี่ยว”

          “ดินแดนที่โดดเดี่ยว”  ทั้งสามทวนคำพร้อม ๆ กัน

         “ใช่ ดินแดนที่โดดเดี่ยว  เพราะตั้งแต่ราชินีเซ็นย่าใช้เวทโบราณสละร่างตนเองแล้ว เฮเวนน่าก็เป็น
เมืองปิด ไม่มีใครสามารถเข้าเมืองได้ แม้แต่คนของเฮเวนน่าเอง ถ้าออกจากเมืองมาก็ไม่สามารถกลับเข้าไปได้”

          “ถ้าเช่นนั้น พวกเราทั้งหมดก็ไม่สามารถเข้าไปในเฮเวนน่าได้สิครับ”  แซนด์ถามด้วยความตกใจ

          “ก็ไม่เชิงหรอก  เส้นทางเข้าออกเฮเวนน่าในขณะนี้มีอยู่เพียงเส้นทางเดียว และไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ใด”

          “อ้าว!”  เสียงแซนด์อุทาน

          “ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า….”  ท่านผู้เฒ่าหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเขา “ข้ายังพูดไม่จบเลยว่าไม่มีใครรู้ว่า
อยู่ที่ใด นอกจากข้ากับราฟา”  เมื่อเห็นรอยยิ้มอาย ๆ ของแซนด์แล้ว ท่านผู้เฒ่าก็เอ่ยต่อไปอย่างอ่อนโยนแต่
เศร้าสร้อย   “หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเฮเวนน่าก็ไม่มีราชินีปกครองเมืองทำให้เกิดปัญหากระทบไปถึงดินแดน
ทั้งสองคือริเวียร์ร่าและแลนด์เดียร์ว่าด้วย เพราะว่าเมื่อขาดราชินี  ก็ไม่มีผู้ใดใช้อำนาจในการควบคุมฤดูกาลได้ 
บางวันเช้าขึ้นมาอาจจะร้อนจนแทบไหม้  แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงอาจจะมีฝนตกตกหนัก  ก่อนจะกลายเป็นหิมะ
โปรยปราย แล้วกลับมาร้อนอีกครั้ง”

          “ชาวเมืองก็แย่สิคะ” 

          “ใช่แล้ว แรก ๆ มีผู้คนล้มตายจำนวนมากจากการปรับสภาพไม่ได้  แต่นานวันเข้าชาวเมืองทั้งสามเมือง
ก็ปรับสมดุลในตัวเองได้ดียิ่งขึ้น  เพื่อรอวันที่จะมีผู้ถูกกำหนดให้มารับตำแหน่งราชินีแห่งเฮเวนน่าคนต่อไป”

          ซายน์เริ่มรับรู้ตัวเองสำคัญเพียงใดต่อโลกพาร์ตรีไดส์แห่งนี้  การกอบกู้ที่ท่านผู้เฒ่าเอสโทสกล่าวถึง
ไม่ใช่เพียงแต่เพื่อเฮเวนน่าเอง แต่มันหมายถึงดินแดนทั้งสามในโลกแห่งนี้ เพื่อการกลับมาอยู่ร่วมกันอย่าง
ร่มเย็นและสงบสุข  “แล้วเราจะต้องทำอะไรบ้างคะ”  เธอถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เด็ดเดี่ยว เหมือนกับ
ตอนที่ตัดสินใจจะเดินทางมาที่นี่

          แซนด์มองหน้าน้องสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของเธอ  เขาก็รู้ทันทีว่า
น้องสาวของเขาได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้แล้ว เธอเข้าใจและยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกอย่างและเขาก็ต้องทำ
ได้เหมือนเธอ 

          “ข้ารู้อยู่แล้ว ข้ารู้อยู่แล้ว”  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยอย่างยินดี  “ท่านต้องมีสายเลือดแห่งการต่อสู้อย่างเต็มเปี่ยม
ท่านราชินีน้อย”

          ซายน์หันไปทำตาดุ ๆ ใส่ราฟา เมื่อเขากำลังก้มหัวลงเล็กน้อยและพยายามกลั้นเสียงหัวเราะกับการเรียก
ของท่านผู้เฒ่า

****************************************


           “ไม่เจอพวกมันงั้นรึ”  น้ำเสียงทรงอำนาจก้องกังวาน

          “ครับ ท่านร็องดอร์”   เทอเรนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  “เราหากันจนทั่วทางสายหมอกทั้งวัน
ทั้งคืนก็ไม่พบใครเลย”

          “พวกมันต้องอยู่กับผู้เฒ่าเอสโทสแน่ ๆ เราถึงไม่มีร่องรอยพวกมันเลย”  เคลอิกล่าวเรียบ ๆ “หลายปี
ที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยหาแหล่งกบดานของมันเจอ คราวนี้คงเป็นงานที่ยากลำบากเช่นเคย”

          “ครูเอล  เจ้าแน่ใจนะว่า  เด็กผู้หญิงคนนั้นจะเป็นราชินีคนใหม่ของเฮเวนน่า”

          “ครับ ท่านร็องดอร์   หลายสิบปีก่อนตอนที่ท่านราชินีเซ็นย่าทำพิธีรับฟอนเป็นสัตว์เลี้ยงประจำตัว ข้าอยู่
ที่นั่นด้วย มีชายชรากล่าวคำทำนายแปลก ๆ  ซึ่งข้าจำมันไม่ค่อยได้แล้ว  รู้เพียงแต่ว่าจะมีผู้เหลือรอดกลับมา
เป็นราชินีคนใหม่เพื่อกอบกู้ดินแดนเฮเวนน่า ข้าไม่เคยนึกว่ามันจะเป็นเรื่องจริงจนกระทั่งราชินีเซ็นย่าใช้เวท
โบราณนั่น  ต้องเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ ๆ ข้าเห็นรอยปรากฏรูปแมลงปอที่หลังมือซ้ายของนาง”   ครูเอลรายงาน

          “ผู้ที่ทำให้เราต้องจับตาดูทางสายหมอกเป็นพิเศษมาถึงสิบหกปี และแล้วมันก็ปรากฏตัว  มันเป็นใคร 
เด็กหญิงผู้เหลือรอด”

          “ข้าว่าคงเป็นบุตรของท่านหญิงเซร่า ที่หนีไปจากพาร์ตรีไดส์  เอ่อ.. เมื่อสิบหกปีก่อน  พร้อม ๆ กับ
วันที่…  วันที่….”

          “พอ…พอแล้ว  ข้าไม่อยากฟัง”  ร็องดอร์ตวาดเมื่อรู้ว่าครูเอลกำลังจะพูดถึงเรื่องของจูเลียกับบุตรชาย
ของเขา  หลังจากที่ราชินีเซ็นย่าใช้เวทโบราณสละตนเองเพื่อปกป้องดินแดนเฮเวนน่า  เขาได้รับบาดเจ็บ
เจียนตาย  ไม่ต้องพูดถึงบรรดาลูกน้องทั้งหมดที่เขาพาไป เหลือกลับมาไม่ถึงสิบคน ครูเอล  ไซเทรน  เทอเรน
และวาเรีย  ก็เป็นสี่คนที่เหลืออยู่ในกลุ่มนั้น  เขาเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ  ที่ไม่สามารถยึดครองเฮเวนน่า
ได้ แถมยังสูญเสียลูกน้องไปเป็นจำนวนมาก  แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสูญเสียที่สุดในชีวิตคือ เมื่อกลับมาแล้ว
พบว่าจูเลียได้พาบุตรชายคนเดียวของเขาหนีไปแล้ว บุตรชายที่เขาไม่เคยเห็นหน้าแม้แต่นิดเดียว   เขาใช้
เวลาหลายปีในการรักษาตัวเองและฟื้นฟูพละกำลังให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมและหาวิธีกลับเข้าไปในเฮเวนน่า
เพราะหากเข้าไปได้  การยึดครองเฮเวนน่าในคราวนี้ก็คงเป็นเรื่องง่าย เพราะไม่มีใครที่เก่งกล้าพอจะต่อกร
กับเขาได้อีกแล้วและหากเขาได้ครอบครองเฮเวนน่าเมื่อไหร่  โลกพาร์ตรีไดส์ก็เหมือนอยู่ในมือของเขา 
และเมื่อนั้น เขาจะหาวิธีตามจูเลียกับลูกกลับมา  วิธีที่จะเข้าออกระหว่างสองโลกได้สะดวก โดยไม่มีอันตราย
ใดที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด   “เวทของเจ้าเฒ่านั่นใช้ได้ทีเดียว  มันสามารถหลบลี้การตามล่าของเรา
มาได้ถึงสิบหกปี เราจะประมาทไม่ได้อีกแล้ว ต้องตามหาผลึกแห่งแสงทั้งหก ให้พบโดยเร็ว ก่อนที่พวกมันจะได้ไป”

***********************


          ซายน์ กำลังเดินตามราฟาไปเงียบ ๆ ลึกเข้าไปในป่าสน หลังจากร่ำลาและส่งนีย์ออกไปตามที่นีย์
ต้องการ โดยมีแซนด์และเจย์เดินตามมาไม่ไกล   เธอกำลังเฝ้าคิดทบทวนเรื่องที่ได้พูดคุยที่โต๊ะอาหาร 
ท่านผู้เฒ่าบอกว่าพวกเราจะต้องตามหาผลึกแห่งแสงทั้งหกให้พบ  ก่อนที่พวกของร็องดอร์จะได้ไป  เพราะ
ผลึกแห่งแสงทั้งหกจะทำให้ผู้ครอบครองสามารถเปิดผนึกเวทโบราณนั้นได้ และยังทำให้ผู้ครอบครองมี
พลังพิเศษเพิ่มขึ้นอีกมากมาย  แต่สิ่งแรกที่ต้องทำในตอนนี้คือการฝึกฝนการใช้เวทมนตร์   เธอหันกลับไป
มองที่พวกพี่ ๆ ที่เดินตามหลังมาอีกครั้ง และคิดว่าพวกเราเนี่ยนะ จะใช้เวทมนตร์ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า
พวกเราจะสามารถใช้เวทได้  แต่ดูแล้วพวกพี่ ๆ ท่าทางจะมีความสุขและตื่นเต้นที่จะได้ลองทำอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ

          “ว้าย!”     ซายน์อุทานอย่างตกใจ เมื่อเดินใจลอยชนเข้ากับร่างของราฟาจนเกือบจะล้ม ดีที่ราฟา
คว้ามือไว้ได้ทัน  “จะหยุดก็ไม่บอก บ้ารึเปล่าหยุดกระทันหันแบบนี้ใครจะไปหยุดทันล่ะ”

         “เธอเดินไปชนเค้าเองนะ  เค้าหยุดเดินสักพักแล้ว  ใจลอยไปถึงไหนละถึงไม่เห็นว่าเค้าหยุด”  แซนด์
ดุน้องเบา ๆ

         “ก็… ก็…” 

         “ช่างเถอะ  เอาล่ะถึงแล้ว  ที่นี่แหละ”  ราฟาตัดบท

         ซายน์เพิ่งจะสังเกตว่าขณะนี้ที่ทุกคนยืนอยู่ ไม่ใช่ในป่าสนแล้ว แต่กลายเป็นที่โล่งกว้างและมีสระบัว
ขนาดใหญ่อยู่ออกไปไม่ไกล กลางสระมีดอกบัวขนาดใหญ่สีม่วงกำลังเบ่งบาน ฝูงแมลงปอหลายสิบตัว
บินโฉบไปมาอยู่รอบๆ สระบัวนั้น  “ดอกบัวสวยจังเลย”  เธออุทานอย่างเพ้อฝัน

          “ท่านอยากได้ดอกบัวนั่นรึเปล่า” 

          “ข้าเหรอ…”  ซายน์ดีใจจนเก็บอาการไม่มิด  “อยากได้สิ ท่านจะเก็บมาให้ใช่มั้ย ขอบใจนะ  ไปสิ
ไปเอามาเลย”

          “พวกท่านต่างหากที่ต้องเป็นคนไปเก็บมา” 

          “หา!” ทั้งสามคนอุทานพร้อม ๆ กัน  “พวกเราเนี่ยนะ ล้อเล่นรึเปล่า  บัวอยู่ตั้งกลางสระขนาดนั้น
แถมดูใบบัวเหล่านั้นสิ แต่ละใบใหญ่จนลงไปนั่งเล่นได้เลยนะนั่น ใครจะกล้าลงไปเก็บล่ะ ในน้ำมีอะไรบ้างก็ไม่รู้” 
แซนด์บ่นพึมพำ

          “นี่คือการฝึกขั้นแรก” 

          “หา!”  ทั้งสามอุทานพร้อม ๆ กันอีกครั้ง  “ว่ายน้ำไปเก็บดอกบัวเนี่ยนะ การฝึกใช้เวท”  คราวนี้เป็นซายน์
ที่เริ่มบ่นบ้าง

          “ใช่  และข้าได้รับคำสั่งมาจากท่านผู้เฒ่าว่าพวกท่านต้องปฏิบัติทุกคน และหากไม่สามารถเก็บบัวไป
ยืนยันได้ ท่านผู้เฒ่าก็สั่งไว้ว่าไม่ต้องกลับไป”

          “อะไรนะ  ไม่ต้องกลับงั้นเหรอ  โหดชะมัดเลย”  หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มยังคงงึมงำไม่เลิก

         “เดี๋ยวนะ… ท่านบอกว่าพวกเราทั้งหมด นี่ท่านหมายถึงข้าด้วยงั้นหรือ ข้าไม่ใช่เชื้อสายคนในโลกนี้
เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา คงไม่มีทางทำอะไรได้หรอก”  เจย์ออกตัวด้วยความเสียดาย

           “ข้อนั้นข้าไม่อาจตอบได้  แต่ท่านผู้เฒ่าได้กำชับมาว่าพวกท่านทั้งสามคนต้องฝึกฝนการใช้เวท
เพราะฉะนั้นพวกท่านต้องเดินไปบนใบบัว เพื่อไปเก็บดอกบัวนั่นมาให้ได้   แต่ต้องระวังหน่อยนะ เอาล่ะ
ใครจะเป็นคนเริ่มก่อน”

          ทั้งสามคนต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก และเกี่ยงกันไม่มีใครยอมเป็นคนเริ่มต้น

          “พี่นั่นแหละ” 

           “เธอนั่นแหละ เธอเป็นคนที่ถูกเลือก เธอต้องเก่งกว่าพวกเราสิ” 

          “นายน่าจะลองก่อนนะแซนด์ นายเป็นพี่” 

           “ข้าว่าเจ้าดีกว่านะเจย์ เราสองคนพี่น้องจะคอยเชียร์” 

          “พี่สองคนเป่ายิ้งฉุบกันสิ ใครแพ้ก็ไปก่อน” 

          “พอ…พอ..พอซะที”  ราฟาตะโกนอย่างรำคาญ  “เกี่ยงกันอยู่นั่นแหละ เมื่อไหร่จะเก็บได้ล่ะดอกบัวนั่นน่ะ”

         “ท่านก็สอนเวทให้เราสิ  เวทที่สามารถทำให้เดินบนใบบัวนั่นได้มีรึเปล่า หรือไม่ก็คาถาอะไรก็ได้ที่ทำให้
ลอยไปเก็บดอกบัวได้”  เจย์ถาม

          “มีสิ  แต่ไม่ใช่ตอนนี้”  เมื่อเห็นว่าทั้งสามจ้องมองมาแบบประหลาดใจ  ราฟาก็เอ่ยต่อ  “ใบบัวในสระนั่น 
บางใบถ้าท่านเหยียบไปมันก็จะจม แต่บางใบท่านสามารถยืนอยู่ได้อย่างสบาย  หน้าที่ของพวกท่านคือ
หาใบบัวที่สามารถรองรับพวกท่านให้เจอ โดยใช้สัญชาตญาณ

          “ใช้สัญชาตญาณ”  เจย์ทวนคำ
          “ใช่...  การใช้สัญชาตญาณ สติและสมาธิ  สามส่วนนี้จะทำให้การใช้เวทของท่านแข็งแกร่งขึ้น  เข้าใจ
แล้วนะ เอาล่ะ คราวนี้ใครจะเป็นผู้ลงมือก่อน”

          “พี่เอง  พี่จะทำให้ทุกคนได้เห็นว่าพี่มีความสามารถเพียงใด  คอยดูนะจ๊ะน้องสาวคนสวย  พี่จะเก็บ
บัวแสนงามนั่นมาฝาก”  แซนด์กล่าวอย่างโอ้อวดติดตลก  โค้งตัวคำนับทุกคนพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้าแสน
ทะเล้น ก่อนจะเดินไปยืนอยู่ริมขอบสระ แล้วค่อย ๆ ก้าวขาอย่างช้า ๆ ลงไปยืนบนใบบัวใหญ่ที่อยู่ติดขอบสระ
มากที่สุด  “เย้!!  เห็นมั้ย ง่าย ๆ แค่นี้เอง”  เขาหันกลับมายักคิ้วพร้อมยิ้มกว้างให้กับทุกคนบนฝั่ง แล้วหันหลัง
กลับเพื่อจะเดินหน้าต่อไป  เขาชั่งใจว่าจะก้าวไปยัง ใบบัวด้านซ้ายหรือด้านขวาดี ก่อนจะตัดสินใจก้าวขา
ไปยังใบบัวใหญ่ด้านซ้าย ซึ่งเขาเห็นว่าน่าจะเดินไปใกล้ดอกบัวได้เร็วกว่าทางด้านขวา

          “ตูม….”

         “ว้าย!!….พี่แซนด์”

          “เฮ้ย!  แซนด์เป็นไงบ้าง” 

          ทั้งสองคนอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าผู้ขันอาสาเป็นหนูทดลองคนแรกได้ร่วงตกน้ำลงไป 
“ฮ่ะ…ฮ่ะ…ฮ่ะ.. ไหน  ล่ะคนเก่ง ร่วงไม่เป็นท่าเลย”  เจย์หัวเราะตัวงอ เมื่อเห็นว่าขณะนี้แซนด์กลับมายืนอยู่
ริมตลิ่งด้วยสภาพเปียกมะล่อกมะแลกผมลีบติดหนังศรีษะมีน้ำหยดติ๋ง ๆ จากปลายผมเขาส่ายหัวเบา ๆ
เพื่อสลัดน้ำ และใช้มือบิดชายเสื้อเพื่อบีบน้ำออก  ราฟาเดินเข้าไปหาเขาก่อนจะร่ายเวทเบา ๆ ไม่กี่คำ
ตัวเขาก็กลับมาแห้งสนิท เหมือนปกติก่อนที่จะตกน้ำลงไป 

         “ก็โอเค ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าไหร่ งั้นชั้นเป็นคนต่อไปเอง”  เจย์เดินไปตบไหล่แซนด์เบา ๆ ก่อนจะก้าว
ไปบนใบบัวใหญ่ใบแรก ซึ่งเป็นใบเดียวกับที่เพื่อนของเขาได้ก้าวลงไปแล้วสามารถยืนอยู่ได้  แต่คราวนี้
เขาเลือกก้าวไปทางใบบัวทางขวาแทนที่จะเป็นทางซ้าย  แต่ผลก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่เมื่อเขาก็ตกน้ำลงไป
เช่นกัน  เมื่อกลับขึ้นมาบนฝั่ง ราฟาก็ใช้เวททำให้เขากลับมาแห้งเป็นปกติ

          การพยายามในการเก็บดอกบัวยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ  ทั้งสามต่างผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ลงไป
เก็บดอกบัว โดยเปลี่ยนมุมที่จะลงไปในสระกันใหม่ตลอดเวลาที่คนใดคนหนึ่งลงไปแล้วก็พลาดเช่นเดิม
ต่างสนุกสนานเฮฮา  คอยหัวเราะ เยาะเย้ย ถากถางด้วยถ้อยคำตลก ๆ กับคนที่เปียกขึ้นมาให้ราฟาได้ใช้เวท
ทำตัวให้แห้งเพื่อรอที่จะกลับไปเป็นผู้ทดลองครั้งต่อไป   จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมง ทั้งสามเริ่มรู้สึก
เหนื่อยมากกว่าที่จะสนุกเหมือนช่วงแรก ๆ แล้ว   ผ่านมาหลายรอบมีเจย์เพียงคนเดียวที่ก้าวข้ามใบบัวไป
ได้มากที่สุดคือสี่ใบ  และตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าจะมัวเล่นอยู่ไม่ได้อีกแล้ว หากยังไม่สามารถเก็บดอกบัวได้
ก็จะไม่ได้กลับบ้าน  ทั้งสามเริ่มเคร่งเครียดกับการก้าวลงสระมากขึ้นเรื่อย ๆ  โดยที่ราฟายังคงใจเย็นยืนคอย
พร้อมกับร่ายเวทซ้ำ ๆ อย่างไม่รู้จักเบื่อ

          “ไม่ไหวแล้วนะ  เหนื่อยจังเลย”  ซายน์นั่งลงข้าง ๆ ราฟาหลังจากที่ตกลงน้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่
ก็จำไม่ได้แล้ว “จะได้กลับบ้านมั้ยเนี่ย  ตั้งนานแล้วยังไปไม่ถึงไหนเลย”

          “ข้าบอกท่านแล้ว  สัญชาตญาณ  สติ และสมาธิ  แต่พวกท่านทั้งสามไม่ได้ใช้มันเลย”  ผู้ใช้เวท
ได้เพียงคนเดียวในกลุ่มขณะนี้ชี้แจงเบา ๆ

         “สัญชาตญาณ  สติ และสมาธิเหรอ”   เจย์พึมพำเบา ๆ  ก่อนจะเป็นรายต่อไปที่จะก้าวลงสระบัว 
เขาถอนหายใจอย่างสงบนิ่งหลับตาลงช้า ๆ  แล้วค่อย ๆ ก้าวขาลงในใบบัวใบแรก  และหลับตาก้าวต่อไป
เรื่อย ๆ จากใบแรก ไปใบที่สอง  ที่สาม  ที่สี่  ที่ห้า จนกระทั่งไปถึงดอกบัวที่อยู่กลางสระ  แซนด์และซายน์
ยืนลุ้นอยู่ริมตลิ่ง โดยมีราฟายืนอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ  เมื่อเห็นว่าเจย์อาจเป็นคนแรกที่ผ่านการทดสอบนี้  และแล้ว
เขาก็ทำได้  เจย์เด็ดดอกบัวด้วยความดีใจ  ก่อนจะหันกลับมาชูดอกบัวขึ้นเหนือหัวเพื่อโชว์ให้คนบนฝั่งได้เห็น

          “ตูม…”

          “หมดกัน”  ราฟาส่ายหัวช้า ๆ พร้อมกับรอยยิ้มน้อย ๆ  โดยที่มีสองพี่น้องฝาแฝดยืนหัวเราะผู้ผ่านการ
ทดสอบที่กำลังว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งพร้อมชัยชนะในมือ

          “เรียบร้อย แค่นี้ก็กลับบ้านได้”  เจย์กลับขึ้นมาบนฝั่งด้วยรอยยิ้มกว้าง

          “ยังกลับไม่ได้หรอก”  สิ้นเสียงราฟา  ทำให้ทั้งสามที่กำลังล้อมวงร่าเริงถึงกับชะงักหันกลับมามอง
เจ้าของเสียงเมื่อสักครู่อย่าง งง ๆ เหมือนจะตั้งคำถามว่ายังจะมีเรื่องอะไรต่อไปอีก “ยังมีดอกบัวอีกสองดอก
ที่ท่านสองคนพี่น้องต้องเก็บไปให้ได้  ตอนนี้มีเพียงเจย์เพียงคนเดียวที่ทำได้แต่ท่านทั้งสองยังไม่มีดอกบัว
ไปยืนยันเลย”

          “ก็ในสระไม่มีดอกบัวแล้วนี่นา แล้วจะให้เก็บดอกบัวที่ไหนละ ใช่มั้ยคะ”  ซายน์หันไปยิ้มให้พี่ชายของ
ตนเองเหมือนขอคำยืนยัน

          “แอ็ดอัพ”   ราฟาร่ายเวทเสียงดังไปทางสระบัว  และเมื่อทั้งสามเพ่งมองไปในสระบัวก็เห็นว่า
ขณะนี้มีดอกบัวดอกใหม่ที่เหมือนกับดอกที่อยู่ในมือเจย์กำลังผุดขึ้นมาแทนที่  “เอาละ คราวนี้ก็มีบัวให้เก็บแล้ว
ท่านสองพี่น้อง ใครจะเริ่มก่อนละ”

          “ข้าเอง”  สาวสวยคนเดียวในกลุ่มขันอาสาอย่างหนักแน่นและจริงจัง  เธอก้าวขาช้า ๆ ลงไปในสระ 
หลับตาเพื่อทำสมาธิตามที่ราฟาบอก  เธอเริ่มรู้สึกถึงความเงียบสงบของบรรยากาศรอบ ๆ ข้าง สายลมพัด
ผ่านเธอไปพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวเหมือนดึงดูดใจให้เธอก้าวเข้าไปหา เธอสูดลมหายใจเพื่อดมกลิ่น
หอมหวานนั้น

           “มาสิท่านราชินีแห่งเฮเวนน่า  มารับตัวข้าไป”   ซายน์รู้สึกแปลกใจกับเสียงเรียกนั่น   “เสียงใคร  นั่น
เสียงใคร”
  เธอตอบกลับไปในใจ  และลืมตาสอดส่ายสายตาหาเจ้าของเสียง แต่คำตอบที่ได้รับทำให้
กระจ่างแจ้งว่า “ข้าเป็นดอกบัวที่น้อมถวายตัวต่อท่าน ท่านราชินี มาเถอะ มารับตัวข้าไป”

          แซนด์  เจย์  และราฟา  กำลังยืนลุ้นว่าซายน์จะทำสำเร็จรึเปล่า  ซายน์ก้าวช้า ๆ ไปบนใบบัวจนเกือบ
จะถึงกลางสระแล้ว  ไม่มีเสียงใด ๆ ออกจากปากคนทั้งสามเนื่องจากกลัวจะทำให้เธอเสียสมาธิ  และแล้วเธอ
ก็สามารถเด็ดดอกบัวมาถือไว้ในมือได้ ทันใดนั้นเหล่าแมลงปอพากันบินมาโอบล้อมตัวเธอไว้เหมือนจะร่วมแสดง
ความยินดี  ภาพตรงหน้าทำให้ทั้งสามถึงกับตกตะลึง   ซายน์ดูสวยงามดุจดั่งเทพธิดา   นางยืนนิ่งอยู่บน
ใบบัวใหญ่สีเขียวเข้ม ผมสีม่วงอ่อนของนางพลิ้วไสวตามแรงลม เหล่าแมลงปอที่บินโอบล้อมเธอ ทำให้
บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเหมือนดังอยู่ในสรวงสรรค์  เธอก้าวเดินช้า ๆ กลับมาบนตลิ่ง  ยิ้มกว้างกับความสำเร็จ

          “เหลือข้าเป็นคนสุดท้ายสินะ ”   แซนด์เอ่ยเบา ๆ  ก่อนจะก้าวลงในสระบัว

********************


          “พี่ค่ะ เริ่มมืดแล้วพอเหอะ  ยังไงเราก็ได้ดอกบัวสองดอกแล้ว ท่านผู้เฒ่าคงไม่ว่าอะไรหรอก”

         “ไม่... พี่ต้องทำให้ได้  ในเมื่อทุกคนทำได้ พี่ก็ต้องทำให้ได้”

         แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งความมืดของรัตติกาลมาเยือน  ทำให้การมองเห็นทำได้ใน
ระยะไม่ไกลนักโดยมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ทำให้พอเห็นอะไรบ้างราง ๆ ไม่ชัดเจน 
แซนด์กลับขึ้นมาจากสระบัวด้วยท่าทางอ่อนระโหยโอยแรง  ราฟาก้าวเข้าไปหาร่ายเวททำให้เขาตัวแห้ง
และบอกให้ทุกคนกลับไปยังที่พัก

          “ทำไมข้าทำไม่ได้  ทำไม”  แซนด์เดินบ่นไปตลอดทางจนกระทั่งเดินพ้นออกมาจากป่าสน แสงสว่าง
จากตัวบ้านทำให้เห็นว่าขณะนี้ท่านผู้เฒ่าเอสโทสกำลังยืนคอยการกลับมาของทุก ๆ คน

          “คงจะหิวกันแล้วสินะ ไป ๆ ทุกคนไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สดชื่น แล้วมากินข้าวกัน”

          “ท่านผู้เฒ่า  ข้าคงต้องขอตัวก่อนรู้สึกเหมือนจะไม่ค่อยสบาย ”  แซนด์กล่าวเศร้า ๆ ก่อนจะเดินเข้าบ้าน
เป็นคนแรก  โดยมีสายตาของทุกคนมองตามไป

         “พี่แซนด์คงจะเสียใจที่ไม่สามารถเก็บดอกบัวมาได้”

          “ทุกคนต้องเจออะไรอีกมาก ทั้งสุข สมหวัง ผิดหวังและเสียใจ  วันเวลาจะค่อย ๆ สอนพวกท่านเอง” 
ท่านผู้เฒ่ากล่าวจบก็เดินนำเข้าบ้านไป

************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น