นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 13 เพลี่ยงพล้ำ

 

 

          ด้วยความรุนแรงของเปลวไฟที่เผาผลาญอยู่รอบ ๆ ตัว  แม้จะมีกระจกกั้น  แต่มันไม่ได้ลดทอนความร้อนแรง
ลงแม้แต่นิดเดียว แต่กลับทวีความอบอ้าวอันรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น  ร่างชายหนุ่มที่ถูก
ขังอยู่ในกระจกขณะนี้กำลังขดตัวลงนอนกับพื้น หายใจไม่สม่ำเสมอ  ร่างกายเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาทั่ว
ทั้งตัว

          “มันจะตายอยู่แล้ว  แต่ยังไม่ยอมมอบผลึกให้เรา  แล้วนี่จะปล่อยให้มันตายไปแบบนี้หรือไง”  โลนอฟถามขึ้น
อย่างหงุดหงิด

          “ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย  มอบผลึกคริสโซโคลลา ให้เราซะ  แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป”  เจ้าของเวท
พายุไฟตะโกนฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำรุนแรง

          “มะ…มะ…ไม่…มี…ทาง”  หัวหน้าเผ่าคาร์มีล ผู้ถูกคุมขังพยายามเค้นเสียงตอบ  “ขะ….ขะ…..ข้า…ยอ…
ยอม…ตาย”

          “ให้มันได้อย่างนี้ซิ   จะทำยังไงกันต่อล่ะ”

          “เจ้าเงียบซะทีได้มั้ย…”  ขุนพลหญิงตวาดขึ้นอย่างรำคาญ   “เอาเวลาโวยวายของเจ้ามาช่วยกันคิดดีกว่า
ว่าจะทำยังไงกันต่อไป”

          “เฮ้ย..!”     เสียงอุทานอย่างตกใจของชายร่างอ้วนใหญ่ผู้มีพละกำลังเป็นอาวุธ  ทำให้วาเรียกับโลนอฟ
ที่กำลังตั้งท่าจะโต้เถียงกันหยุดชะงัก  หันกลับมองไปตามสายตาของเจ้าของเสียงอุทานนั้น

          ภาพที่ทุกคนเห็นขณะนี้ คือ เกิดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นกลางอากาศ ครอบคลุมทั่วบริเวณรอบ ๆ กระจก
แห่งเวท จนสามารถดับพายุไฟได้สนิท   และเมื่อกระแสน้ำวนนั้นจางหายไปภาพที่ปรากฏก็เหลือเพียงกระจกใส
ที่ว่างเปล่าอยู่ตรงกลางลานกว้าง

          “อะไรกันเนี่ย”  โลนอฟอุทานเสียงดัง

          “ธาราเทพ”  ครูเอลเอ่ยเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงอาการวิตกกังวล

          และทันทีที่ครูเอลพูดจบ  ทั้งสองขุนพลและผู้บัญชากองกำลังเจ้าอารมณ์ รวมถึงไซเทรนก็สังเกตเห็น
วงกลมจาง ๆ เหมือนหมอกที่รวมตัวกันหนาทึบหมุนม้วนเป็นวงกลมสีม่วงอ่อน ๆ   ลอยอยู่เหนือพื้นห่างจาก
กระจกเวทไปไม่ไกล และที่ข้าง ๆ ยังปรากฏร่างชายหนุ่มผมสีฟ้าจาง ๆ  ในชุดสีน้ำเงินเข้ม กำลังประคองชาย
ผู้ซึ่งเคยถูกคุมขังอยู่ในกระจกแห่งเวทนั้น

          “อุโมงค์มนตร์ …  ผู้เฒ่าเอสโทส ส่งเจ้านั่นมา”  ครูเอลกล่าวลอย ๆ จงใจให้ทุก ๆ คนในทีมรับรู้ “แวนนิช”  
เขาร่ายเวททำให้กระจกใสหายวับไป  หลังจากที่คาดว่าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์ใด ๆ แล้ว

          “มันมาขัดจังหวะอีกแล้ว  เจ้าแก่นั่นมันรู้ไปทุกเรื่องจริง ๆ “

          “ไม่หรอก….กระแสจิตของมันคงเพิ่งจะรับรู้เหตุการณ์ที่นี่…เจ้าธาราเทพถึงต้องเดินทางด้วยอุโมงค์มนตร์
เพราะถ้าเจ้าผู้เฒ่านั่นรู้เรื่องผลึกคริสโซโคลลามาก่อนหน้านี้  คงส่งมันมาที่นี่ก่อนหน้าเราแล้ว” ครูเอลให้ความกระจ่าง

          “ส่งตัวมันมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้  ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่ายุ่ง”  ขุนพลหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน

          “พวกเจ้ากำลังจะฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตาข้า   จะเรียกว่าไม่ใช่เรื่องของข้าคงไม่ได้”

          “ท่านผู้เฒ่าคงสบายดีนะ”

          “ครูเอล!!!!”  วาเรีย หันควับกลับไปมองหน้าเจ้าของนามที่เธอเรียกอย่าง งง ๆ  กับการทักทายที่ดูสุภาพนั้น
และรอยยิ้มที่ส่งกลับมาจากชายร่างเล็กเหมือนไม่รู้สึกอะไร  ยิ่งทำให้เธออ้าปากค้าง ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อ
ระงับอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น

          “แต่ข้าว่าหลังจากนี้ไป ท่านผู้เฒ่าคงต้องพักฟื้นอีกพักใหญ่ ๆ เชียวละ”  ครูเอลกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ต้องใช้
พลังสักเท่าไหร่นะ…ในการใช้อุโมงค์มนตร์ส่งเจ้ามาที่นี่”

          “ข้าว่าเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก  ท่านผู้เฒ่าแข็งแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้เยอะ”

         “มันต้องรีบกลับเข้าไปในอุโมงค์มนตร์นั่นก่อนที่มันจะหายไป พวกเราต้องขัดขวางไม่ให้มันพาวาเลนไป 
ไม่เช่นนั้นผลึกคริสโซโคลลาต้องตกไปอยู่ในมือผู้เฒ่าเอสโทสแน่ ๆ”  ชายร่างเล็กเอ่ยเบา ๆ ให้พรรคพวกที่เหลือ
ฟัง  และเมื่อครูเอลพยักหน้าให้สัญญาณ  ทุกคนก็กระจายไปล้อมรอบราฟาและวาเลนอย่างรวดเร็ว ทั้งโลนอฟและ
วาเรียต่างกระชับอาวุธที่อยู่ในมือเตรียมพร้อมต่อสู้อย่างเต็มที่

          “พวกมันคงไม่ปล่อยให้เราหนีไปง่าย ๆ “  เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าเผ่าคาร์มีลเอ่ยขึ้นกับชายผู้มาช่วยที่ไม่รู้จัก  
ขณะนี้เขาดูมีแรงเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่สมบูรณ์กลับสู่สภาพเดิมซะทีเดียว

          “เรามีเวลาไม่มากแล้ว  ต้องรีบเข้าไปในอุโมงค์มนตร์ให้เร็วที่สุด…ท่านไหวรึเปล่า”  ราฟากระซิบเบา ๆ
พอให้ได้ยินกันสองคน

          “ข้ายังพอสู้ได้”

          “ราฟา  เจ้าคิดจะชุบมือเปิบไปแบบนี้  มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ  พวกเราเป็นคนเจอผลึกคริสโซโคลลา
ก่อนนะ”  คู่อริเก่าอย่างโลนอฟหรี่ตา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนจะถากถาง

          “ถ้าของที่พวกเจ้าต้องการหมายถึงลูกแก้วของอดีตหัวหน้าเผ่า  ข้ายินดีที่จะมอบมันให้ท่านผู้นี้ครอบครอง 
มากกว่าคนชั่วอย่างพวกเจ้า”

          “มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นักหรอก  ที่มันมาที่นี่ก็เพราะต้องการผลึกนั่นเช่นกัน  เจ้าอย่าคิดว่ามันตั้งใจ
จะมาช่วยเจ้าหน่อยเลย”

           นัยน์ตาที่ยากจะอ่านออกของวาเลนตวัดมามองหน้าราฟาทันที  แต่เมื่อเจอกับสีหน้าที่สงบนิ่งไม่มีแม้ข้อ
แก้ตัวใด ๆ  ทำให้เขาตัดสินใจที่จะเชื่อใจชายหนุ่มผมสีฟ้าผู้มาช่วยเขาออกจากการคุมขังนั่น “ถึงยังไงเค้าก็เป็น
คนช่วยชีวิตข้าจากพวกเจ้าอยู่ดี  หากลูกแก้วของอดีตหัวหน้าเผ่าจะตกเป็นของใครสักคน ข้าเต็มใจมอบให้เค้า
มากกว่าพวกเจ้าทั้งหมด”

          “เจ้านี่มันโง่สิ้นดี”  ขุนพลสาวตวาดอย่างเหลืออด  “ถ้าเช่นนั้นก็ตายไปพร้อม ๆ กับมันเหอะ” ทันทีที่พูดจบ
วาเรียตวัดดาบพุ่งเข้าใส่ราฟาและวาเลนทันที  โดยมีโลนอฟ และไซเทรนพุ่งตามเพื่อเข้าไปเพื่อช่วยเธอต่อสู้กับ
ชายหนุ่มสองคนที่กำลังรอตั้งรับเต็มที่

          การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด  ไซเทรนจับคู่ต่อสู้อยู่กับวาเลนที่ขณะนี้กลายร่างกลับมาสูงใหญ่ ผิวหนัง
หยาบกร้าน ขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำ  ดวงตาปูดโปน  ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันรับ  แต่ไซเทรนซึ่งมีเพียงพละกำลัง
ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรเลย เขาโดนกรงเล็บแหลมคมของวาเลนตะปบเข้าตามร่างกาย เกิดแผลลึกหลายแห่งทั่วตัว 
จนขุนพลหนุ่มอย่างเทอเรนทนดูไม่ไหวจนต้องรีบเข้ามาช่วย  แต่อาวุธของเทอเรนซึ่งคือหมัดทั้งสองข้างที่มี
เหล็กแหลมคมจากการใส่สนับมือที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสามารถยืดเข้าออกได้เหมือนใจนึก  กลับไม่สามารถทำ
อันตรายใด ๆ ต่อร่างกายของคู่ต่อสู้ได้เลย  ทุกครั้งที่เขาสามารถฟาดฟันเข้าใส่วาเลน  เพียงไม่ถึงอึดใจบาดแผล
เหล่านั้นก็กลับมาสมานเป็นปกติได้เช่นเดิมด้วยอานุภาพของผลึกแห่งแสง

          ราฟากำลังรับมือกับคู่ต่อสู้อีกสองคน คือวาเรียกับโลนอฟ  ทั้งคู่ผลัดกันใช้อาวุธประจำตัวเข้าโจมตีโดยที่
ราฟาไม่คิดจะตอบโต้ทำได้เพียงแต่ป้องกันเท่านั้นเพราะตอนนี้เขากำลังพะวงกับอุโมงมนตร์ที่กำลังวูบไหวตาม
แรงลมเหมือนกับกำลังจะกระจายหายไป   “ไม่มีเวลาแล้ว  เราต้องไป”   เขาตะโกนบอกวาเลน

          “เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปง่าย ๆ แบบนี้รึไง  ไม่มีทาง”  เสียงแหบ ๆ ของครูเอลเอ่ยขึ้นหลังจากยืนนิ่ง
รอดูสถานการณ์   ก่อนจะร่ายเวทโจมตีเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนหนีไปจากวงล้อมได้

          “เจ้าเอานี่ไป  แล้วไปซะ”  วาเลนตัดสินใจใช้กรงเล็บกรีดลงบนหน้าอกด้านขวา  เกิดแสงสีเขียว
เปล่งประกายออกมาจากบาดแผล ก่อนที่เขาจะหยิบผลึกแก้วสีเขียวขุ่นขนาดเล็กซึ่งเหมือนกำลังจะไหลออกมา
จากบาดแผลพร้อม ๆ กับเลือดที่กำลังไหลทะลัก  ขว้างส่งให้ราฟา ซึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล

          “ผลึกคริสโซโคลลา”     เหล่าลูกสมุนของร็องดอร์อุทานขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

          “จัดการนังเด็กผู้หญิงที่มาจากโลกนู้นซะซิ”

          เสียงของครูเอลที่ดังขึ้นขณะที่ราฟากำลังจะคว้าผลึกแห่งแสงที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เขาชะงัก
รีบหันกลับไปมองยังอุโมงค์มนตร์เพราะนึกว่าเด็กหญิงที่ครูเอลพูดถึงคือราชินีน้อยแห่งเฮเวนน่า ซึ่งอาจจะตามเขา
มาจากอุโมงมนตร์

          โลนอฟใช้จังหวะที่ราฟาชะงักและหันกลับไป  เข้าคว้าผลึกแห่งแสงไว้ในมือ  พร้อม ๆ กับที่วาเรียเห็นว่า
ราฟาไม่ทันระวังตัวจึงใช้ดาบคู่ของเธอฟันเข้าใส่กลางหลังของเขาอย่างแรง

          เลือดสีแดงเข้มกระฉูดตามรอยแผลจากอานุภาพของดาบธินทันที  ราฟาถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น

          “ฮ่า…ฮ่า….ผลึกคริสโซโคลลาอยู่ในมือข้าแล้ว”  โลนอฟตะโกนก้องด้วยความยินดี  นัยน์ตาทุกคู่ที่มองมา
ที่เขาเปล่งประกายวาวโรจน์ด้วยความดีใจ

          วาเลนอาศัยจังหวะที่บรรดาลูกสมุนของร็องดอร์กำลังเผลอเพราะความดีใจกับสิ่งที่ต้องการ ปรี่เข้าไปอุ้ม
ราฟาวิ่งพุ่งเข้าไปในอุโมงค์มนตร์ก่อนที่จะสลายหายไปได้ทันท่วงที

***********************************

          “โครม….!!!”

          “พี่ ๆ  ได้ยินมั้ย…ไปเร็ว….”  ซายน์รีบวิ่งนำหน้าพี่ชายทั้งสองไปทันที  เมื่อนึกว่าเสียงที่ได้ยินคงเป็นเพราะ
ท่านผู้เฒ่าเอสโทสอาจเป็นอะไรไปอีกครั้ง

           “เฮ้ย…..!!!”    เสียงอุทานจากปากชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังยืนอยู่หลังหญิงสาวซึ่งกำลังยื่นนิ่งค้างเป็นหุ่น
คาอยู่ในท่าเปิดประตู

          “ถอยไป..ซายน์…ได้ยินมั้ย…หลีกสิ”  น้ำเสียงร้อนรนของเจย์ ทำให้หญิงสาวสะดุ้งได้สติก่อนจะหลีกทางให้

          นัยน์ตาที่เริ่มพร่าเลือนเพราะกำลังเอ่อด้วยน้ำตาของซายน์ มองเห็นแซนด์ , เจย์ และท่านผู้เฒ่ากำลัง
กุลีกุจอช่วยเหลือผู้บาดเจ็บสองคนอย่างทุลักทุเล  ชายคนหนึ่งเป็นชายแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จัก ร่างกายเขาเหมือน
คนผ่านการต่อสู้ที่หนักหน่วง  มีร่องรอยบอบช้ำจากการต่อสู้ รวมถึงแผลที่หน้าอกด้านขวาซึ่งเลือดยังไหลไม่หยุด 
ส่วนชายอีกคนที่ดูแล้วจะอาการหนักกว่าชายคนแรก  เป็นคนที่เธอรู้จักดีและไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าคนเก่ง
อย่างเขาจะได้รับความบอบช้ำจากการต่อสู้มาถึงเพียงนี้

          “อานุภาพของดาบธิน”  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ อย่างวิตกกังวล เมื่อท่านได้จัดการใช้เวทให้โต๊ะใหญ่
กลางห้องหายไป กลับกลายเป็นเตียงสองเตียงมาแทนที่ และเมื่อช่วยกันจัดการนำร่างผู้บาดเจ็บขึ้นนอนบนเตียงได้
แล้ว  ท่านผู้เฒ่าก็เริ่มตรวจดูบาดแผลของชายผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อน  และเพราะเสียเลือดไปมาก ทำให้เขาถึง
กับสลบไป

          “ดาบธิน เหรอครับ”  เจย์ถามด้วยความงุนงง พร้อม ๆ กับเริ่มใช้มีดขนาดเล็กที่คมกริบจัดการตัดเสื้อของ
ราฟาที่กำลังนอนคว่ำหน้าออกอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สะดวกในการรักษา

          “ใช่…มันคือดาบที่ทำมาจากแร่เฮมาไทต์  หินแร่สีดำที่มีอานุภาพในตัวเอง”  ท่านผู้เฒ่าให้คำตอบ

          “ราฟาคงไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยครับ…ระดับท่านผู้เฒ่าใช้เวทนิดหน่อย เดี๋ยวเดียวก็คงหาย” แซนด์พูดอย่าง
ร่าเริง

          “ไม่หรอก  บาดแผลจากดาบธิน ไม่สามารถใช้เวทรักษาได้  และหากจะมีเวทใดที่รักษาบาดแผลนี้ได้
ก็ต้องเป็นเวทชั้นสูงที่ต้องใช้พลังในการร่ายเวท  และขณะนี้ข้าคงไม่มีพลังพอ”  ชายชราตอบอย่างแผ่วเบา

          “แล้ว…แล้วเราจะทำยังไงละครับ” คราวนี้น้ำเสียงของพี่ชายฝาแฝดเริ่มแฝงไปด้วยความวิตกกังวล
“อ้าว…ซายน์ ทำไมยังยืนนิ่งอย่างนั้นละ  เข้ามาช่วยกันสิ”

          “เค้า…ราฟาเค้า…เค้าจะตายมั้ยคะ”  ซายน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเหมือนเสียงกระซิบ

          “ไม่หรอกราชินีน้อย  อย่าวิตกเลย”  ชรายิ้มให้อย่างอบอุ่น พร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนโยน

***********************************

          “ดี...ดีมาก...พวกเจ้าทำได้ดีมาก”   เสียงชื่นชมยินดีที่ออกจากปากของชายชุดดำ ซึ่งยืนอยู่ในมุมมืด
แทบปกปิดความดีใจไว้ไม่มิด  “ไม่นึกเลย... ไม่นึกเลยจริงๆ  ว่าผลึกคริสโซโคลลา  จะมาอยู่ในมือข้าง่ายดาย
เช่นนี้  ต่อไปนี้ผลึกแห่งแสงทั้งห้าที่เหลือ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า...”

          “อันที่จริงถ้าเรารู้ที่ซ่อนของพวกเจ้าแก่นั่น   นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะจัดการพวกมันให้สิ้นซาก เพราะเจ้า
ราฟาโดนดาบของข้าไปขนาดนั้น  คงต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานเลยทีเดียว”  ขุนพลหญิงกล่าวเหมือนจะ
โอ้อวดผลงานตัวเอง

          “แล้วเราจะไปหาผลึกแห่งแสงชิ้นต่อไปได้ที่ไหนละครับ”  ไซเทรนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กล้า ๆ กลัว ๆ

          “ไม่ต้องรีบ...ไม่ต้องรีบ  เมื่อถึงเวลาผลึกนี้จะบอกเราเอง”  ชายผู้เป็นหัวหน้าพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงก้อง
กังวานพร้อมกับชูผลึกสีเขียวขุ่นในมือไปข้างหน้า

          “ผลึกแห่งแสงจะบอกเราเอง”   โลนอฟทวนคำอย่าง งงๆ

          “ใช่...เมื่อใดที่ผลึกเปล่งแสง   แสดงว่าผลึกชิ้นต่อไปได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว”    ครูเอลให้ความกระจ่าง

          “ช่วงนี้   พวกเจ้าทั้งหมดก็เตรียมตัวไว้ให้ดี  เมื่อใดที่ผลึกชิ้นต่อไปปรากฏขึ้นมา  พวกเจ้าก็ต้องไปนำมันมา
ให้ข้าให้ได้”  น้ำเสียงทรงอำนาจกล่าวอีกครั้งก่อนจะค่อย ๆ หายไปในความมืด

***********************************

          “ท่านผู้เฒ่าคะ   เมื่อไหร่ราฟาจะฟื้นละคะ   นี่มันก็ตั้งสองวันแล้วนะ”

          “ใจเย็น ๆ ราชินีน้อย   ราฟาไม่เป็นอะไรหรอก”

          “แหม...รู้สึกว่าน้องสาวชั้นเนี่ย   จะเป็นห่วงเป็นใยราฟาจังเลยนะ”

          “พี่แซนด์....”  หญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงหน้าแดง พร้อมกับแผดเสียงเรียกพี่ชายด้วยน้ำเสียงดุ ๆ  เพื่อ
กลบเกลื่อนอาการเขิน    “ก็คนเค้าบาดเจ็บจะไม่ห่วงได้ไง...เป็นใครบาดเจ็บมา ซายน์ก็เป็นห่วงทั้งนั้นแหละ”

          “พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา”

          “แผลของราฟาดีขึ้นมากแล้ว   คงไม่เป็นอะไรหรอกซายน์  อย่าห่วงเลย”  เจย์เอ่ยขึ้นตัดบทเมื่อเห็นว่า
สองพี่น้องตั้งท่าจะโต้เถียงกันอีกแล้ว

          “แล้วนายประหลาดนั่นไปไหนแล้วละคะ”

          “ซายน์   อย่าเรียกเค้าแบบนั้นซิ  เค้าชื่อวาเลน”   พี่ชายดุน้องสาวฝาแฝด  เมื่อเห็นว่าพูดจาไม่น่ารัก
เอาซะเลย

          “ก็จริง ๆ นี่นา...  ลองดูวันที่เค้ามาที่นี่ซิ  ไม่เห็นจะเหมือนคนทั่วไปเลย”

          “คนของเผ่าคาร์มีล”   ผู้เฒ่าเอสโทสอธิบาย   “เผ่าคาร์มีล  เป็นเผ่าที่อยู่ติดกับดินแดนเฮเวนน่า เป็นเผ่า
ที่รักความสงบ  ชอบอยู่โดดเดี่ยว  แต่หากมีศัตรูรุกราน  ก็จะสู้จนถึงที่สุด  ลักษณะพิเศษของเผ่าคาร์มีลคือการ
พรางตัวให้กลมกลืนกับสิ่งรอบ ๆ ตัว  จนดูเหมือนว่าคนของเผ่าคาร์มีลหายตัวได้  และอีกหนึ่งความพิเศษคือ
ความสามารถในการกลายร่าง”

           “การกลายร่าง”   เด็ก  ๆ  ทั้งสามคนกล่าวพร้อม ๆ กัน

          “ใช่...การกลายร่างเพื่อต่อสู้  ร่างที่พวกเจ้าเห็นวันที่เค้ามาที่นี่นั่นแหละ  แต่ในเวลาปกติแล้วเค้าก็จะเหมือน
มนุษย์ปกติทั่ว ๆ ไป”

          “ร่าง....”  แซนด์กำลังจะอ้าปากพูดยังไม่ทันจบ  ทุกคนก็ต้องหันไปมองที่ประตูซึ่งกำลังเลื่อนเปิดออก
พร้อม ๆ กับบุคคลที่กำลังกล่าวถึงกำลังก้าวเดินเข้ามา

          “เอ่อ....ข้าเข้ามาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า”  น้ำเสียงตะกุกตะกัก เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสายตาทุก ๆ คู่ จับจ้อง
มาที่ตน

          “ไม่หรอกวาเลน  เข้ามาเถอะ...พวกเด็ก ๆ กำลังสนใจเรื่องของเจ้านะ...นี่เจ้าคงออกไปเดินเล่นข้างนอก
มาละสิ”

          “ครับ....ท่านผู้เฒ่า....ที่นี่บรรยากาศดีมากๆ  ถ้าข้าเดาไม่ผิด  ที่นี่คงต้องสร้างขึ้นมาจากการใช้เวท และใช้
บรรยากาศของเฮเวนน่าเป็นต้นแบบ”

          “ฮึ...ฮึ...ฮึ...  เจ้ามันช่างรอบรู้ สมควรที่จะได้เป็นหัวหน้าเผ่าจริง ๆ”

          “เอ่อ..แล้วเมื่อสักครู่ที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เด็ก ๆ กำลังสนใจเรื่องของข้านี่  มันเรื่องอะไรหรือครับ”

          “เจ้าก็ลองถามพวกเค้าดูซิ...ข้าคงต้องขอตัวก่อนละ”  พูดจบ  ท่านผู้เฒ่าก็ลุกขึ้น “อาการของเจ้าเป็นไง
บ้างละ  ดีขึ้นมากแล้วใช่มั๊ย”

          “ครับ...ตอนนี้ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ แล้ว...ไม่นึกว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ลิ้มลองรสชาติของรัซเทล 
วิเศษจริงๆ”

           “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี”  ชายชรายิ้มน้อย ๆ ให้กับทุกคน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป

***********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น