นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 17 คุณรูปปั้น

 

 

          “ซายน์...ซายน์...ไม่เป็นไรใช่มั้ย”   แซนด์เขย่าตัวน้องสาวอย่างแรงด้วยความดีใจ

         “ไม่เป็นไรพี่แซนด์  พอได้แล้ว  หยุดได้แล้ว มันเวียนหัวนะ”  น้ำเสียงซายน์สั่นคลอนตามแรงเขย่า

         “ตกใจแทบแย่  นึกว่า...นึกว่า”

          “นึกว่าตายแล้วล่ะซิ”   ซายน์ค้อนขวับใส่พี่ชาย

          “อ่ะแฮ่ม”   เสียงที่แกล้งกระแอมไอเพื่อเรียกร้องความสนใจ  ทำให้ราฟารีบหันกลับไปมองยังต้นเสียง
ด้วยความระแวดระวัง

          “อุ๊ย!!  ขอโทษค่ะ  มัวแต่คุยจนลืมไปเลย”

          “เพื่อนใหม่เหรอ”  โฟร์ทกระซิบถาม  เมื่อเห็นชายหนุ่มผมยาวสีดำรับกับนัยน์ตาสีดำขลับ นั่งทำหน้าบึ้ง
เหมือนไม่ค่อยจะพอใจอยู่บนก้อนหิน

          “เอ่อ... จะให้แนะนำว่าอะไรดีล่ะ  เรียกว่าคุณรูปปั้นได้มั้ยคะ”  ซายน์หันกลับไปถามชายหนุ่มบนก้อนหิน

         “คุณรูปปั้น!!!”   ทั้งแซนด์  เจย์  ราฟา และโฟร์ท  ส่งเสียงแสดงความประหลาดใจออกมาพร้อม ๆ กัน

           “เจ้าพอใจจะเรียกข้าว่าอะไรก็เรียกไปเถอะ”

          “ซายน์  อย่าบอกนะว่าคน ๆ นี้คือเจ้ารูปปั้นที่มีแต่ตานั่น”  เจย์ถามด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ราวกับจะกระซิบ

          “ใช่ ข้าเอง”

          “แล้วทำไมท่านถึงกลายมาเป็นคนเหมือนพวกเราล่ะคะ”  โฟร์ทถามเสียงแผ่ว ๆ เพราะความน่ากลัวของ
รูปปั้นที่มีแต่ดวงตานั่นยังคงติดตาอยู่  ความรู้สึกชื่นชมในความหล่อเหลาคมคายของชายหนุ่มตรงหน้าแทบจะ
หายไปทันที

          “ข้าก็เป็นของข้าอย่างนี้มาเนิ่นนานแล้ว”

         “ร่างไหนเป็นตัวตนที่แท้จริงของท่านกันแน่”   ราฟาถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจ

          “จริงหรือไม่จริง ใช้อะไรตัดสินล่ะ ทุกสิ่งที่เจ้าเห็นก็เป็นตัวข้าทั้งหมด”

          “จะคุยกันแบบไม่รู้เรื่องไปอีกนานมั้ยเนี่ย  ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้มั้ยซายน์ ทำไมอยู่ดี ๆ คุณรูปปั้น
ที่เป็นหินกลับกลายมาเป็นคนแล้วนั่งพูดจ้อ ๆ ได้อย่างนี้ล่ะ” พี่ชายฝาแฝดหันมาถามน้องสาว

          ซายน์เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เธอรู้สึกตัวให้ทั้งสี่คนฟัง  รวมถึงเหตุการณ์ที่คุณรูปปั้นดึงร่างวิญญาณ
สีต่าง ๆ ขึ้นมาให้ดู  เล่าถึงเม็ดพลอยสีดำขนาดใหญ่กลางหน้าผาก  ที่มาของความตายเนื่องจากความโลภ  และ
เหตุผลที่ทุกคนได้มายืนคุยกันอยู่ตอนนี้  โดยที่ยังไม่ตายกลายเป็นร่างวิญญาณไปเหมือนพวกที่เข้ามาในป่านิทรา
อย่างที่ผ่าน ๆ มา

          “ก็แน่ละซิ  พวกเราจะเหมือนพวกนั้นได้ยังไง พวกเราไม่ได้เข้ามาที่นี่เพราะความโลภซะหน่อย”  แซนด์
เริ่มโวยวายเมื่อฟังซายน์เล่าเรื่องต่าง ๆ จบลง  “เพราะฉะนั้น  ท่านจะมาขังเราไว้แบบนี้ไม่ได้  ควรจะปล่อย
พวกเราไปซะ”

          “นั่นเป็นเรื่องที่ข้าจะตัดสินใจเอง  ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาบอก”

         “แล้วจะให้เราทำยังไง ถึงจะปล่อยพวกเราไป”  เจย์หาทางออก

         “ข้า... ข้า....”  อยู่ ๆ คุณรูปปั้นก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ แบบไม่รู้จะอธิบายยังไงดี “พวกเจ้าแปลกมาก 
พวกเจ้ามีสีที่เปล่งประกายออกมา  เป็นสีข้าไม่เคยเห็น”

         “สีของพวกเราเป็นยังไงคะ”  โฟร์ทถามด้วยความตื่นเต้นอยากรู้

          “สีขาวที่เปล่งประกายด้วยใจบริสุทธิ์ของเจ้า”  คุณรูปปั้นหันไปมองซายน์  “สีเทาหม่นด้วยความเศร้า
ของเจ้า”  เขาละสายตาไปมองโฟร์ท  “สีน้ำเงินเจิดจ้าจากความมุ่งมั่น   สีเขียวทองจากความหวังดี  และสีเหลือง
อำพันจากความสดใส”  เขาไล่สายตามองไปที่ราฟา เจย์ และแซนด์ตามลำดับ

          “เราอยู่ที่นี่ไม่ได้นะคะ  พวกเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ  ให้พวกเราไปเถอะคะ”  ซายน์อ้อนวอนขอร้อง
“คุณรูปปั้นก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเราไม่ได้ต้องการอะไรเลย”

          “แต่เจ้าเพิ่งขอให้ข้าปล่อยวิญญาณทั้งหมดนี่”

          “ก็...ก็...”  ซายน์อึกอักพูดไม่ออก

          “ท่านจะเอายังไง ก็ว่ามาเลยดีกว่า”  ราฟาตัดบท

          คุณรูปปั้นเงียบไปครู่ใหญ่  ก่อนจะเอ่ยปากขอสัมผัสทุก ๆ คน เพื่อต้องการซึมซับความความรู้สึกที่เขา
ไม่เคยได้พบเจอ   ซึ่งทั้งห้าคนก็ตกลงทำตามความต้องการนั้น   เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก

         ทั้งหมดยืนจับมือกันเป็นวงกลมล้อมก้อนหินที่มีคุณรูปปั้นกำลังยืนกางมือหลับตาก่อนจะสูดลมหายใจเบาๆ
เพียงครู่เดียวร่างของเขาก็เริ่มหมุนช้า ๆ  และไปหยุดหันหน้าไปทางโฟร์ทเป็นคนแรก  ในขณะที่เธอกำลังเลิ่กลั่ก
มองหน้าเจย์และแซนด์ซึ่งจับมือเธออยู่คนละข้าง ก่อนจะเหลือบตามองชายบนก้อนหินด้วยความหวาดหวั่นเพราะ
ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก  แต่จู่ ๆ เธอก็ต้องทำตาโตตกใจเมื่อเห็นหยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่กำลังปิด
สนิทนั่น

          “ความเศร้ามันเป็นเช่นนี้นี่เอง”  ถ้อยคำรำพึงเบา ๆ จากปากชายหนุ่มบนก้อนหิน ก่อนที่ร่างของเขาจะเริ่ม
หมุนอีกครั้ง  และครั้งนี้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าของแซนด์  ผ่านไปครู่เดียวก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่
เคยเฉยชามาตลอด   “ความสดใสมันดีอย่างนี้นี่เอง” คนต่อไปที่เขาได้สัมผัสคือ เจย์  และถ้อยคำที่ทุกคนได้ยิน
คือ  “เจ้าเป็นคนดีจริง ๆ”  ราฟาคือรายต่อไป  แต่ครั้งนี้เขาใช้เวลามากกว่าทั้งสามคนที่ผ่านมา  ทุกคนกำลังรอฟัง
คำพูดของเขาอย่างใจจดใจจ่อ  แต่ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมาให้ได้ยิน ก่อนที่ร่างของเขาจะหมุนไปตรงหน้า
ซายน์เป็นคนสุดท้าย

          ซายน์ตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นหายใจ  ไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะมองเห็นตัวตนของเธอเป็นแบบไหน  และ
อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับราฟาเลย  เวลาผ่านไปเนิ่นนานยิ่งกว่าเมื่อคราวของราฟา  ซายน์
เริ่มกระสับกระส่าย กังวลกลัวผลที่จะออกมา  แต่อยู่ ๆ คุณรูปปั้นก็ลืมตา แล้วนั่งลงบนก้อนหิน เป็นสัญญาณให้ทั้ง
ห้าคนรู้ว่าการสัมผัสนั่นจบลงแล้ว  ทุกคนกลับมายืนรวมกันอีกครั้ง

          “โลกแห่งความเกลียดชัง   โลกสีดำของข้า มันช่างเป็นโลกที่เลวร้ายสิ้นดี”  อยู่ ๆ คุณรูปปั้นก็โพล่งขึ้นมา 
“ข้าไม่อยากเป็นแบบนี้เลย”

          “คุณรูปปั้นก็ไม่ต้องทำสิคะ   ใครจะเข้าใครจะออกที่นี่ คุณรูปปั้นก็ไม่ต้องสนใจ”

          ชายหนุ่มบนก้อนหินหันไปมองหน้าโฟร์ท เจ้าของคำแนะนำที่ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว
“มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ   ข้าเหมือนถูกสาปให้ต้องเป็นแบบนี้   จนกว่า....”

          ทุกคนต่างจ้องหน้าคุณรูปปั้นเพื่อจะรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ  แต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากของเขาอีก

         “จนกว่าอะไรครับ”  แซนด์ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมา

         “จนกว่า...ข้าจะสลายไปนะซิ”

          “สลาย!!!”   ทั้งห้าคนร้องออกมาพร้อม ๆ กัน

          “ใช่ และข้าก็คิดว่ามันคงถึงเวลาแล้ว เจ้าจะให้เกียรติเป็นผู้ปลดปล่อยข้าได้หรือไม่” คุณรูปปั้นหันมาถามซายน์

          “ถ้าจะให้สู้กันคงไม่ไหวหรอกค่ะ  คุณรูปปั้นบอกซายน์เองนะว่า  ต่อให้พวกเราทุกคนช่วยกันก็ไม่สามารถ
เอาชนะคุณรูปปั้นได้”

          “ใช่  ถ้าข้าคิดจะสู้ละก็  ต่อให้พวกเจ้าช่วยกัน ข้าก็คงจะรับมือได้อย่างสบาย  แต่สิ่งที่ข้าจะให้เจ้าช่วย
มันง่ายกว่านั้น”  พูดจบคุณรูปปั้นกระโดดลงมายืนบนพื้นตรงหน้าซายน์   ก่อนจะยื่นของสิ่งหนึ่งให้เธอ

          ซายน์ก้มลงมองในมือของคุณรูปปั้น จึงเห็นว่าในมือนั่นมีโลหะสีดำยาวประมาณหนึ่งศอกมีปลายแหลมเป็น
ลูกศร  เธอรู้สึกคุ้น ๆ กับมัน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเหมือนกับปลายหางของคุณรูปปั้นนั่นเอง  เมื่อซายน์เงยหน้า
ขึ้นมองหน้าเขาอีกครั้งจึงได้เห็นว่าเขาพยักพเยิดให้เธอหยิบมันไป

          “ช่วยข้า  ปลดปล่อยข้าจากโลกมืดชั่วร้ายนี้”  คุณรูปปั้นเอ่ยเบา ๆ กับซายน์ เมื่อเธอหยิบมันไป “ตรงนี้” 
คำพูดสั้น ๆ พร้อมกับนิ้ว  ที่ชี้ไปกลางหน้าผาก

          ซายน์รู้ในทันทีว่าคุณรูปปั้นต้องการอะไร  เธอได้แต่ส่ายศีรษะเพื่อปฏิเสธสิ่งที่เขาต้องการ และพยายาม
จะทิ้งลูกศรในมือ แต่เหมือนกับว่าเจ้าอาวุธนั่นมันเป็นส่วนหนึ่งของเธอไปแล้ว ไม่ว่าจะสะบัดหรือทำอย่างไรมันก็
ไม่หลุดออกจากมือ  ซายน์หันกลับไปมองคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมือนจะขอความช่วยเหลือ  แต่ก็ไม่มีใคร
ให้คำตอบอะไรได้เลย

          “ทำเถอะ ราชินีน้อย”   ราฟาให้คำตอบเมื่อซายน์หันมาจ้องด้วยแววตาอ้อนวอน “นึกซะว่าเป็นการช่วย
ปลดปล่อยให้เขาพ้นทุกข์”

          และเมื่อซายน์หันกลับไปมองคุณรูปปั้นอีกครั้ง ก็พบว่าขณะนี้เขากำลังส่งยิ้มอันอ่อนโยนมาให้เธอ 
เหมือนจะช่วยปลอบประโลมให้เธอหายกังวลใจ  ซายน์ตัวสั่น กำลูกศรในมือแน่นจนรู้สึกได้ว่าภายใต้ฝ่ามือ
ตอนนี้ชื้นไปด้วยเหงื่อ  เธอก้มหน้าสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับ
ชายตรงหน้า  “ลาก่อนนะคะ คุณรูปปั้น”

          “ขอบคุณมาก”   ชายหนุ่มตอบพร้อมกับรอยยิ้มและหลับตาลงเพื่อบอกว่าพร้อมแล้วสำหรับเหตุการณ์ที่
กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป

          ซายน์กำลูกศรแน่น ก่อนจะเงื้อมือขึ้นเหนือศีรษะ  สายตาจับจ้องไปยังกลางหน้าผากคุณรูปปั้น ตรงที่เธอ
เคยเห็นเม็ดพลอยสีดำปรากฏขึ้นมา  น้ำตาเริ่มเอ่อมาคลอเบ้า  และแล้วก็ตัดสินใจแทงลูกศรในมือไปตรง
กลางหน้าผากนั่น!!!

*********************************

          “เคลอิ !!   เคลอิ!!”

          “เจ้าตะโกนเรียกข้าทำไม  ครูเอล”

          “เจ้าดูนั่นสิ”  ชายร่างเล็กชี้ไปทางป่านินทรา   “เห็นแสงสีขาวนั่นรึเปล่า  เจ้าคิดว่านคืออะไร”

          “อืม...พวกมันทำอะไรอยู่ในนั้นนะ”

          “พวกของธาราเทพ”   เสียบแหบ ๆ ของครูเอลเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ

          “ใช่...  น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในขอบเขตของป่านิทรา  ไม่เช่นนั้นข้าคงพอจะบอก
อะไรเจ้าได้บ้าง  แต่เท่าที่ข้ารู้ตอนนี้  พวกมันคงกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ ”

         “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง   พวกเด็ก ๆ นั่นข้ารับมือได้แน่นอน  ส่วนธาราเทพ ข้ายกให้เจ้า”

         “เมื่อถึงเวลา  เราอาจไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้”  เคลอิเดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอ

*********************************

          “ซายน์  เงียบซะ  อย่าร้องเลย”  พี่ชายฝาแฝดเข้ามาปลอบน้องสาว

          “แต่... แต่ซายน์ฆ่าเขา  ซายน์ฆ่าคุณรูปปั้น”   เสียงสั่นเครือเพราะแรงสะอื้นบ่งบอกถึงความเสียใจในสิ่ง
ที่ได้กระทำลงไป

          “ไม่ใช่ราชินีน้อย  ท่านไม่ได้ฆ่าเขา”  ราฟาเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนจะช่วยปลอบโยนซายน์ต่อ  “ท่านช่วย
เขาต่างหาก  ท่านดูไปรอบ ๆ ซิ ความมืดมิดของป่านิทราหายไปแล้ว ท่านช่วยเหล่าวิญญาณพวกนั้น  ป่าแห่งนี้
จะไม่ใช่ป่าแห่งคำสาปอีกต่อไป”

          “แต่...แต่....”  ซายน์พยายามกลั้นเสียงร้องไว้  ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนพร้อมกับแสงสีขาวที่พวยพุ่งจาก
กลางหน้าผากของคุณรูปปั้นยังคงติดตาเธออยู่   เธอมองไปรอบ ๆ ตัวตามที่ราฟาบอกพร้อมหยาดน้ำตาที่ยังคง
ไหลไม่หยุด   ป่านิทราเปลี่ยนไปจริง ๆ  บรรยากาศอึมครึมชวนอึดอัดหายไปแล้ว  มีแต่ความเขียวขจีของแมกไม้ 
ป่านิทราในตอนนี้ก็เป็นเพียงป่าโปร่งธรรมดา  “เอ๊ะ!!”   เธออุทานออกมาเบา ๆ เมื่อสังเกตเห็นประกายแสง
ระยิบระยับในกองของเศษหิน ที่เกิดจากการแตกตัวลงของรูปปั้นและก้อนหินที่เป็นฐานนั่น

           ซายน์ไม่รอช้าวิ่งเข้าไปคุ้ยเศษหินที่ทับถมอยู่ด้านบนออก จนกระทั่งเจอลูกศรที่เธอรับมาจากคุณรูปปั้น
เพื่อปลดปล่อยเขา  แต่ที่เธอรู้สึกตกใจและแปลกใจคือ  ข้าง ๆ ลูกศรนั่นมีผลึกใสเหมือนเพชรก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่ง
วางอยู่คู่กัน

          “อะไรน่ะ ซายน์”  พี่ชายฝาแฝดถาม

          “ของคุณรูปปั้นคะ  ซายน์ขอเก็บไปเป็นที่ระลึกนะคะ”  เธอหันไปบอกราฟาเหมือนจะขออนุญาต

          “คุณรูปปั้นคงตั้งใจจะมอบให้ราชินีน้อยอยู่แล้ว  ถึงดลบันดาลให้ราชินีน้อยเห็นมัน”

         ซายน์เอื้อมมือไปหยิบลูกศรเป็นอย่างแรก  ทันทีที่มือเธอสัมผัสมัน  ลูกศรสีดำกลับเปลี่ยนเป็นแก้วใสและ
เหมือนจะฝังตัวหายเข้าไปในมือ ซายน์ตกใจลุกขึ้นยืนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรร้าย ๆ ขึ้นอีก  แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูด
อะไรขึ้นมา  ทุกคนก็ได้ยินเสียงที่จำได้แม่นว่าคือเสียงของคุณรูปปั้นนั่นเอง

          “อาวุธที่ระลึกจากข้า  และผลึกนั่นอาจคือสิ่งที่พวกเจ้าตามหา  เก็บมันไว้ให้ดี”

          “คุณรูปปั้น  คุณรูปปั้นคะ”  ซายน์ตะโกนเรียก หันมองหาไปรอบ ๆ ตัว  แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ  เธอจึง
กล่าวขอบคุณเบา ๆ  และหวังว่าเขาคงจะได้ยิน ก่อนคุกเข่าเอื้อมมือไปเพื่อหยิบผลึกใสเหมือนเพชรนั่น  แต่ไม่ว่า
จะออกแรงเท่าไหร่ก็หยิบมันขึ้นมาไม่ได้    เธอหันไปบอกทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนที่ทั้งหมดจะนั่งลงเพื่อก้มดู
และช่วยกันแสดงความคิดเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้ไม่สามารถเก็บผลึกใสก้อนเล็ก ๆ ก้อนนี้ขึ้นมาได้

          เจย์ขอลองเป็นผู้เก็บผลึกดูบ้าง แต่ผลที่ออกมาก็เหมือนกับซายน์ไม่มีผิด จะว่าเพราะมันหนักจึงยกไม่ขึ้น
ก็ไม่ใช่  แต่มันเหมือนกับเจ้าผลึกนั่นเป็นเนื้อเดียวกับพื้นดิน ไม่ว่าเจย์จะลองใช้วิธีใดก็ไม่ได้ผล  จนแซนด์แกล้ง
กระเซ้าว่าให้ลองเอาเศษหินที่แตกอยู่ข้าง ๆ ทุบดูเผื่อมันจะกะเทาะออกมา  แต่ก็ต้องหุบยิ้มทำหน้าเจื่อน ๆ เมื่อ
ทุกสายตาจับจ้องกลับมาด้วยความไม่พอใจ ที่เขายังกล้ามีอารมณ์ขันในสถานการณ์เช่นนี้

          “โธ่...ซีเรียสกันไปได้  คุณรูปปั้นเขาอาจจะหวงของ ๆ เขาก็ได้”

          “พี่แซนด์”  ซายน์ดุใส่  “พี่ก็ได้ยินนี่นา คุณรูปปั้นบอกว่า ผลึกนี่อาจคือสิ่งที่พวกเราตามหา เพราะฉะนั้น
ผลึกนี้ อาจเป็นหนึ่งในผลึกแห่งแสงก็ได้  และเขายังบอกให้พวกเราเก็บมันไว้ให้ดี ก็แสดงว่าเขายกให้พวกเราแล้ว”

          “แล้วทำไมถึงเอามันมาไม่ได้ล่ะ  หินก้อนแค่นี้เอง”  แซนด์พูดพร้อมกับเอื้อมมือลงไปเพื่อหวังจะแกล้งจับ
และยกผลึกขึ้นมา  แต่มันกลับทำให้เขาอ้าปากค้างซะเอง  เมื่อมันติดมือขึ้นมาอย่างง่ายดายแทบไม่ต้องออกแรง

         “พี่แซนด์”   “แซนด์”  เสียงเรียกด้วยความแปลกใจดังขึ้นพร้อม ๆ กัน จากปากของน้องสาวฝาแฝดและ
เพื่อนชายคนสนิท รวมถึงสาวน้อยผู้มาใหม่ในทีม

          และแล้วก็มีเรื่องให้ทุก ๆ คนต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อเกิดแสงสีขาวเปล่งประกายจ้าจากสร้อยข้อมือรูป
แมลงปอของแซนด์ ก่อนที่เขาจะโวยวายว่าผลึกหายไป  จนทำให้ทุกคนตกอกตกใจไปตาม ๆ กัน  แต่เมื่อเขา
สังเกตดูที่สร้อยข้อมือตัวเองอีกครั้งก็พบว่าตรงส่วนลำตัวของแมลงปอที่มันเคยเป็นแค่โลหะเงินแวววาว
กลับกลายเป็นแก้วคริสตัลใส ๆ   แทนที่  และเมื่อเขาบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้  ก็ได้รับการลงมติว่าแก้วคริสตัลใส ๆ
ตรงลำตัวแมลงปอ บนข้อมือของแซนด์ก็คือผลึกที่ระลึกของคุณรูปปั้นนั่นเอง

*********************************

          คณะเดินทางทั้งสามหนุ่มสองสาว  มุ่งหน้าเดินทางออกจากป่านิทราด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้ง
ตื่นเต้นกับเรื่องราวที่ได้เจอ เพราะนี่คือการผจญภัยอย่างจริงจังครั้งแรกของซายน์  แซนด์ และเจย์นับตั้งแต่
ได้ย่างกรายเข้ามาสู่โลกพาร์ตรีไดส์   ทั้งยังรู้สึกเศร้าเสียใจกับการจากไปของคน (หรือจะเรียกว่ารูปปั้นดี) ที่แม้
เพิ่งจะได้รู้จัก ถึงเขาจะดูเหมือนเป็นคนร้ายกาจ  แต่จริง ๆ โดยเนื้อแท้แล้วเขาไม่ได้ต้องการทำการชั่วร้ายใด ๆ
เลย  และความรู้สึกที่แสนจะพิเศษทั้งดีใจและภูมิใจกับผลึกใส ๆ บนข้อมือของแซนด์  ที่ทุกคนมั่นใจว่ามันต้อง
เป็นหนึ่งในผลึกแห่งแสงที่กำลังตามหากันอยู่  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีใครแม้กระทั่งราฟารู้ว่า มันคือผลึกชนิดใด

          ราฟาโดนกระเซ้าเย้าแหย่เรื่อง  “ผลึกคริสโซโคลลา”  อีกครั้ง  ที่ปล่อยให้หลุดมือไปอย่างง่ายดาย  แต่
เขาก็ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวเอาตัวรอดไปได้ ด้วยความเงียบของเขาที่ทำให้ไม่มีใครกล้าแหย่เรื่องนี้
ขึ้นมาอีก

          สำหรับโฟร์ทแม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องว่าคนอื่นคุยกันเรื่องอะไร  แต่เธอก็ไม่ได้ซักถาม  เห็นใครหัวเราะขำเฮฮา
เธอก็ยิ้มแย้มไปกับเขาด้วย (แม้จะไม่รู้เรื่องก็เถอะ)  แต่เธอก็รู้สึกตื่นเต้น เศร้าเสียใจ และมีความสุขกับเรื่องราว
ที่ได้เจอจริง ๆ

          ระหว่างทางซายน์หัดใช้เวท “เบิร์ดรูท”  ลองเรียกนกนำทางเพื่อให้หาทางออกจากป่านิทราดูบ้าง  ซึ่งมัน
ก็ได้ผลดีพอสมควร  เพียงแต่นกนำทางของซายน์อาจยังไม่แข็งแรงพอ เพราะมันกระพริบปีกสีเงินระยิบระยับ
นำทางไปได้ไม่ไกล มันก็หายไปทันที   จากนั้นการเดินทางช่วงนี้จึงกลายเป็นสนามฝึกใช้เวทนี้ย่อย ๆ เมื่อทั้ง
เจย์ และแซนด์ต่างก็ขอลองบ้างเช่นกัน   แต่เรื่องที่ประหลาดใจที่สุดในการฝึกครั้งนี้คือ เมื่อถึงคราวของแซนด์ 
นกนำทางของเขาสามารถทำหน้าที่ได้ดีพอ ๆ กับนกนำทางของราฟา  เพราะแค่เขาลองใช้เวทครั้งแรก  มันก็
สามารถนำทางได้ไกลกว่าทั้งซายน์และเจย์  จนสามารถพาทุกคนออกมาจากป่านิทราจนได้

          “เย้!!~~  ฝีมือชั้นนะเนี่ย”  แซนด์กระโดดโลดเต้นดีใจ

          “พอเหอะ...พี่แซนด์  หาทางออกจากป่านิทราได้แค่นี้ ทำดีใจไปได้  ยังมีเรื่องหนัก ๆ รออยู่นะ”

          “นั่นซิ  ยังไม่รู้จะเจออะไรที่เผ่าวิเพอรี่เลย”  เจย์สมทบ

          “เผ่าวิเพอรี่ อยู่ไม่ไกลแล้วค่ะ  ข้ามแม่น้ำสายข้างหน้านี่ไปก็เป็นอาณาเขตของเผ่านี้แล้ว”  โฟร์ทบอกให้
ทุกคนรู้

         “เจ้ารู้มั้ยว่าเผ่าวิเพอรี่เป็นยังไง”  แซนด์หันไปถามโฟร์ท

         “ถ้าข้าจับใจความไม่ผิดเมื่อกี้พวกท่านเอ่ยถึงเผ่าคาร์มีล”  และเมื่อเห็นแซนด์พยักหน้า  เธอก็เล่าต่อ 
“เผ่าวิเพอรี่ก็เป็นเผ่าเล็ก ๆ เหมือนกับทุก ๆ เผ่าที่แตกกระจายกันออกไป พวกเดียวกัน เผ่าพันธุ์เดียวกันก็รวมตัว
กันตั้งเผ่าของตัวเอง  พวกท่านคงเห็นความสามารถพิเศษการพรางตัวและกลายร่างได้เหมือนกิ้งก่าของคนใน
เผ่าคาร์มีลแล้ว   เผ่าวีเฟอร์ของข้าก็รวบรวมทุก ๆ คนที่เก่งในด้านการใช้เข็มถักทอทุกสิ่งทุกอย่าง  ส่วนเผ่าวิเพอรี่ 
เป็นเผ่าที่รวบรวมผู้ใช้พิษ แต่ข้าไม่รู้รายละเอียดไปมากกว่านั้นหรอกนะ  ยังมีเผ่าอื่น ๆ อีกมากในแลนด์เดียร์ว่านี่ 
พวกท่านมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะเชียวล่ะ”

         “ใช้พิษเหรอ...  โดนไปแล้วจะตายมั้ยเนี่ย”  แซนด์กล่าวอย่างหวาด ๆ

         แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบใด ๆ เพราะขณะนี้แต่ละคนก็มีเรื่องให้ต้องคิดต่าง ๆ กันไป  ทุกคนเดินกันมาเงียบ ๆ
จนถึงแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งมีขนาดไม่กว้างนัก  ราฟาเตือนให้ทุกคนระวังตัวให้ดีเพราะฝั่งตรงข้ามเป็นอาณาเขตของ
เผ่าวิเพอรี่แล้ว   ทั้งหมดเดินตรงไปที่ท่อนไม้ขนาดใหญ่ซึ่งวางพาดเป็นสะพานไว้  แต่มันก็ใหญ่พอแค่ให้เดิน
ผ่านไปได้ทีละคน

          ราฟาอาสาเดินข้ามสะพานท่อนไม้เป็นคนแรก เพื่อคอยระวังภัยเมื่อข้ามไปถึงอีกฝั่งแล้ว แต่ดูเหมือนเขา
จะวิตกไปเอง  เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย จนทุกคนสามารถข้ามแม่น้ำไปได้ทั้งหมด

          ฝั่งอาณาเขตของเผ่าวิเพอรี่นี้  ดูร่มรื่นไม่แพ้ในป่านิทราเลย  เพียงแต่ออกจะดูรกชัฏไปหน่อยเท่านั้น 
อาจเป็นเพราะต้นหญ้าที่สูงเลยเข่าขึ้นมา  ทุก ๆ คนเดินฝ่าพงหญ้าตามหลังราฟาซึ่งเดินอยู่หน้าสุดพร้อมใช้เวท
“เฟล็ทเคลียร์”  เพื่อปรับเส้นทาง    ด้วยเวทนี้ทำให้ต้นหญ้าสูงแบนราบโอนลงไปเป็นทางให้เดินผ่านไปอย่าง
ง่ายดาย

         “หยุดก่อน!!~~”  เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกของซายน์ ทำให้ทุกคนหยุดชะงัก

         “มีอะไรหรือราชินีน้อย”  ราฟาตื่นตัวระแวดระวัง

         “ทุกคนระวังตัวไว้ให้ดี  ซายน์...ซายน์....”   ยังไม่ทันที่เธอจะส่งกระแสจิตบอกทุกคนจบ ก็มีเสียงแปลก ๆ
ดังขึ้นรอบ ๆ ตัว ทั้งห้าคนหันหลังชนกันเป็นวงกลมเพื่อระวังภัยโดยอัตโนมัติ

          “เสียงอะไรน่ะ...  เหมือนตัวอะไรคลานอยู่รอบ ๆ ตัวพวกเราเลย”   แซนด์อดหวาดระแวงไม่ได้

          “งะ ..งะ...งู  งูยักษ์นากา” เสียงตะกุกตะกักที่แสดงออกถึงความตกใจสุดขีดหลุดมาจากปากของโฟร์ท

*********************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น