นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 14 เริ่มต้นผจญภัย

 

 

          “ยังไม่นอนหรือ  ราชินีน้อย”

          ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคยนี้  ทำให้ผู้ถูกทักรีบละสายตาจากดวงจันทร์ที่กำลังจะเปลี่ยนจากสีแสดเป็น
สีม่วงตรงหน้า หันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้น ด้วยสีหน้าที่แสดงให้รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ค่อยพอใจนัก  มีเพียง
แววตาเท่านั้นที่บ่งบอกได้ถึงความห่วงใย

          “ราฟา…ทำไมท่านถึงไม่พักผ่อน  นี่ไม่ใช่เวลาที่คนป่วยอย่างท่านออกมาเดินเล่นนะ”

          “คนป่วย …ท่านหมายถึงข้านี่นะ”

          “ก็ใช่นะสิ…บาดแผลของท่านยังไม่หายสนิท การลุกขึ้นออกมาเดินเช่นนี้อาจทำให้อาการหนักขึ้นได้อีก 
อย่าทำเก่งนักเลย”  ซายน์หรือราชินีน้อยตามคำเรียกของราฟา สะบัดเสียงตอบกลับแบบห้วน ๆ

          “ข้าเพิ่งรู้ตัวนะเนี่ย…ว่าตัวเองเป็นคนป่วย”   ราฟาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามกลั้นเสียงหัวเราะเต็มที่

          “นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ”  ซายน์แหวกลับอย่างขุ่นเคืองที่การเป็นห่วงเป็นใยของตนเอง กลับถูกอีกคนมอง
เหมือนเป็นเรื่องตลก

          “เอ่อ…ข้าขอโทษ”   ราฟาเอ่ยคำขอโทษเบาหวิว เมื่อเห็นว่าสาวน้อยตรงหน้ากำลังโกรธเพียงใด ก่อนจะ
กล่าวเรียบ ๆ  ด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นเคย   “แต่ท่านต้องเห็นใจข้าหน่อยสิ   ข้าต้องอุดอู้อยู่ในห้องนั้นมาเป็นเดือน 
มันน่าเบื่อมากแค่ไหนที่ต้องอยู่แต่ในนั้นทั้งวัน  ข้าก็แค่อยากออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกสักหน่อย  เดี๋ยวก็จะ
กลับเข้าไปแล้ว”  แต่เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนเฉยด้วยอาการที่ยังคงขุ่นเคือง  ราฟาก็กล่าวต่อไปอย่างจริงจัง 
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้ารู้อาการของตัวเองดี และตอนนี้ข้าก็คิดว่าตัวเองเป็นปกติแล้ว”

          “ก็ดี… ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อนล่ะ  ไม่อยากรบกวน”   หญิงสาวกล่าวตอบด้วยอาการงอน ๆ เมื่อเขา
กลับมองไม่เห็นถึงความปรารถนาดีของตน

          “อยู่ที่นี่กันนะเอง  เอ๊ะ! ราฟา  ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ละ ..เอ่อ…เอ่อ…”  ผู้มาใหม่ถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็น
สีหน้าที่ยังบึ้งตึงของหญิงสาว  ก่อนจะเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก   “คือว่า…กำลัง…กำลังคุยอะไรกันอยู่รึเปล่า”

          “เปล่าหรอก…แล้วพี่เจย์ล่ะ  มีอะไรรึเปล่า”

          “ไม่มีอะไรหรอก …พี่ไม่เห็นแซนด์อยู่ในห้อง ก็เลยออกมาตามหาดู  เห็นไกล ๆ ว่ามีคนอยู่ตรงนี้ ก็นึกว่าเป็น
เธอสองคนพี่น้อง”

          “ข้าว่าเค้าคงจะอยู่กับท่านวาเลน  รู้สึกว่าสองคนนี้ดูท่าทางจะสนิทสนมกันดีทีเดียว”  ราฟาเสนอความคิดเห็น

          “ขนาดอยู่แต่ในห้องนะเนี่ย…ยังรู้เรื่องดีเชียว”  ซายน์อดประชดไม่ได้

          “ช่วงที่ท่านวาเลนยังพักรักษาตัวในห้อง  ข้าเห็นแซนด์เข้าไปซุบซิบคุยกันบ่อย ๆ “  ราฟาหันไปตอบซายน์

          “เห็นแค่นั้น ท่านก็มั่นใจถึงกับขนาดรู้ว่าเค้าสองคนสนิทสนมกันเลยเหรอ”

          “ข้าก็พูดจากสิ่งที่ข้าเห็น ถ้าท่าน….”

          เจย์เห็นสองคนตั้งท่าจะเริ่มต้นเถียงกัน  ก็เลยพยายามตัดบทด้วยน้ำเสียงเบื่อ ๆ   “เอ่อ…งั้นข้าขอตัวไป
ตามแซนด์ก่อนละกัน”   และก็ได้ผลสองคนนั่นคงจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีเขาอยู่ตรงนี้อีกคน  ทั้งคู่ถึงได้หันมายิ้ม
เจื่อน ๆ ให้

          “เดี๋ยวซายน์เรียกให้เองละกัน”  หญิงสาวยิ้มกว้างให้เจย์เหมือนเป็นการขอโทษ  ก่อนจะทำหน้าทะเล้น
พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะที่หัวเบา ๆ  เพื่อจะบอกว่าจะใช้วิธีใด

           “พี่แซนด์ …พี่แซนด์…. อยู่ไหน  ได้ยินรึเปล่า”

           “แซนด์  นายอยู่ไหน  พวกเราอยู่ที่ลานกว้างด้านข้าง ถ้าได้ยินก็รีบมาที่นี่เร็ว ๆ”   เจย์ใช้กระแสจิต
เรียกแซนด์อีกคน

            “รู้แล้ว ๆ  รออยู่ตรงนั้นแหละ ชั้นกำลังจะไป”

            เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ แซนด์กับวาเลนก็เดินกันมาอย่างไม่รีบร้อนนัก  “โห…อยู่กันครบเลยนะ
นัดประชุมอะไรกันเหรอ”  เสียงแซนด์ดังมาแต่ไกล

          “เปล่า  แค่เห็นว่าอากาศดี ก็เลยมานั่งเล่นกัน  เห็นนายหายไปก็เลยเรียกมา  อยู่กันครบแบบนี้จะได้คุย
สนุกยิ่งขึ้น จริงมั๊ยซายน์”  เจย์หันไปยิ้มให้ซายน์ซึ่งกำลังทำหน้างง ๆ  ก่อนที่จะเดินเข้ามากระซิบเบา ๆ

          “เรามานั่งเล่นกันเหรอ พี่เจย์  คิดได้ไงเนี่ย”

          เจย์ตอบคำถามนั่นด้วยรอยยิ้มกว้าง  และเริ่มนั่งลงบนพื้นหญ้านุ่มเป็นคนแรก  ก่อนที่คนอื่น ๆ จะนั่งลง
ล้อมกันเป็นวงกลม  ต่างคนต่างมองหน้ากัน เหมือนจะรอว่าใครจะเป็นผู้เริ่มต้นการสนทนาก่อน

          “ท่านผู้เฒ่าดูจะอ่อนแรงไปมาก”  เจย์เป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก

          “นั่นเพราะท่านต้องใช้พลังอย่างมาก ในการสร้างอุโมงค์มนตร์”

          “อุโมงค์นั่นสามารถส่งเราไปที่ไหนก็ได้หรอ”  แซนด์ถามด้วยความอยากรู้

          “ใช่…แต่การใช้อุโมงค์มนต์จะใช้เฉพาะสถานการณ์ที่จำเป็นมาก ๆ เท่านั้น พวกท่านคงเห็นแล้วว่าการใช้มัน 
ท่านผู้เฒ่าต้องสูญเสียพลังไปมากเพียงใด”

          “ท่านไม่สามารถสร้างอุโมงค์แบบนั้นได้หรอ”  หญิงสาวหันไปถามราฟา

          “ข้าทำไม่ได้หรอก…ผู้ที่จะสร้างอุโมงค์นั่น ต้องเป็นผู้ที่ใช้เวทขั้นสูงได้เท่านั้น ข้ายังไม่สามารถทำได้
ถึงขั้นนั้น”

          “ท่านรู้หรือไม่ตลอดหนึ่งเดือนที่ท่านพักรักษาตัว  พวกเราฝึกฝนกันอย่างหนัก จนการใช้เวทของพวกเรา
ดีขึ้นมากแล้ว”

          “ได้ยินเช่นนี้ ข้าก็สบายใจ”

         “อาจเพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พวกเรารู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง เราจะทำเป็นเล่นต่อไปไม่ได้แล้ว…
และ…และเราทุกคนจะหวังพึ่งคนอื่นไม่ได้ เราจะต้องยืนหยัดด้วยตนเอง อย่างน้อยเพื่อไม่ให้คนอื่นต้องมาพะวง
เพราะเรา”  ซายน์ก้มหน้าก้มตาพูดอย่างจริงจัง ก่อนจะเงยขึ้นมาสบตากับราฟา

          “ท่านเล่าเรื่องวันนั้นให้ทุกคนฟังหรือ วาเลน”   สีหน้าราฟากระอักกระอ่วน  เมื่อคิดว่าวาเลนอาจจะเล่าถึง
สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียสมาธิจนพลาดท่าเสียทีให้กับคู่ต่อสู้ง่าย ๆ เพียงเพราะเขาเป็นห่วงว่าหญิงสาวคนเดียว
ในกลุ่มนี้ตามเขาไป  ซึ่งตัวเขาเองเพิ่งจะรู้ว่ามันโง่มากที่จะคิดว่าใครคนใดคนหนึ่ง จะตามเขาไปในอุโมงค์มนตร์
นั้นได้…เพราะอย่างน้อยท่านผู้เฒ่าคงไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแน่

          “ข้าเปล่านะ”  วาเลนรีบปฏิเสธ

          “ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า.. “  แซนด์หัวเราะเสียงดัง พร้อมกับพยายามหลบมือของวาเลนที่พยายามจะปิดปากไม่ให้เขา
พูดต่อ  “ทำไมละราฟา…กลัวใครจะรู้รึไงว่าทำไมท่านถึงได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้”  แซนด์อมยิ้ม

          “นายรู้หรอ”  เจย์ถามด้วยความอยากรู้

          “ข้าขอตัวก่อนดีกว่า…ชักจะรู้สึกเจ็บแผลขึ้นมานิดหน่อยแล้ว” ราฟาตัดบท ลุกขึ้นยืน และก้าวยาว ๆ เดิน
จากไปท่ามกลางความงุนงงของเจย์และซายน์  โดยมีเสียงหัวเราะคิกคักของแซนด์และวาเลนคลอเบา ๆ

          “นายรู้อะไรมา  บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”  เจย์หันมาคาดคั้นแซนด์

          “เฮ้อ…ง่วงแล้ว ไปนอนดีกว่า”  แซนด์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามด้วยการลุกขึ้นยืน และเดินกลับเข้าบ้านไป
พร้อม ๆ กับวาเลน

          “พี่แซนด์ต้องรู้อะไรดี ๆ จากวาเลนแน่ ๆ เลยพี่เจย์”

          “พี่ก็ว่างั้นแหละ…พี่จะต้องรู้ให้ได้…ไม่เช่นนั้นคืนนี้แซนด์ไม่ได้นอนแน่ ๆ ไปเหอะ…ซายน์กลับไปนอน
ได้แล้ว เรื่องนี้พี่จัดการเอง”

***********************************

          “ใช้สัญชาติญาณเจ้าให้เป็นประโยชน์อีกครั้ง ครูเอล”

          “ข้าจะพยายาม”

          “ส่วนพวกเจ้า ครั้งนี้ไม่ต้องตามไป” ชายผู้ออกคำสั่งหันหน้ามาทางอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีสองขุนพลกับอีกหนึ่ง
ผู้บัญชาการกองกำลังยืนอยู่

           “ทำไมละครับท่านร็องดอร์”  ผู้บัญชาการกองกำลังอย่างโลนอฟ ถามด้วยความประหลาดใจ

          “งานครั้งนี้ข้าจะให้เคลอิเป็นคนจัดการ  ครูเอลกับไซเทรน เจ้าเดินทางล่วงหน้าไปก่อน แล้วข้าจะให้เคลอิ
ตามไป”  พูดจบชายในชุดดำก็เดินหายไปในความมืด  โดยไม่ให้ความกระจ่างใด ๆ แก่โลนอฟแม้แต่น้อย

           “ไม่ต้องไปก็ดี  ข้าก็อยากจะเห็นผลงานของมือขวาอย่างเจ้าเคลอินัก”  โลนอฟฮึดฮัด  “ข้าจะคอยดู ไม่ได้
เรื่องกลับมาละก็ ข้าจะเยาะเย้ยให้หนักทีเดียว”

***********************************

         “ดีมาก…ดีมากจริง  แทบไม่น่าเชื่อเวลาเพียงไม่นานพวกท่านก็สามารถฝึกฝนจนเก่งกล้าขึ้นถึงเพียงนี้”

          ซายน์  แซนด์และเจย์  ต่างยิ้มกว้างกับคำชมของท่านผู้เฒ่า

          “การตามหาผลึกแห่งแสงครั้งนี้  ข้าจะอนุญาตให้พวกท่านไปกับราฟาด้วย”

          “อะ…อะไรนะครับ…ท่านผู้เฒ่าจะให้เราทำอะไรนะครับ”  แซนด์อุทานด้วยความตกใจและแปลกใจ ความคิด
แรกที่โผล่เข้ามาในสมองของเขาก็คือถึงแม้พวกเขาทั้งสามคนจะพัฒนาฝีมือไปมาก แต่การจะไปตามหาผลึกแห่ง
แสงก็เป็นเรื่องใหญ่เกินตัวทีเดียว  และทั้งสามคนก็ไม่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามของศัตรูสักเท่าไหร่  ขนาด
ราฟาที่เขาคิดเสมอมาว่าเป็นคนเก่งที่สุดเท่าที่เขารู้จัก  ใช่สิ!…เก่งที่สุด เพราะในโลกพาร์ตรีไดส์เขายังไม่ได้รู้จัก
ใครไปมากกว่านี้เลย  ไม่นับรวมเหตุการณ์ที่เขาเห็นจากอำนาจของท่านผู้เฒ่า เหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่ง
เรื่องราวทั้งหมด  ราฟาก็นับว่าเป็นคนที่เก่งที่สุดตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาในโลกแห่งนี้  ก็ยังเสียทีกับพวกมันมาแล้ว 
แล้วเขาล่ะ ตัวเขาที่ความสามารถในการใช้เวทล่าช้ากว่าคนอื่นอยู่เสมอ จะไปสู้กับใครได้  และแล้วความคิดถัดมา
ที่ทำให้เขาต้องยอมรับกับตัวเองคือ อันที่จริงเขากลัว  ความกลัว…ที่อยู่เหนือเหตุผลใด  ๆ ทั้งหมด

          “ไม่เป็นไรหรอก”  เหมือนว่าท่านผู้เฒ่าจะอ่านใจแซนด์ได้จากสีหน้าที่ตื่นตระหนก  “อย่าห่วงเลย…ข้ามั่นใจ
ว่าพวกท่านจะต้องทำได้  เชื่อข้าสิ  การออกไปผจญภัยครั้งนี้  จะทำให้พวกท่านมีประสบการณ์และรู้จักโลกแห่งนี้
เพิ่มมากขึ้น   เป็นการดีสำหรับตัวพวกท่านเอง”

          “ท่านผู้เฒ่าครับ แล้ววาเลนละครับ”  เจย์ถามด้วยความสงสัย

          “เห็นทีข้าคงจะต้องกลับไปที่เผ่าคาร์มีล…”   วาเลนรีบบอก “ข้าเป็นห่วงพรรคพวกของข้า ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่นั่น
จะเป็นอย่างไรบ้าง  แต่ถ้าพวกท่านมีเรื่องอะไรต้องการให้ข้าช่วย  สามารถไปหาข้าได้เสมอ…”

          “แล้วเราจะไปหาผลึกแห่งแสงที่ไหนละครับ ท่านผู้เฒ่า”  เจย์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

          “ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะลองไปที่เผ่าวิเพอรี่

          “จะดีหรือครับท่านผู้เฒ่า  ที่จะให้พวกเขาออกไปเสี่ยงแบบนี้”  ราฟาทักด้วยความเป็นห่วง

          “แต่ข้าจะไป”  หญิงสาวกล่าวอย่างหนักแน่น

          “ข้าก็จะไป”  เจย์ตัดสินใจเป็นคนต่อมา

          “ไปซิ  …ไป…ข้าก็ไป”  แซนด์กล่าวตะกุกตะกัก

***********************************

          “ตื่นเต้นจังเลย พี่เจย์  ไม่น่าเชื่อเราจะได้มาเดินในทางสายหมอกนี้อีกครั้ง”

          “นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ  เราต้องเจอกับอะไรบ้างก็ไม่รู้…  ป่านนี้วาเลนจะไปถึงไหนแล้วนะ…” พี่ชายฝาแฝด
เริ่มเคร่งเครียดวิตกกังวล

         “ไม่เอาน่า พี่แซนด์  มั่นใจในตัวเองหน่อย  พวกเราทำได้”

          “นั่นซิ…พวกเราก็ฝึกฝนกันมามากพอสมควร แถมมีราฟาอยู่ด้วย ไม่เห็นต้องกังวลเลย”

          “คิดถึงนีย์จัง..ป่านนี้จะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้…ถ้าคราวนี้พี่เป็นอะไรไป ฝากล่ำลานีย์ด้วยนะ”

          “บ้าเลยพี่แซนด์…คิดมากไปได้ นู่นไปนู่นเลย ไปเดินกับราฟาข้างหน้านู่นไป จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน”

          “แต่พี่ว่าเราน่าจะไปคุยกับราฟานะซายน์…จะได้ถามเรื่องเผ่าวิเพอรี่ไง”  เจย์ชักชวน

           ซายน์ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ให้เจย์… อันที่จริงเธอไม่อยากจะคุยกับราฟา
สักเท่าไหร่..เพราะคุยกันดี ๆ ได้ไม่กี่คำ ทั้งสองก็มักจะมีเรื่องโต้เถียงกันเป็นประจำ แต่เรื่องที่เจย์พูดมันก็ถูก 
เรากำลังจะไปเจอกับเรื่องที่สำคัญ และอาจถึงขั้นคอขาดบาดตาย เพราะฉะนั้นการรับรู้ข้อมูลให้เยอะที่สุด 
ก็อาจเป็นประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน เอาก็เอา…ยังไงซายน์คิดว่าตัวเองจะพยายามเงียบให้มากที่สุด ให้พี่ชาย
ทั้งสองเป็นผู้ซักไซ้ไล่เรียงราฟาไปละกัน  ส่วนเธอจะฟังเพื่อเก็บข้อมูล

          “ท่านจะไม่เล่าเรื่องของเผ่าวิเพอรี่ ให้พวกเราฟังซะหน่อยหรือ”  เจย์ถามเป็นคนแรก หลังจากทั้งสามเดิน
ตามมาจนทัน

          “เผ่าวิเพอรี่  อืม…อันที่จริงข้าก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ “  ราฟายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ  “ตอนที่พาร์ตรีไดส์
ยังไม่เกิดเรื่อง  เผ่าทุกเผ่าในแลนด์เดียร์ว่า ก็อยู่รวมกันอย่างสันติในตัวเมืองแลนด์เดียร์ว่า อาจมีบางเผ่าที่อยู่
กระจายออกมารอบ ๆ นอก แต่ทุกเผ่าก็มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกันเสมอ  แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้น  ร็องดอร์ยึดครอง
อำนาจการดูแลแลนด์เดียร์ว่าทั้งหมด และกระจายเผ่าต่าง ๆ ออกจากกัน อาจเพื่อป้องกันการรวมตัวและก่อปัญหา
ต่าง ๆ  การแยกให้แต่ละเผ่ากระจัดกระจาย เป็นการลดทอนกำลังลงและทำให้ง่ายในการควบคุม และเท่าที่รู้
ร็องดอร์ได้บังคับให้หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ทำพันธะสัญญา โดยต้องส่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร และยอดฝีมือของแต่ละเผ่า
เข้าไปเป็นลูกน้องของมัน”

          “พันธะสัญญา”  แซนด์ทวนคำงง ๆ

          “เท่าที่ข้ารู้มันทำให้ทุก ๆ เผ่าต้องทำตามข้อตกลง มิฉะนั้นอาจโดนกองทัพของร็องดอร์กวาดล้างสิ้นซาก 
และข้าก็ไม่รู้ว่าร็องดอร์ใช้เวทใดในการทำพันธะสัญญานี้ เพราะทุกเผ่าที่อยู่ในพันธะสัญญาไม่สามารถต่อสู้กับคน
ของร็องดอร์ได้เลย”

          “ท่านหมายความว่ายังไง ที่ว่าไม่สามารถต่อสู้กับคนของร็องดอร์ได้เลย”

          “ต่อให้เป็นคนที่เก่งที่สุดของเผ่า  หากมีการต่อสู้กับคนของร็องดอร์  ก็จะเหมือนกับว่าพลังในตนเองหายไป
สู้ยังไงก็ไม่มีทางชนะ”

          “แสดงว่าเคยมีเผ่าที่โดนกวาดล้างไปแล้ว”  ซายน์อดไม่ได้ที่จะถาม หลังจากพยายามควบคุมตัวเองให้
เงียบมาพักใหญ่ ๆ

         “ใช่”  ราฟาพยักหน้าเศร้า ๆ   “พวกท่านก็รู้แล้วว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้น  เฮเวนน่าสูญเสียราชินี
ผู้ปกครอง ทำให้ไม่มีผู้มีอำนาจการควบคุมดินฟ้าอากาศ  เพราะฉะนั้นอากาศในพาร์ตรีไดส์จึงเอาแน่เอานอนไม่ได้ 
บางปีอาจจะหนาวเหน็บเพาะปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น หรือบางปีอาจจะแล้งมากจนปลูกอะไรไม่ได้เลย  จึงทำให้บางเผ่า
ไม่สามารถทำตามพันธะสัญญาในการส่งพืชพันธุ์ธัญญาหารได้”

          “แล้วเค้าก็เลยต้องส่งคนมากวาดล้างเผ่าเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว เค้าน่าจะรู้ว่าทำไมเผ่าพวกนั้นถึงไม่สามารถ
ทำตามสัญญาบ้า ๆ นี่ได้” ซายน์เอ่ยอยากเกรี้ยวกราด

          “ไม่มีเหตุผลสำหรับร็องดอร์  และการกวาดล้างเหล่านี้ ทำให้เผ่าอื่น ๆ เริ่มเกรงกลัวและพยายามทำทุกวิถีทาง
เพื่อความอยู่รอด”

          “แล้ววาเลนละ  เผ่าคาร์มีลของวาเลน”

          “ทำไมหรอพี่แซนด์”

         “ก็ถ้าเผ่าของวาเลนต้องทำสัญญาบ้า ๆ นั่นด้วย ทำไมเผ่าของวาเลนถึงรอดมาได้  คนในเผ่าสามารถต่อสู้
กับคนของร็องดอร์ได้ หรือว่าเป็นเพราะมีท่านไปช่วย”  แซนด์หันไปถามราฟา

          “แล้วเค้าไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ท่านฟังหรอกหรือ ข้านึกว่าเค้าจะเล่าทุกเรื่องให้ท่านฟังหมดแล้ว” ราฟา
ถามยิ้ม ๆ แต่ตั้งใจจะประชด

          “วาเลนเล่าแต่เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เค้าเผชิญหน้ากับคนของร็องดอร์เพื่อตามหาผลึกนั่น จนกระทั่งเริ่ม
ต่อสู้จนสุดท้ายที่เค้ากับท่านเข้าอุโมงค์มนตร์ของท่านผู้เฒ่าจนมาโผล่ที่บ้านด้วยกันแค่นี้เอง”  แซนด์ตอบ
พร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดไปด้วยว่า วาเลนได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้เขาฟังรึเปล่า

          “เท่าที่ข้าได้คุยวาเลนตอนพักรักษาตัวในห้องนั้น เขาบอกว่าพวกร็องดอร์เป็นคนผิดสัญญา ทำให้พวกเขา
พ้นจากพันธะสัญญานั่น”

          “ผิดสัญญา  หมายความว่ายังไง”  เจย์ขอความกระจ่าง

           “คนของร็องดอร์ไม่ไปรับพืชพันธ์ธัญญาหารและยอดฝีมือ ของเผ่าคาร์มีลติดต่อกันเป็นเวลาห้าปี พวกท่าน
รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเผ่าคาร์มีลสามารถพรางตัวได้”

           “อย่าบอกนะว่าคนของเผ่าคาร์มีลพรางตัว ทำให้คนของร็องดอร์มองไม่เห็น เลยผิดสัญญา” เจย์กล่าว
อย่างทึ่ง ๆ

           “ถูกต้อง เมื่อคนของร็องดอร์ไม่เจอตัวคนเผ่าคาร์มีล ก็นึกว่าเป็นสถานที่ร้างจึงไม่เดินทางไปที่นั่นอีกเลย
และทำให้เผ่าคาร์มีลหลุดพ้นจากพันธะสัญญาบ้า ๆ นั่น”

           “ถ้าเช่นนั้น หากทุก ๆ เผ่าสามารถหลุดพ้นจากสัญญานั่น  พวกเขาก็ไม่ต้องทำตามความต้องการทุกอย่าง
ของร็องดอร์ใช่มั๊ย”  ซายน์ถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างมีความหวัง

          “ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น”  ราฟาตอบเบา ๆ หันไปจ้องหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าเหมือนจะแสดงความเสียใจ
ที่ความคิดของเธอไม่สามารถเป็นจริงได้  “ถึงทุก ๆ เผ่าหลุดพ้นจากพันธะสัญญานี้ ข้าคิดว่าร็องดอร์ก็ต้องหาวิธีการ
อื่นมาจัดการต่อไป”

          “ถ้าเช่นนั้น เผ่าคาร์มีลของวาเลนก็ยังคงมีอันตรายอยู่นะซิ”  แซนด์ถามด้วยความเป็นห่วง

          “ช่วงนี้เผ่าคาร์มีลอาจจะยังปลอดภัยดีอยู่ เพราะข้าคิดว่าพวกมันคงให้ความสนใจไปที่การตามหาผลึกแห่งแสง
มากกว่า”

          “แล้วที่เราออกเดินทางตามหาผลึกแห่งแสงแบบนี้  ร็องดอร์จะไม่รู้หรือไง”  เจย์คลาดแคลงใจ

          “ข้าคิดว่าพวกมันคงรับรู้ และเราต้องได้เจอกับพวกมันที่เผ่าวิเพอรี่แน่นอน”  ราฟากล่าวขรึม ๆ

***********************************

          “ทำไมต้องมาทางนี้ล่ะ”  แซนด์บ่นเบา ๆ

          “จะไปรู้ได้ไงพี่แซนด์ ตาม ๆ ไปเหอะ เดี๋ยวก็รู้เอง”   ซายน์ตอบอย่างหงุดหงิด  อดคิดไม่ได้ว่านายนั่นจะพา
พวกเราไปไหน  จากที่เดินอยู่ในทางสายหมอกมาค่อนวัน  อยู่ ๆ เขาก็พาทุกคนเลี้ยวเดินลงไปข้างทาง รอบ ๆ ตัว
ถูกห้อมล้อมไปด้วยไอหมอกที่หนาทึบยิ่งกว่าเส้นทางบนทางสายหมอก จนทำให้แทบมองไม่เห็นทางเดิน

          “ราฟา  ท่านจะพาเราไปไหนเนี่ย”   พี่ชายฝาแฝดทนไม่ได้ จนต้องถามขึ้นมาตรง ๆ

          “เข้าสู่ดินแดนแลนด์เดียร์ว่าไง”

          “นี่หรอ ทางเข้าแลนด์เดียร์ว่า”  เสียงแซนด์ครางอย่างผิดหวัง

         “ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในทางเข้าทั้งหมดเท่านั้น  และประตูนี่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว ข้าหวังว่ามันคงจะเปิดต้อนรับพวกเรา”

          “ข้าจำได้แล้ว”  อยู่ ๆ เจย์ที่เงียบมานานก็ส่งเสียงขึ้นมา  “นีย์เคยเล่าให้พวกเราฟังแล้วไงว่าแต่ละเมือง
ไม่ได้มีประตูเมืองแค่เพียงประตูเดียว  ประตูเข้าเมืองจะกระจายอยู่ตามอาณาเขตติดต่อระหว่างกัน จำกันได้หรือเปล่า”

         “อ๋อ…ใช่จริง ๆ ด้วย  ลืมไปซะสนิทเลย”  หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเพิ่งจะนึกออก

          “ใช่  แต่…แต่ถ้าจำไม่ผิด นีย์เคยบอกพวกเราว่าประตูแต่ละแห่งไม่สามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา บางประตู
อาจจะเข้าไม่ได้ในวันนี้ แต่วันอื่นก็อาจจะผ่านเข้าไปได้ง่ายดาย”

          “ใช่แล้ว  และข้าก็หวังไว้ว่า วันนี้ประตูแห่งนี้ คงจะยอมให้เราผ่านเข้าสู่แลนด์เดียร์ว่าได้โดยดี” ราฟาพูดขึ้น
มาอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำทางไปอย่างเงียบ ๆ

          หลังจากเดินตามราฟาไปอีกสักพัก ซายน์ก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนกำลังเดินเข้าอุโมงค์  บรรยากาศเหมือนวันที่
ทั้งสามคนตัดสินใจเดินเข้าสู่โลกพาร์ตรีไดส์ผ่านทางอุโมงค์ที่มีแต่ความมืดมิด  การก้าวเดินของทั้งสามก็ช้าลง
เรื่อย ๆ เพราะมองทางไม่เห็น แม้แต่หมอกรอบ ๆ ตัวก็ดูจะทำให้บรรยากาศหม่นหมองลงมากยิ่งขึ้น  แต่ในขณะ
เดียวกันเธอก็ยังรู้สึกอุ่นใจเพราะรับรู้ได้ว่าราฟาซึ่งเป็นผู้นำทางเดินอยู่ข้างหน้าไม่ไกลและลดระยะความห่างลง
เพื่อรอทุกคน

          อย่างไม่ทันตั้งตัว  จู่ ๆ ก็เกิดแสงสว่างส่องเป็นประกายขึ้นอย่างรวดเร็วจนทุกคนต้องยกมือขึ้นป้องตาแต่เพียง
ชั่วครู่เดียวเท่านั้นแสงสว่างนั้นก็หายไป  และเมื่อสายตาชินกับความมืดอีกครั้ง  ทั้งหมดจึงเห็นว่าเกิดเส้นสีเงินหนา
มากมายไขว้ทแยงกันไปมา  บางเส้นพาดจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่ง  บางเส้นตั้งตรงจากบนลงล่าง  บางเส้นก็พาด
จากซ้ายไปขวา สลับทับซ้อนกันไปมาเสมือนใยแมงมุงที่พันกันยุ่งเหยิง กั้นพวกเขาเอาไว้

          “แสดงว่าวันนี้พวกเราใช้ประตูนี่ไม่ได้แล้วใช่มั๊ย”  ซายน์ถามเบาหวิวอย่างผิดหวัง

         “ไม่ใช่หรอกราชินีน้อย  นี่คือด่านที่เราต้องผ่านไปให้ได้เพื่อเข้าสู่แลนด์เดียร์ว่า หากเป็นประตูที่ใช้ไม่ได้เรา
จะเจอทางตัน”

          “ด่านงั้นเหรอ  แล้วจะผ่านไปยังไงล่ะ”  แซนด์เริ่มโวยวาย

          “อย่าแตะต้องมัน!!”  ราฟาตะโกนเสียงดังเมื่อเจย์ทำท่าจะเข้าไปแตะเส้นสีเงิน  “เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง
อาจเป็นอันตรายหากท่านไปแตะถูกมันเข้า”

         “แล้วคราวนี้เราจะต้องทำยังไงต่อไปล่ะ”  ราชิน้อยพึมพำเบา ๆ  อย่างกังวล

***********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น