“แล้วคราวนี้เราจะต้องทำยังไงต่อไปล่ะ” ราชินีน้อยพึมพำเบา ๆ อย่างกังวล
“มันต้องมีทางซิ” เจย์กระซิบตอบกลับมา
ในความเงียบสงบขณะที่ทุกคนกำลังใช้ความคิดเพื่อหาหนทางอยู่นั้น อยู่ ๆ ซายน์ก็รู้สึกเหมือนถูกดึง
ทำให้ต้องก้าวถอยหลังห่างออกมา ก่อนจะรู้ว่าเป็นเจย์นั่นเองที่ดึงตัวเธอให้ถอยมาเพื่อหลีกทางให้ราฟาก้าวขึ้นไป
ยืนอยู่ข้างหน้าทุกคน และพยายามใช้คำสั่งเวทต่าง ๆ เพื่อทำลายสิ่งที่กีดขวางตรงหน้า แต่มันไม่สามารถทำอะไร
เหล่าเส้นใยสีเงินนั้นได้เลย จนเจย์เข้าไปขอทดลองดูบ้าง แต่ผลที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เมื่อแซนด์และซายน์ ต่างก็ลองใช้เวทต่าง ๆ เผื่อว่าอาจจะมีเวทของใครคนใดคนหนึ่ง
ที่พอจะคิดออกในขณะนี้ จะสามารถทำลายเส้นใยเหล่านั้นได้บ้าง แต่ความพยายามก็สูญเปล่า ต่างคนจึงได้แต่
มองหน้ากันด้วยความท้อแท้และกังวล จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้น
“คงต้องลองใช้วิธีนี้ดูแล้วล่ะ” ราฟาบอกกับทุกคน ก่อนที่จะอธิบายว่า อาจเป็นหนทางสุดท้ายที่ทำได้
ตอนนี้ และหากยังไม่สามารถผ่านไปได้ อาจจะต้องเปลี่ยนไปหาประตูบานอื่นต่อไป จากนั้นเขาจึงยื่นมือขวา
ออกมาข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะแบมือและร่ายเวท “เอ็กกาสโซด” ปรากฏดาบแก้วเจียระไนแวววาวขึ้นบนมือ
ของราฟา
~~สวยจัง~~ ซายน์นึกในใจ... ดาบแก้วเจียระไนของราฟาโปร่งใสจนเธอกลัวว่ามันอาจจะหายวับไปได้ทุกเมื่อ
ถ้ามีอะไรไปแตะต้องมันเข้า ถึงแม้จะดูบอบบางแต่ก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่ง อาจดูเหมือนไม่น่าจะมีพลังใด ๆ แต่ก็
รับรู้ได้ว่ามันต้องเป็นสิ่งที่พิเศษมาก และเมื่อเธอหันไปมองที่แซนด์และเจย์ เธอก็เห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความ
ประหลาดใจและตื่นเต้นพอ ๆ กัน
“โห!...ไม่เห็นสอนกันบ้างเลย เท่าที่เคยสอนให้มีแต่เรียกอาวุธแบบธรรมดา ๆ นี่นา” แซนด์กล่าวอย่างทึ่ง ๆ
“มันไม่ได้มาจากการใช้เวทเรียกอาวุธธรรมดาหรอก” ราฟาตอบด้วยสีหน้านิ่ง ๆ ก่อนจะอธิบายต่อให้ทุกคน
รู้ว่า ดาบแก้วเจียระไนที่เห็นอยู่ เป็นอาวุธประจำตัวของเขา ในฐานะของธาราเทพ และนั่นก็ทำให้ทั้งสามรับรู้
เพิ่มอีกว่า จตุรเทพทั้งสี่จะมีอาวุธประจำตัวกันทุกคน แต่กระนั้นผู้ใช้เวทคนอื่น ๆ ก็อาจมีการเรียกใช้อาวุธประจำตัว
เป็นของตัวเองได้ ถ้าตั้งใจและฝึกฝนอย่างหนัก
สิ่งที่ทำให้ซายน์รู้สึกแปลกใจมากยิ่งกว่าคือ สีหน้าหนักใจของราฟาในขณะนี้... จนอดที่จะเอ่ยปากถาม
ไม่ได้ และคำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้ทุกคนพลอยเป็นกังวลไปด้วย เมื่อรู้ว่า การเรียกใช้อาวุธประจำตัว
แต่ละครั้ง จะทำให้ผู้เรียกใช้ต้องสูญเสียพลังไปบางส่วนเพื่อให้อาวุธประจำตัวของตนเองมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ท่านจะเสี่ยงใช้มันจริง ๆ หรือไง หากผ่านไปไม่ได้ ท่านอาจเสียพลังโดยเปล่าประโยชน์ก็ได้นะ หากหมด
หนทางจริง ๆ เราเปลี่ยนไปหาประตูบานอื่นต่อไปก็ได้” ซายน์เตือนด้วยความเป็นห่วง
“เราคงต้องเสี่ยงดู เพราะหากต้องเสียเวลาไปหาประตูบานอื่น เราอาจช้ากว่าพวกของร็องดอร์ ถ้าไหน ๆ
จะต้องเสียเวลา ลองเสี่ยงดูสักครั้ง เราอาจจะโชคดีก็ได้”
“ท่านผู้เฒ่าน่าจะบอกวิธีผ่านประตูเหล่านี้มาให้เราบ้างนะ” แซนด์พึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะโดนน้องสาวมองค้อนใส่
“เอาละ ทุกคนถอยไป” ราฟาเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าเส้นใยสีเงินที่ขวางกั้นอยู่
ซายน์ได้แต่จ้องมองภาพตรงหน้า เธอมองดูราฟา ที่ขณะนี้ยื่นมือข้างขวาที่กำดาบมั่นอยู่ในมือออกไป
ข้างหน้า ก่อนที่จะตวัดดาบใส่เส้นใยสีเงินอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน แต่ทันทีที่ปลายดาบสัมผัส
กับมันเกิดแสงสว่างจ้าจนทุกคนต้องหรี่ตาและเบือนหน้าหนี และเมื่อความมืดกลับมาปกคลุมเช่นเดิม ภาพที่
ทุกคนเห็นคือเส้นใยสีเงินเหล่านั้นกลับกลายเปลี่ยนเป็นสีทอง พร้อมกับมีอักษรปรากฏขึ้นตรงขอบโค้งของ
ปากถ้ำ ไล่จากขอบทางด้านซ้าย จรดไปถึงขอบทางด้านขวา ราฟาก้าวเข้าอ่านข้อความเหล่านั้นช้า ๆ ให้ทุ
กคนได้ยิน
“กำลัง และความรุนแรง... ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลง ได้ทุกสิ่ง...
หากอยากผ่าน ตัวข้า ไปจริง ๆ ... สัมผัสสิ่ง เริ่มตัวข้า เท่านั้นพอ”
“มันหมายความว่ายังไงล่ะ” แซนด์ถามขึ้น
“สัมผัสสิ่งเริ่มตัวข้า....” เจย์พึมพำเบา ๆ “หรือจะหมายถึงเส้นใยเส้นแรกที่ก่อตัวขึ้น”
“เส้นแรกเนี่ยนะ บ้าน่า....มันมีเยอะแยะขนาดนี้ จะไปหาเส้นแรกเจอได้ยังไงละ ไม่ต้องลองจับดูทุกเส้น
หรือไง” แซนด์โวยวาย
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ พี่แซนด์ อย่าเพิ่งท้อสิ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลองดูเป็นคนแรก” ราฟารับอาสา และขยับเดินเข้าไปใกล้มันให้มากขึ้น หลังจากยืนนิ่ง
อยู่อึดใจเหมือนกับกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกสัมผัสเส้นไหน เขาก็ยื่นมือซ้ายเข้าสัมผัสเส้นใยที่อยู่ใจกลางสุด
(อย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันอยู่กลางที่สุดแล้ว) ในขณะที่มือขวายังคงกำดาบแก้วเจียระไนไว้มั่น เผื่อจะเกิดเหตุการณ์
ไม่คาดฝันขึ้น
“เฮ้ย...” แซนด์ตะโกนขึ้น เมื่อเห็นว่าขณะนี้เส้นใยแตกตัวเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ราฟาสัมผัสถูกมัน
แถมยังขยับสลับเปลี่ยนที่ไปมา จนเมื่อมันหยุดเคลื่อนไหวแล้วจึงปรากฏอักษรสีทองอีกครั้งหนึ่ง
“ถึงเวลา ผู้มาเยือน คนต่อไป... โปรดจำไว้ อย่าได้คิด ทดลองซ้ำ...
โอกาสมี เพียงหนึ่ง ต่อคนทำ... ขัดคำสั่ง ประตูนี้ ปิดตัวตาย...”
“หมายความว่าเรามีโอกาสทดลองสัมผัสหาเส้นเริ่มต้นแค่คนละครั้งเองเหรอ แย่เลย ตอนนี้เราก็เหลือ
โอกาสแค่สามครั้งเองซิ” ซายน์บ่น
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่ารอช้าเลย...ลงมือเถอะ เพราะหากไม่สำเร็จ เราจะได้เดินทางไปหาประตูบานอื่น
ต่อไป” ราฟาเตือนสติ
ซายน์และเจย์ ทดลองเป็นคนต่อมาตามลำดับ แต่เส้นใยที่พวกเขาเลือกไม่ใช่เส้นที่ถูกต้องเลย การเลือก
ที่ผิด ทำให้มันกลับแตกตัวเพิ่มมากขึ้นจนตอนนี้พวกมันแตกตัวเป็นเส้นเล็ก ๆ เบียดตัวกันจนแน่นและแน่นอน
คนที่บ่นพึมพำไม่หยุดคือพี่ชายฝาแฝด ผู้ต้องเลือกเป็นคนสุดท้าย
“ทำไมต้องให้ชั้นเป็นคนสุดท้ายด้วยนะ ดูซิ เยอะแยะขนาดนี้ตาลายไปหมดแล้ว นี่ถ้าเราผ่านประตูนี้ไม่ได้
เราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเจอประตูต่อไปหรอ”
“เร็วเข้าน่า พี่แซนด์ อย่าพูดมาก แล้วทำไมไปยืนซะห่างเชียว” น้องสาวรีบเข้าไปฉุดมือพี่ชายให้เข้ามา
ยืนอยู่ตรงหน้าเส้นใยสีทองเล็ก ๆ เหล่านั้น แต่เป็นจังหวะที่แซนด์ไม่ทันระวังเพราะมัวแต่พะวงอยู่กับการผ่านประตู
เพื่อเข้าสู่ดินแดนแลนด์เดียร์ว่า ทำให้ไม่ทันได้ขืนตัวต้านแรงฉุดของน้อง จนทำให้เซถลาเข้าไปนอนคว่ำอยู่
บนพื้นตรงหน้าเส้นใยสีทอง แต่ที่ทำให้ซายน์ถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออก คือมือของแซนด์ที่ยื่นไปสัมผัสโดน
เส้นใยที่พาดจากบนลงล่างทางด้านขวาสุดเข้าพอดี
“จบกัน” เสียงเปรยเบา ๆ ของเจย์ ก่อนที่จะเห็นว่ามีตัวหนังสือตัวใหม่ปรากฏขึ้น
“ตัวข้า เริ่มต้น ในทุกที่... แต่หากมี เป้าประสงค์ ก็ไม่เห็น...
ขอเพียงเจ้า ไม่คาดหวัง สิ่งที่เป็น... ไม่ยากเย็น ผ่านข้า แค่ปลดใจ...”
หลังจากแซนด์ลุกขึ้นยืนปัดเศษดินที่เลอะตัว และเจย์อ่านข้อความเหล่านี้จบ เกิดแสงสว่างจ้าจนทุกคน
ต้องเบือนหน้าหนีอีกครั้ง แต่เมื่อแสงสว่างนั้นหายไป กลับทำให้ทุกคนดีใจจนแทบกระโดดตัวลอยคือภาพตรงหน้า
จากที่เคยเป็นเส้นใยเหล่านั้น กลับกลายเป็นประตูบานใหญ่สีทองตั้งตระหง่านอยู่
“นี่...นี่...นี่เรา ผ่านมันไปได้แล้วใช่มั้ย” แซนด์ถามตะกุกตะกักด้วยความดีใจ แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ ตอบ
กลับมานอกจากรอยยิ้มของทุกคนที่ส่งมาให้
ราฟาเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปเปิดประตู เพียงแค่ผลักเบา ๆ ประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย แสงแดดอบอุ่น
ส่องเข้ามาพร้อมกลิ่นอบอวลของทุ่งหญ้า ทำเอาทุกคนถึงกับสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์นี้
หลังจากต้องอยู่ในถ้ำที่มีอากาศอับชื้นมาพอสมควร ทั้งสี่เดินออกจากถ้ำอันมืดมิดด้วยอารมณ์อันปลอดโปร่ง
ต่างพูดคุยหยอกล้อกันเรื่องภารกิจที่ผ่านมา และพากันตีความข้อความบทสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปรากฏขึ้น
และลงความเห็นกันว่าทั้งหมดแล้วเส้นทุกเส้นถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด แต่การที่ทั้งราฟา ซายน์ และเจย์ไม่
สามารถผ่านได้เนื่องจากความคาดหวัง การเลือกเส้นที่คิดว่าน่าจะเป็น เลยทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเส้นใยเป็น
ประตูได้ แต่กับแซนด์ การสัมผัสโดยบังเอิญนั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเขาไม่ทันได้ระวังตัว ไม่ได้คิด
หรือเลือกหรือคาดหวังใด ๆ ในขณะสัมผัสเส้นใยนั้น
**************************
“กรี๊ด.!!!”
เสียงหวีดร้องที่แสดงอาการตื่นตระหนก ทำให้ทั้งสี่รีบวิ่งไปทางต้นเสียงทันที และทันที่จะเห็นว่าตรงหน้า
มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเบี่ยงตัวหลบอะไรสักอย่าง พร้อมกับกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและตกใจ
“ซิวิฟบั้ม” ราฟาใช้เวทกระแทกเจ้าตัวประหลาดให้กระเด็นออกไปไกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตะโกนให้
เจย์และแซนด์รีบเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้นมา
“ตัวอะไรน่ะ” ซายน์ถามอย่างหวาด ๆ
“แบร์มิวกี้”
“อะ...อะไรนะ แล้วตัวกี้ ๆ นี่ มันคืออะไรล่ะ อธิบายให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ”
“มันเป็นสัตว์กลายพันธุ์” ราฟายักไหล่ พร้อมกับอธิบายเรียบ ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร “แข็งแกร่ง
เช่นดั่งหมี แต่ว่องไวปานลิงลม”
“ตัวบ้าอะไร เร็วจริง ทั้ง ๆ ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้” แซนด์เริ่มวิตก แต่ก็ยังมาร่วมตั้งแถวเรียงหน้ากระดานพร้อม
กับน้องสาวและเจย์
“ไม่ต้องคิดใช้เวทเกี่ยวกับไฟเลยนะ เพราะขนของมันทนไฟได้ จุดอ่อนมันอยู่ที่ตา”
“ตุบ!!”
“อ้อ...ลืมบอกไปว่าให้ระวังหางมันด้วย” ทั้งสามคนหันกลับมามองราฟาอย่างค้อน ๆ หลังจากที่พากัน
กระโดดหลบหางยาวหนาที่ฟาดลงตรงจุดที่ทุกคนเตรียมรับมืออยู่
“ซาโนมูทีฟ” เจย์รีบใช้เวทที่คิดว่าเมื่อทำให้ตัวแบร์มิวกี้หยุดอยู่กับที่ เพราะไม่สามารถขยับเขยื่อนได้
คงจะทำให้อะไร ๆ มันง่ายขึ้น แต่เขาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิด เมื่อมันชะงักหยุดนิ่งไปเพียงครู่เดียว แล้วก็เริ่มลงมือ
โจมตีทุกคนต่อ
“เริ่มสนุกแล้วซิ ข้าปล่อยให้พวกท่านเล่นกับมันดีกว่า” พูดจบราฟาเดินไปนั่งใกล้ ๆ ผู้หญิงที่พวกเขา
เพิ่งช่วยมาซึ่งนอนสลบอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไป ก่อนจะดีดนิ้วเบา ๆ เกิดละอองน้ำสีฟ้าใสๆ ครอบตัวทั้งสองคนไว้
“เจ้าบ้าเอ๊ย....” แซนด์สบถเบา ๆ
**************************
เวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งสามคนก็มายืนมุงอยู่รอบ ๆ ร่างของแบร์มิวกี้ที่นอนตายบนพื้น ต่างก็รู้สึกเสียใจ
ที่จำเป็นต้องฆ่ามัน แต่ราฟาซึ่งอยู่ ๆ ก็เข้ามายืนร่วมวงด้วยก็ปลอบใจทุก ๆ คนไม่ให้คิดมาก ถือซะว่าเป็นการ
ป้องกันตัว ในภาวะที่อยู่ในอันตรายจะใจอ่อนไม่ได้ แค่อารมณ์อ่อนไหว หรือใจอ่อนเพียงวูบเดียวจะทำให้
สถานการณ์ที่กำลังเป็นต่อกลับกลายเป็นเพลี่ยงพล้ำ หากไม่ฆ่ามัน คนที่ตายอาจจะเป็นเรา
“ขอบคุณ ที่ช่วยชีวิตข้าไว้” เสียงใส ๆ ของหญิงสาวที่ฟื้นขึ้นจากการสลบ ทำให้ทั้งสี่รีบหันกลับมา
“ฟื้นแล้วเหรอ” ซายน์ทักเป็นคนแรก และทำท่าจะเดินก้าวเข้าไปหา “ระวังตัวนะซายน์” เสียงจาก
กระแสจิตของพี่ชายฝาแฝด ทำให้เธอชะงักชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “ไม่เป็นไรพี่แซนด์ ไม่มีอะไรหรอก” แล้วทุกคน
ก็เดินตามซายน์เข้าไปหาหญิงสาวด้วยความระมัดระวังเต็มที่ “เอ่อ...คุณคือ....”
“เรียกข้าว่าโฟร์ทก็ได้” รอยยิ้มหวาน ๆ พร้อมน้ำเสียงนุ่ม ๆ ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ยกเว้น
ราฟาที่ยังคงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
“ข้าไม่เป็นอะไร ต้องขอบคุณพวกท่านที่ช่วยข้าไว้” โฟร์ทตอบคำถามของเจย์ พร้อมโปรยยิ้มหวานอีกครั้ง
“เจ้าเป็นใคร แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่” ด้วยน้ำเสียงดุ ๆ ของราฟา ถึงกับทำให้โฟร์ท สะดุ้ง ก่อนจะก้มหน้า
ลงด้วยความกลัว
“ท่านไปดุเค้าทำไม” ซายน์ส่งกระแสจิตถามด้วยความไม่พอใจ แต่เธอก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบ
“ข้า..ข้า...” โฟร์ทเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า “ข้าเป็นคนของเผ่าวีเฟอร์ “
พูดจบประโยคนี้น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาเป็นทาง “แต่.. แต่ตอนนี้...เผ่าของข้าถูกกวาดล้างไปแล้ว ฮือ....ฮือ....”
หลังจากปลอบจนโฟร์ทหยุดร้องและสามารถเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้ ทำให้ทุกคนรับรู้เพิ่มเติมว่าเผ่าวีเฟอร์เป็น
เผ่าที่ถนัดด้านการทอ และสิ่งที่ถือเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญของเผ่าคือ ผ้าทอจากขนแบร์มิวกี้ ซึ่งมันสามารถทนไฟได้
และผ้าจากขนแบร์มิวกี้นี่เองคือพันธะสัญญาที่ทางเผ่าต้องส่งให้กับร็องดอร์ แต่ด้วยอากาศที่แปรปรวน (เพราะขาด
ผู้ควบคุมดินฟ้าอากาศ) ทำให้ตัวแบร์มิวกี้เริ่มลดจำนวนลงเรื่อย ๆ มันไม่ขยายพันธุ์ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
กลายเป็นสัตว์ที่ดุร้าย เกินกว่าคนในเผ่าจะควบคุมได้ พวกมันเริ่มออกอาละวาด ทำร้ายคนในเผ่าและหลบหนีไป
ทำให้ไม่สามารถนำขนมันมาทอส่งให้กับร็องดอร์ได้จนถูกกวาดล้างในที่สุด และเธอเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมากับ
ตัวแบร์มิวกี้ที่เพิ่งถูกฆ่าไปเมื่อครู่ โดโด้ คือชื่อของมัน เป็นแบร์มิวกี้ที่เธอเป็นคนเลี้ยง แต่เมื่อมาถึงที่นี่ขาดทั้ง
อาหารและน้ำ อาจรวมถึงความเหนื่อยอ่อนจากการหลบหนี ทำให้โดโด้ ไม่เชื่อฟังเธอและหันกลับมาทำร้ายเธอ
ก่อนที่ทั้งหมดจะมาช่วยไว้ทัน หลังจากที่รับรู้ความจริงเหล่านี้ โฟร์ทก็ขอฝังศพโดโด้เพื่อเป็นการขอบคุณมัน
เป็นครั้งสุดท้ายที่ช่วยเธอจนมาถึงที่นี่
“ขอข้าไปกับพวกท่านด้วยได้มั้ย” คำถามสั้น ๆ ที่ทำให้ทั้งสี่คนถึงกับมองหน้ากันพูดไม่ออก
**************************
“แต่.. แต่..ซายน์รู้สึกไม่ค่อยดีนี่นา”
“แล้วเราจะปล่อยเค้าไว้คนเดียวเหรอ นายคิดว่าไงแซนด์” เสียงเจย์ดังขึ้นในหัวของทุกคน ก่อนจะหัน
ไปถามความคิดของเพื่อน
“เธอคิดมากไปเองรึเปล่าซายน์”
“เอ๊ะ...พี่แซนด์ ไม่เชื่อกันเลยรึไง ซายน์รู้สึกไม่ดีจริง ๆ นะ เราไม่ควรให้เค้าไปกับเรา”
“เรื่องนี้เราให้ราฟาเป็นคนตัดสินดีกว่า” เจย์หาข้อยุติ ก่อนที่ทั้งสามคนจะหันไปมองราฟาอย่างรอคำตอบ
เพราะรู้ดีว่าตลอดเวลาที่ทั้งสามคุยกันผ่านกระแสจิต เขาต้องได้ยินอยู่แล้ว
ซายน์กระวนกระวายใจรอฟังคำตอบ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะให้หญิงสาวตัวเล็ก ๆ
ที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวนี้เดินทางไปด้วยกัน แต่มันเป็นความรู้สึกลึก ๆ เหมือนมีเมฆหมอกจาก ๆ ปกคลุมอยู่
ในใจ อาจเป็นสัญชาตญาณของชาวเฮเวนน่า หรือว่า...อาจเป็นแค่สัญชาตญาณธรรมดาของหญิงสาว....
สุดท้ายแล้วราฟาก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจใด ๆ แต่ขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออกเสียงเพื่อตัดสิน และ
ในที่สุดคณะเดินทางจากสี่คนก็ได้เพื่อนร่วมทางคนใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
**************************
“ป่านิทราเหรอ” แซนด์ทวนคำงง ๆ หลังจากที่ทั้งห้าเดินทางต่อมาอีกพักใหญ่ ๆ ต่างก็พูดคุยกันเรื่อง
ทั่ว ๆ ไป ของแลนด์เดียร์ว่า โดยมีโฟร์ทเป็นเสมือนไกด์นำทาง
“ใช่แล้วค่ะ หากเราจะเดินทางไปเผ่าวิเพอรี่ ให้เร็วที่สุดจากจุดนี้ เราก็ต้องข้ามป่านิทราไป”
“จากนี่ถ้าอ้อมป่านิทรา เราจะเสียเวลาเพิ่มเท่าไหร่” ราฟาเอ่ยถาม
“แล้วทำไมเราต้องไปทางอื่นให้เสียเวลาล่ะ” ซายน์ตั้งใจหันไปถามราฟา แต่เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิด
ของเขา เธอก็รู้ว่าที่นั่นคงไม่ธรรมดา “มันอันตรายมากเลยเหรอ” เธอกระซิบถามเขาเบา ๆ
“ถ้าต้องเดินทางอ้อมป่านิทรา เราต้องเสียเวลาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสามวันแน่นอนค่ะ” โฟร์ทบอกให้
ทุกคนรู้ อย่างน้อยเธอก็เป็นคนในแลนด์เดียร์ว่า พื้นที่ในดินแดนแห่งนี้เธอย่อมรู้ดีมากกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา
“มีใครพอจะบอกได้มั้ยครับว่าป่านิทราคืออะไร” แซนด์ถามขัดจังหวะ พลางหันไปมองระหว่างโฟร์ทและราฟา
“ป่านิทราจะทำให้เราหลับค่ะ” โฟร์ทเป็นคนให้คำตอบ
“นอนหลับนะเหรอ” แซนด์ยังคงต้องการความกระจ่าง
“ใช่ค่ะ... ใครที่เดินเข้าสู่เขตป่านิทรา จะหลับใหลไม่ได้สติ ส่วนใหญ่จะหลับจนเสียชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว”
“ข้าว่า เราเลือกทางอื่นกันดีกว่า” ราฟาตัดบท
“ไม่มีทางแก้ไขเลยเหรอ” ซายน์ถาม เพราะไม่อยากให้การเดินทางต้องเสียเวลาต่อไปอีก ป่านนี้ไม่รู้ว่า
พวกของร็องดอร์จะเป็นอย่างไรบ้าง ยิ่งช้าก็เหมือนว่าจะยิ่งทำให้ความหวังในการหาผลึกเลือนรางลง
“เท่าที่รู้ ก็พอมีทางอยู่นะคะ การจะข้ามป่านิทราไปโดยไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อหลับจนตายอยู่ในป่า
เราต้องไม่เงียบค่ะ” แต่เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของแซนด์ เจย์ และซายน์ โฟร์ทก็ต้องอธิบายต่อ “จะพูด จะร้องเพลง
จะทำยังไงก็ได้แต่ทุกคนต้องส่งเสียงค่ะ ห้ามเงียบเด็ดขาด เมื่อไหร่ที่เราเงียบ เมื่อนั้นป่านิทราจะเข้าครอบคลุมเรา”
“แล้ว...แล้วถ้าเราเผลอหลับไป คนอื่น ๆ จะช่วยปลุกไม่ได้เหรอ” แซนด์ถามพร้อมกับยิ้มแหย ๆ
“ยังไม่เคยมีใครที่หลับในป่านิทราแล้วรอดออกมาได้เลยค่ะ” คำตอบของโฟร์ททำให้แซนด์หน้าซีดเผือด
“ท่านว่า เราจะใช้เวทช่วยได้บ้างรึเปล่า” เจย์หันไปถามราฟา
“ข้อนี้คงไม่มีใครบอกได้หรอก เพราะไม่เคยมีคนที่ใช้เวทได้เดินทางเข้าแลนด์เดียร์ว่ามานานแล้วตั้งแต่
เกิดเรื่อง”
“แล้วคนเก่าคนแก่ล่ะ ไม่มีใครบอกเล่าไว้เลยหรือไง” แต่เจย์ก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบที่ทำให้รู้ว่า
คงไม่มีใครเคยพูดเรื่องนี้ไว้จริง ๆ
“โน่นไงคะ ข้างหน้านั่น จะถึงเขตของป่านิทราแล้ว” เสียงเจื้อยแจ้วของโฟร์ท ทำให้ทุกคนหยุดชะงักลง
**************************
“เราได้ผลึกสปิเนลมาแล้ว ทำไมถึงไม่รีบกลับ” เสียงแหบ ๆ ของครูเอลกล่าวอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“ข้าอยากเจอพวกมันซะก่อน”
“เคลอิ เจ้าจะทำอะไรกันแน่”
“หาเรื่องสนุก ๆ ทำก่อนกลับไปรับรางวัลไง” พูดจบเคลอิก็เดินจากไปโดนไม่สนใจว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร
“เอ่อ...เอ่อ...ท่านครับ อย่าลืมเรียนท่านร็องดอร์ เกี่ยวกับข้อตกลงของเรานะครับ” ชายชราศรีษะล้าน
ก้าวเข้ามาเอ่ยกับครูเอลอย่างนอบน้อม
“ได้ซิ ข้าจะแจ้งให้ท่านร็องดอร์รู้ว่าพวกเจ้าให้ความร่วมมือมอบผลึกนี้ให้แต่โดยดี แต่เจ้าอย่าลืมเรื่อง
ที่ข้าสั่งไว้ล่ะ เตรียมตัวต้อนรับแขกของข้าให้เต็มที่ พวกเค้าคงจะมาถึงเร็ว ๆ นี้” ครูเอลตอบเรียบ ๆ พร้อมกับ
จบประโยคด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แต่เมื่อมาอยู่บนหน้าของคนที่ยิ้มยากอย่างครูเอล เลยดูเหมือนเขาจะ
ทำหน้าเหยเกซะมากกว่า
**************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น