นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 16 ป่านิทรา

 

 

          ภาพป่าตรงหน้าที่โฟร์ทบอกว่ามันคือ ป่านิทรา  ทำให้ซายน์จ้องมองด้วยความหวั่นใจ หากดูเผิน ๆ แล้ว
มันก็เป็นเพียงป่าธรรมดาที่มีใบไม้เขียวชอุ่ม ลำต้นของมันแต่ละต้นมีขนาดขนาดใหญ่และดูแออัดจนเป็นป่าทึบ 
แต่ตัวซายน์เองก็รับรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น  ยิ่งเธอมองมันนานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก

          “เป็นอะไรไปซายน์”   เจย์หันมาถามเมื่อเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของเธอ

          “ไม่รู้สิพี่เจย์ “

        “ช่วยเราด้วย  ช่วยพวกเราด้วย  ปลดปล่อยพวกเราที”

          “อะไร...  ใครพูดอะไร”

         “ไม่เห็นมีใครพูดอะไรเลยซายน์”  แซนด์หันหน้ามองตามน้อง  ที่กำลังหันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง

         “ซายน์ได้ยินจริงๆ นะ  เสียงคนร้องให้ช่วย”

         “หูฝาดน่า...คนอื่นยังไม่เห็นมีใครได้ยินเลย  ใช่มั้ย”  คำถามสุดท้ายแซนด์หันไปถามคนอื่น ๆ ที่เหลือ

         “ท่านราชินี ท่านผู้กอบกู้ โปรดช่วยพวกเราด้วย”

          “ทำยังไง  จะให้เราทำยังไง บอกมาสิ”  อยู่  ๆ  ซายน์ก็ตะโกนตอบกลับออกไป  ทำให้ทั้งแซนด์ เจย์ ราฟา
และโฟร์ท ได้แต่มองหน้ากันงง ๆ กับพฤติกรรมของเธอ  แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังแฝงไปด้วยความเป็นกังวล
ทำให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยทัดทานอะไรออกมา  หลังจากซายน์เงียบไปอีกพักหนึ่ง อยู่ ๆ เธอก็ทำท่าจะเดินเข้าไป
ในป่านิทรา

          “ทำอะไร ซายน์!!”    เจย์กับแซนด์รีบดึงตัวซายน์ไว้

         “เรารีบเข้าไปกันเถอะ  เราต้องไปช่วยพวกเขา”

         “ใครซายน์  ช่วยใคร”  พี่ชายฝาแฝดถามพลางมองหน้าน้องสาวด้วยสายตาที่ฉายแววความเป็นห่วงชัดเจน

************************


          “ท่านเชื่อที่ยายนั่นพูดจริง ๆ หรือไง”  แซนด์กระซิบถามราฟาเบา ๆ เมื่อฟังซายน์เล่าเรื่องเสียงที่ได้ยินจบ
และต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อผู้ถูกถามพยักหน้าตอบกลับมา

         “ถ้าราชินีน้อยมั่นใจ และตั้งใจที่จะทำเช่นนั้น ก็รีบไปกันเถอะ เราเสียเวลามามากแล้ว”

         ทั้งห้าคนเริ่มเดินทางเข้าสู่เขตป่านิทรา  โดยมีละอองน้ำใส ๆ ของราฟาครอบทุกคนที่เดินเกาะกันเป็นกลุ่ม
ไว้  แต่เพื่อเป็นการป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอีกชั้น ทุกคนก็พยายามที่จะส่งเสียงอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกัน
ว่าหากละอองน้ำของราฟาไม่สามารถป้องกันคำสาป หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้ทุกคนต้องถูกครอบงำจนหลับ
ไปได้ อย่างน้อยการส่งเสียงตามที่โฟร์ทบอกไว้ ก็เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด

         ยิ่งเดินลึกมากขึ้นเท่าไหร่ สภาพป่าก็มีความร่มรื่นมากขึ้นเท่านั้น  แสงแดดที่ส่องผ่านใบไม้หนาทึบส่อง
ประกายอ่อน ๆ ทำให้ไม่รู้สึกร้อนแม้แต่นิดเดียว  แต่ซายน์ก็ยังอดนึกไม่ได้ว่าอาจเป็นเพราะละอองน้ำของราฟา
ด้วยรึเปล่าที่ทำให้อากาศดีอย่างนี้

         “…ราชินี ท่านราชินี”   เสียงเรียกเบา ๆ ทำให้ซายน์หยุดเดินทันที  บรรยากาศอันชวนปลอดโปร่งใจทำให้
เธอลืมความตั้งใจแต่แรกที่ก้าวเข้ามาในป่านิทรานี้หมดสิ้น  หากไม่ได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบานี้เธอก็คิดไม่ออก
เหมือนกันว่าเธอจะหลงไปกับธรรมชาติอันสวยงามนี้จนเป็นเหยื่อที่ต้องติดอยู่ในนี้ตลอดไปจนจบชีวิตหรือไม่

          “เราได้ยินแล้ว  เราได้ยินพวกเจ้าแล้ว  ทางไหนละ จะให้พวกเราไปทางไหน”  ซายน์กระวนกระวายจนแทบ
จะวิ่งออกจากวงล้อมของละอองน้ำที่ป้องกันไว้  ดีที่แซนด์รีบดึงมือเธอให้หยุดนิ่งไว้ก่อน

          “ใจกลางป่า...ท่านผู้กอบกู้  ใจกลางป่า พวกเราถูกจองจำอยู่ที่นั่น”

          “ใจกลางป่าเหรอ  โฟร์ทนำเราไปหน่อย  นำเราไปใจกลางป่าได้มั้ย”  ซายน์หันมาละล่ำละลักถาม

         “ก็...ก็...ก็คงต้องลองดูแล้วล่ะ แต่ข้า... ข้าก็ไม่มั่นใจนะ”  โฟร์ทตะกุกตะกักตอบ

         “เบิร์ดรูท”  ราฟาแบมือระดับหน้าอก ร่ายเวทเบา ๆ เกิดนกสีเงินตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง  ก่อนที่เขาจะพูดกับ
มันเบา ๆ สองสามคำ แล้วมันก็บินไป  ทุกคนที่เหลือรู้ได้ทันทีว่า เจ้านกตัวนี้จะคอยนำทางไปสู่จุดที่หมาย

         นกนำทางบินอยู่ข้างหน้าเหนือละอองน้ำของราฟา ทิ้งระยะห่างพอให้มองเห็นปีกสีเงินกระพริบระยิบระยับ
ท่ามกลางแมกไม้สีเขียว  ซายน์รู้สึกชอบเจ้านกตัวนี้มาก  มันช่างน่ารักและสวยงาม  บางครั้งมันก็หายไปจาก
สายตา แต่เมื่อทุกคนกำลังสับสนว่าจะไปทางไหนกันต่อ มันก็จะปรากฏให้เห็นแสงสีเงินกระพริบบอกทางทันที 
เหมือนจะรู้ว่าทุกคนกำลังต้องการมันอยู่  เธอแอบกระซิบถามราฟาว่าจะใช้เวทเรียกนกนำทางแบบนี้ได้บ้างรึเปล่า 
แต่เขากลับบอกสั้น ๆ ว่าให้ลองดูเอาเอง   ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างใด ๆ เลย แต่เธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่า ออกจาก
ป่านิทราได้เมื่อไหร่ เธอจะลองฝึกใช้เวทเรียกนกนำทางดูบ้าง

         หลังจากเดินตามนกนำทางมาพักใหญ่ ๆ  บรรยากาศรอบ ๆ ตัวกลับยิ่งน่ารื่นรมย์มากขึ้น ทั้งแซนด์  เจย์ 
และโฟร์ทต่างเริ่มร้องรำทำเพลง พูดคุยกันอย่างสนุกครึกครื้น  มีแต่ราฟากับซายน์ที่เดินคุยกันเบา ๆ ต่างกังวล
กับเรื่องที่จะต้องเผชิญเมื่อเข้าสู่จุดจองจำนั่น ยังไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร และจะหนักหนาสาหัสเพียงไหน

         “เย้!~~  เรามาถูกทางแล้วนะคะ.  ดูสิคะ...ข้างหน้านั่น  แต่.. แต่..”  อยู่ ๆ เสียงของโฟร์ทก็ขาดหายไป
พร้อมกับหันกลับมามองทุกคนด้วยสีหน้าที่แสดงอาการประหวั่นพรั่นพรึง

         “ไม่เป็นไรหรอกโฟร์ท”  ซายน์เดินเข้ามาโอบกอดเธอเบา ๆ เพื่อให้อุ่นใจ  แต่เพราะสีหน้าที่แสดงความวิตก
กังวลของเธอ ทำให้ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย  โฟร์ทยังคงตัวสั่นน้อย ๆ ด้วยความหวาดกลัว ซายน์กวาดสายตามอง
ขึ้นไปเหนือศีรษะ  ราฟารู้ว่าเธอคงมองหานกนำทางเลยบอกให้รู้ว่าเมื่อมาถึงจุดหมาย ก็เสมือนเสร็จสิ้นหน้าที่
มันจะหายตัวไปเอง

          เบื้องหน้าที่ทุกคนเห็นเป็นลานกว้างทรงกลมขนาดย่อม ๆ  แต่กลับถูกครอบคลุมด้วยความมืดมิด  ทั้ง ๆ ที่
ไม่มีต้นไม้อยู่ในลานกว้างนั้นเลย กระนั้นกลับไม่มีแสงแดดส่องลงมา เหมือนกับว่ามันได้ดูดกลืนความสว่างไสว
ไปจนหมดสิ้น  แต่เพราะขณะนี้เป็นเวลากลางวัน  แสงแดดที่ส่องลงมายังพื้นที่รอบ ๆ ช่วยให้ยังพอเห็นว่า  ใน
ลานกว้างนั้นมีก้อนหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่จุดกึ่งกลาง  แต่ที่ดูน่าเกรงขามที่สุดคือรูปปั้นที่อยู่บนหินก้อนนั้น   มันดู
เหมือนยมทูตที่กำลังยืนรอตัดสินประหารชีวิตผู้ที่หลงเข้ามา   มือและเท้าที่ดูเหมือนอุ้งเท้าสิงโต กรงเล็บแหลมคม 
แขนขาที่เหมือนมนุษย์ทั่วไป  แต่มีหางยาวเล็กที่มีปลายเป็นลูกศร  แผงอกกำยำ  และหัวซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยนอกจาก
ดวงตา.!!..

         ไม่มีผม  ไม่มีหู  ไม่มีจมูก  ไม่มีปาก   หัวทั้งหัวของมัน เต็มไปด้วยดวงตามากมาย มีทั้งที่ปิดและเปิดอยู่ 
เหมือนกับว่าดวงตาเหล่านั้นจะทำหน้าที่ไนการสอดส่องไปทั่วบริเวณป่านิทราแห่งนี้

         “พวกเจ้าอยู่ไหน  จะให้เราช่วยยังไง บอกมาสิ”   ซายน์ข่มความกลัว ตะโกนถามออกไป แต่เสียงที่เคยได้ยิน
กลับเงียบหายไป ไม่มีเสียงใด ๆ ตอบกลับมาแม้แต่นิดเดียว  เธอเริ่มหันซ้ายหันขวาเหมือนจะพยายามมองหาใคร
สักคน หรืออะไรสักอย่างที่จะพอทำให้เธอรู้ว่าจะต้องทำอะไร ยังไงต่อไปดี

         “เอาไงต่อดีซายน์”  พี่ชายฝาแฝดเอ่ยถาม

         “ไม่รู้ค่ะ  ซายน์ไม่รู้  เสียงนั่น... เสียงที่ซายน์เคยได้ยิน มันหายไปแล้ว  ซายน์ไม่ได้ยินอะไรเลย”

         “เรา...เรารีบไปจากที่นี่  ออกไปจากป่านิทรานี่ดีกว่านะคะ”  โฟร์ทหน้าเจื่อนนิด ๆ

         “ไม่ค่ะ  ซายน์จะต้องช่วยพวกเค้า   พวกเค้าทรมานอยู่ที่นี่มานานแล้ว  เราจะต้องช่วยเค้าออกไป”

         “ใครล่ะซายน์  พวกเค้าที่เธอกำลังเอ่ยถึงน่ะ คือใคร  เธอรู้รึเปล่า  เสียงที่ได้ยิน อาจเป็นเสียงที่หลอกพวกเรา
ก็ได้นะ  หลอกให้เราต้องหลงอยู่ที่นี่  ติดอยู่ที่นี่”  แซนด์เริ่มโมโห

         ด้วยคำพูดของพี่ชาย  ซายน์เริ่มวิตกอีกครั้ง  หรือจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เสียงเหล่านั้นกำลังล่อหลอกให้ทุกคน
หลงพะวงจนติดอยู่ที่นี่รึเปล่า  และหากเป็นเช่นนั้นจริง  ตัวเธอเองที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด แต่...แต่ความรู้สึกลึก ๆ
ในใจ กลับบอกว่า  เธอไม่ได้คิดผิด  ที่นี่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ เสียงที่ร้องเรียก  น้ำเสียงที่ทุกข์ทรมาน 
เธอต้องช่วยพวกเค้าออกมา  ช่วยออกมาจากอะไรก็แล้วแต่ที่กักขังพวกเค้าไว้  

         แต่แล้วเธอก็ทำให้พี่ชายโมโหมากขึ้น เมื่อเสนอให้ทุกคนไปจากที่นี่ ไปรอเธออีกฝั่งของป่านิทรา ส่วนตัว
เธอเองจะอยู่ที่นี่เพื่อจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นแล้วจะตามออกไป  อันที่จริงไม่ใช่แค่พี่ชายเธอเท่านั้นที่รู้สึกโกรธ
ขึ้นมากับข้อเสนอนั่น  เธอรู้สึกถึงความไม่พอใจของเจย์ และราฟาด้วย

         “หากราชินีน้อยยืนยันจะอยู่ที่นี่   ข้าก็จะคอยดูแลเอง  แต่ข้าว่าพวกท่านทั้งสามคน”  ราฟาหันไปทางแซนด์
เจย์ และโฟร์ท ก่อนจะพูดต่อ  ”น่าจะทำตามที่ราชินีน้อยเสนอ  ไปรอเราสองคนข้างนอกป่านี่”

         “ไม่ล่ะ”  เจย์เป็นคนแรกที่ปฏิเสธ  “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น  หากซายน์ยืนยันจะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ด้วย”

         “ใช่....  เราจะไม่ทิ้งกันไปไหน”  แซนด์ยืนยันอีกคน  โดยมีโพร์ทยืนพยักหน้าอยู่ข้าง ๆ

         “แต่....”

          “กรี๊ด!!!”     ไม่ทันที่ซายน์จะพูดอะไรออกมา เสียงร้องของโฟร์ทก็ทำให้ทุกคนหยุดชะงักการพูดคุย 
พร้อมกับหันไปตามมือของโฟร์ทที่กำลังหลับตาร้องกรี๊ด ๆ พร้อมกับชี้มือไปยังรูปปั้น  ก่อนจะเห็นว่าขณะนี้มีร่าง
เรืองแสงสีเขียวอ่อน ๆ ร่างหนึ่งเหมือนกำลังจะพยายามคลานออกมาจากหินใต้เท้ารูปปั้นนั่น มือที่พยายามไขว่คว้า
เหมือนต้องการให้ช่วยเหลือ  ปากที่ขยับเขยื้อนเหมือนจะเปล่งเสียงแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน รูปร่างที่วูบไหวเหมือนจะมี
ตัวตนแต่ไม่มี   มันดูคล้ายควันไฟที่กำลังต้องลม

        “ช่วยพวกเราด้วยยยยยย”   เสียงร้องโหยหวนทำให้ทุกคนถึงกับขนลุกก่อนที่ร่างนั่นจะสลายเป็นละอองเล็ก ๆ
แล้วหายไป

         “นะ...นะ นั่นตัวอะไร”  แซนด์ตะกุกตะกักถามด้วยความกลัว

         “เห็นมั้ยคะ  ซายน์พูดเรื่องจริง  เค้ารอให้พวกเราช่วยเค้า  เค้าต้องการความช่วยเหลือ”  น้ำเสียงซายน์สั่นนิด ๆ
ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้น ดีใจ  ที่รู้ว่าไม่ได้คิดผิด

         “แล้วจะทำยังไง   จะช่วยเค้ายังไงล่ะซายน์”  เจย์ถาม

         “ซายน์ก็ไม่รู้ค่ะ   แต่เราลองเข้าไปใกล้ ๆ หินนั่นดูมั้ยคะ  เผื่อจะมีวิธีอะไรที่ดีขึ้น”

         “อย่าเลย  มันอันตราย”  แซนด์ท้วงขึ้น

         “แล้วถ้ายังยืนอยู่กันอย่างนี้  แล้วจะมีอะไรดีขึ้นล่ะ”  ซายน์ยังไม่ยอม  “เข้าไปกันเหอะ...ยืนคุยกันอยู่อย่างนี้
ก็ไร้ประโยชน์”

          และแล้วราฟาก็เป็นคนแรกที่เดินนำหน้าเข้าสู่ความมืด โดยมีซายน์กับ โฟร์ทเดินตาม  และแซนด์กับเจย์
คอยระวังท้าย   ราฟายังคงสร้างละอองน้ำใส ๆ ครอบทุกคนไว้เพื่อป้องกันแต่ยิ่งเข้าใกล้ก้อนหินและรูปปั้นมาก
เท่าไหร่ ละอองน้ำของราฟาก็ดูเหมือนจะไม่สมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น  มันเริ่มจางหายหรือไม่ก็เริ่มมีช่องโหว่ ไม่เป็น
รูปทรง  จนในที่สุดซายน์ก็ต้องบอกให้ราฟาหยุด เพราะเธอรู้ว่าเขาต้องใช้พลังเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างละอองน้ำนั่น 
เธออยากให้เค้าเก็บพลังไว้เผื่อใช้ในการต่อสู้ที่อาจจะเกิดขึ้นมากกว่า

         ยิ่งเข้าใกล้ ทุกคนยิ่งรู้สึกอึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออกมากขึ้นเรื่อย ๆ  จนกระทั่งเมื่อทั้งหมดเข้ามาหยุดยืน
อยู่หน้ารูปปั้น  ยิ่งเข้ามาเห็นใกล้ ๆ  แบบนี้  ยิ่งเห็นถึงความใหญ่โต และความน่ากลัวของมัน

         “พี่แซนด์  ช่วยดูแลโฟร์ทด้วยนะ” ซายน์หันไปบอกให้พี่ชาย

         “ได้สิ  ระวังตัวนะ”  แซนด์พยักหน้าพร้อมกำชับด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะพาโฟร์ท ถอยห่างออกไปอีกหน่อย
เพื่อให้ทั้งสามลงมือจัดการอะไร ๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น

         “พวกเค้าอาจโดนขังอยู่ในหินก้อนนี้  เราน่าจะลองทำลายมันดูนะคะ”  ซายน์บอกสองหนุ่มเบา ๆ

         “แล้วไม่กลัวว่าจะเป็นการทำลายวิญญาณเหล่านั้นไปด้วยเหรอ”  เจย์ถาม

        “จริงด้วย  ซายน์ลืมคิดไปเลย  เอาไงดีล่ะ”  ประโยคสุดท้ายเธอหันไปถามราฟา

        “ลองดูสักนิดคงไม่เป็นไร... “โบเคนเจอร์”  ”  หลังจากเห็นซายน์กับเจย์พยักหน้าเห็นด้วย ราฟาก็เริ่มใช้
เวทเพื่อทำลายก้อนหินทันที  แต่ผลที่ได้รับกลับไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ เพราะนอกจากจะไม่มีผลต่อก้อนหิน
ลูกนั้น มันยังสะท้อนกลับเข้าใส่ทั้งสามจนเกือบหลบไม่ทัน  แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือขณะนี้ดวงตาของรูปปั้น
บนก้อนหินที่เคยปิดอยู่ได้ลืมตาขึ้นมาหมดทุกดวง  พร้อม ๆ กับที่รูปปั้นเริ่มสั่นและเริ่มขยับตัว

          “ระวังตัวนะ  ...  เฮ้ย.!!”   แซนด์ตะโกนออกมาพร้อมทำท่าจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่ถูกเถาวัลย์พุ่งมาจากต้นไม้
ที่อยู่ใกล้สุดพันรัดตัวไว้ พร้อมกับโฟร์ท

         “นี่..นายทำอะไรสักอย่างสิ... จะยืนให้มันพันเอาไว้อย่างนี้หรือไง”  โฟร์ทโวยวาย แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการ
เตือนสติแซนด์ที่มัวแต่ตกใจจนยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

         “อ๋อ!!  ได้ซิ   คัทอ๊อฟ...คัทอ๊อฟ...คัทอ๊อฟ  ทำไมทำอะไรมันไม่ได้เลยเนี่ย”  แซนด์พยายามใช้เวทเพื่อ
ตัดเถาวัลย์ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

         “โธ่~~  ไม่ได้เรื่องเลย....  ซายน์!!!  ระวัง”   โฟร์ทเปรยเบา ๆ   ก่อนจะตะโกนอย่างตกใจ  เมื่อเห็นว่า
หางของรูปปั้นมันสามารถยืดยาวออกมาได้ และกำลังพุ่งเข้าหาซายน์ซึ่งไม่ทันระวังตัวเพราะมัวแต่หลบแสง
สีแดงที่กำลังพุ่งออกมาจากดวงตาดวงใหญ่ที่สุดตรงกลางหน้าผาก  เสียงเตือนของโฟร์ท ทำให้เธอกลิ้งตัว
หลบไปได้อย่างเฉียดฉิว

         “เราถอยไปตั้งหลักกันก่อนมั้ย”  เจย์ตะโกนถาม เมื่อเห็นว่าซายน์และราฟาไม่ตอบอะไร  แต่คงจะมี
ความเห็นตรงกันว่าจะถอยออกไปที่รอบนอกของลานกว้างเพื่อให้พ้นจากรัศมีอันตรายของลำแสงจากดวงตา
ของรูปปั้น  เขาจึงเริ่มหลบหลีกพร้อมกับถอยห่างออกมาเรื่อย ๆ แต่ขณะที่อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงจุดที่แซนด์และโพร์ท
ยืนอยู่  เขากลับกระเด็นหงายหลังเหมือนชนเข้ากับอะไรบางอย่าง

         “พี่เจย์  เป็นไงบ้าง”  ซายน์ตะโกนถาม พร้อมกับทำท่าจะวิ่งเข้าไปหา  แต่ก็เข้าไปใกล้ไม่ได้เพราะต้องคอย
หลบเจ้าแสงนั่นด้วยเหมือนกัน

        “ไม่เป็นไรซานย์  แต่สงสัยพวกเราจะโดนขังแล้วล่ะ  มันเหมือนกับมีอะไรกั้นไว้ไม่ให้เราออกไป”

         “วอชีล”  ราฟาใช้เวทสร้างกำแพงเป็นโล่ขนาดใหญ่เพื่อป้องกัน  และเมื่อทั้งซายน์และเจย์เห็นว่ามันได้ผล
ทั้งคู่จึงใช้เวทสร้างกำแพงขึ้นมาเป็นโล่ป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน

         “เราต้องรีบหาทางหยุดมัน  เพราะกำแพงนี้คงต้านมันได้ไม่นาน”  ราฟาบอกทุกคน

          “เลเซอร์บีม”  เจย์ใช้เวทส่งแสงสีขาวพุ่งเข้าใส่ดวงตาบนหัวรูปปั้น  “น่าจะใช้ได้นะ ดูซิตาข้างนั้นมันปิด
ไปแล้ว”

        “อืม..จริงด้วย  งั้นเล็งตาที่เหลือกันเลย”  หลังซายน์พูดจบ แสงเลเซอร์สีขาวจากทั้งสามคนก็พากันโจมตี
ดวงตาที่เหลือ  ซึ่งตอนนี้มันทยอยปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งดวงตาทุกดวงปิดสนิท  

         “เย้~~~ สำเร็จแล้ว”   ซายน์กระโดดโลดเต้นดีใจ

         “ซายน์..ระวัง!!”   เจย์ตะโกนเตือน แต่สายไป  เพราะขณะนี้หางของรูปปั้นพุ่งปักทะลุหัวไหล่ด้านซ้ายของ
ซายน์  ในขณะที่เธอมัวแต่หันหลังกลับมาดีใจโดยไม่ระวังปล่อยให้กำแพงที่ป้องกันหายไป

         ซายน์คุกเข่าทรุดลงไปก่อนที่หางจะหดตัวพาเธอลอยไปตรงหน้ารูปปั้น  และปล่อยให้เธอตกลงมานอนสลบ
อยู่บนพื้น  แล้วรูปปั้นก็กลับไปยืนนิ่งสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ราฟารีบวิ่งเข้าไปดูอาการของซายน์  โดยมีเจย์
คอยจ้องมองรูปปั้นอย่างระมัดระวัง

         “ราชินีน้อย ...ราชินีน้อย”   ราฟาเขย่าตัวซายน์

         “ซายน์ ...ซายน์... ไม่นะ ไม่นะ”   พี่ชายฝาแฝดได้แต่ตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง  และพยายามดิ้นให้
หลุดจากพันธนาการของเถาวัลย์ แต่ยิ่งดิ้นมันก็กลับยิ่งมัดแน่นขึ้น

         “ทำไมถึงไม่มีเลือดออกมาเลยล่ะ”  เจย์ตั้งข้อสังเกต เมื่อเห็นว่า ร่างซายน์ตรงหน้าเหมือนคนนอนหลับ
ไปเฉย ๆ  มีเพียงรอยบาดแผลเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าถูกทำร้าย

         “ราชินีน้อยกำลังจะกลายเป็นหิน”  คำตอบของราฟาทำเอาเจย์ตกตะลึง  และเริ่มสังเกตเห็นว่าขณะนี้เท้าและ
ขาของซายน์เริ่มเปลี่ยนสีไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ

         “ทำไงดี เราจะทำยังไงดี”

        “ข้าว่า เราพาราชินีน้อยออกจากตรงนี้ก่อนดีกว่า”   พูดพลางราฟาก็ตั้งท่าจะอุ้มซายน์เพื่อพาออกไปให้ห่าง
รูปปั้น   แต่ทันทีที่มือของราฟาขยับช้อนร่างของเธอเพื่อยกขึ้น   หางของรูปปั้นก็ยืดยาวพุ่งลงมาปักตรงหน้าทันที 
ก่อนที่เถาวัลย์จากต้นไม้ต้นที่มัดตัวแซนด์และโพร์ท จะพุ่งตรงมามัดตัวราฟากับเจย์ไว้ แล้วยกตัวทั้งสองคนเข้าไป
ยืนรวมกับสองคนที่ถูกมัดไว้ก่อนหน้านี้

************************

          ซายน์หันซ้ายหันขวา มองหาคนอื่น ๆ  พร้อมกับอดสงสัยไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้น  ความรู้สึกสุดท้ายที่เธอรู้สึก
คือความเจ็บปวดที่ไหล่ข้างซ้ายก่อนจะวูบไป  แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมา   ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ที่เดิมในลานมืดของใจกลาง
ป่านิทรา  แต่คนอื่น ๆ หายไป รวมทั้งรูปปั้นบนก้อนหินนั้นด้วย  ขณะนี้ที่นี่มีเพียงแค่ก้อนหินกับเธอเท่านั้น 
แค่เธอคนเดียว ความคิดนี้ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

         “นี่เหรอ  ที่เจ้าพวกนั้นมันเรียกว่า ราชินีน้อย  หรือผู้กอบกู้”

        ซายน์รีบหันกลับไปยังที่มาของน้ำเสียงแข็ง ๆ แสดงความชิงชังนั้น  จึงเห็นว่าขณะนี้บนก้อนหินที่เคย
ว่างเปล่า กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งกอดอก  หรี่ตามองเธอด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ

        “ท่านคือ....”

        “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

       “คนอื่น ๆ ล่ะ  ท่านเอาคนอื่น ๆ ที่มากับข้าไปไว้ที่ไหน”

       “เจ้าอยากรู้เหรอ  ได้สิ...ข้าจะให้เจ้าได้เห็น”  

        หลังจากชายหนุ่มตรงหน้าพูดจบ   ซายน์หันหลังมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นว่าขณะนี้ทั้งสี่คนถูกเถาวัลย์มัดไว้
ที่ใกล้ ๆ ต้นไม้ต้นหนึ่ง  ทุกคนกำลังพยายามทำทุกวิถีทางให้ตัวเองหลุดพ้นจากการพันธนาการนั้น  แต่ก็ดูจะยัง
ไม่ได้ผล   ซายน์วิ่งเข้าไปหวังจะช่วย  เธอเรียกพี่ชายพร้อมกับเอื้อมมือเข้าไปเพื่อจะสัมผัสเถาวัลย์  แต่มือของเธอ
กลับโปร่งใสทะลุผ่านทั้งเถาวัลย์และร่างของพี่ชายไป

        “เสียเวลาเปล่า เจ้าทำอะไรไม่ได้หรอก”

        “นี่...นี่ข้าตายแล้วเหรอ”   ซายน์ทรุดลงคุกเข่าพร้อมกับใช้มือโอบกอดตัวเองไว้ไม่ให้สั่น “ไม่น่ะ  ข้ายังตาย
ไม่ได้ ข้ายังตายไม่ได้”

        “ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า....ทำไมล่ะ  เจ้ากลัวความตายหรือไง”

        “ไม่ใช่...”  ซายน์ตวาดกลับ ด้วยความโกรธ   “ข้าไม่กลัวที่จะตาย แต่มีเรื่องสำคัญที่รอให้ข้าไปทำอยู่ 
สำคัญมาก  สำคัญกับทุกคนในโลกพาร์ตรีไดส์นี้”   น้ำเสียงท้าย ๆ ประโยคเริ่มเบาลงเพราะเธอกำลังกลั้นไม่ให้
ส่งเสียงร่ำไห้ออกมา

         “ขนาดนั้นเชียว... ตำแหน่งราชินีของเฮเวนน่าหรือไง”   น้ำเสียงนั้นยังคงเยาะเย้ยเธอ

         “พูดไป   ท่านก็คงไม่เข้าใจ”

         “ใช่สิ   ข้าไม่เข้าใจ”  น้ำเสียงเกรี้ยวกราด ทำเอาซายน์ถึงกับสะดุ้ง “ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น  และข้าก็ไม่
จำเป็นต้องเข้าใจด้วย  ข้ารู้เพียงอย่างเดียวว่า ต้องกำจัด  ข้าเกลียด เกลียดสีแห่งความโลภพวกนั้น  สีที่เปล่ง
ประกายรอบ ๆ ตัวของทุกคนที่ผ่านเข้ามาในอาณาเขตของข้า  โลกของข้ามีแต่สีดำ  สีดำเพียงสีเดียว”

        “สีของความโลภเหรอ.... ข้าไม่เข้าใจ”

        “ไม่เข้าใจ”  ชายหนุ่มทวนคำ  “ดูสิ”  มือที่กำลังกอดอก คลายออกแล้วจุ่มมือข้างหนึ่งลงไปบนหินเหมือนกับ
จุ่มมือลงน้ำก่อนจะทำท่าเหมือนจะดึงอะไรออกมา

         ซายน์ถึงกลับลืมตัวกลั้นหายใจไปชั่วขณะ  เมื่อเห็นว่า มือของชายตรงหน้าดึงสิ่ง ๆ หนึ่งขึ้นมามันเหมือนกับ
วิญญาณสีเขียวที่เธอเห็นว่าพยายามจะคลานออกมาจากก้อนหินเพื่อขอความช่วยเหลือก่อนจะสลายไป  แต่ร่าง
วิญญาณตรงหน้าตอนนี้เป็นสีชมพูอ่อน ๆ และเมื่อมืออีกข้างได้ดึงร่างวิญญาณขึ้นมาอีก   คราวนี้มันเป็นสีฟ้าจาง ๆ 
“เจ้าเห็นรึเปล่า สีที่เปล่งประกายออกจากตัวพวกมัน  ช่างน่าเกลียดสิ้นดี”

         “พอ ... พอแล้ว  ข้าไม่อยากเห็นแล้ว”

         “ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า... ทำไมล่ะ  เจ้าทนดูไม่ได้หรือไง  ดูสิ”  คราวนี้เขายืนขึ้น  กางมือทั้งสองข้างออกอยู่เหนือ
ก้อนหิน  ร่างวิญญาณหลากหลาย ทยอยโผล่ขึ้นมาแล้วจมหายไป  หากไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวขนาดนี้คนที่ได้เห็น
คงคิดว่ามันสวยงามมาก  หลากหลายสีสันที่ผุดขึ้นมาก่อนจะหายไปวนเวียนไปเรื่อย ๆ จนดูละลานตา   “สีที่เกิด
จากความโลภ ความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด”

         ซายน์ยกมือขึ้นปิดหน้า  ไม่อยากจะเห็น  ทั้งหมดไม่ใช่เพราะความน่ากลัว  เพราะร่างวิญญาณที่โผล่ขึ้นมา
ไม่ได้ดูน่าเกลียดน่ากลัวแม้แต่นิดเดียว  แต่สีหน้าที่แสดงออกถึงการอ้อนวอน ร้องขอความช่วยเหลือนั่นต่างหาก
ที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ   “พอเถอะ...ปล่อยพวกเค้าไปเถอะ ท่านจะกักขังพวกเค้าไว้ทำไม”  

         “ปล่อยอย่างนั้นรึ   พวกมันสมควรจะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว....เจ้ารู้มั้ย ว่าทำไมพวกมันถึงมาที่นี่ เข้ามาในอาณาเขต
ของข้า ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ถึงความน่ากลัวของที่นี่”  เมื่อซายน์สั่นหัว  มันจึงพูดต่อ “เพราะสิ่งนี้ไง”  ก่อนที่ตรงหน้าผาก
จะปรากฏเม็ดพลอยขนาดใหญ่สีดำสนิท   “ความโลภของพวกมันพามันมาตายที่นี่ อยู่เป็นทาสข้าที่นี่”

        “รวมถึงพวกของข้าด้วยเหรอ”

        ชายหนุ่มอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งกับคำถามของซายน์   ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนกำลังสับสน “เปล่าเลย..
ไม่ใช่เลย...พวกเจ้าไม่เหมือนพวกมัน   ถ้าพวกเจ้าเป็นเหมือนพวกมัน ป่านนี้พวกเจ้าทุกคนตายไปแล้ว  แต่ข้าไม่รู้ 
ข้าไม่เข้าใจ  ข้าถึงต้องมาคุยกับเจ้าแบบนี้ไง”

        “ทำไมล่ะ  พวกข้าเป็นยังไง”

         “สีของพวกเจ้า ไม่เหมือนกับพวกมัน  จุดประสงค์ที่พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ไม่เหมือนพวกมัน สีที่ข้าไม่เคยเห็น
ใจบริสุทธิ์ของเจ้า  ความมุ่งมั่น  ความสดใส  ความหวังดี  ความเศร้า จากทั้งสี่คนนั่น”

         “ปล่อยสี่คนนั่นเถอะนะ   พวกเราไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อที่นี่จริง ๆ  ให้พวกเค้ามาคุยกับท่าน เหมือนข้า“

         ชายหนุ่มหรี่ตามองเหมือนจะจับผิด  “คิดจะเกลี้ยกล่อมข้าหรือไง  วางแผนจะทำอะไรล่ะ”

         “เปล่าเลย  นี่คือการแสดงความจริงใจต่างหาก”

         “ความจริงใจอย่างนั้นหรือ  ได้สิ... แต่เจ้าอย่าคิดนะว่าพวกเจ้าทั้งหมดจะทำอะไรข้าได้”

         เมื่อซายน์หันกลับไปมองทั้งสี่อีกครั้ง  ก็พบว่าขณะนี้เถาวัลย์ที่มัดร่างทั้งหมดไว้ ได้คลายตัวออกและหดกลับ
ไปพันที่ต้นไม้เหมือนเดิม  ราฟา  แซนด์  เจย์ และโพร์ทรีบวิ่งตรงไปหน้าก้อนหิน  ซึ่งซายน์เพิ่งจะเห็นว่า ตรงนั้น
มีร่างของเธอที่แข็งเป็นหินนอนอยู่

************************


         “ซายน์ ....ไม่นะ  ลุกขึ้นมาสิ”   แซนด์เขย่าตัวน้องสาวพลางเริ่มร้องไห้ออกมา

        “ท่านมีวิธีจะช่วยซายน์รึเปล่า”  เจย์หันไปถามราฟา

        “ข้าไม่รู้จริง ๆ   แต่ข้ากำลังสงสัยว่าทำไมอยู่ ๆ เถาวัลย์นั่นมันจึงปล่อยตัวพวกเรา”

        “โอ๊ย.!!!”  เสียงร้องของโพร์ท ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะเห็นว่าขณะนี้ ปลายลูกศร
จากหางของรูปปั้นพุ่งทะลุหัวไหล่เธอไป   แต่ยังไม่ทันที่ใครจะขยับตัวทำอะไร  ปลายหางก็พุ่งเข้าใส่เจาะหัวไหล่
ทุกคนอย่างรวดเร็ว  พร้อม ๆ กับที่ทุกอย่างดับวูบไป

************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น