นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 15 เพื่อนร่วมทางคนใหม่

 

 

          “แล้วคราวนี้เราจะต้องทำยังไงต่อไปล่ะ”  ราชินีน้อยพึมพำเบา ๆ  อย่างกังวล

          “มันต้องมีทางซิ”  เจย์กระซิบตอบกลับมา

         ในความเงียบสงบขณะที่ทุกคนกำลังใช้ความคิดเพื่อหาหนทางอยู่นั้น   อยู่ ๆ ซายน์ก็รู้สึกเหมือนถูกดึง 
ทำให้ต้องก้าวถอยหลังห่างออกมา ก่อนจะรู้ว่าเป็นเจย์นั่นเองที่ดึงตัวเธอให้ถอยมาเพื่อหลีกทางให้ราฟาก้าวขึ้นไป
ยืนอยู่ข้างหน้าทุกคน และพยายามใช้คำสั่งเวทต่าง ๆ เพื่อทำลายสิ่งที่กีดขวางตรงหน้า  แต่มันไม่สามารถทำอะไร
เหล่าเส้นใยสีเงินนั้นได้เลย  จนเจย์เข้าไปขอทดลองดูบ้าง  แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน

         เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เมื่อแซนด์และซายน์ ต่างก็ลองใช้เวทต่าง ๆ เผื่อว่าอาจจะมีเวทของใครคนใดคนหนึ่ง
ที่พอจะคิดออกในขณะนี้  จะสามารถทำลายเส้นใยเหล่านั้นได้บ้าง  แต่ความพยายามก็สูญเปล่า  ต่างคนจึงได้แต่
มองหน้ากันด้วยความท้อแท้และกังวล  จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้น

          “คงต้องลองใช้วิธีนี้ดูแล้วล่ะ”   ราฟาบอกกับทุกคน  ก่อนที่จะอธิบายว่า อาจเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำได้
ตอนนี้  และหากยังไม่สามารถผ่านไปได้  อาจจะต้องเปลี่ยนไปหาประตูบานอื่นต่อไป   จากนั้นเขาจึงยื่นมือขวา
ออกมาข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะแบมือและร่ายเวท   “เอ็กกาสโซด”  ปรากฏดาบแก้วเจียระไนแวววาวขึ้นบนมือ
ของราฟา

        ~~สวยจัง~~ ซายน์นึกในใจ... ดาบแก้วเจียระไนของราฟาโปร่งใสจนเธอกลัวว่ามันอาจจะหายวับไปได้ทุกเมื่อ
ถ้ามีอะไรไปแตะต้องมันเข้า  ถึงแม้จะดูบอบบางแต่ก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่ง   อาจดูเหมือนไม่น่าจะมีพลังใด ๆ   แต่ก็
รับรู้ได้ว่ามันต้องเป็นสิ่งที่พิเศษมาก   และเมื่อเธอหันไปมองที่แซนด์และเจย์   เธอก็เห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความ
ประหลาดใจและตื่นเต้นพอ ๆ กัน

         “โห!...ไม่เห็นสอนกันบ้างเลย  เท่าที่เคยสอนให้มีแต่เรียกอาวุธแบบธรรมดา ๆ นี่นา”  แซนด์กล่าวอย่างทึ่ง ๆ

         “มันไม่ได้มาจากการใช้เวทเรียกอาวุธธรรมดาหรอก”  ราฟาตอบด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะอธิบายต่อให้ทุกคน
รู้ว่า  ดาบแก้วเจียระไนที่เห็นอยู่ เป็นอาวุธประจำตัวของเขา  ในฐานะของธาราเทพ  และนั่นก็ทำให้ทั้งสามรับรู้
เพิ่มอีกว่า  จตุรเทพทั้งสี่จะมีอาวุธประจำตัวกันทุกคน  แต่กระนั้นผู้ใช้เวทคนอื่น ๆ ก็อาจมีการเรียกใช้อาวุธประจำตัว
เป็นของตัวเองได้  ถ้าตั้งใจและฝึกฝนอย่างหนัก

          สิ่งที่ทำให้ซายน์รู้สึกแปลกใจมากยิ่งกว่าคือ  สีหน้าหนักใจของราฟาในขณะนี้...  จนอดที่จะเอ่ยปากถาม
ไม่ได้  และคำตอบที่ได้รับกลับมา  ทำให้ทุกคนพลอยเป็นกังวลไปด้วย เมื่อรู้ว่า  การเรียกใช้อาวุธประจำตัว
แต่ละครั้ง จะทำให้ผู้เรียกใช้ต้องสูญเสียพลังไปบางส่วนเพื่อให้อาวุธประจำตัวของตนเองมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

         “ท่านจะเสี่ยงใช้มันจริง ๆ หรือไง  หากผ่านไปไม่ได้ ท่านอาจเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ก็ได้นะ หากหมด
หนทางจริง ๆ เราเปลี่ยนไปหาประตูบานอื่นต่อไปก็ได้”  ซายน์เตือนด้วยความเป็นห่วง

         “เราคงต้องเสี่ยงดู เพราะหากต้องเสียเวลาไปหาประตูบานอื่น เราอาจช้ากว่าพวกของร็องดอร์  ถ้าไหน ๆ
จะต้องเสียเวลา  ลองเสี่ยงดูสักครั้ง  เราอาจจะโชคดีก็ได้”

         “ท่านผู้เฒ่าน่าจะบอกวิธีผ่านประตูเหล่านี้มาให้เราบ้างนะ” แซนด์พึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะโดนน้องสาวมองค้อนใส่

         “เอาละ  ทุกคนถอยไป”  ราฟาเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าเส้นใยสีเงินที่ขวางกั้นอยู่

         ซายน์ได้แต่จ้องมองภาพตรงหน้า  เธอมองดูราฟา ที่ขณะนี้ยื่นมือข้างขวาที่กำดาบมั่นอยู่ในมือออกไป
ข้างหน้า  ก่อนที่จะตวัดดาบใส่เส้นใยสีเงินอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน  แต่ทันทีที่ปลายดาบสัมผัส
กับมันเกิดแสงสว่างจ้าจนทุกคนต้องหรี่ตาและเบือนหน้าหนี  และเมื่อความมืดกลับมาปกคลุมเช่นเดิม ภาพที่
ทุกคนเห็นคือเส้นใยสีเงินเหล่านั้นกลับกลายเปลี่ยนเป็นสีทอง  พร้อมกับมีอักษรปรากฏขึ้นตรงขอบโค้งของ
ปากถ้ำ ไล่จากขอบทางด้านซ้าย จรดไปถึงขอบทางด้านขวา   ราฟาก้าวเข้าอ่านข้อความเหล่านั้นช้า ๆ ให้ทุ
กคนได้ยิน

                   “กำลัง และความรุนแรง...                     ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลง ได้ทุกสิ่ง...
                     หากอยากผ่าน ตัวข้า ไปจริง ๆ  ...       สัมผัสสิ่ง เริ่มตัวข้า เท่านั้นพอ”

        “มันหมายความว่ายังไงล่ะ”  แซนด์ถามขึ้น

         “สัมผัสสิ่งเริ่มตัวข้า....”  เจย์พึมพำเบา ๆ   “หรือจะหมายถึงเส้นใยเส้นแรกที่ก่อตัวขึ้น”

         “เส้นแรกเนี่ยนะ  บ้าน่า....มันมีเยอะแยะขนาดนี้ จะไปหาเส้นแรกเจอได้ยังไงละ ไม่ต้องลองจับดูทุกเส้น
หรือไง” แซนด์โวยวาย

         “ลองดูก็ไม่เสียหายนี่  พี่แซนด์  อย่าเพิ่งท้อสิ”

         “ถ้าเช่นนั้น  ข้าขอลองดูเป็นคนแรก”  ราฟารับอาสา  และขยับเดินเข้าไปใกล้มันให้มากขึ้น หลังจากยืนนิ่ง
อยู่อึดใจเหมือนกับกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกสัมผัสเส้นไหน  เขาก็ยื่นมือซ้ายเข้าสัมผัสเส้นใยที่อยู่ใจกลางสุด
(อย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันอยู่กลางที่สุดแล้ว)  ในขณะที่มือขวายังคงกำดาบแก้วเจียระไนไว้มั่น เผื่อจะเกิดเหตุการณ์
ไม่คาดฝันขึ้น

          “เฮ้ย...”  แซนด์ตะโกนขึ้น  เมื่อเห็นว่าขณะนี้เส้นใยแตกตัวเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ราฟาสัมผัสถูกมัน 
แถมยังขยับสลับเปลี่ยนที่ไปมา  จนเมื่อมันหยุดเคลื่อนไหวแล้วจึงปรากฏอักษรสีทองอีกครั้งหนึ่ง

                “ถึงเวลา ผู้มาเยือน คนต่อไป...                โปรดจำไว้ อย่าได้คิด ทดลองซ้ำ...
                  โอกาสมี เพียงหนึ่ง ต่อคนทำ...               ขัดคำสั่ง ประตูนี้ ปิดตัวตาย...”

         “หมายความว่าเรามีโอกาสทดลองสัมผัสหาเส้นเริ่มต้นแค่คนละครั้งเองเหรอ แย่เลย  ตอนนี้เราก็เหลือ
โอกาสแค่สามครั้งเองซิ”   ซายน์บ่น

         “ถ้าเช่นนั้นก็อย่ารอช้าเลย...ลงมือเถอะ  เพราะหากไม่สำเร็จ เราจะได้เดินทางไปหาประตูบานอื่น
ต่อไป” ราฟาเตือนสติ

         ซายน์และเจย์ ทดลองเป็นคนต่อมาตามลำดับ แต่เส้นใยที่พวกเขาเลือกไม่ใช่เส้นที่ถูกต้องเลย การเลือก
ที่ผิด ทำให้มันกลับแตกตัวเพิ่มมากขึ้นจนตอนนี้พวกมันแตกตัวเป็นเส้นเล็ก ๆ เบียดตัวกันจนแน่นและแน่นอน
คนที่บ่นพึมพำไม่หยุดคือพี่ชายฝาแฝด ผู้ต้องเลือกเป็นคนสุดท้าย

         “ทำไมต้องให้ชั้นเป็นคนสุดท้ายด้วยนะ  ดูซิ  เยอะแยะขนาดนี้ตาลายไปหมดแล้ว นี่ถ้าเราผ่านประตูนี้ไม่ได้
เราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเจอประตูต่อไปหรอ”

         “เร็วเข้าน่า พี่แซนด์ อย่าพูดมาก  แล้วทำไมไปยืนซะห่างเชียว”  น้องสาวรีบเข้าไปฉุดมือพี่ชายให้เข้ามา
ยืนอยู่ตรงหน้าเส้นใยสีทองเล็ก ๆ เหล่านั้น  แต่เป็นจังหวะที่แซนด์ไม่ทันระวังเพราะมัวแต่พะวงอยู่กับการผ่านประตู
เพื่อเข้าสู่ดินแดนแลนด์เดียร์ว่า  ทำให้ไม่ทันได้ขืนตัวต้านแรงฉุดของน้อง  จนทำให้เซถลาเข้าไปนอนคว่ำอยู่
บนพื้นตรงหน้าเส้นใยสีทอง  แต่ที่ทำให้ซายน์ถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออก คือมือของแซนด์ที่ยื่นไปสัมผัสโดน
เส้นใยที่พาดจากบนลงล่างทางด้านขวาสุดเข้าพอดี

         “จบกัน”  เสียงเปรยเบา ๆ ของเจย์   ก่อนที่จะเห็นว่ามีตัวหนังสือตัวใหม่ปรากฏขึ้น

                        “ตัวข้า เริ่มต้น ในทุกที่...                            แต่หากมี เป้าประสงค์ ก็ไม่เห็น...
                         ขอเพียงเจ้า ไม่คาดหวัง สิ่งที่เป็น...           ไม่ยากเย็น ผ่านข้า แค่ปลดใจ...”

          หลังจากแซนด์ลุกขึ้นยืนปัดเศษดินที่เลอะตัว  และเจย์อ่านข้อความเหล่านี้จบ  เกิดแสงสว่างจ้าจนทุกคน
ต้องเบือนหน้าหนีอีกครั้ง แต่เมื่อแสงสว่างนั้นหายไป กลับทำให้ทุกคนดีใจจนแทบกระโดดตัวลอยคือภาพตรงหน้า
จากที่เคยเป็นเส้นใยเหล่านั้น กลับกลายเป็นประตูบานใหญ่สีทองตั้งตระหง่านอยู่

          “นี่...นี่...นี่เรา ผ่านมันไปได้แล้วใช่มั้ย”  แซนด์ถามตะกุกตะกักด้วยความดีใจ  แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ตอบ
กลับมานอกจากรอยยิ้มของทุกคนที่ส่งมาให้

         ราฟาเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปเปิดประตู  เพียงแค่ผลักเบา ๆ ประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย  แสงแดดอบอุ่น
ส่องเข้ามาพร้อมกลิ่นอบอวลของทุ่งหญ้า  ทำเอาทุกคนถึงกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์นี้
หลังจากต้องอยู่ในถ้ำที่มีอากาศอับชื้นมาพอสมควร  ทั้งสี่เดินออกจากถ้ำอันมืดมิดด้วยอารมณ์อันปลอดโปร่ง
ต่างพูดคุยหยอกล้อกันเรื่องภารกิจที่ผ่านมา  และพากันตีความข้อความบทสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปรากฏขึ้น
และลงความเห็นกันว่าทั้งหมดแล้วเส้นทุกเส้นถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด  แต่การที่ทั้งราฟา ซายน์ และเจย์ไม่
สามารถผ่านได้เนื่องจากความคาดหวัง การเลือกเส้นที่คิดว่าน่าจะเป็น  เลยทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเส้นใยเป็น
ประตูได้   แต่กับแซนด์ การสัมผัสโดยบังเอิญนั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเขาไม่ทันได้ระวังตัว ไม่ได้คิด
หรือเลือกหรือคาดหวังใด ๆ ในขณะสัมผัสเส้นใยนั้น 

**************************

           “กรี๊ด.!!!”  

         เสียงหวีดร้องที่แสดงอาการตื่นตระหนก ทำให้ทั้งสี่รีบวิ่งไปทางต้นเสียงทันที  และทันที่จะเห็นว่าตรงหน้า
มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเบี่ยงตัวหลบอะไรสักอย่าง พร้อมกับกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและตกใจ

          “ซิวิฟบั้ม”   ราฟาใช้เวทกระแทกเจ้าตัวประหลาดให้กระเด็นออกไปไกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนให้
เจย์และแซนด์รีบเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้นมา

         “ตัวอะไรน่ะ”  ซายน์ถามอย่างหวาด ๆ

         “แบร์มิวกี้” 

         “อะ...อะไรนะ   แล้วตัวกี้ ๆ นี่ มันคืออะไรล่ะ   อธิบายให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ”

          “มันเป็นสัตว์กลายพันธุ์”  ราฟายักไหล่ พร้อมกับอธิบายเรียบ ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร “แข็งแกร่ง
เช่นดั่งหมี แต่ว่องไวปานลิงลม”

         “ตัวบ้าอะไร  เร็วจริง ทั้ง ๆ ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้”  แซนด์เริ่มวิตก แต่ก็ยังมาร่วมตั้งแถวเรียงหน้ากระดานพร้อม
กับน้องสาวและเจย์

          “ไม่ต้องคิดใช้เวทเกี่ยวกับไฟเลยนะ   เพราะขนของมันทนไฟได้   จุดอ่อนมันอยู่ที่ตา”

          “ตุบ!!”

          “อ้อ...ลืมบอกไปว่าให้ระวังหางมันด้วย”   ทั้งสามคนหันกลับมามองราฟาอย่างค้อน ๆ หลังจากที่พากัน
กระโดดหลบหางยาวหนาที่ฟาดลงตรงจุดที่ทุกคนเตรียมรับมืออยู่

          “ซาโนมูทีฟ”  เจย์รีบใช้เวทที่คิดว่าเมื่อทำให้ตัวแบร์มิวกี้หยุดอยู่กับที่ เพราะไม่สามารถขยับเขยื่อนได้
คงจะทำให้อะไร ๆ มันง่ายขึ้น แต่เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิด เมื่อมันชะงักหยุดนิ่งไปเพียงครู่เดียว แล้วก็เริ่มลงมือ
โจมตีทุกคนต่อ

         “เริ่มสนุกแล้วซิ  ข้าปล่อยให้พวกท่านเล่นกับมันดีกว่า”  พูดจบราฟาเดินไปนั่งใกล้ ๆ ผู้หญิงที่พวกเขา
เพิ่งช่วยมาซึ่งนอนสลบอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไป ก่อนจะดีดนิ้วเบา ๆ เกิดละอองน้ำสีฟ้าใสๆ ครอบตัวทั้งสองคนไว้

         “เจ้าบ้าเอ๊ย....”  แซนด์สบถเบา ๆ

**************************

           เวลาผ่านไปไม่นาน  ทั้งสามคนก็มายืนมุงอยู่รอบ ๆ ร่างของแบร์มิวกี้ที่นอนตายบนพื้น  ต่างก็รู้สึกเสียใจ
ที่จำเป็นต้องฆ่ามัน แต่ราฟาซึ่งอยู่ ๆ ก็เข้ามายืนร่วมวงด้วยก็ปลอบใจทุก ๆ คนไม่ให้คิดมาก ถือซะว่าเป็นการ
ป้องกันตัว ในภาวะที่อยู่ในอันตรายจะใจอ่อนไม่ได้ แค่อารมณ์อ่อนไหว หรือใจอ่อนเพียงวูบเดียวจะทำให้
สถานการณ์ที่กำลังเป็นต่อกลับกลายเป็นเพลี่ยงพล้ำ หากไม่ฆ่ามัน คนที่ตายอาจจะเป็นเรา

          “ขอบคุณ ที่ช่วยชีวิตข้าไว้”   เสียงใส ๆ ของหญิงสาวที่ฟื้นขึ้นจากการสลบ ทำให้ทั้งสี่รีบหันกลับมา

         “ฟื้นแล้วเหรอ”  ซายน์ทักเป็นคนแรก และทำท่าจะเดินก้าวเข้าไปหา “ระวังตัวนะซายน์”  เสียงจาก
กระแสจิตของพี่ชายฝาแฝด ทำให้เธอชะงักชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ ไม่เป็นไรพี่แซนด์ ไม่มีอะไรหรอก” แล้วทุกคน
ก็เดินตามซายน์เข้าไปหาหญิงสาวด้วยความระมัดระวังเต็มที่  “เอ่อ...คุณคือ....”

         “เรียกข้าว่าโฟร์ทก็ได้”  รอยยิ้มหวาน ๆ พร้อมน้ำเสียงนุ่ม ๆ  ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ยกเว้น
ราฟาที่ยังคงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ

         “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

         “ข้าไม่เป็นอะไร ต้องขอบคุณพวกท่านที่ช่วยข้าไว้”  โฟร์ทตอบคำถามของเจย์  พร้อมโปรยยิ้มหวานอีกครั้ง

        “เจ้าเป็นใคร  แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”  ด้วยน้ำเสียงดุ ๆ ของราฟา ถึงกับทำให้โฟร์ท สะดุ้ง ก่อนจะก้มหน้า
ลงด้วยความกลัว

        “ท่านไปดุเค้าทำไม” ซายน์ส่งกระแสจิตถามด้วยความไม่พอใจ  แต่เธอก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบ

         “ข้า..ข้า...”  โฟร์ทเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า  “ข้าเป็นคนของเผ่าวีเฟอร์
พูดจบประโยคนี้น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาเป็นทาง  “แต่.. แต่ตอนนี้...เผ่าของข้าถูกกวาดล้างไปแล้ว  ฮือ....ฮือ....”

         หลังจากปลอบจนโฟร์ทหยุดร้องและสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้  ทำให้ทุกคนรับรู้เพิ่มเติมว่าเผ่าวีเฟอร์เป็น
เผ่าที่ถนัดด้านการทอ  และสิ่งที่ถือเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญของเผ่าคือ  ผ้าทอจากขนแบร์มิวกี้  ซึ่งมันสามารถทนไฟได้ 
และผ้าจากขนแบร์มิวกี้นี่เองคือพันธะสัญญาที่ทางเผ่าต้องส่งให้กับร็องดอร์  แต่ด้วยอากาศที่แปรปรวน (เพราะขาด
ผู้ควบคุมดินฟ้าอากาศ)  ทำให้ตัวแบร์มิวกี้เริ่มลดจำนวนลงเรื่อย ๆ  มันไม่ขยายพันธุ์ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
กลายเป็นสัตว์ที่ดุร้าย เกินกว่าคนในเผ่าจะควบคุมได้  พวกมันเริ่มออกอาละวาด ทำร้ายคนในเผ่าและหลบหนีไป
ทำให้ไม่สามารถนำขนมันมาทอส่งให้กับร็องดอร์ได้จนถูกกวาดล้างในที่สุด  และเธอเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมากับ
ตัวแบร์มิวกี้ที่เพิ่งถูกฆ่าไปเมื่อครู่  โดโด้ คือชื่อของมัน เป็นแบร์มิวกี้ที่เธอเป็นคนเลี้ยง  แต่เมื่อมาถึงที่นี่ขาดทั้ง
อาหารและน้ำ  อาจรวมถึงความเหนื่อยอ่อนจากการหลบหนี ทำให้โดโด้ ไม่เชื่อฟังเธอและหันกลับมาทำร้ายเธอ
ก่อนที่ทั้งหมดจะมาช่วยไว้ทัน  หลังจากที่รับรู้ความจริงเหล่านี้  โฟร์ทก็ขอฝังศพโดโด้เพื่อเป็นการขอบคุณมัน
เป็นครั้งสุดท้ายที่ช่วยเธอจนมาถึงที่นี่

         “ขอข้าไปกับพวกท่านด้วยได้มั้ย”  คำถามสั้น ๆ ที่ทำให้ทั้งสี่คนถึงกับมองหน้ากันพูดไม่ออก

**************************

         “แต่.. แต่..ซายน์รู้สึกไม่ค่อยดีนี่นา” 

         “แล้วเราจะปล่อยเค้าไว้คนเดียวเหรอ นายคิดว่าไงแซนด์”   เสียงเจย์ดังขึ้นในหัวของทุกคน  ก่อนจะหัน
ไปถามความคิดของเพื่อน

         “เธอคิดมากไปเองรึเปล่าซายน์”

         “เอ๊ะ...พี่แซนด์  ไม่เชื่อกันเลยรึไง  ซายน์รู้สึกไม่ดีจริง ๆ นะ เราไม่ควรให้เค้าไปกับเรา”

          “เรื่องนี้เราให้ราฟาเป็นคนตัดสินดีกว่า” เจย์หาข้อยุติ  ก่อนที่ทั้งสามคนจะหันไปมองราฟาอย่างรอคำตอบ
เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่ทั้งสามคุยกันผ่านกระแสจิต  เขาต้องได้ยินอยู่แล้ว

         ซายน์กระวนกระวายใจรอฟังคำตอบ  เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะให้หญิงสาวตัวเล็ก ๆ
ที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวนี้เดินทางไปด้วยกัน  แต่มันเป็นความรู้สึกลึก ๆ  เหมือนมีเมฆหมอกจาก ๆ ปกคลุมอยู่
ในใจ  อาจเป็นสัญชาตญาณของชาวเฮเวนน่า หรือว่า...อาจเป็นแค่สัญชาตญาณธรรมดาของหญิงสาว....

         สุดท้ายแล้วราฟาก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจใด ๆ  แต่ขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออกเสียงเพื่อตัดสิน และ
ในที่สุดคณะเดินทางจากสี่คนก็ได้เพื่อนร่วมทางคนใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

**************************

          “ป่านิทราเหรอ”  แซนด์ทวนคำงง ๆ  หลังจากที่ทั้งห้าเดินทางต่อมาอีกพักใหญ่ ๆ ต่างก็พูดคุยกันเรื่อง
ทั่ว ๆ ไป ของแลนด์เดียร์ว่า โดยมีโฟร์ทเป็นเสมือนไกด์นำทาง

          “ใช่แล้วค่ะ   หากเราจะเดินทางไปเผ่าวิเพอรี่ ให้เร็วที่สุดจากจุดนี้   เราก็ต้องข้ามป่านิทราไป”

          “จากนี่ถ้าอ้อมป่านิทรา เราจะเสียเวลาเพิ่มเท่าไหร่”   ราฟาเอ่ยถาม

          “แล้วทำไมเราต้องไปทางอื่นให้เสียเวลาล่ะ”  ซายน์ตั้งใจหันไปถามราฟา  แต่เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิด
ของเขา เธอก็รู้ว่าที่นั่นคงไม่ธรรมดา  “มันอันตรายมากเลยเหรอ”  เธอกระซิบถามเขาเบา ๆ

         “ถ้าต้องเดินทางอ้อมป่านิทรา  เราต้องเสียเวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามวันแน่นอนค่ะ”  โฟร์ทบอกให้
ทุกคนรู้  อย่างน้อยเธอก็เป็นคนในแลนด์เดียร์ว่า  พื้นที่ในดินแดนแห่งนี้เธอย่อมรู้ดีมากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา

         “มีใครพอจะบอกได้มั้ยครับว่าป่านิทราคืออะไร” แซนด์ถามขัดจังหวะ พลางหันไปมองระหว่างโฟร์ทและราฟา

         “ป่านิทราจะทำให้เราหลับค่ะ”   โฟร์ทเป็นคนให้คำตอบ

          “นอนหลับนะเหรอ”   แซนด์ยังคงต้องการความกระจ่าง

          “ใช่ค่ะ... ใครที่เดินเข้าสู่เขตป่านิทรา จะหลับใหลไม่ได้สติ ส่วนใหญ่จะหลับจนเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว”

          “ข้าว่า เราเลือกทางอื่นกันดีกว่า”  ราฟาตัดบท

          “ไม่มีทางแก้ไขเลยเหรอ”  ซายน์ถาม เพราะไม่อยากให้การเดินทางต้องเสียเวลาต่อไปอีก ป่านนี้ไม่รู้ว่า
พวกของร็องดอร์จะเป็นอย่างไรบ้าง  ยิ่งช้าก็เหมือนว่าจะยิ่งทำให้ความหวังในการหาผลึกเลือนรางลง

          “เท่าที่รู้ ก็พอมีทางอยู่นะคะ  การจะข้ามป่านิทราไปโดยไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อหลับจนตายอยู่ในป่า
เราต้องไม่เงียบค่ะ”  แต่เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของแซนด์ เจย์ และซายน์  โฟร์ทก็ต้องอธิบายต่อ “จะพูด จะร้องเพลง 
จะทำยังไงก็ได้แต่ทุกคนต้องส่งเสียงค่ะ ห้ามเงียบเด็ดขาด เมื่อไหร่ที่เราเงียบ เมื่อนั้นป่านิทราจะเข้าครอบคลุมเรา”

          “แล้ว...แล้วถ้าเราเผลอหลับไป คนอื่น ๆ จะช่วยปลุกไม่ได้เหรอ”  แซนด์ถามพร้อมกับยิ้มแหย ๆ

          “ยังไม่เคยมีใครที่หลับในป่านิทราแล้วรอดออกมาได้เลยค่ะ”   คำตอบของโฟร์ททำให้แซนด์หน้าซีดเผือด

          “ท่านว่า  เราจะใช้เวทช่วยได้บ้างรึเปล่า”   เจย์หันไปถามราฟา

          “ข้อนี้คงไม่มีใครบอกได้หรอก  เพราะไม่เคยมีคนที่ใช้เวทได้เดินทางเข้าแลนด์เดียร์ว่ามานานแล้วตั้งแต่
เกิดเรื่อง”

          “แล้วคนเก่าคนแก่ล่ะ ไม่มีใครบอกเล่าไว้เลยหรือไง”   แต่เจย์ก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบที่ทำให้รู้ว่า
คงไม่มีใครเคยพูดเรื่องนี้ไว้จริง ๆ

          “โน่นไงคะ  ข้างหน้านั่น จะถึงเขตของป่านิทราแล้ว”  เสียงเจื้อยแจ้วของโฟร์ท ทำให้ทุกคนหยุดชะงักลง

**************************

          “เราได้ผลึกสปิเนลมาแล้ว   ทำไมถึงไม่รีบกลับ”  เสียงแหบ ๆ ของครูเอลกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์

         “ข้าอยากเจอพวกมันซะก่อน”

          “เคลอิ  เจ้าจะทำอะไรกันแน่”

          “หาเรื่องสนุก ๆ ทำก่อนกลับไปรับรางวัลไง”   พูดจบเคลอิก็เดินจากไปโดนไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร

          “เอ่อ...เอ่อ...ท่านครับ  อย่าลืมเรียนท่านร็องดอร์ เกี่ยวกับข้อตกลงของเรานะครับ”  ชายชราศรีษะล้าน
ก้าวเข้ามาเอ่ยกับครูเอลอย่างนอบน้อม

         “ได้ซิ   ข้าจะแจ้งให้ท่านร็องดอร์รู้ว่าพวกเจ้าให้ความร่วมมือมอบผลึกนี้ให้แต่โดยดี แต่เจ้าอย่าลืมเรื่อง
ที่ข้าสั่งไว้ล่ะ  เตรียมตัวต้อนรับแขกของข้าให้เต็มที่  พวกเค้าคงจะมาถึงเร็ว ๆ นี้”   ครูเอลตอบเรียบ ๆ  พร้อมกับ
จบประโยคด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก  แต่เมื่อมาอยู่บนหน้าของคนที่ยิ้มยากอย่างครูเอล เลยดูเหมือนเขาจะ
ทำหน้าเหยเกซะมากกว่า

**************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น