“ซาโนมูทีฟ” ซายน์เป็นฝ่ายเริ่มรุกใส่ราฟาก่อนด้วยมนต์สะกดที่เธอเคยต้องยืนนิ่งตัวแข็งด้วยเวทนี้
ของครูเอลมาแล้ว เธอกับเขายืนอยู่ตรงกันข้ามหันหน้าเข้าหากันโดยมีระยะห่างประมาณสิบก้าว แต่เขาก็
สามารถป้องกันเวทของเธอได้ง่าย ๆ เพียงแค่ดีดนิ้วเบา ๆ ก็เกิดละอองน้ำสีฟ้าใสครอบตัวเขาไว้เหมือนที่เธอ
เคยเห็นเมื่อเขาปรากฏตัวครั้งแรกเช่นกัน
“เตรียมตัวนะ” เขากล่าวยิ้ม ๆ เมื่อละอองน้ำหายไปเพื่อเตือนให้เธอเตรียมที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับ
“เทอร์โซโพ” เขาร่ายเวททำให้น้ำในสระบัวด้านหลังซายน์ส่วนหนึ่งลอยตัวขึ้นสูงเหมือนลูกโป่งก้อนเล็ก ๆ
ก่อนจะมาแตกดัง โป๊ะ!~ เหนือหัวของเธออย่างรวดเร็ว อาจเพราะความตกใจจากเสียงทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งรับ
และเงยหน้าขึ้นมองหาสาเหตุของเสียง และนั่นก็เท่ากับว่าเธอเงยหน้ารับน้ำที่กำลังไหลชโลมตัวเธอจนเปียกโชก
อย่างเต็มที่
“ฮ่ะ….ฮ่ะ….ฮ่ะ…” เสียงพี่ชายสองคนของเธอหัวเราะประสานเสียงกันกับภาพที่เห็น
“หยุดเลยนะ” เธอตวาดด้วยอาการหน้างอ พร้อมส่งสายตาไม่พอใจไปยังทั้งสองคนที่ยังหัวเราะไม่หยุด
“ถึงคราวของพวกพี่แล้วทำให้ดีเถอะ” ก่อนจะหันมาส่งสายตาดุ ๆ ใส่เจ้าของเวทเมื่อสักครู่อย่างไม่พอใจ “ไดเน็ซ”
เขาร่ายเวททำให้ตัวเธอแห้งเหมือนไม่ได้ถูกน้ำใด ๆ เลยเหมือนเมื่อครั้งที่พวกเธอตกลงในสระเมื่อวันเก็บดอกบัว
แต่เธอกลับขอบคุณเขาด้วยการมองค้อนอย่างงอน ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปสนใจการประลองเวทของคนอีกคู่หนึ่ง
“นายเริ่มก่อนล่ะกัน แซนด์”
“ชั้นเหรอ เอางั้นนะ” เขาตอบกลับด้วยอาการลังเลก่อนจะก้มหน้าก้มตา ทบทวนว่าจะใช้เวทใดเล่นงาน
เจย์ดี เมื่อตัดสินใจได้เขาก็เงยหน้ามองจ้องไปยังฝ่ายตรงข้ามก่อนจะร่ายเวทอย่างประหม่า “เชเชฟ”
“รีพูแบ็ก” เจย์โต้ตอบอย่างทันควัน ทำให้เวทที่แซนด์ใช้สะท้อนกลับไปยังตัวเขาเอง
“ฮ่ะ…ฮ่ะ….ฮ่ะ…..” คราวนี้เป็นเสียงหัวเราะของผู้ร่ายเวทหลังสุดกับหญิงสาว หนึ่งเดียวที่กำลังหัวเราะกับ
สภาพของพี่ชายตัวเองซึ่งขณะนี้มีหูยาวเหมือนกระต่ายงอกออกมาแทนที่ตรงหูเดิม
“ดีนะที่พี่ยังมีสมาธิไม่พอ ไม่งั้นโดนเวทสะท้อนกลับนี่เข้าไปพี่คงกลายเป็นกระต่ายทั้งตัวไปแล้ว คิดยังไง
ถึงจะเปลี่ยนร่างพี่เจย์เป็นกระต่ายล่ะ”
“รีออลี่” เจย์เป็นฝ่ายร่ายเวทคืนสภาพให้กับแซนด์
“นี่พวกเจ้าหัดฝึกเวทอื่น ๆ นอกเหนือคำสั่งข้าด้วยหรือ” ราฟากล่าวขึ้นมาลอย ๆ อย่างไม่จริงจังอะไรมากนัก
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนใช้เวทที่ตนเองไม่ได้สอนให้ฝึกได้
“แปะ … แปะ…แปะ…” เสียงปรบมือดังมาจากท่านผู้เฒ่า พร้อมส่งยิ้มให้กับทุกคน “พวกท่านใฝ่รู้ดีมาก
ข้าดีใจและพอใจมากที่พวกท่านขยันฝึกฝนและหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง พวกท่านประลองเวทกันต่อเถอะ
ข้าอยากรู้ว่าพวกท่านได้ค้นพบและฝึกฝนการใช้เวทใด ๆ ได้อีกบ้าง” ด้วยคำพูดที่แสดงออกถึงความยินดี ทำให้
ทั้งสามถอนหายใจโล่งอกเพราะกลัวจะถูกดุจากการแอบฝึกฝนเวทอื่น ๆ นอกเหนือคำสั่ง
“เฮิลสโตน” ซายน์ได้โอกาสในขณะที่คู่ต่อสู้ของตัวเองไม่ทันระวังตัวร่ายเวทที่เห็นจากเหตุการณ์ใน
ภาพนิมิตเข้าใส่ แต่ถึงเขาจะไม่ทันระวังตัว เขาก็สามารถป้องกันได้ทันแบบเฉียดฉิวด้วยการดีดนิ้วใช้ละอองน้ำอีกครั้ง
“แหม…ท่านราชินีน้อย เล่นงานกันตอนไม่ทันระวังตัวเลยนะ ไม่เลวนี่ หัดใช้เวทตามเจ้าร็องดอร์ซะด้วย”
“ใครบอกว่าข้าใช้เวทตามเจ้านั่น ถึงเจ้านั่นจะเคยใช้ แต่เวทนี้ข้าก็ค้นหาจากตำราเซริทิซและฝึกด้วยตัวเอง
ว่าแต่ท่านเถอะ คิดแต่จะตั้งรับด้วยวิธีนี้เท่านั้นหรือ”
“ท่านเตรียมตัวรับมือข้าดีกว่า” เขาหยุดนิดนึงเพื่อให้เธอได้ระวังตัว “โซมิแอร์”
“บาเฟนด์” เธอใช้เวทเพื่อป้องกันตนเองทันที ทำให้เกิดแผ่นฟิมล์บาง ๆ ป้องกันคำสั่งเวทของเขาไวได้
“เย้!!” ซายน์กระโดดด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าตนเองปลอดภัยจากเวทของเขา “ท่านทำให้ข้าลอยตัวอยู่
กลางอากาศไม่ได้หรอก”
“ถึงทีของข้าบ้างล่ะนะ แซนด์ ระวังนะข้าจะเริ่มแล้ว” เจย์เอ่ยเตือนเบา ๆ หลังจากเห็นว่าคู่ต่อสู้ข้าง ๆ ได้
ประลองเวทเสร็จสิ้นไปอีกครั้งหนึ่งอย่างปลอดภัย “แอ็ททอโซ” เขาร่ายเวทที่จะทำให้แขนขาของคู่ต่อสู้
แนบติดกับลำตัว
“บาเฟนด์”
“พี่แซนด์ พี่ทำได้ เห็นมั้ย พี่ใช้เวทป้องกันตัวเองได้ พี่ไม่เป็นอะไรจากเวทของพี่เจย์เลย” ซายน์แสดง
อาการดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นว่าพี่ชายสามารถใช้เวทได้ดีกว่าตอนซ้อม
แซนด์ค่อย ๆ ลืมตาสำรวจตัวเอง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติก็ดีใจไม่แพ้กัน “เย้!!!~ คราวนี้ไม่ได้แอ้มหรอก เจย์
ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า… ต่อไปถึงคราวของชั้นล่ะนะ เตรียมตัว ……ซิวิฟโดซ”
“ตึง….”
เจย์ล้มทั้งยืน ลงไปนอนหงายอยู่บนพื้น เขาตั้งใจจะไม่ป้องกันตัวเอง เพราะอยากจะให้เพื่อนรู้สึกมั่นใจในฝีมือ
ตนเองว่าสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ ทำให้เขาถูกเวททำให้หลับของแซนด์เข้าเต็ม ๆ
“เย้….สำเร็จ ๆ ๆ เวกเกอร์” แซนด์ดีใจกับผลสำเร็จตรงหน้า เวทที่เขาใช้ สัมฤทธิ์ผลเกินกว่าที่คาด และ
เขาก็เป็นคนร่ายเวทปลุกเจย์ขึ้นมา
“อูย….เจ็บชะมัดเลย ชั้นยังไม่ทันระวังตัวเลยนะ” เจย์ลุกขึ้นมายืนคลำท้ายทอยสะบัดหัวไปมา พร้อมทั้ง
โอดครวญเพื่อให้ดูว่าตนเองป้องกันตัวไม่ทันจริง ๆ แต่อาการเจ็บของเขาไม่ใช่การเล่นละครเลย เพราะอยู่ ๆ ก็
ล้มตึงไปทั้งตัวไม่มียั้งเช่นนั้น มันทำให้เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
“ท่านผู้เฒ่าเอสโทสคะ” อยู่ ๆ หญิงสาวก็เหมือนจะคิดอะไรได้ รีบวิ่งเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าที่ยืนดูอยู่ไม่ไกล
และพูดคุยอะไรกับท่านผู้เฒ่าสองสามคำ ก่อนจะเดินกลับมาด้วยรอยยิ้มพรายที่ดูเจ้าเล่ห์เหลือเกิน
****************************************
“ครูเอล ข้าขอถามอะไรท่านสักหน่อยได้หรือไม่”
“ว่ามาซิ วาเรีย”
“ข้าอยากรู้ว่า ทำไมอยู่ ๆ ท่านถึงต้องการไปเผ่าคาร์มีล คงไม่ใช่เพราะมันเป็นหนึ่งในเผ่าที่มีอาณาเขต
อยู่ติดกับเขตแดนของเฮเวนน่าหรอกนะ”
“ข้าตอบคำถามเจ้าข้อนี้ไม่ได้หรอกนะ วาเรีย เพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ข้ารู้เพียงแต่ว่าอยู่ๆ ข้าก็
นึกถึงเผ่าคาร์มีลขึ้นมา ข้าเชื่อว่ามันอาจมาจากความสามารถพิเศษของชาวเฮเวนน่า … สัญชาตญาณ”
“เราอาจจะเจอของสำคัญในเผ่าที่ห่างไกลและเข้าถึงยากเช่นนี้ก็ได้” เทอเรนให้ความเห็นสมทบอีกคน
หลังจากเดินฟังการสนทนาของทั้งคู่มาระยะหนึ่ง
“ผ่านป่านี้ไปก็จะถึงที่อยู่ของเผ่าคาร์มีลแล้ว บอกให้ทุกคนเตรียมตัวไว้ด้วย” เสียงแหบ ๆ ของครูเอลสั่งการอีกครั้ง
*****************************************
“เธอนี่ เจ้าเล่ห์จริง ๆ เลย” เจย์กระซิบกับซายน์ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน
“อันที่จริงก็ดีเหมือนกันนะ ค่อยอุ่นใจหน่อย ช่วย ๆ กันแบบนี้”
“เอาให้เต็มที่เลยนะ โอกาสดีมาถึงแล้ว” ซายน์ยิ้มทะเล้นให้กับสองคนที่ยืนขนาบข้างตนเองอยู่ ขณะนี้
ทั้งสามคนกำลังยืนประจันหน้าอยู่กับคู่ต่อสู้ ซึ่งคือชายหนุ่มเจ้าของผมสีฟ้าจางๆ จากคำขอของเธอที่ขอให้
ท่านผู้เฒ่าอนุญาตให้พวกเธอสามคนประลองเวทกับราฟา ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเธอเพิ่งฝึกหัดการใช้เวท น่าจะ
ลองร่วมกันต่อสู้กับผู้มีฝีมือดูบ้างว่าหากสามคนรวมกันสู้แล้วจะได้ผลมากน้อยเพียงใด
“ข้าจะไม่เตือนพวกเจ้าทุกครั้งก่อนจะใช้เวทแล้วนะ ต่อไปนี้จะเป็นการประลองเวทอย่างจริงจัง ระวังตัวให้ดีด้วย”
“เชเชฟ” “ซาโนมูทีฟ” “ซิวิฟโดซ” ทั้งสามคนร่ายเวทพร้อม ๆ กัน
ราฟายกมือขวาขึ้นระดับหน้าอก กางนิ้วทั้งห้าออกเกิดโล่น้ำวนป้องกันเวททั้งหมดไว้ ก่อนโล่น้ำวนของเขา
จะค่อย ๆ หมุนเร็วขึ้น ๆ “รีพูแบ็ก” และเขาก็ร่ายเวทเพื่อสะท้อนเวทต่าง ๆ ของทั้งสามคนให้กลับไปยังเจ้าของ
เวทนั้น ๆ
“บาเฟ้นด์” เจย์กับซายน์ใช้เวทป้องกันตัวเองพร้อม ๆ กัน แต่แซนด์ที่มัวแต่จ้องมองโล่น้ำวนจนลืมป้องกัน
ตัวเองซะสนิท เลยโดนเวทที่ตนเองร่ายไปอย่างเต็ม ๆ ทำให้เขาล้มลงไปนอนหลับสนิทอยู่กับพื้นข้าง ๆ ซายน์
“พี่แซนด์…บ้าจริง… เวกเกอร์” เธอใช้เวทปลุกพี่ชายให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“อูย…เจ็บจริง ๆ ด้วย” เขาลุกขึ้นมายืนคลำหัวป้อย ๆ พร้อมกับหันไปบอกกับเจย์เหมือนจะเข้าใจอาการ
ของเพื่อนเมื่อสักครู่
“เราคงต้องโจมตีคนละทิศทางแล้วล่ะ ถ้าเรายังยืนรวมกันอยู่อย่างนี้ มันก็ง่ายที่จะถูกโจมตีกลับ เราน่า
กระจายตัวออกไปแล้วรุมนายนั่นจะดีกว่านะ” ซายน์ออกความเห็นเบา ๆ พอให้ได้ยินกันสามคน “นับหนึ่งถึงสาม
เริ่มเลยนะ หนึ่ง …สอง…สาม!”
“เฮิลสโตน”
“ไบน์โรฟ”
“เชเชฟ”
ซายน์ยืนอยู่ที่เดิมประจันหน้ากับราฟา ร่ายเวทที่ทำให้บรรดาลูกหินทั้งหลายบนพื้นพุ่งตรงเข้าใส่เขา
พร้อมกับที่เจย์วิ่งออกไปทางซ้ายมือของราฟาและร่ายเวทที่ทำให้เกิดเส้นใยบาง ๆ สีขาวพุ่งเข้าใส่เพื่อมัดตัวคู่ต่อสู้
ส่วนแซนด์วิ่งอ้อมออกไปทางขวา และเลือกที่จะใช้เวทเปลี่ยนร่าง แต่คู่ต่อสู้ของพวกเขาก็สามารถหลบรอดพ้น
จากเวททั้งสามนี้อย่างง่ายดาย
“ลองอีกครั้งคะ” เธอตะโกนให้สัญญาณ
“แอ็กทอโซ” ยังไม่ทันที่ทั้งสามจะใช้เวทครั้งใหม่ ราฟาก็ทำให้มือของพวกเขาทั้งสามแนบติดกับลำตัว
“ไบน์โรฟ” แถมด้วยเวทที่ทำให้เกิดเส้นใยบาง ๆ สีขาวพุ่งเข้ามัดตัวพวกเขาทั้งสามไว้และพาทั้งหมดไปส่งให้
กับผู้เฒ่าเอสโทส เหมือนกับการจับเชลยศึกมาส่งให้กับท่านแม่ทัพ
“ฮ่า…ฮ่า….ฮ่า” ท่านผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “พวกท่านมีความสามารถมากจริง ๆ ไม่น่าเชื่อ เวลาแค่
ไม่กี่อาทิตย์พวกท่านสามารถทำได้ถึงเพียงนี้ ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว พวกท่านคงต้องใช้สมาธิและการฝึกฝน
ที่มากกว่านี้อีกหน่อยถึงจะรับมือราฟาได้ อ้อ…ราฟา เจ้าสอนให้พวกเขาคุยกันผ่านกระแสจิตด้วยนะ จะได้ไม่ต้อง
ตะโกนสั่งกันให้คู่ต่อสู้รู้ได้โดยง่ายเหมือนเมื่อครู่นี้อีก”
“ครับ ท่านผู้เฒ่า” ราฟาหันไปโค้งตอบรับกับคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา
“แวนนิช” ท่านผู้เฒ่าเป็นผู้ร่ายเวทสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยทั้งสามจากเครื่องพันธนาการต่าง ๆ
**************************************
“ไม่เห็นจะมีใครอยู่เลยสักคน ข้าบอกแล้วไม่สมควรมาที่นี่ มันเป็นหมู่บ้านร้างชัด ๆ” โลนอฟเริ่มออกอาการ
กวน ๆ อีกครั้งเมื่อทุกคนเข้ามาถึงใจกลางหมู่บ้านของเผ่าคาร์มีล แต่ตลอดทางที่ผ่านเข้ามาตั้งแต่ปากทางเข้า
หมู่บ้านจนถึงขณะนี้ที่ทุก ๆ คนกำลังยืนล้อมวงกันอยู่เป็นลานกว้างซึ่งมีกระท่อมไม้เนื้ออ่อนปลูกล้อมไว้เป็นชั้น ๆ
ออกไป กลับไม่พบสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่เลย
“พวกเจ้าปรากฏตัวออกมาได้แล้ว อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังเลย” ครูเอลเอ่ยช้า ๆ แต่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ทุกอย่าง
ก็ยังคงเงียบสงบเช่นเดิม
“ฮึ…ไงล่ะท่านผู้นำ”
“เจ้าเงียบเถอะ โลนอฟ” วาเรียตวาดอย่างเหลืออด
“ถือว่าข้าได้เตือนพวกเจ้าแล้วนะ ปรากฏตัวมาตอนนี้ดีกว่า ไม่งั้นพวกเจ้าจะเสียใจภายหลัง” ถึงแม้ครูเอลจะ
ให้โอกาสอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ รอบ ๆ ตัวอยู่ดี
“ไฟร์เกล” เขายกมือทั้งสองข้างชูขึ้นเหนือหัวก่อนจะร่ายเวทเรียกพายุไฟโหมกระหน่ำเข้าใส่บ้านหลังต่าง ๆ
ที่ล้อมรอบลานกว้างโดยที่พายุไฟเหล่านั้นไม่ได้โจมตีมาในลานกว้างเลย
“กรี๊ด…”
“โอ๊ย!!!!!!”
“ว้าย..”
“ช่วยด้วย……..”
“แง้!!!!!!!”
สารพัดเสียงร้องโอดครวญ โวยวาย ตื่นตระหนกดึงกระหึ่มขึ้นทันทีที่พายุไฟเริ่มพุ่งเข้าใส่ตัวบ้าน และเริ่มมี
ผู้คนทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็กและคนแก่ วิ่งหนีไฟเหล่านั้นเข้ามาในลานกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต็มพื้นที่
โดยล้อมรอบแขกผู้มาเยือนไว้ ด้วยอาการทั้งตื่นกลัวและระแวดระวังเต็มที่ พร้อมจะลงมือทำร้ายผู้เผาที่พักอาศัย
ของพวกเขาได้ทุกเมื่อ
“พวกท่านต้องการอะไร” เสียงทรงอำนาจแต่แข็งกระด้างจากปากชายร่างสูงใหญ่กำยำหน้าตาคมเข้ม
น่าเกรงขามเดินแหวกวงล้อมเข้ามายืนประจันหน้าอยู่กับครูเอลเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
“ข้าเตือนพวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติตาม” เสียงแหบแห้งตอบอย่างไม่เกรงกลัวจากการถูกโอบล้อม
แม้แต่นิดเดียว
“พวกข้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ที่มาเยือนที่นี่โดยที่พวกข้าไม่รู้จุดประสงค์เช่นนั้นรึ” น้ำเสียงยังคงแสดง
อารมณ์โกรธเกรี้ยวอยู่เช่นเคย
“ข้อนั้นข้าคงไม่สามารถตอบคำถามของเจ้าได้ ข้าต้องการพบหัวหน้าเผ่าแห่งนี้”
“ข้าเอง มีนามว่า วาเลน” ชายคนเดิมตอบอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้ารึ” ครูเอลมองอย่างคนตรงหน้าอย่างสงสัย “ฮึ…ใช้ได้นี่ ยังดูเด็กอยู่แท้ ๆ แต่กลับเป็นถึงหัวหน้าเผ่า
แต่ข้าสงสัยว่าถ้าเจ้ามีฝีมือจนได้รับเลือกเป็นหัวหน้าตั้งแต่ยังหนุ่มขนาดนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่ถูกส่งไปยังปราสาท
แลนด์เดียร์ว่า”
“อ๋อ….พวกเจ้าเป็นคนของร็องดอร์เองหรือนี่”
“บังอาจมาก…นี่เจ้ากล้าเรียกท่านร็องดอร์เช่นนี้หรือ” วาเรียตวาดด้วยความโมโหกับท่าที ยโสโอหังของ
ฝ่ายตรงข้าม
“เผ่าของเราไม่มีพันธะสัญญาใด ๆ กับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่มีสิทธิมาวางอำนาจที่นี่”
“หมดพันธะสัญญางั้นหรือ เจ้าพูดอะไร”
"ฮึ…ฮึ…ฮึ.. สัญญาที่พวกเจ้าร่างขึ้นเอง พวกเจ้าก็จำกันไม่ได้หรือไง” เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนยังคงยืนนิ่ง
วาเลนจึงกล่าวต่อ “เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่พวกเจ้ายึดครองแลนด์เดียร์ว่า ทำให้ดินแดนที่เคยมีแต่ความสงบแทบลุก
เป็นไฟ พวกเราถึงแม้จะแตกต่างแต่ก็อยู่ร่วมกันมาอย่างมีความสุข จำต้องแตกแยกออกไปปกครองตนเองเป็น
เผ่าต่าง ๆ แต่พวกเจ้าก็ไม่หยุดที่จะกระทำการข่มเหงพวกเรา บังคับให้หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ในสมัยนั้นจำต้องยอมรับ
สัญญาที่พวกเจ้าก่อขึ้น พันธะสัญญาที่ทุกเผ่าต้องส่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร แม้กระทั่งยอดฝีมือเข้าไปเป็นลูกน้อง
พวกเจ้าปีละห้าคน”
“ข้อนั้นข้ารู้ดี แต่ทุกเผ่าก็ยังคงปฏิบัติตามสัญญาเช่นนี้อยู่ด้วยดี แล้วเหตุใดเจ้าถึงบอกว่าเผ่าคาร์มีลหมด
พันธะสัญญานี่แล้ว”
“คนของพวกเจ้า ไม่ได้ติดต่อมาเพื่อรับของบรรณาการเหล่านั้นรวมถึงยอดฝีมือของเผ่าคาร์มีลมาเป็นเวลา
ห้าปีติดต่อกันแล้ว ถ้าท่านจำสัญญาได้ ท่านน่าจะรู้ว่าการไม่ติดต่อมา ถือว่าเป็นการยกเลิกสัญญาโดยปริยาย”
“ห้าปี…ห้าปีอย่างนั้นรึ” ครูเอลหันกลับไปถามผู้บัญชากองกำลัง ที่ขณะนี้ก้มหน้าก้มตาเหมือนกำลังจะหา
ทางออก “ห้าปีที่ผ่านมา ข้าหวังว่าเจ้าจะมีคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าเอาอะไรมาพูด พันธะสัญญาทั้งหลายเคยเป็นเช่นไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น มีข้อกำหนดบ้าบอนี่ที่ไหนกัน
ห้าปีอะไรกัน เพ้อเจ้อรึเปล่า ข้าก็ให้ลูกน้องมาที่นี่ทุก ๆ ปี” โลนอฟออกอาการโมโหเพื่อกลบเกลื่อน
“หรือเจ้าจะปฏิเสธว่าไม่จริง ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเห็นคนของร็องดอร์มาเสนอหน้าที่นี่แม้แต่คนเดียว”
“ข้าว่าคนที่จะตอบคำถามข้อนี้ได้ดีที่สุด คงจะเป็นท่านผู้บัญชากองกำลัง” วาเรียหันมายิ้มเยาะ
“ข้าปฏิบัติงานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมาด้วยดีโดยตลอดไม่มีบกพร่อง พวกเจ้าอย่าหาเรื่องข้าเลย”
“การจะพิสูจน์เรื่องนี้ง่ายมาก เผ่าที่ผูกพันกับพันธะสัญญาจะเหมือนโดนคำสาปหรืออำนาจเวทมนตร์ใด
ก็แล้วแต่ ทำให้ไม่สามารถต่อสู้ ขัดขืน ฟาดฟันกับคนของร็องดอร์ได้ ถ้าพวกเจ้าอยากรู้ว่าพันธะสัญญานั่นยังอยู่
หรือไม่ ก็ลองเข้ามาได้เลย” วาเลนกล่าวจบบรรดาคนในเผ่าทั้งหมดต่างถอยออกจากกึ่งกลางของลานกว้างมา
ล้อมอยู่ห่าง ๆ รอบนอกแทน ปล่อยให้หัวหน้าเผ่า ประจันหน้าอยู่กับแขกผู้เยือนทั้งหมดตามลำพัง
“เจ้ามันโอหังนัก จัดการมันซะ” โลนอฟหันไปสั่งลูกน้อง ในขณะที่ครูเอล วาเรีย เทอเรน และไซเทรน
ต่างก็ถอยออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์
บรรดาลูกน้องที่ได้รับคำสั่งต่างดาหน้าเข้าไปล้อมร่างวาเลนที่กำลังโค้งตัวลงต่ำ แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงคราง
อย่างหวาดกลัวดังออกมา “ท่าน….. ท่าน….โล…นอฟ….มัน…..มัน”
“จัดการมันสิ พวกแกยืนนิ่งกันอยู่ได้”
แต่เหมือนจะเป็นการขัดคำสั่ง บรรดาลูกน้องทั้งหมดของโลนอฟ ต่าง ๆ ค่อยถอยหลังห่างออกมาทีละก้าว
เมื่อวาเลนค่อย ๆ หยัดร่างกายให้ยืดตรงขึ้นทีละน้อย แต่วาเลนตรงหน้าขณะนี้เปลี่ยนไป เพราะเมื่อเขากลับยืน
เต็มตัวครั้งนี้ ตัวเขาสูงเพิ่มกว่าเก่าเกือบเท่าตัว ร่างกายเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผิวหนังตามแขนขาไม่เรียบ
เกลี้ยงเช่นเคย แต่กลับกลายเป็นผิวที่ขรุขระ ตะปุ่มตะป่ำและดูหยาบหนากว่าเก่า ผมสั้นตั้งชี้ขึ้นแข็งเป็นแฉก ๆ
แหลมคมกระด้าง ดวงตาปูดโปนเหมือนกิ้งก่า ที่นิ้วมือทั้งสิบมีเล็บที่ขาวขุ่นหนาเหมือนเล็บสัตว์ยื่นยาวออกมา
“ไม่ต้องกลัว เข้าไปจัดการมันเลย มันมีพันธะสัญญากับท่านร็องดอร์ มันทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้หรอก”
ผู้บัญชากองกำลังออกคำสั่งอีกครั้ง แต่เป็นการคิดที่ผิดถนัด เพราะเมื่อลูกน้องคนแรกของเขาเข้าไปใกล้ร่างสูง
ใหญ่นั้น กลับถูกตวัดด้วยกรงเล็บที่แหลมคมจนเลือดสาด กระเด็นออกมานอนอยู่แทบเท้าเขานั่นเอง และนั่นก็
ทำให้ลูกน้องที่เหลือขวัญหนีดีฝ่อมากขึ้นไปอีกจนไม่มีใครกล้าเข้าเป็นรายต่อไป “พวกแกมีอาวุธ จะกลัวอะไร
กับคนมือเปล่าอย่างนั้น เข้าไปซิ เข้าไปพร้อม ๆ กัน มันสู้พวกแกไม่ได้หรอก” เขาออกคำสั่งกระตุ้นอีกครั้ง
ลูกน้องที่เหลือของโลนอฟต่างเงื้อดาบเข้าฟันร่างสูงใหญ่ของวาเลนพร้อม ๆ กัน แต่คมดาบนั้นกลับไม่
สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อผิวหนังอันหยาบกร้านนั้นได้เลย ไม่ว่าจะลงดาบฟันซ้ำสักกี่ครั้ง ร่างสูงใหญ่ก็ไม่มี
อาการสะดุ้งสะเทือนใด ๆ แต่การตอบโต้กลับเพียงนิดเดียวของวาเลนด้วยการใช้มืออันแข็งแรง และกรงเล็บ
อันแข็งแกร่งกวาดร่างที่ล้อมรอบอยู่เป็นวงกลม ก็ทำให้ร่างเหล่านั้นกระเด็นกระดอนออกไปนอนร้องโอดโอยกับ
บาดแผลที่ได้รับ
“พวกเจ้าคงเห็นแล้วว่า เผ่าคาร์มีล หมดพันธะสัญญากับพวกเราแล้ว” เสียงของหัวหน้าเผ่าก้องเหมือน
เสียงคำรามของสัตว์ “มีอะไรที่พวกเจ้าสงสัยอีกหรือไม่”
“พอได้แล้ว แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร” ครูเอลเข้ามาห้ามเมื่อเห็นว่ากำลังจะมีการต่อสู้กันอีก
ระหว่างหัวหน้าเผ่ากับผู้บัญชากองกำลัง “เรามาครั้งนี้ไม่ได้จะมาเพื่อต่อสู้กับพวกเจ้า” เขาหันกลับมาพูดกับ
วาเลน “ในเมื่อเผ่าคาร์มีลหมดพันธะสัญญาแล้ว ตอนนี้พวกเราก็ต้องให้ความเคารพในฐานะเผ่าเอกราช ถือว่า
ข้ามาในฐานะทูตแห่งไมตรีแล้วกัน”
“ฮึ…ฮึ…ฮึ…ทูตแห่งไมตรีงั้นรึ สิ่งที่เจ้าทำกับพวกข้าเป็นการแสดงไมตรีจิตที่กรุณายิ่ง” วาเลนซึ่งขณะนี้
กลายร่างมาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเอ่ยขึ้น
“หากหมายถึงบ้านเรือนของพวกท่าน ข้าต้องขอโทษ…..”
“ครูเอล” เสียงวาเรียเรียกขึ้นขัดจังหวะการพูดอย่างไม่พอใจ ที่เห็นว่าเขาก้มหัวขอโทษกับผู้อยู่ตรงหน้า
เหมือนเป็นการลดเกียรติของท่านร็องดอร์
“เจ้าเงียบเถอะ” ครูเอลปรามเสียงเข้ม “พวกเรามาที่นี่เพื่อต้องการหาข่าวเท่านั้น เรื่องที่พักของพวกท่าน
เราจะส่งคนมาช่วยจัดการให้จนเสร็จสิ้นดังเดิม”
“ส่งคนมาช่วยจัดการ ใช่สินะ หากร็องดอร์รู้เรื่องนี้ก็คงต้องมีการส่งคนมากำจัดเผ่าคาร์มีลเช่นเดิม เพราะ
คนอย่างร็องดอร์ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้เงื้อมมือของตนเอง คงไม่ยอมให้ใครเป็นเอกราช อยู่นอกเหนือ
การกุมอำนาจของมันหรอก”
“เอ๊ะ…เจ้านี่ ยโสโอหังนัก จะมัวแต่เจรจากับมันทำไมครูเอล จะเป็นเอกราชงั้นรึ เผ่าเล็ก ๆ แค่นี้กำจัดให้
สิ้นซากจะดีซะดีกว่า” หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มผู้มาเยือนออกอาการฮึดฮัดไม่พอใจ โดยไม่รอฟังเสียงใด ๆ
เธอใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่โคนขาทั้งสองแล้วค่อย ๆ ดึงอาวุธออกมา มันคือดาบที่มีใบมีดอันบางเฉียบสีดำสนิท
ยาวจากโคนขาอ่อนถึงข้อเท้า
“ที่เก็บอาวุธไม่ธรรมดานี่” วาเลนหรี่ตามองไปที่ร่างของหญิงสาวตรงหน้า “ดาบธินที่ทำมาจากแร่เฮมาไทต์
ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือขุนพลหญิงแห่งแลนด์เดียร์ว่าที่มีนามว่าวาเรียสินะ”
“เจ้ารู้จักข้าก็ดีแล้ว ตายไปจะได้ไม่ต้องค้างคาใจ” พูดจบเธอก็พุ่งเข้าหาหัวหน้าเผ่าคาร์มีลทันที แต่วาเลน
ซึ่งระวังตัวอยู่แล้วกระโดดหลบด้วยความว่องไว ก่อนจะกลายร่างอีกครั้งและพุ่งเข้าหาเธอทันทีเช่นกัน ดาบคู่
ของเธอประสานกันเพื่อคอยกั้นกรงเล็บอันแข็งแกร่งที่โหมกระหน่ำฟาดฟันเข้าใส่ทั้งซ้ายและขวา ชั่วขณะหนึ่งที่
เธอถอยร่นเพื่อผ่อนแรงถาโถมของวาเลนที่สูงกว่าเธอยิ่งนัก ทำให้เธอเสียหลักล้มลงแต่นั่นมันกลับทำให้เธอได้
โอกาสกลิ้งหลบก่อนจะกระโดดขึ้นใช้ดาบคู่ในมือฟันเข้ากลางหลังของเขาพอดี
หลังของวาเลนเกิดรอยแผลคู่ตามรอยดาบของวาเรียทันที แต่ไม่มีเลือดไหลออกจากบาดแผลนั่นแม้แต่
นิดเดียว และเพียงชั่วพริบตาเดียวแผลนั่นก็กลับสมานตัวเองกลับมาเป็นปกติ
“เป็นไปได้ไง ดาบธินของข้า แม้แต่ผู้ใช้เวทยังต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรักษาแผลให้หายขาด ยิ่ง
คนธรรมดาไม่ต้องพูดถึง ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้แน่นอน แต่นี่….”
“ผลึกคริสโซโคลลา” เสียงแหบ ๆ อุทานขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
*******************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น