นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 12 ผลึกแห่งแสง

 

 

          “ผลึกคริสโซโคลลา”

          “อะไรนะ”  เทอเรนกับวาเรียประสานเสียงพร้อมกัน

          “หนึ่งในผลึกแห่งแสง  ผลึกหินสีเขียวที่ทำให้ผู้ครอบครองกระฉับกระเฉง ไม่อ่อนเพลียง่ายและที่สำคัญ
ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากการบาดเจ็บ”  ครูเอลอธิบาย  “เราพบแล้ว  เราพบผลึกแห่งแสงแล้ว”

          “อยู่ที่นี่เอง”  วาเรียรำพึงขึ้นมาลอย ๆ   ขณะนี้การต่อสู้หยุดชะงัก  ครูเอลเดินเข้ามาหาวาเลนที่ยังคงยืนนิ่ง
อย่างระวังตัว  วาเรียเก็บดาบโดยประกบดาบทั้งสองเข้าที่โคนขา  ก่อนที่มันจะกลืนหายไปกับร่างของเธอ

          “เจ้าเก็บผลึกคริสโซโคลลา ไว้ที่ไหน  มอบมันให้พวกเราเถอะ  แล้วเราจะเรียนให้ท่านร็องดอร์ทราบว่า
เราได้มันมาจากพวกท่าน  ท่านร็องดอร์จะต้องพอใจเป็นอันมาก  และข้าขอรับประกันว่าหากเจ้าต้องการสิ่งใด
ท่านร็องดอร์ต้องตกลงแน่นอน”  ชายร่างเล็กเจรจาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น

          “พวกเจ้าหมายถึงอะไร”

          “ผลึกสีเขียว  เจ้าเก็บผลึกสีเขียวไว้ที่ไหน” หญิงสาวเจ้าของดาบคู่บางเฉียบยังคงอารมณ์ร้อนพูดจา
กระโชกโฮกฮากเข้าใส่

          “ผลึกสีเขียว??  เจ้าหมายถึงลูกแก้วของอดีตหัวหน้าเผ่างั้นรึ”  วาเลนถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัย

          “ข้าขอดูหน่อย ได้หรือไม่”

          “ไม่ได้”  เจ้าของร่างสูงใหญ่สีน้ำตาล คำรามตวาดกลับเกือบจะทันที  “ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะต้องการมัน
ไปเพื่อเหตุใด แต่ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าได้มันไปครอบครองได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน”

          “ถ้าเป็นเช่นนั้นเราคงต้องแย่งชิงมันจากท่านแล้วล่ะ”  เสียงแหบ ๆ กล่าวเนิบ ๆ แต่จริงจังยิ่งนัก

          “เข้ามาได้เลย”

***************************

          “ได้ยินใช่มั๊ย  พี่เจย์”

          “อืม….ได้ยิน   แซนด์  นายล่ะ ได้ยินรึเราสองคนรึเปล่า”

          “ได้ยินซิ   ดี ๆ  ชั้นชอบจังเลย  คุยกันแบบนี้ไม่เหนื่อยด้วย ไม่ต้องขยับปาก  สนุกดีนะ”

          “แปลกแฮะ  เที่ยวนี้ทำไมพี่ถึงทำได้เร็วแบบนี้ล่ะ  ผิดปกตินะเนี่ย”

          “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ก็ดีแล้วล่ะ”

          “เอาล่ะ ๆ  พอแล้ว”   ราฟาส่งเสียงขึ้นทำลายความเงียบในห้อง

          “ทำไมล่ะ กำลังสนุกเลย  กะว่าจะนินทานายซะหน่อย”  ซายน์ถามด้วยอาการกวน ๆ “หรือว่าเบื่อ ที่ต้อง
นั่งเงียบ ๆ คนเดียว”

          “เบื่อที่ต้องฟังอะไรไร้สาระมากกว่า”

          “แสดงว่านายได้ยินที่พวกเราคุยกันผ่านกระแสจิตด้วยเหรอ”  แซนด์ถามด้วยความตื่นเต้น  “ถ้างั้น  ต่อไป
ชั้นก็แอบฟังคนที่คุยกันแบบนี้ได้ล่ะซิ”

          “ก็ไม่เชิงหรอก   การที่พวกท่านส่งกระแสจิตคุยกันก็เป็นการใช้พลังรูปแบบหนึ่ง  ผู้ใช้เวททั้งหลายหาก
ตั้งสมาธิดี ๆ จะสามารถรับรู้ได้  โดยเฉพาะผู้มีระดับเวทที่อ่อนกว่าการลอบอ่านการส่งกระแสจิตสามารถกระทำได้
โดยง่ายนัก  แต่ถ้าเป็นผู้ใช้เวทที่เก่งกล้ากว่า  พวกท่านไม่มีทางรับรู้ได้เลยถ้าผู้ใช้เวทผู้นั้นไม่ต้องการให้พวกท่าน
รับรู้”

          “ว้า!!!  ถ้าเป็นแบบนี้ เราคุยกัน คนอื่นก็รู้หมดล่ะซิ  เฮ้อ… ก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างอะไรกับการคุยกัน
ธรรมดาเลย  แถมคุยกันธรรมดาแบบกระซิบกัน ยังดีซะกว่าอีก อย่างน้อยถึงเป็นผู้ใช้เวทถ้าอยู่ไกลก็ไม่ได้ยินเรา
พูดกัน”  แซนด์บ่นพึมพำ

          “ไม่มีวิธีปิดกั้นกระแสจิตขณะคุยกันไม่ให้ผู้อื่นรับรู้เลยเหรอ” หญิงสาวถามด้วยความสงสัย

          “ท่านไม่สามารถปิดกั้นกระแสจิตต่อผู้ที่มีระดับเวทสูงกว่าได้หรอก  นอกเสียจาก…”

          “อะไร  ต้องทำยังไง”

          “นอกเสียจาก ท่านจะพยายามฝึกตัวเองให้เก่งขึ้นเพื่อมีระดับเวทที่สูงกว่าหรือเท่าเทียมกัน”

          “ราฟา….ราฟา”

          “ครับ ท่านผู้เฒ่า”

          “มาพบข้าหน่อย  ข้ามีเรื่องด่วนให้เจ้าทำ”

          “ครับ”

          “พวกท่านฝึกใช้เวทกันต่อไปเรื่อย ๆ ล่ะกัน ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน”  ราฟาหันหลังเดินออกจากห้องไปทันที

          “อะไรเนี่ย…อยู่ ๆ ก็เงียบไป  แล้วก็มีธุระต้องรีบไปซะงั้น”  พี่ชายฝาแฝดบ่นพึมพำ

          “ข้าว่า  ท่านผู้เฒ่าเรียกหาราฟามากกว่า”

          “พี่เจย์ ได้ยินด้วยเหรอ”  หญิงสาวถามอย่างตกใจ

          “เปล่าหรอก  พี่เดาเอานะ  ใครจะไปรับรู้กระแสจิตท่านผู้เฒ่าได้ละ  ระดับเวทอย่างพวกเรานี่นะคงต้องรอ
อีกหลายปี”

************************

         ที่ลานกลางหมู่บ้านของเผ่าคาร์มีลขณะนี้เกิดการต่อสู้กันอย่างชุลมุนวุ่นวาย  มีคนนอนตายเกลื่อนทั้งบรรดา
ลูกน้องของผู้บุกรุกและคนของเผ่าคาร์มีลเอง  กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว  ชาวบ้านธรรมดาที่มุงดูเหตุการณ์
อยู่รอบ ๆ  ในตอนแรก  ขณะนี้กลายร่างอยู่ในสภาพเดียวกับวาเลนทั้งหมด   ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังที่หยาบกร้าน
ขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำ  ผมสั้นที่ชี้แข็งเป็นแฉก ๆ  ดวงตาที่ปูดโปนเหมือนกิ้งก่า หรือเล็บขาวขุ่นที่ยืดยาวออกมา 
คงมีแต่เพียงขนาดของร่างกายเท่านั้นที่ไม่สูงใหญ่เท่ากับหัวหน้าเผ่า ทั้งหมดกำลังตั้งวงล้อมคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้าม
โดยแยกพวกเขาออกจากกัน

          ไซเทรนใช้พละกำลังอันแข็งแกร่งจับชาวบ้านที่เข้ามาประชิดตัวทุ่มลงบนพื้น หรือไม่ก็ทุ่มเข้าใส่วงล้อม
บางคนถูกจับหักแขนหักขาหรือถูกหักคอ นอนตายอยู่รอบ ๆ ตัวเขา  แต่สภาพของเขาก็ย่ำแย่เช่นกันตามเนื้อตัว
มีรอยขีดข่วนจากกรงเล็บของคู่ต่อสู้  บาดแผลบางแห่งเป็นรอยลึกเลือดไหลซึมไม่หยุด

          โลนอฟซึ่งอยู่ในวงล้อมใกล้ ๆ  ก็มีคู่ต่อสู้ล้อมอยู่จำนวนมากไม่ต่างกัน เขาใช้ดาบขนาดใหญ่ของตัวเอง
ฟาดฟันเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามที่ล้อมวงเข้ามา   บางจังหวะก็ต้องกระโดดหลบกรงเล็บแหลมคมที่ฉิวเฉียดผ่านตัวไป

          “มันมาจากไหนกันนักหนาเนี่ย  ไม่หมดซะทีเท่าที่เห็นเนี่ยก็ตายไปไม่ใช่น้อยแล้วน่ะ” เจ้าของดาบขนาดใหญ่
บ่นอย่างหงุดหงิด

          “เจ้าเลิกบ่นซะทีได้มั๊ย”  วาเรียตะโกนออกจากวงล้อมข้าง ๆ อย่างหงุดหงิดไม่แพ้กัน  เธอใช้ดาบคู่ประจำตัว
เข้าฟาดฟันเหล่าชาวบ้านที่ล้อมรอบเธออยู่  และด้วยอานุภาพแห่งดาบธินทำให้คู่ต่อสู้ของเธอล้มลงตายเป็น
จำนวนมาก แต่ก็ยังมีคนอื่น ๆ ดาหน้าเข้ามาต่อสู้กับเธออยู่ตลอด อย่างไม่ลดละและไม่กลัวตาย   “ข้าก็เบื่อที่ต้องมา
ฆ่าเจ้าพวกกระจอกนี้จริง ๆ  ข้าอยากจะเป็นคนฆ่าเจ้าหัวหน้าเผ่านั่นด้วยมือข้าเอง   เพื่อนำผลึกแห่งแสงไปมอบแด่
ท่านร็องดอร์”

          “หึ…คิดจะเอาหน้าละซิ”  โลนอฟยังไม่วายจะมีอารมณ์เยาะเย้ย

          “เจ้าหุบปากเน่า ๆ ของเจ้าซะ  แล้วจัดการพวกตรงหน้าเจ้าต่อไปเหอะ”  เธอตัดบทเพื่อยุติการโต้แย้ง

          เทอเรนซึ่งกำลังเคร่งเครียดกับคู่ต่อสู้รอบ ๆ  ตัวก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน แต่สามารถเก็บอารมณ์ได้ดีมากกว่า 
เขากำจัดคู่ต่อสู้ของตัวเองไปเงียบ ๆ  ด้วยหมัดทั้งสองข้างที่มีเหล็กแหลมคมจากการใส่สนับมือที่ทำขึ้นเป็นพิเศษ
สามารถยืดเข้าออกได้เหมือนใจนึก  การปล่อยหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้แต่ละครั้งของเขา แทบทำให้ร่างกายฝ่ายตรงข้าม
ฉีกเป็นชิ้น ๆ เลยทีเดียว

          ผู้ใช้เวทเพียงหนึ่งเดียวในคณะผู้มาเยือน  ยืนประจันหน้าอยู่กับหัวหน้าเผ่าซึ่งมีขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่าเป็น
เท่าตัว  ต่างฝ่ายต่างยืนนิ่งเหมือนจะตั้งท่ารอเชิงว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมืออย่างไร โดยไม่แสดงอาการเกรงกลัว
ออกมาให้เห็น เพราะทั้งคู่ต่างมั่นใจในฝีมือของตนเองไม่แพ้กัน

          “วาเลน  เจ้ายอมมอบผลึกคริสโซโคลลาให้ข้าแต่โดยดีซะดีกว่า”  ครูเอลกล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงดุดัน
เต็มไปด้วยความจริงจังจนยากจะประเมินอารมณ์ในน้ำเสียงนั้น  “เจ้าหันไปดูรอบ ๆ ตัวเจ้าให้ดีเจ้าจะเอาชีวิตคน
ในเผ่าของเจ้ามาแลกกับผลึกเพียงชิ้นเดียวเช่นนั้นหรือ  หากยังคงต่อสู้ต่อไป  เผ่าคาร์มีลคงถึงคราวสูญพันธ์”

          ชายร่างสูงใหญ่เหลียวมองรอบ ๆ  ตัวอย่างระมัดระวัง  เห็นศพมากมายกลาดเกลื่อนพื้นแทบทุกตารางนิ้ว
ในลานกว้างของหมู่บ้านเต็มไปด้วยซากศพนอนก่ายระเกะระกะ จนแทบมองไม่เห็นพื้นดินสีน้ำตาลแดงเลย 
กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้งเข้าจมูกตามแรงลม สีหน้าที่ดุดัน แววตากร้าวสลดลง  ก่อนจะหันกลับมาหรี่ตามองคู่ต่อสู้
ตัวเล็กอีกครั้ง  พร้อมกับตะโกนก้องเหมือนเสียงคำราม  “พวกเจ้าหลบไป”  ส่งผลให้การต่อสู้ของวงล้อมต่างๆ
หยุดชะงักลง

          “แล้วท่านล่ะ  ท่านหัวหน้า”  ชายคนหนึ่งที่ต่อสู้อยู่กับเทอเรน ตะโกนกลับด้วยความคลางแคลงใจ

          “นี่คือคำสั่ง  ที่เหลือข้าจัดการเอง”

          “ท่านหัวหน้า   ท่านคนเดียว จะสู้กับพวกมันทั้งห้าคนได้ยังไง”  หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
กับชายคนแรกกล่าวอย่างไม่ไว้วางใจ

          “นั่นมันเรื่องของข้า  ข้าสั่งให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าก็ต้องไป  หรือเจ้าจะรอให้ตายกันหมดทั้งเผ่า  พวกเจ้าต้อง
มีชีวิตเพื่อรักษาเผ่าเราไว้  ไปได้แล้ว ห้ามกลับมาที่นี่  ห้ามปรากฏตัวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่คือคำสั่ง  บัญชาแห่ง
หัวหน้าเผ่า”

          เพียงชั่วครู่เดียวหลังจากคำพูดนั่นสิ้นสุดลง  ชาวบ้านทั้งหมดที่ยังมีชีวิตหลงเหลืออยู่ ต่างพร้อมใจกัน
กระโจนออกจากลานกว้างกลางหมู่บ้าน  หายวับไปกับซากปลักหักพังของหมู่บ้านที่โดนทำลายไปโดยพายุแห่งไฟ 
โดยที่เหล่าผู้มาเยือนมองตามแทบไม่ทัน อยู่ ๆ ลานที่เต็มไปด้วยชาวบ้านที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ก็กลับกลายเป็น
ลานโล่งที่มีแต่ซากศพนอนระเกะระกะ พร้อมกับ ผู้มีชีวิตที่เหลือทั้งหก

          “พวกมัน…พวกมันหายตัวได้หรือนี่”  ไซเทรนรำพึงเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

          “ความสามารถพิเศษของเผ่าคาร์มีล  การพรางตัว”  ชายร่างเล็กที่สุดในกลุ่มผู้มาเยือนเอ่ยขึ้น

          “การพรางตัว  มิน่าคนที่ข้าส่งมาที่นี่เพื่อรับของบรรณาการรวมถึงยอดฝีมือทั้งห้าถึงไม่เคยเจอคนใน
เผ่าคาร์มีลเลย จนกระทั่งต้องเลิกเดินทางมาที่นี่  พวกมันใช้วิธีนี้ตบตาพวกเรา”  ผู้บัญชาการกองกำลังเอ่ย
อย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อรู้ว่าการเสียทีของเขาต่อชาวเผ่า  ทำให้เกิดการยกเลิกพันธะสัญญาอันสำคัญ

          “ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่าไม่ได้เดินทางมาที่นี่ตามที่พวกมันบอกไว้จริง  เจ้าทำงานผิดพลาดอย่างร้ายแรง
ข้าจะรายงานให้ท่านร็องดอร์ทราบ”  วาเรียรีบหันมาซ้ำเติมอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่าทันที

         “เอาตัวเองให้รอดจนมีโอกาสกลับไปให้ได้ก่อนเถอะ”  ผู้ถูกซ้ำเติมกล่าวกลับอย่างไม่ยอมแพ้

         “หึ…พวกมันทั้งฝูงข้าก็ไม่เคยกลัว  กับแค่คน ๆ เดียวตอนนี้ มันจะเก่งกล้าแค่ไหนเชียว” วาเรียก็ยังคงเป็น
วาเรียที่เย่อหยิ่งและทะนงตัวไม่เปลี่ยนแปลง

**********************************

          “โครม!!!!~”

          “เสียงอะไรน่ะ  พวกพี่ได้ยินรึเปล่า”

          “อืม…”

         “หรือว่า   ท่านผู้เฒ่า… ไปเร็ว แซนด์  ซายน์”   เจย์รีบพุ่งออกไปจากประตูทันที

         “ท่านผู้เฒ่า!!!”   ทั้งสามคนส่งเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเห็นว่าขณะนี้ ชายชรา
ผู้เปรียบเสมือนผู้ปกครองของพวกเขานอนนิ่งอยู่บนพื้นที่ว่าง  ข้าง ๆ โต๊ะที่ใช้รับประทานอาหารกันทุกมื้อ

          “ท่านผู้เฒ่าคะ   ท่านผู้เฒ่า”   หญิงสาวทำหน้าตาตื่น  เขย่าตัวชายชราด้วยความตกใจ

          “คัมเพียร์” ปรากฏผ้าขนหนูผืนนุ่มเปียกหมาด ๆ  ขึ้นในมือของแซนด์ที่แบอยู่ตรงหน้า  เขารีบนำผ้าเช็ดหน้า
ท่านผู้เฒ่าเบา ๆ  ก่อนจะหยุดชะงักและหันไปมองหน้าน้องสาวและเพื่อนที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่เชื่อสายตา 
“จ้องอะไรเล่า  ช่วยกันสิ”

          “พี่ทำได้ไงน่ะ   เรียกผ้ามาได้ไง”  น้องสาวฝาแฝด ถามด้วยความมึนงง

         “ไม่รู้เหมือนกัน  คิดอะไรไม่ออก  รู้แต่ว่าอยากได้ผ้าซักผืน แล้ว….แล้วมันก็ผุดขึ้นมาเอง  ไม่รู้สิอย่าเพิ่งถาม
ได้มั๊ย  พี่เองก็ไม่รู้ ตอบอะไรตอนนี้ไม่ได้หรอก”  แซนด์ตอบอย่างงง ๆ เช่นกัน

          “ท่านผู้เฒ่าฟื้นแล้ว”  เสียงเจย์ทำให้สองพี่น้องรีบหันกลับมาช่วยกันประคองชายชราให้ค่อย ๆ ลุกขึ้น
อย่างช้า ๆ และพาให้ไปนั่งพักบนเก้าอี้ประจำตัวที่ท่านผู้เฒ่าใช้เป็นประจำ

         “ขอบใจ ๆ  ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว”   เสียงแหบ ๆ อย่างอ่อนแรงเอ่ยออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นถึงความห่วงใยของ
เด็ก ๆ รอบ ๆ ตัว

          “ท่านผู้เฒ่า ท่านเป็นอะไรไปคะ  ทำไม…ทำไมท่านดูแย่อย่างนี้ล่ะ”

          “ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ ท่านราชินีน้อย  อย่าห่วงเลย  พักสักครู่ก็จะดีขึ้นเอง”  ชายชราหันมายิ้มให้เหมือนจะ
ยืนยันในคำพูดนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ยังเป็นกังวลของทั้งสามคน  ทำให้ชายชราถอนหายใจก่อนจะเอ่ยต่ออย่างคน
อารมณ์ดี   “ข้าแค่ใช้พลังมากไปเท่านั้นเอง  ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น คนแก่ก็อย่างนี้แหละ   ฮ่า…ฮ่า..ฮ่า…”

           “ท่านพักผ่อนเถอะครับ พวกเราคงไม่กวนท่านแล้ว”

          “จริงด้วยสินะ เราไปฝึกใช้เวทกันต่อดีกว่า  ให้ท่านผู้เฒ่าได้พักผ่อนเถอะ ไปซายน์”   ทันทีที่พูดจบแซนด์
หันหลังกลับเดินตามเจย์ที่กำลังจะออกจากประตูไป  แต่ก็ต้องกลับมาลากน้องสาวที่กำลังส่งสายตาอ้อนวอนเหมือน
จะบอกให้ท่านผู้เฒ่าเล่ารายละเอียดให้ฟังมากกว่านี้  เธอพยายามขืนตัวจากแรงดึงไปยอมตามไปง่าย ๆ ทำให้เขา
ต้องออกแรงดึงมากขึ้นจนสามารถลากเธอออกจากห้องได้ในที่สุด

***************************************

           หัวหน้าเผ่าร่างสูงใหญ่ ยืนหอบหายใจ  แต่ตามร่างกายไม่มีบาดแผลใด ๆ ปรากฏอยู่เลย หลังจากหลับตา
สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อเขาลืมตาขึ้น  อัตราการหายใจก็กลับมาเป็นปกติ

          “ดูมันสิ  ถ้ายังต่อสู้แบบนี้ต่อไป พวกเราจะเป็นฝ่ายที่เหนื่อยตายไปซะเอง”  โลนอฟกล่าวอย่างหงุดหงิด 
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้อย่างดุเดือดที่เพิ่งผ่านพ้นไปแบบห้ารุมหนึ่ง  แทบไม่ทำให้คู่ต่อสู้เป็นอะไรเลย  ไม่มีแม้แต่
ร่องรอยฟกช้ำให้เห็น

          “มันต้องมีจุดอ่อนซิน่า….ให้มันรู้ไปว่าพวกเราจะทำอะไรมันไม่ได้เลย” คู่อริอย่างวาเรียรำพึงขึ้นมาลอย ๆ

          “อุณหภูมิ  ความชื้น” ครูเอลพึมพำเบา ๆ  “ข้าพอจะมีวิธีแล้ว”

          “ท่านว่าอะไรนะ”  ขุนพลหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมาถามด้วยความไม่แน่ใจ

          “ฮึ…เจ้าลองดูว่าวิธีของข้าจะได้ผลหรือไม่” เสียงแหบ ๆ ตอบกลับโดยที่ตายังคงจ้องไปยังร่างสูงใหญ่
ฝั่งตรงข้าม   “กลาสคัฟ”

          หัวหน้าเผ่าคาร์มีลได้แต่ยืนงงกับสิ่งที่เห็น  เมื่อขณะนี้เหมือนมีกระจกใสอย่างหนาโอบล้อมเอาไว้ เขา
พยายามใช้มือทั้งสองข้างดันมันออกทั้งด้านหน้า  ด้านข้างและด้านหลัง หรือแม้กระทั่งบนหัว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น   
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเริ่มใช้ตัวที่สูงใหญ่และแข็งแรงให้เป็นประโยชน์โดยการวิ่งเข้ากระแทกหวังจะให้กระจกใส
นั่นแตกลง  แต่ทุกสิ่งยังนิ่งสนิทเช่นเดิม

          “อย่าพยายามเลย”  ผู้ใช้เวทเสกกระจกใสนั่นขึ้นมา เดินเข้ามาเอ่ยใกล้ๆ  “เจ้าไม่สามารถทำลายมัน
ได้หรอก  เอาผลึกคริสโซโคลลาให้ข้าซะดีกว่า”

          “ไม่มีทาง”  ชายผู้ถูกขังตวาดกลับ พร้อมกับเริ่มใช้กรงเล็กที่แข็งแรงพยายามทั้งข่วนทั้งเจาะกระจกใสตรงหน้า

          “ถ้างั้น  เราคงได้ดูกิ้งก่าถูกย่างสดกันแล้วล่ะ”  ครูเอลหันไปกล่าวเรียบ ๆ กับพรรคพวกที่กำลังยืนยิ้ม
เยาะเย้ยคู่ต่อสู้ที่ไม่มีทางสู้ในขณะนี้ ก่อนจะหันกลับพร้อมกับกางมือขึ้นช้า ๆ ระดับเอว “ไฟร์เกล”

          เกิดพายุเพลิงโหมกระหน่ำรอบนอกของกระจก   และถึงแม้พายุเพลิงครั้งนี้จะไม่รุนแรงเหมือนตอนที่โหม
กระหน่ำเข้าใส่หมู่บ้าน  แต่ก็ทำให้เกิดความร้อนอบอ้าวต่อผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ด้านในได้ไม่น้อยเลยทีเลย

           “ข้าไม่มีวันให้พวกเจ้าได้สิ่งที่พวกเจ้าต้องการไปแน่นอน”  วาเลนที่ตอนนี้กลับกลายร่างมาเป็นคนธรรมดา
กล่าวด้วยแววตาชิงชัง  เขารู้ตัวดีว่ายังไงก็คงไม่สามารถออกไปจากกระจกเวทนี้ได้ และคงต้องโดนทรมานบีบ
บังคับเพื่อให้ยินยอมมอบลูกแก้วหรือผลึกอะไรนั่นก็แล้วแต่ให้กับพวกมันแน่ ๆ เขารู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกมันต้องการ
คงสำคัญมาก  และเขาก็ตั้งใจไว้แล้วว่า ไม่ว่าพวกมันจะใช้วิธีใด เขาไม่มีทางยอมให้พวกมันได้ทุกอย่างตามความ
ต้องการ  อย่างมากที่สุดก็แค่ทำลายมันให้แตกสลายไปพร้อม ๆ กับชีวิตของเขาเอง

          “มันทำอะไรของมัน”  ขุนพลสาวหันไปกึ่งถามกึ่งรำพึงกับเทอเรน  เมื่อเห็นว่าผู้ถูกคุมขังในกระจกแห่งเวท 
ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กลับนั่งนิ่งอยู่บนพื้นทั้ง ๆ ที่กำลังมีไฟโหมรุมเร้าอยู่รอบ ๆ   “เพิ่มความแรงหน่อยซิครูเอล 
เจ้าเห็นมั๊ยมันไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใด ๆ เลย”

          “ดูซิเจ้าจะทนไปได้นานสักแค่ไหน”  เจ้าของเวทส่งพลังทำให้พายุเพลิงโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นและรุนแรง
ขึ้นเรื่อย ๆ  จนเห็นได้ชัดว่าผู้ถูกคุมขังกระสับกระส่ายมากขึ้น เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า และร่างกายเริ่ม
ห่อเหี่ยวลงเรื่อย ๆ  ไม่หลงเหลือความทะนงองอาจอย่างก่อนหน้านี้แม้แต่นิดเดียว

          “ส่งผลึกคริสโซโคลลามา พวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า”  ขุนพลสาวตะคอก แต่ในใจก็เริ่มหวาดหวั่น เมื่อเห็นว่า
เจ้าหัวหน้าเผ่าตรงหน้าเหมือนจะยอมตายมากกว่าที่จะยอมทำตาม   “ครูเอล ถ้ามันตายไปแล้วเราจะเจอผลึก
คริสโซลโคลลาได้ยังไง”  เธอหันไปกระซิบถามเจ้าของเวทไฟอย่างเป็นกังวล

          “เจ้าไม่มีเวทที่ทำให้มันยอมบอกที่ซ่อนผลึก หรือบังคับให้มันมอบผลึกให้เราเลยหรือไง”  โลนอฟถาม
อย่างรำคาญ

          “ถ้าข้าทำได้ ข้าก็คงทำไปแล้ว ไม่ต้องรอให้พวกเจ้าสอนข้าหรอก”

          “เวทเจ้ามันห่วยกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะนะเนี่ย”  ผู้บัญชาการกองกำลังเยาะเย้ยถากถาง

          “ถ้าพวกเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้ก็จัดการซะสิ”

***********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น