ด้วยความรุนแรงของเปลวไฟที่เผาผลาญอยู่รอบ ๆ ตัว แม้จะมีกระจกกั้น แต่มันไม่ได้ลดทอนความร้อนแรง
ลงแม้แต่นิดเดียว แต่กลับทวีความอบอ้าวอันรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ร่างชายหนุ่มที่ถูก
ขังอยู่ในกระจกขณะนี้กำลังขดตัวลงนอนกับพื้น หายใจไม่สม่ำเสมอ ร่างกายเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาทั่ว
ทั้งตัว
“มันจะตายอยู่แล้ว แต่ยังไม่ยอมมอบผลึกให้เรา แล้วนี่จะปล่อยให้มันตายไปแบบนี้หรือไง” โลนอฟถามขึ้น
อย่างหงุดหงิด
“ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย มอบผลึกคริสโซโคลลา ให้เราซะ แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป” เจ้าของเวท
พายุไฟตะโกนฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำรุนแรง
“มะ…มะ…ไม่…มี…ทาง” หัวหน้าเผ่าคาร์มีล ผู้ถูกคุมขังพยายามเค้นเสียงตอบ “ขะ….ขะ…..ข้า…ยอ…
ยอม…ตาย”
“ให้มันได้อย่างนี้ซิ จะทำยังไงกันต่อล่ะ”
“เจ้าเงียบซะทีได้มั้ย…” ขุนพลหญิงตวาดขึ้นอย่างรำคาญ “เอาเวลาโวยวายของเจ้ามาช่วยกันคิดดีกว่า
ว่าจะทำยังไงกันต่อไป”
“เฮ้ย..!” เสียงอุทานอย่างตกใจของชายร่างอ้วนใหญ่ผู้มีพละกำลังเป็นอาวุธ ทำให้วาเรียกับโลนอฟ
ที่กำลังตั้งท่าจะโต้เถียงกันหยุดชะงัก หันกลับมองไปตามสายตาของเจ้าของเสียงอุทานนั้น
ภาพที่ทุกคนเห็นขณะนี้ คือ เกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นกลางอากาศ ครอบคลุมทั่วบริเวณรอบ ๆ กระจก
แห่งเวท จนสามารถดับพายุไฟได้สนิท และเมื่อกระแสน้ำวนนั้นจางหายไปภาพที่ปรากฏก็เหลือเพียงกระจกใส
ที่ว่างเปล่าอยู่ตรงกลางลานกว้าง
“อะไรกันเนี่ย” โลนอฟอุทานเสียงดัง
“ธาราเทพ” ครูเอลเอ่ยเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงอาการวิตกกังวล
และทันทีที่ครูเอลพูดจบ ทั้งสองขุนพลและผู้บัญชากองกำลังเจ้าอารมณ์ รวมถึงไซเทรนก็สังเกตเห็น
วงกลมจาง ๆ เหมือนหมอกที่รวมตัวกันหนาทึบหมุนม้วนเป็นวงกลมสีม่วงอ่อน ๆ ลอยอยู่เหนือพื้นห่างจาก
กระจกเวทไปไม่ไกล และที่ข้าง ๆ ยังปรากฏร่างชายหนุ่มผมสีฟ้าจาง ๆ ในชุดสีน้ำเงินเข้ม กำลังประคองชาย
ผู้ซึ่งเคยถูกคุมขังอยู่ในกระจกแห่งเวทนั้น
“อุโมงค์มนตร์ … ผู้เฒ่าเอสโทส ส่งเจ้านั่นมา” ครูเอลกล่าวลอย ๆ จงใจให้ทุก ๆ คนในทีมรับรู้ “แวนนิช”
เขาร่ายเวททำให้กระจกใสหายวับไป หลังจากที่คาดว่าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์ใด ๆ แล้ว
“มันมาขัดจังหวะอีกแล้ว เจ้าแก่นั่นมันรู้ไปทุกเรื่องจริง ๆ “
“ไม่หรอก….กระแสจิตของมันคงเพิ่งจะรับรู้เหตุการณ์ที่นี่…เจ้าธาราเทพถึงต้องเดินทางด้วยอุโมงค์มนตร์
เพราะถ้าเจ้าผู้เฒ่านั่นรู้เรื่องผลึกคริสโซโคลลามาก่อนหน้านี้ คงส่งมันมาที่นี่ก่อนหน้าเราแล้ว” ครูเอลให้ความกระจ่าง
“ส่งตัวมันมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ายุ่ง” ขุนพลหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“พวกเจ้ากำลังจะฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตาข้า จะเรียกว่าไม่ใช่เรื่องของข้าคงไม่ได้”
“ท่านผู้เฒ่าคงสบายดีนะ”
“ครูเอล!!!!” วาเรีย หันควับกลับไปมองหน้าเจ้าของนามที่เธอเรียกอย่าง งง ๆ กับการทักทายที่ดูสุภาพนั้น
และรอยยิ้มที่ส่งกลับมาจากชายร่างเล็กเหมือนไม่รู้สึกอะไร ยิ่งทำให้เธออ้าปากค้าง ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อ
ระงับอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น
“แต่ข้าว่าหลังจากนี้ไป ท่านผู้เฒ่าคงต้องพักฟื้นอีกพักใหญ่ ๆ เชียวละ” ครูเอลกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ต้องใช้
พลังสักเท่าไหร่นะ…ในการใช้อุโมงค์มนตร์ส่งเจ้ามาที่นี่”
“ข้าว่าเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ท่านผู้เฒ่าแข็งแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้เยอะ”
“มันต้องรีบกลับเข้าไปในอุโมงค์มนตร์นั่นก่อนที่มันจะหายไป พวกเราต้องขัดขวางไม่ให้มันพาวาเลนไป
ไม่เช่นนั้นผลึกคริสโซโคลลาต้องตกไปอยู่ในมือผู้เฒ่าเอสโทสแน่ ๆ” ชายร่างเล็กเอ่ยเบา ๆ ให้พรรคพวกที่เหลือ
ฟัง และเมื่อครูเอลพยักหน้าให้สัญญาณ ทุกคนก็กระจายไปล้อมรอบราฟาและวาเลนอย่างรวดเร็ว ทั้งโลนอฟและ
วาเรียต่างกระชับอาวุธที่อยู่ในมือเตรียมพร้อมต่อสู้อย่างเต็มที่
“พวกมันคงไม่ปล่อยให้เราหนีไปง่าย ๆ “ เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าเผ่าคาร์มีลเอ่ยขึ้นกับชายผู้มาช่วยที่ไม่รู้จัก
ขณะนี้เขาดูมีแรงเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่สมบูรณ์กลับสู่สภาพเดิมซะทีเดียว
“เรามีเวลาไม่มากแล้ว ต้องรีบเข้าไปในอุโมงค์มนตร์ให้เร็วที่สุด…ท่านไหวรึเปล่า” ราฟากระซิบเบา ๆ
พอให้ได้ยินกันสองคน
“ข้ายังพอสู้ได้”
“ราฟา เจ้าคิดจะชุบมือเปิบไปแบบนี้ มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ พวกเราเป็นคนเจอผลึกคริสโซโคลลา
ก่อนนะ” คู่อริเก่าอย่างโลนอฟหรี่ตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนจะถากถาง
“ถ้าของที่พวกเจ้าต้องการหมายถึงลูกแก้วของอดีตหัวหน้าเผ่า ข้ายินดีที่จะมอบมันให้ท่านผู้นี้ครอบครอง
มากกว่าคนชั่วอย่างพวกเจ้า”
“มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นักหรอก ที่มันมาที่นี่ก็เพราะต้องการผลึกนั่นเช่นกัน เจ้าอย่าคิดว่ามันตั้งใจ
จะมาช่วยเจ้าหน่อยเลย”
นัยน์ตาที่ยากจะอ่านออกของวาเลนตวัดมามองหน้าราฟาทันที แต่เมื่อเจอกับสีหน้าที่สงบนิ่งไม่มีแม้ข้อ
แก้ตัวใด ๆ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเชื่อใจชายหนุ่มผมสีฟ้าผู้มาช่วยเขาออกจากการคุมขังนั่น “ถึงยังไงเค้าก็เป็น
คนช่วยชีวิตข้าจากพวกเจ้าอยู่ดี หากลูกแก้วของอดีตหัวหน้าเผ่าจะตกเป็นของใครสักคน ข้าเต็มใจมอบให้เค้า
มากกว่าพวกเจ้าทั้งหมด”
“เจ้านี่มันโง่สิ้นดี” ขุนพลสาวตวาดอย่างเหลืออด “ถ้าเช่นนั้นก็ตายไปพร้อม ๆ กับมันเหอะ” ทันทีที่พูดจบ
วาเรียตวัดดาบพุ่งเข้าใส่ราฟาและวาเลนทันที โดยมีโลนอฟ และไซเทรนพุ่งตามเพื่อเข้าไปเพื่อช่วยเธอต่อสู้กับ
ชายหนุ่มสองคนที่กำลังรอตั้งรับเต็มที่
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ไซเทรนจับคู่ต่อสู้อยู่กับวาเลนที่ขณะนี้กลายร่างกลับมาสูงใหญ่ ผิวหนัง
หยาบกร้าน ขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำ ดวงตาปูดโปน ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ไซเทรนซึ่งมีเพียงพละกำลัง
ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรเลย เขาโดนกรงเล็บแหลมคมของวาเลนตะปบเข้าตามร่างกาย เกิดแผลลึกหลายแห่งทั่วตัว
จนขุนพลหนุ่มอย่างเทอเรนทนดูไม่ไหวจนต้องรีบเข้ามาช่วย แต่อาวุธของเทอเรนซึ่งคือหมัดทั้งสองข้างที่มี
เหล็กแหลมคมจากการใส่สนับมือที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสามารถยืดเข้าออกได้เหมือนใจนึก กลับไม่สามารถทำ
อันตรายใด ๆ ต่อร่างกายของคู่ต่อสู้ได้เลย ทุกครั้งที่เขาสามารถฟาดฟันเข้าใส่วาเลน เพียงไม่ถึงอึดใจบาดแผล
เหล่านั้นก็กลับมาสมานเป็นปกติได้เช่นเดิมด้วยอานุภาพของผลึกแห่งแสง
ราฟากำลังรับมือกับคู่ต่อสู้อีกสองคน คือวาเรียกับโลนอฟ ทั้งคู่ผลัดกันใช้อาวุธประจำตัวเข้าโจมตีโดยที่
ราฟาไม่คิดจะตอบโต้ทำได้เพียงแต่ป้องกันเท่านั้นเพราะตอนนี้เขากำลังพะวงกับอุโมงมนตร์ที่กำลังวูบไหวตาม
แรงลมเหมือนกับกำลังจะกระจายหายไป “ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องไป” เขาตะโกนบอกวาเลน
“เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปง่าย ๆ แบบนี้รึไง ไม่มีทาง” เสียงแหบ ๆ ของครูเอลเอ่ยขึ้นหลังจากยืนนิ่ง
รอดูสถานการณ์ ก่อนจะร่ายเวทโจมตีเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนหนีไปจากวงล้อมได้
“เจ้าเอานี่ไป แล้วไปซะ” วาเลนตัดสินใจใช้กรงเล็บกรีดลงบนหน้าอกด้านขวา เกิดแสงสีเขียว
เปล่งประกายออกมาจากบาดแผล ก่อนที่เขาจะหยิบผลึกแก้วสีเขียวขุ่นขนาดเล็กซึ่งเหมือนกำลังจะไหลออกมา
จากบาดแผลพร้อม ๆ กับเลือดที่กำลังไหลทะลัก ขว้างส่งให้ราฟา ซึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล
“ผลึกคริสโซโคลลา” เหล่าลูกสมุนของร็องดอร์อุทานขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
“จัดการนังเด็กผู้หญิงที่มาจากโลกนู้นซะซิ”
เสียงของครูเอลที่ดังขึ้นขณะที่ราฟากำลังจะคว้าผลึกแห่งแสงที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เขาชะงัก
รีบหันกลับไปมองยังอุโมงค์มนตร์เพราะนึกว่าเด็กหญิงที่ครูเอลพูดถึงคือราชินีน้อยแห่งเฮเวนน่า ซึ่งอาจจะตามเขา
มาจากอุโมงมนตร์
โลนอฟใช้จังหวะที่ราฟาชะงักและหันกลับไป เข้าคว้าผลึกแห่งแสงไว้ในมือ พร้อม ๆ กับที่วาเรียเห็นว่า
ราฟาไม่ทันระวังตัวจึงใช้ดาบคู่ของเธอฟันเข้าใส่กลางหลังของเขาอย่างแรง
เลือดสีแดงเข้มกระฉูดตามรอยแผลจากอานุภาพของดาบธินทันที ราฟาถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น
“ฮ่า…ฮ่า….ผลึกคริสโซโคลลาอยู่ในมือข้าแล้ว” โลนอฟตะโกนก้องด้วยความยินดี นัยน์ตาทุกคู่ที่มองมา
ที่เขาเปล่งประกายวาวโรจน์ด้วยความดีใจ
วาเลนอาศัยจังหวะที่บรรดาลูกสมุนของร็องดอร์กำลังเผลอเพราะความดีใจกับสิ่งที่ต้องการ ปรี่เข้าไปอุ้ม
ราฟาวิ่งพุ่งเข้าไปในอุโมงค์มนตร์ก่อนที่จะสลายหายไปได้ทันท่วงที
***********************************
“โครม….!!!”
“พี่ ๆ ได้ยินมั้ย…ไปเร็ว….” ซายน์รีบวิ่งนำหน้าพี่ชายทั้งสองไปทันที เมื่อนึกว่าเสียงที่ได้ยินคงเป็นเพราะ
ท่านผู้เฒ่าเอสโทสอาจเป็นอะไรไปอีกครั้ง
“เฮ้ย…..!!!” เสียงอุทานจากปากชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังยืนอยู่หลังหญิงสาวซึ่งกำลังยื่นนิ่งค้างเป็นหุ่น
คาอยู่ในท่าเปิดประตู
“ถอยไป..ซายน์…ได้ยินมั้ย…หลีกสิ” น้ำเสียงร้อนรนของเจย์ ทำให้หญิงสาวสะดุ้งได้สติก่อนจะหลีกทางให้
นัยน์ตาที่เริ่มพร่าเลือนเพราะกำลังเอ่อด้วยน้ำตาของซายน์ มองเห็นแซนด์ , เจย์ และท่านผู้เฒ่ากำลัง
กุลีกุจอช่วยเหลือผู้บาดเจ็บสองคนอย่างทุลักทุเล ชายคนหนึ่งเป็นชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก ร่างกายเขาเหมือน
คนผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วง มีร่องรอยบอบช้ำจากการต่อสู้ รวมถึงแผลที่หน้าอกด้านขวาซึ่งเลือดยังไหลไม่หยุด
ส่วนชายอีกคนที่ดูแล้วจะอาการหนักกว่าชายคนแรก เป็นคนที่เธอรู้จักดีและไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าคนเก่ง
อย่างเขาจะได้รับความบอบช้ำจากการต่อสู้มาถึงเพียงนี้
“อานุภาพของดาบธิน” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ อย่างวิตกกังวล เมื่อท่านได้จัดการใช้เวทให้โต๊ะใหญ่
กลางห้องหายไป กลับกลายเป็นเตียงสองเตียงมาแทนที่ และเมื่อช่วยกันจัดการนำร่างผู้บาดเจ็บขึ้นนอนบนเตียงได้
แล้ว ท่านผู้เฒ่าก็เริ่มตรวจดูบาดแผลของชายผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อน และเพราะเสียเลือดไปมาก ทำให้เขาถึง
กับสลบไป
“ดาบธิน เหรอครับ” เจย์ถามด้วยความงุนงง พร้อม ๆ กับเริ่มใช้มีดขนาดเล็กที่คมกริบจัดการตัดเสื้อของ
ราฟาที่กำลังนอนคว่ำหน้าออกอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สะดวกในการรักษา
“ใช่…มันคือดาบที่ทำมาจากแร่เฮมาไทต์ หินแร่สีดำที่มีอานุภาพในตัวเอง” ท่านผู้เฒ่าให้คำตอบ
“ราฟาคงไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยครับ…ระดับท่านผู้เฒ่าใช้เวทนิดหน่อย เดี๋ยวเดียวก็คงหาย” แซนด์พูดอย่าง
ร่าเริง
“ไม่หรอก บาดแผลจากดาบธิน ไม่สามารถใช้เวทรักษาได้ และหากจะมีเวทใดที่รักษาบาดแผลนี้ได้
ก็ต้องเป็นเวทชั้นสูงที่ต้องใช้พลังในการร่ายเวท และขณะนี้ข้าคงไม่มีพลังพอ” ชายชราตอบอย่างแผ่วเบา
“แล้ว…แล้วเราจะทำยังไงละครับ” คราวนี้น้ำเสียงของพี่ชายฝาแฝดเริ่มแฝงไปด้วยความวิตกกังวล
“อ้าว…ซายน์ ทำไมยังยืนนิ่งอย่างนั้นละ เข้ามาช่วยกันสิ”
“เค้า…ราฟาเค้า…เค้าจะตายมั้ยคะ” ซายน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเหมือนเสียงกระซิบ
“ไม่หรอกราชินีน้อย อย่าวิตกเลย” ชรายิ้มให้อย่างอบอุ่น พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน
***********************************
“ดี...ดีมาก...พวกเจ้าทำได้ดีมาก” เสียงชื่นชมยินดีที่ออกจากปากของชายชุดดำ ซึ่งยืนอยู่ในมุมมืด
แทบปกปิดความดีใจไว้ไม่มิด “ไม่นึกเลย... ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าผลึกคริสโซโคลลา จะมาอยู่ในมือข้าง่ายดาย
เช่นนี้ ต่อไปนี้ผลึกแห่งแสงทั้งห้าที่เหลือ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...”
“อันที่จริงถ้าเรารู้ที่ซ่อนของพวกเจ้าแก่นั่น นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะจัดการพวกมันให้สิ้นซาก เพราะเจ้า
ราฟาโดนดาบของข้าไปขนาดนั้น คงต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานเลยทีเดียว” ขุนพลหญิงกล่าวเหมือนจะ
โอ้อวดผลงานตัวเอง
“แล้วเราจะไปหาผลึกแห่งแสงชิ้นต่อไปได้ที่ไหนละครับ” ไซเทรนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กล้า ๆ กลัว ๆ
“ไม่ต้องรีบ...ไม่ต้องรีบ เมื่อถึงเวลาผลึกนี้จะบอกเราเอง” ชายผู้เป็นหัวหน้าพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงก้อง
กังวานพร้อมกับชูผลึกสีเขียวขุ่นในมือไปข้างหน้า
“ผลึกแห่งแสงจะบอกเราเอง” โลนอฟทวนคำอย่าง งงๆ
“ใช่...เมื่อใดที่ผลึกเปล่งแสง แสดงว่าผลึกชิ้นต่อไปได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว” ครูเอลให้ความกระจ่าง
“ช่วงนี้ พวกเจ้าทั้งหมดก็เตรียมตัวไว้ให้ดี เมื่อใดที่ผลึกชิ้นต่อไปปรากฏขึ้นมา พวกเจ้าก็ต้องไปนำมันมา
ให้ข้าให้ได้” น้ำเสียงทรงอำนาจกล่าวอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ หายไปในความมืด
***********************************
“ท่านผู้เฒ่าคะ เมื่อไหร่ราฟาจะฟื้นละคะ นี่มันก็ตั้งสองวันแล้วนะ”
“ใจเย็น ๆ ราชินีน้อย ราฟาไม่เป็นอะไรหรอก”
“แหม...รู้สึกว่าน้องสาวชั้นเนี่ย จะเป็นห่วงเป็นใยราฟาจังเลยนะ”
“พี่แซนด์....” หญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงหน้าแดง พร้อมกับแผดเสียงเรียกพี่ชายด้วยน้ำเสียงดุ ๆ เพื่อ
กลบเกลื่อนอาการเขิน “ก็คนเค้าบาดเจ็บจะไม่ห่วงได้ไง...เป็นใครบาดเจ็บมา ซายน์ก็เป็นห่วงทั้งนั้นแหละ”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา”
“แผลของราฟาดีขึ้นมากแล้ว คงไม่เป็นอะไรหรอกซายน์ อย่าห่วงเลย” เจย์เอ่ยขึ้นตัดบทเมื่อเห็นว่า
สองพี่น้องตั้งท่าจะโต้เถียงกันอีกแล้ว
“แล้วนายประหลาดนั่นไปไหนแล้วละคะ”
“ซายน์ อย่าเรียกเค้าแบบนั้นซิ เค้าชื่อวาเลน” พี่ชายดุน้องสาวฝาแฝด เมื่อเห็นว่าพูดจาไม่น่ารัก
เอาซะเลย
“ก็จริง ๆ นี่นา... ลองดูวันที่เค้ามาที่นี่ซิ ไม่เห็นจะเหมือนคนทั่วไปเลย”
“คนของเผ่าคาร์มีล” ผู้เฒ่าเอสโทสอธิบาย “เผ่าคาร์มีล เป็นเผ่าที่อยู่ติดกับดินแดนเฮเวนน่า เป็นเผ่า
ที่รักความสงบ ชอบอยู่โดดเดี่ยว แต่หากมีศัตรูรุกราน ก็จะสู้จนถึงที่สุด ลักษณะพิเศษของเผ่าคาร์มีลคือการ
พรางตัวให้กลมกลืนกับสิ่งรอบ ๆ ตัว จนดูเหมือนว่าคนของเผ่าคาร์มีลหายตัวได้ และอีกหนึ่งความพิเศษคือ
ความสามารถในการกลายร่าง”
“การกลายร่าง” เด็ก ๆ ทั้งสามคนกล่าวพร้อม ๆ กัน
“ใช่...การกลายร่างเพื่อต่อสู้ ร่างที่พวกเจ้าเห็นวันที่เค้ามาที่นี่นั่นแหละ แต่ในเวลาปกติแล้วเค้าก็จะเหมือน
มนุษย์ปกติทั่ว ๆ ไป”
“ร่าง....” แซนด์กำลังจะอ้าปากพูดยังไม่ทันจบ ทุกคนก็ต้องหันไปมองที่ประตูซึ่งกำลังเลื่อนเปิดออก
พร้อม ๆ กับบุคคลที่กำลังกล่าวถึงกำลังก้าวเดินเข้ามา
“เอ่อ....ข้าเข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า” น้ำเสียงตะกุกตะกัก เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสายตาทุก ๆ คู่ จับจ้อง
มาที่ตน
“ไม่หรอกวาเลน เข้ามาเถอะ...พวกเด็ก ๆ กำลังสนใจเรื่องของเจ้านะ...นี่เจ้าคงออกไปเดินเล่นข้างนอก
มาละสิ”
“ครับ....ท่านผู้เฒ่า....ที่นี่บรรยากาศดีมากๆ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ที่นี่คงต้องสร้างขึ้นมาจากการใช้เวท และใช้
บรรยากาศของเฮเวนน่าเป็นต้นแบบ”
“ฮึ...ฮึ...ฮึ... เจ้ามันช่างรอบรู้ สมควรที่จะได้เป็นหัวหน้าเผ่าจริง ๆ”
“เอ่อ..แล้วเมื่อสักครู่ที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เด็ก ๆ กำลังสนใจเรื่องของข้านี่ มันเรื่องอะไรหรือครับ”
“เจ้าก็ลองถามพวกเค้าดูซิ...ข้าคงต้องขอตัวก่อนละ” พูดจบ ท่านผู้เฒ่าก็ลุกขึ้น “อาการของเจ้าเป็นไง
บ้างละ ดีขึ้นมากแล้วใช่มั๊ย”
“ครับ...ตอนนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ แล้ว...ไม่นึกว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของรัซเทล
วิเศษจริงๆ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี” ชายชรายิ้มน้อย ๆ ให้กับทุกคน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
***********************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น