นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 8 ทายาทที่เหลืออยู่

 

          “เราจะไปไหนกันคะ”   เซร่าเอ่ยถามด้วยความสงสัย หลังจากเดินตามหลังท่านผู้เฒ่าออกจาก
ปราสาทมาพักใหญ่ และเพื่อป้องกันการเป็นที่สังเกตของชาวเมือง  ทั้งคู่เปลี่ยนมาใส่เครื่องแต่งกาย
แบบชาวเมืองปกติและเลือกใช้เส้นทางที่ไม่มีผู้คนผ่านไปผ่านมามากนัก 

          “ท่านจะได้รู้เอง”   ผู้เฒ่าเอสโทสตอบด้วยน้ำเสียงขรึม ๆ “สัตว์เลี้ยงประจำตัวท่านล่ะ  ท่านหญิงเซร่า”

          “นีย์เหรอคะ  สงสัยอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลังปราสาท  ท่านจะพานีย์ไปด้วยเหรอคะ”  นางตอบคำถาม
ในขณะที่พยายามก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วเพื่อตามให้ทันท่านผู้เฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเร่งรีบ และ
ขณะนี้คนทั้งสองกำลังจะก้าวพ้นออกจากอาณาเขตดินแดนของเฮเวนน่าเข้าสู่ทางสายหมอก

          “ใช่ ท่านหญิง  บางครั้งมันอาจจะช่วยอะไรเราได้บ้าง”  ท่านผู้เฒ่าตอบ ทั้ง ๆ ที่ยังก้าวเท้าเดินอย่าง
รวดเร็ว ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองผู้ที่เอ่ยถามเมื่อสักครู่แม้แต่นิดเดียว  สีหน้าที่ยังคงสงบนิ่งของเขาไม่สามารถ
บอกถึงความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ได้เลย

          “นีย์.... นีย์  ได้ยินเราหรือเปล่า รีบมาหาเราเดี๋ยวนี้เลย”  เซร่าเอ่ยเรียกนีย์เบา ๆ  เพียงครู่เดียวนีย์ก็บิน
เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง  “ตามเรามานีย์”  

************************


          “โอ๊ย!..  ไม่ไหวแล้ว  เจ็บเหลือเกิน  ช่วยข้าด้วย”  เสียงร้องโหยหวนแสดงอาการเจ็บปวดของ
หญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนที่นอนหนานุ่ม สองมือของนางขยุ้มดึงผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่  เหงื่อเกาะพราว
เต็มวงหน้างดงามแต่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด  นางสะบัดหน้าไปมาพร้อม ๆ กับร้องโอดโอยเป็นระยะ

          “อีกนิดเดียวท่านจูเลีย   เบ่งเข้าไว้ เอ้า....ฮึบ....เบ่งอีกนิด”  หญิงชรายืนอยู่ทางปลายเท้า ส่งเสียง
กระตุ้นให้นางทำตาม

          “โอ๊ย!~   ทรมานเหลือเกิน...” 

          “เด็กจะออกมาแล้ว  อีกนิดเดียว เบ่งเข้าไว้ท่านจูเลีย”

         “อุแว้ !!!!!”  เสียงเด็กแรกเกิดแผดร้องไห้จ้า    ดังลั่นไปทั่วบริเวณ

          “อ้า... ยินดีด้วยท่านจูเลีย  ท่านได้ลูกชาย  ถ้าท่านร็องดอร์กลับมา คงจะยินดีมาก ต่อไปเขาคงจะเป็น
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพาร์ตรีไดส์เหมือนท่านพ่อของเขา”

          “ลูกชายเหรอ.... ขอข้าดูหน้าเค้าหน่อย”  น้ำเสียงนางฟังดูอ่อนแรง  ก่อนจะรับเด็กทารกแรกเกิดใน
ห่อผ้ามาอุ้มไว้แนบอก เด็กน้อยยังคงแผดเสียงร้องดังก้อง  นางพยายามแกว่งตัวลูกน้อยเบา ๆ เป็นการ
ปลอบโยน    “ลูกแม่... เจ้าเป็นลูกของแม่  เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องเติบโตขึ้นมาด้วยความดีงาม ไม่ต้องยิ่งใหญ่
แต่เราอยู่อย่างมีความสุขได้นะลูก”

          “ทำไมท่านคิดอย่างนั้นล่ะ ท่านจูเลีย”

          “ข้าไม่อยากให้เค้าเป็นอย่างพ่อของเค้า   เพียงเพื่อต้องการครอบครองพาร์ตรีไดส์ ถึงต้องยอมเสียสละ
ทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่การต่อสู้ แย่งชิง หาความสุขใจมิได้เลย  แม้กระทั่งข้าท้องแก่
ใกล้คลอด เค้าก็มิได้สนใจเป็นห่วงข้ากับลูกแม้แต่น้อย  แล้วชีวิตอย่างนี้นะหรือที่ข้าจะให้ลูกได้ก้าวเดินตาม
แบบอย่างต่อไป”  นางเอ่ยด้วยความท้อแท้

         “แต่ถึงอย่างไร  เค้าก็เป็นพ่อลูกกัน ท่านจะห้ามไม่ให้เค้าเป็นอย่างท่านร็องดอร์ก็คงไม่ได้”

         “ทำได้   ข้าจะต้องทำให้ได้”  สีหน้านางมีแววเด็ดเดี่ยว  “ข้าจะพาเค้าไปจากที่นี่  ไปจากโลกที่โหดร้าย
ของร็องดอร์”

************************


         “ท่านหญิง  เราจะไปไหนกัน”  นีย์เอ่ยถามเซร่าเบา ๆ ขณะนี้ทั้งหมดกำลังเดินทางอยู่ในทางสายหมอก
อย่างเร่งรีบ 

          “ข้าก็ไม่รู้หรอกนีย์  ท่านผู้เฒ่าไม่ยอมบอกอะไรข้าเลย”  เซร่าเอ่ยตอบเบา ๆ  เนื่องจากกลัวท่านผู้เฒ่า
ที่เดินอยู่ไม่ไกลจะได้ยิน หมอกควันจาง ๆ ในทางสายหมอกทำให้มองเห็นทางข้างหน้าไม่ชัดเจนนัก 
นางทำได้เพียงเดินตามหลังท่านผู้เฒ่าไปเงียบ ๆ ยังเดาใจไม่ออกว่าทั้งหมดกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ใด  
ก่อนหน้านี้หลังจากเดินทางมาครู่ใหญ่ ๆ  นางได้เอ่ยถามท่านผู้เฒ่าแห่งเฮเวนน่าแล้วว่าเหตุใดถึงต้อง
เดินเท้าในทางสายหมอกเช่นนี้  หากจะไปหลบภัยที่ริเวียร์ร่า หรือที่ใดที่หนึ่งในพาร์ตรีไดส์  น่าจะมีวิธี
อื่นใดที่ดีกว่าจะมาเดินทางเป็นวัน ๆ เช่นนี้  แต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปากท่านเลยตั้งแต่ออกจาก
อาณาเขตของเฮเวนน่ามา

          “ข้าจะให้ท่านไปอยู่อีกโลกหนึ่ง”  อยู่ ๆ เสียงผู้เฒ่าเอสโทสก็เอ่ยขึ้นมาลอย ๆ

          “หา..~ .. อีกโลกหนึ่ง  ท่านหมายถึงอะไร”  เซร่าเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบวิ่งมาดักหน้า
ท่านผู้เฒ่าไว้  ทำให้ทั้งหมดหยุดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก

          “ท่านต้องไปให้พ้นจากที่นี่ โลกพาร์ตรีไดส์ ไม่ปลอดภัยสำหรับท่านแล้ว”

          “อีกโลกหนึ่งเหรอ  แล้วข้าล่ะ ท่านผู้เฒ่า  ข้าจะไปด้วยได้หรือไม่”  นีย์ถามด้วยความกระตือรือร้น

          “แน่นอน เจ้าจะต้องไปอยู่เป็นเพื่อนท่านหญิงเซร่า”

          “แล้วท่านล่ะ ท่านผู้เฒ่า ท่านไปกับเราด้วยใช่มั้ย  ดี ๆ ๆ อ้อ..แล้วเจ้าหนูคนนั้นล่ะ เจ้าหนูที่อยู่กับท่าน
ท่านไม่พาเขาไปด้วยเหรอ”  นีย์ยังคงรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ไปในที่แปลกใหม่

         “ราฟากับข้าคงไม่ได้ไปด้วยหรอก  เพราะข้ามีหน้าที่แค่มาส่งท่านหญิงและเจ้า”

          “อะ…อะไรนะ  ท่านว่าอะไรนะ”  เซร่าถามด้วยความตกใจ

          “ข้าใช้เวท ร่นระยะทางเพื่อพาท่านไปสู่สถานที่ ที่จะส่งท่านไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยให้เร็วยิ่งขึ้น  แล้วข้า
จะกลับไปช่วยราชินีเซ็นย่า” 

          “ไม่ได้นะ  ถ้าท่านกลับ ข้าจะกลับด้วย ข้าไม่อยากหนีไปจากที่นี่แต่เพียงผู้เดียว ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่
เพื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้  แล้วทำไม… ทำไมข้าจะอยู่ด้วยไม่ได้”  เซร่าเริ่มโวยวาย  อารมณ์คุกรุ่น
ปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า  คิ้วขมวดเข้าหากัน  มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อยแสดงอาการไม่พอใจอย่างเด่นชัด  นางไม่
เข้าใจ ทำไมต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวที่ต้องไปจากที่นี่  ในเมื่อพี่หญิงซีเวียร์ กับท่านผู้เฒ่าก็ยังคงอยู่ที่นี่ได้
นางจะอยู่ด้วยเพิ่มอีกคน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด  ถึงเวทนางยังไม่เก่งกล้ามากนัก แต่นางก็คงสามารถ
ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ดีกว่าที่จะให้นางหนีไปแต่เพียงผู้เดียวเช่นนี้

          “ท่านหญิง  ข้าว่าเราน่าจะคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วนะ  ท่านต้องไปจากที่นี่  ดินแดนอีกโลกหนึ่งคง
ปลอดภัยสำหรับท่านมากกว่า พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าท่านจะไปอยู่ที่นั่น  แล้วเมื่อถึงเวลาทุกคนจะได้กลับมา…
กลับมาเพื่อกอบกู้เฮเวนน่ากลับคืน”

          “แต่…แต่…”  เซร่าอ้ำอึ้งรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว  นางอยากจะทำ
ตามใจตัวเอง เลิกสนใจเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าบอกให้หนีไปอีกโลกหนึ่ง  แล้วกลับไปที่ปราสาท กลับไปสู่บ้านเกิด
เมืองนอน  เรื่องต่าง ๆ ที่ทุกคนหวาดกลัวต้องไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เคยมีใครที่จะมีความเก่งกล้าเท่ากับ
ท่านแม่ของนางอีกแล้ว   แต่แล้วทำไม…นางเฝ้าคิดว่าทำไมต้องให้นางเป็นฝ่ายจากไป    เมื่อคิดถึงตอนนี้
สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเพียงสิ่งเดียวคือคำสั่ง  เป็นคำสั่งที่ต้องปฏิบัติ  นางยึดถือคำสั่งเป็นเรื่องใหญ่มาตั้งแต่เล็ก 
ไม่สามารถปฏิเสธได้  เมื่อก่อนไม่ว่าท่านแม่จะสั่งเรื่องอะไร นางก็ต้องปฏิบัติตามมาตลอด แต่ยามคับขันเช่นนี้ 
ท่านแม่สั่งให้หนี  ก็ต้องหนีเช่นนั้นหรือ

          “ท่านหญิงเซร่า”  ท่านผู้เฒ่าเรียกเบา ๆ ก่อนจะหยิบกล่องเล็กที่เหน็บไว้กับผ้าคาดเอวส่งให้นาง 
“ราชินีเซ็นย่าฝากให้กับผู้กอบกู้”

          “สร้อยของท่านแม่”  นางเอ่ยเบา ๆ เมื่อเปิดกล่องออกดูและพบว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องคือสร้อยสีเงิน
เส้นเล็ก ๆ ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ  พร้อมกับจี้คริสตันใสสีม่วงอ่อน ๆ  รูปแมลงปอกางปีกโดยที่
ส่วนหางของแมลงปอ เป็นสี่เหลี่ยมโลหะสีเงินมีปุ่มแหลมที่ไม่เท่ากันยื่นออกมาสามปุ่ม

          “ไปกันต่อเถอะ เราเสียเวลามามากแล้ว”   ชายชราขึ้นมาลอย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของเซร่าที่ขณะนี้
เหมือนจะเริ่มยอมรับถึงจุดประสงค์ในการหนีครั้งนี้แล้ว   และเมื่อท่านหญิงพยักหน้าน้อย ๆ เป็นการตอบรับ 
ท่านผู้เฒ่าก็ออกเดินนำหน้าอีกครั้ง

**********************************


          “ท่านจูเลีย  อย่าไปเลย”  หญิงชราผู้ทำคลอดเอ่ยขึ้น   โดยมีหญิงสาวเยาว์วัยที่มองเห็นได้ชัดจาก
เครื่องแต่งกาย ว่านางเป็นเพียงสาวใช้ยืนทำหน้ากระวนกระวายอยู่ใกล้ ๆ

          “ปล่อยข้าไปเถอะ  อย่าห้ามข้าเลย  ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องไป” 

          “แต่… แต่ถ้าท่านร็องดอร์กลับมา พวกเราจะตอบคำถามเรื่องท่านกับท่านชายน้อยได้อย่างไร  เห็นใจ
พวกเราเถอะ ท่านจูเลีย”  หญิงชรายังคงเอ่ยอย่างร้อนรน

          “เพียงแค่ข้าก้าวข้ามผ่านอุโมงค์นี่  ทุกอย่างก็จบสิ้น  ข้ากับลูกจะได้มีชีวิตใหม่อยู่กันตามประสาแม่ลูก
อย่างมีความสุข เห็นใจข้าเถอะ อย่ารั้งข้าไว้เลย”     จูเลียกอดลูกน้อยแนบอก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้อง 
ขณะนี้นางกำลังยืนอยู่หน้าปากทางเข้าอุโมงค์เพื่อไปยังโลกอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์  โลกที่ทุกคนใน
พาร์ตรีไดส์เชื่อว่า เป็นโลกที่สับสนวุ่นวาย โลกธรรมดาที่ต้องใช้ชีวิตดิ้นรนต่อสู้มากกว่าการใช้ชีวิตอยู่ใน
พาร์ตรีไดส์ ไม่มีใครในพาร์ตรีไดส์อยากไปที่อยู่ที่โลกนั่น  ถ้าเกิดมีใครสักคนในสามดินแดนคิดจะไปอยู่
โลกนั่น  จะต้องโดนมองอย่างดูถูก เสมือนเป็นพวกเสียสติไปแล้วแน่แท้

          “ท่านจูเลีย  คิดดูให้ดีอีกครั้ง  ท่านจะพาท่านชายน้อยไปยังโลกที่ไม่รู้จักเช่นนั้นหรือ  ท่านไม่กลัว
หรือว่าจะต้องเผชิญเรื่องโหดร้ายใด ๆ บ้างในโลกอีกฝั่งนั่น  ที่นั่นท่านจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครคอย
ช่วยเหลือท่านเหมือนที่นี่นะ ท่านจูเลีย  คิดดูให้ดี”  หญิงชรายังคงเกลี้ยกล่อมต่อไป

          “ข้า… ข้าตัดสินใจแล้ว”  พูดจบนางก็หมุนตัวกลับ  สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะก้าวเดินช้า ๆ เข้าไป
ในอุโมงค์

          “จะไปไหนกัน”  เสียงทุ้มใหญ่ดังขึ้นมา  ทำให้ทั้งหญิงชรา สาวใช้ และจูเลียต้องหันกลับไปมอง

          “กองลาดตระเวน~!”    หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ  เมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าขณะนี้มีกองทหาร
ของร็องดอร์กว่าห้าสิบนาย เป็นหน่วยที่รับผิดชอบในการลาดตระเวนรักษาความสงบในทางสายหมอก ป้องกัน
ไม่ให้ผู้ใดใช้เส้นทางโดยไม่ได้รับอนุญาต  ทหารเหล่านี้คัดเลือกจากพวกที่ชอบใช้กำลัง  และมีพฤติกรรม
ป่าเถื่อน  ส่วนมากแล้วหากใครถูกพวกนี้จับตัวได้มักจะถูกรุมทำร้ายจนตายก่อนจะได้ส่งตัวเข้าสู่ปราสาท
เพื่อตัดสินความผิด   แต่หญิงชราไม่คาดว่าในช่วงเวลานี้ที่ท่านร็องดอร์กำลังทำศึกครั้งใหญ่ จะมีกองกำลัง
ลาดตระเวนเหลืออยู่  นางคิดว่ากองกำลังทั้งหมดน่าจะไปร่วมทำศึกกับท่านร็องดอร์  เนื่องจากเป็นศึกที่ต้อง
ต่อสู้กับผู้ใช้เวทจึงต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก  นางไม่อยากให้นายหญิงของนางต้องถูกจับโดยเจ้าพวกนี้เลย
ถึงท่านจูเลียจะเป็นนายหญิงของแลนด์เดียร์ว่าในขณะนี้  แต่การคิดพาท่านชายน้อยหลบหนีก็เป็นเรื่องใหญ่
เช่นกันตำแหน่งนายหญิงคงช่วยอะไรไม่ได้มาก  เมื่อเทียบกับความผิดในการพาทายาทเพียงหนึ่งเดียวหนีไป 
คิดได้เช่นนั้นหญิงชราก็หันกลับไปทางอุโมงค์แล้วตะโกนด้วยความร้อนรน  “รีบไป  รีบหนีไปท่านจูเลีย  รีบวิ่งไป”

          “จับตัวไว้ให้หมดทุกคน”  หัวหน้ากองลาดตระเวนตะโกนสั่งลูกน้อง

          “อย่า..”  หญิงชราและสาวใช้ ต่างขวางทางไว้ไม่ให้เหล่ากองลาดตระเวนเข้าถึงตัวจูเลีย  จนทำให้นาง
สามารถวิ่งหนีเข้าไปในอุโมงค์จนหายลับสายตาไป

          “พวกเจ้ากำลังทำอะไร  นั่นมันท่านจูเลียมิใช่หรือ”  หัวหน้ากองลาดตระเวนตะคอกถามหญิงชรา

          “อย่าพูดมากเลย หากจะจับข้าไปลงโทษก็รีบไป”  หญิงชราตอบกลับห้วน ๆ

          “จับทั้งสองคนไปไว้คุกใต้ดิน  รอท่านร็องดอร์กลับมาจัดการ”  หัวหน้ากองลาดตระเวนออกคำสั่งด้วย
ความโมโหที่พลาดทำให้นายหญิงของผู้ยิ่งใหญ่แห่งแลนด์เดียร์ว่าในขณะนี้หนีออกไปอีกโลกหนึ่งได้  หาก
ท่านร็องดอร์กลับมาแล้วรู้ว่าพวกมันทำงานผิดพลาดครั้งใหญ่  พวกมันต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้าง  ไม่อยาก
จะคิดเลยจริง ๆ

          “ท่านหัวหน้าครับ  มีคนสองคนกับมังกรหนึ่งตัวกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ครับ”

         “ทุกคนหาที่พรางตัว ล้อมจับไว้ให้ได้”  หัวหน้ากองลาดตระเวนสั่ง ก่อนที่ทุกคนจะค่อย ๆ สลายตัว
จากกลุ่ม  ไปแอบอยู่สองข้างทางเพื่อรอผู้มาเยือน

         “ที่นี่ล่ะ ท่านหญิง  แค่ท่านข้ามผ่านอุโมงค์นี่ไป ท่านก็ปลอดภัย”  ผู้เฒ่าเอสโทสบอกกับเซร่าและนีย์

          “แล้วเราจะได้กลับมาเมื่อไหร่ล่ะ  เรารอที่นี่ไม่ได้หรือ หากไม่เกิดเหตุร้ายแรงดังที่ท่านแม่คาดการณ์
เราจะได้ไม่ต้องไป”  นางต่อรอง

          “ไม่ได้หรอกท่านหญิงเซร่า  ท่านต้องไป  แล้วเมื่อถึงเวลา ท่านจะรู้เอง  ที่โลกนั่นท่านอาจใช้เวทมนตร์
ไม่ได้เหมือนที่นี่ แต่สัญชาตญาณของชาวเฮเวนน่าจะติดตัวท่านไปเสมอ”

          “ท่านหญิงของเฮเวนน่าหรือนี่”  เสียงของหัวหน้ากองลาดตระเวนดึงความสนใจของทั้งสามที่กำลัง
พูดคุยกันอยู่ให้หันกลับมามอง “ทุกคนล้อมจับไว้ให้ได้    ฮึ…ฮึ…  ท่านหญิงคนสวย  ท่านเป็นเหมือนนางฟ้า
ของพวกเราจริง ๆ”   ตอนนี้กองกำลังทั้งหมดต่างกระเหี้ยนกระหือรือต้องการจับท่านหญิงแห่งเฮเวนน่าให้ได้ 
อย่างน้อยเพื่อลบล้างกับความผิดที่ปล่อยให้นายหญิงและท่านชายน้อยหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย  ถึงแม้
อาจจะไม่ช่วยให้ได้รับการยกโทษได้ทั้งหมด แต่ก็น่าจะผ่อนหนักเป็นเบาได้

          “ไปเถอะท่านหญิงเซร่า  ท่านไม่มีทางเลือกแล้ว”  ผู้เฒ่าเอสโทสกระซิบเบา ๆ  “นีย์ อุโมงค์นั่น  พานาง
เข้าไป ฝากท่านหญิงด้วย”   ก่อนที่เขาจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับหัวหน้ากองลาดตระเวน 

          ท่านผู้เฒ่าใช้มือขวาจับไม้เท้าชูไปข้างหน้า  ที่หัวไม้เท้าซึ่งประดับด้วยลูกแก้วใสขนาดย่อม ๆ ส่องแสง
เป็นประกายจาง ๆ  ออกมาแล้วค่อย ๆ เปล่งรัศมีเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ  ตามอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่าน  ทำให้เหล่า
กองลาดตระเวนเกิดอาการชะงักไม่กล้าเข้าจู่โจม  นีย์ซึ่งตอนนี้มีร่างของเซร่าปีนขึ้นไปนั่งบนส่วนหลัง
พ่นลูกไฟขนานย่อม ๆ ใส่กองลาดตระเวนที่ขวางทางเข้าอุโมงค์ไว้เพื่อเปิดทาง  ก่อนจะขยับปีกบินหาย
เข้าไปในอุโมงค์อย่างง่ายดาย   ท่านผู้เฒ่าเมื่อเห็นว่านีย์และเซร่าผ่านเข้าอุโมงค์ไปได้แล้วก็หมดห่วง 
แสงรัศมีจากลูกแก้วเริ่มจากหายไป   เหล่ากองลาดตระเวนเริ่มถาโถมเข้าหา  เขาชี้ไม้เท้าไปข้างหน้าก่อนจะ
หมุนตัวเป็นวงกลม บรรดากองลาดตระเวนที่ดาหน้าเข้ามาล้มระเนระนาด   และเมื่อเขาร่ายเวทเพียงสั้น ๆ
สองสามคำ  พวกมันทั้งหมดต่างยืนตัวแข็งทื่อกระดุกกระดิกไม่ได้เพราะมนต์สะกด “ข้าไม่อยากจะทำร้าย
พวกเจ้า  มีงานใหญ่นักรอข้าอยู่”  ผู้เฒ่าเอสโทสเอ่ยให้ได้ยินทั่วกัน  ก่อนจะร่ายเวทเบา ๆ  ร่างเขาก็หายวับไปทันที

*********************************


           “ยอมแพ้ซะดีกว่า  ราชินีเซ็นย่า ข้าว่าท่านไม่ไหวแล้วนะ”

          “ไม่…ไม่มีทาง”  นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระโหย  ร่างนางขณะนี้แทบทรงตัวไม่อยู่  ทั่วบริเวณ
จตุรัสประลองเวทมีร่องรอยเสียหายจากการต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด  มีควันพวยพุ่งขึ้นเป็นหย่อม ๆ จากการ
เผาไหม้ด้วยแรงระเบิดในการต่อสู้  ฟอนส่งเสียงร้องด้วยทำนองสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนเสียงเพลงดังแว่ว ๆ มา
จากการบินวนเวียนอยู่รอบนอกไกล ๆ  เหมือนกำลังส่งกำลังใจให้กับนางเพื่อต่อสู้กับศัตรูตรงหน้าต่อไป

          การต่อสู้ยาวนานที่ผ่านมาทิ้งร่องรอยการบาดเจ็บให้กับทั้งสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด ต่อาจเป็นเพราะ
ความแข็งแรงของเพศชายที่มีมากกว่าเพศหญิง  หรืออาจจะเป็นเพราะในเฮเวนน่ามีแต่ความสงบสุขมา
ยาวนาน ทำให้ผู้คนในเฮเวนน่าร้างราการใช้เวทเพื่อการต่อสู้มาพอสมควร  เมื่อขาดการฝึกฝนก็ทำให้
อ่อนแรงลงไปได้ง่ายเช่นกัน  ต่างจากกองทัพผู้รุกรานที่มีปณิธานแน่วแน่แล้วว่าต้องมาทำการต่อสู้กับ
ผู้ใช้เวท  มีการฝึกซ้อมและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี  เลยทำให้สภาพของนางกับร็องดอร์ในขณะนี้
แตกต่างกันพอสมควร  เพราะถึงเขาจะได้รับบาดเจ็บไปไม่ใช่น้อย แต่ยังแข็งใจยืนสู้อยู่ได้อย่างไม่
สะทกสะท้านผิดกับนางที่ตอนนี้ยังไม่ตัดสินใจใช้ทางเลือกสุดท้ายที่คิดไว้ เหมือนจะรอคอยอะไรบางอย่าง

          “ท่านราชินี ท่านราชินี ท่านทำอะไร ทำไมข้าเข้าไปไม่ได้” น้ำเสียงกระวนกระวายดังขึ้นใน
โสตประสาทของราชินีแห่งเฮเวนน่า  ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ บนวงหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลจากการต่อสู้ 
เมื่อได้รับรู้ถึงเสียงนั่น

          “เรียบร้อยใช่หรือไม่  ท่านผู้เฒ่า” นางส่งความคิดตอบกลับไปยังเจ้าของน้ำเสียงกระวนกระวายนั้น

          ครูเอลรีบเดินเข้าไปหาร็องดอร์  พร้อมกระซิบอะไรบางอย่าง  เมื่อเขาพูดจบร็องดอร์ก็ใช้สายตา
กวาดมองไปยังต้นไม้ใหญ่รอบ ๆ ซึ่งปลูกไว้เป็นเสมือนอาณาเขตของจตุรัสประลองเวท  จนกระทั่งสายตา
จับจ้องไปยังร่างสีขาว ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของราชินีเซ็นย่า ก่อนจะแสยะยิ้ม
แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

          “ถึงกับต้องเรียกคนช่วยแล้วหรือท่านราชินีผู้ทรงเกียรติ  ถ้าระดับท่านยังสู้ข้าไม่ได้ท่านคิดว่ามีใคร
ในเฮเวนน่าที่จะต่อกรกับข้าได้อีกหรือ”

          “ท่านราชินี ให้ข้าเข้าไป ข้าจะเข้าไปช่วยท่านอีกแรง” ผู้เฒ่าเอสโทสส่งกระแสจิตกลับไปอีกครั้ง
ด้วยความกระวนกระวายยิ่งกว่าครั้งก่อน  เมื่อตระหนักได้ว่าท่านราชินีแห่งเฮเวนน่ากำลังจะทำอะไร

         “ส่งกระแสจิตคุยกันงั้นรึ”  ร็องดอร์สบถออกมาเบา ๆ  อย่างไม่สบอารมณ์  เมื่อเริ่มรู้สึกถึงความเงียบ
ของฝ่ายตรงข้าม และเมื่อเขาลองตั้งสมาธิให้ดีก็พบว่าในความเงียบยังคงรู้สึกถึงการใช้พลังอย่างต่อเนื่อง
แต่ถึงเขาจะตั้งสมาธิมั่นเพียงใดก็ไม่สามารถได้ยินการสื่อสารนั้นได้  หากเป็นคนที่มีระดับเวทอ่อนกว่า 
การลอบอ่านการส่งกระแสจิตสามารถกระทำได้โดยง่ายนัก 

           “หากทุกอย่างเรียบร้อยตามที่คิดไว้ ข้าก็หมดห่วง  เห็นทีข้าต้องลงมือแล้ว”   นางส่งกระแสจิต
ตอบกลับไปยังชายชราก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ และบอกกับตัวเองว่าการต่อสู้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว 
ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามที่คาดหมายไว้  นางจะยอมเสียสละใช้เวทโบราณระเบิดตัวเองปิดผนึกเมือง
จากผู้รุกรานทั้งหลาย  และดินแดนแห่งนี้คงต้องรอผู้กอบกู้  รอทายาทผู้มีสิทธิ์และบารมีกลับมาเพื่อฟื้นคืน
เฮเวนน่าให้กลับมาสงบสุขเช่นเดิม 

          “ให้ข้าเข้าไป  ท่านราชินี ให้ข้าเข้าไปช่วยท่าน   อย่า… อย่าเพิ่ง ได้โปรด ท่านราชินี”
 
         “ลาก่อน ท่านผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า  ลาก่อนดินแดนแห่งข้า” นางตะโกนเสียงดัง  ทำให้ร็องดอร์ถึงกับ
ชะงัก ตกตะลึงเหมือนรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น    “อินแคนซับโมเลี่ยน” หลังถ้อยคำแห่งเวทของนางจบลง 
ดแสงหกสีพวยพุ่งออกจากร่างของนางส่องไปทั่วบริเวณจตุรัสประลองเวท  ลมพายุกรรโชกแรงพัดหอบ
กลุ่มควันฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แต่ไม่อาจกลบแสงจากตัวนางได้  ท้องฟ้าปั่นป่วน ส่งเสียงร้องคำรามก้อง 
แขนของนางกางออกก่อนที่ร่างของนางจะค่อย ๆ เอนตัวหงายไปข้างหลังช้า ๆ และลอยสูงขึ้น ร่างของนาง
ที่นอนหงายขนานกับพื้นดินเริ่มหมุนวน ส่งผลให้แสงสีทั้งหกวูบวาบไปตามแรงหมุนนั้น  เสียงร้องของฟอน
ดังแว่วมาเบา ๆ ก่อนจะได้ยินชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามแรงหมุน  ยิ่งร่างของนางหมุนวนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ 
เสียงร้องของฟอนก็ดังมากขึ้นเท่านั้น แต่เสียงที่เคยไพเราะดังดนตรีเสนาะหู กลับกลายเป็นเสมือนบทเพลง
แห่งความโศกเศร้า  ท่วงทำนองโหยหาบาดลึกอารมณ์ของผู้ได้ฟัง   แสงทั้งหกเริ่มคละเคล้าจนแยกไม่ออก
ว่าสีใดเป็นสีใดบ้างในที่สุดก็เกิดแสงสว่างจ้าสีขาวบาดตากลบทุกอย่างจนมองไม่เห็นสิ่งใด

************************


            “เกิดอะไรขึ้น  เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้นคะ”  ซายน์ลุกขึ้นยืนถามด้วยน้ำตาที่ไหลพราก เสียงนั่น 
บทเพลงนั่นยังคงติดหู เธอยังรู้สึกเหมือนฟอนยังคงส่งเสียงอยู่ใกล้ ๆ

            แซนด์ซบหน้าลงบนฝ่ามือที่กางอยู่บนโต๊ะพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เจย์นั่งนิ่งกับสิ่งที่
ได้รับรู้ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง  เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป เวทมนตร์
การต่อสู้ ภาพคนบาดเจ็บล้มตาย ทุกอย่างเกิดขึ้นที่นี่ โลกที่เขากับพี่น้องคู่หนึ่งตัดสินใจก้าวเข้ามา 
แม้กระทั่งราฟาเอง ถึงจะเป็นคนที่นี่ แต่ตอนที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นเขาก็ยังเด็กอยู่มาก  ภาพที่เขาได้เห็น
ในวันนี้  ทำให้เขาถึงกับตกอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว  พยายามหลับตาข่มอารมณ์ทำจิตใจให้สงบ

         แต่ถ้ามีใครสักคนสังเกตอาการของท่านผู้เฒ่าในขณะนี้ จะเห็นว่าท่านกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
มีแววตื่นตระหนกในสีหน้า  เหมือนมีอะไรที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้น ก่อนจะตวัดสายตามองไปที่เจย์
แววตาแสดงอาการแปลกใจ ตื่นเต้น และหวาดกลัวไปพร้อม ๆ กัน อย่างเห็นได้ชัด  “ข้า… ข้าว่า  วันนี้
พอแค่นี้เถอะ ทุก ๆ คนไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า”  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยตะกุกตะกัก โดยที่สายตายังคงจับจ้อง
ไปที่เจย์ไม่วางตา

          “แต่….  แต่….”  ซายน์ลังเล  เพราะยังอยากจะรู้เรื่องทั้งหมด ไม่ได้อยากพักผ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว 
แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่ท่านผู้เฒ่ามองตอบกลับมา ก็ทำให้เธอชะงักคำพูดไว้เพียงแค่นั้น กลั้นเสียง
สะอื้น  หันไปมองพี่ชายเพื่อดูท่าทีว่าจะทำยังไงกันต่อไป ก็พบว่าขณะนี้ราฟาลุกขึ้นยืนเหมือนจะเป็น
คนนำทางคณะผู้กอบกู้ทั้งหมดไปยังห้องพัก แซนด์และเจย์ลุกขึ้นยืน  แล้วทั้งสามก็เดินตามราฟาไป

          “ท่านผู้เฒ่า  ท่านมีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”  นีย์เอ่ยถามขึ้นทันทีเมื่อเด็ก ๆ ทั้งสี่ลับหายไปจาก
สายตา  อันที่จริงเจ้ามังกรก็ไม่ได้สังเกตปฏิกิริยาของท่านตั้งแต่แรก เพียงแต่น้ำเสียงที่ท่านบอกให้ทุกคน
ไปพักผ่อน รวมถึงสายตาที่จ้องมองไปที่เจย์ในขณะที่พูดทำให้มันเกิดความรู้สึกแปลก ๆ กับน้ำเสียงและแววตานั้น
 
          “เรื่องที่ข้าไม่เคยรู้มาก่อน  มันเป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยรู้มาก่อนจริง ๆ “

          “ท่านกำลังหมายถึงอะไร”   นีย์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

          “เหตุการณ์เมื่อสักครู่  บุตรชายของร็องดอร์  ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

          “ข้าไม่เข้าใจ  แล้วทำไมอยู่ ๆ เราถึงเห็นภาพนั่นได้ล่ะ ถ้าท่านไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นเรื่องนี้ พวกเราทั้งหมด
ก็ไม่น่าจะเห็นภาพเหล่านั้นได้”

          “วงจรเชื่อมต่อ”  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ  และเมื่อเห็นว่านีย์ยังคงมีอาการไม่ต่างไปจากเดิม  ยังคิด
ไม่ออกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านจึงขยายความต่อ  “เรื่องราวต่าง ๆ ของเฮเวนน่าที่ทุกคนเห็น
เมื่อครู่นี้ เป็นเพราะเวทที่ข้าใช้ให้บังเกิดภาพมายาให้พวกเจ้าได้เห็น แต่ตามปกติแล้วจะไม่สามารถก้าวก่าย
ไปดูภาพเหตุการณ์ของผู้อื่นได้ ถ้าไม่มีอะไรมาเชื่อมต่อ อย่างเช่นเหตุการณ์ในจัตุรัสประลองเวทการต่อสู้ใน
ช่วงแรก ถึงข้าไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ข้าคาดว่าที่เราสามารถเห็นได้อาจเป็นเพราะสร้อยที่ท่านราชินีเซ็นย่ามอบให้
ผู้กอบกู้ ทำให้วงจรการเชื่อมต่อสมบูรณ์  และเมื่อคิดทำนองเดียวกัน การที่เราเห็นภาพการกำเนิดบุตรของร็องดอร์
ก็ต้องมี ‘ใคร’ เป็นวงจรเชื่อมต่อเหตุการณ์นั่น “  ท่านผู้เฒ่าพูดเน้นคำว่าใครเพื่อกระตุ้นให้นีย์ได้คิด

          “ใคร...นี่ท่านคิดว่ามีใครในที่นี้เป็นสื่ออย่างนั้นเหรอ”

          “เด็กอีกคนที่ติดตามพวกเจ้ามาด้วย   เจ้ารู้จักเขามากน้อยแค่ไหน”  ท่านผู้เฒ่าถามพลางจ้องตานีย์
เหมือนกำลังรอคอยคำตอบ

          “นี่... นี่... ท่านคงไม่คิดว่า......”  นีย์ตกใจ ส่งเสียงดัง เมื่อคิดขึ้นมาว่าเจย์อาจจะเป็นเด็กชายคนนั้น 
เด็กชายที่มีแม่หอบหิ้วหนีเข้าอุโมงค์ก่อนหน้าเขากับเซร่าเพียงชั่วระยะเวลาห่างกันไม่นาน

          “ข้าเกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น   และบัดนี้เขาก็ได้กลับมายังดินแดนเกิดของเขาแล้ว”

***************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น