นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 24 การลอบสังหาร

 

 

           เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง  แต่หญิงชราคนนั้นยังไม่ไปไหน สายตายังคงจับจ้องตรงมาที่เดิม ซายน์พยายาม
หันซ้ายหันขวามองคนอื่น ๆ ในร้านเผื่อจะเป็นใครคนอื่นที่หญิงคนนั้นกำลังสนใจ แต่ก็ไม่เห็นความเป็นไปได้
ในเมื่อโต๊ะอื่น ๆ ที่ได้อาหารแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารับประทาน  ส่วนโต๊ะไหนที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ  ต่างก็พูดคุย
กันตามปกติ   เธอหันกลับไปมองยังถนนหมายเลขสี่อีกครั้ง แต่....หญิงชราหายไปแล้วมีเพียงชาวเมืองสามสี่คน
ที่กำลังเดินสวนทางเข้าออกไปบนถนนแห่งนั้น

          “องค์ราชินี   องค์ราชินี”

          “เกรซเน่ว่าอะไรนะคะ”  ซายน์ถามกลับไปหลังจากได้ยินเสียงเรียกแว่วมา

          “เปล่านี่คะ  คุณหนู”  หญิงรับใช้ส่วนตัวตอบกลับมาแบบงง ๆ  พร้อมกับหันไปมองหน้าโฟร์ท

          “เราสองคนกำลังคุยกันเรื่องอาหารกับสมุนไพรต่าง ๆ กันอยู่  สงสัยซายน์จะหูแว่วไปนะคะ”

          ซายน์ส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้ทั้งคู่เหมือนเป็นการขอโทษที่ไปขัดจังหวะการสนทนาเข้า  “องค์ราชินี  องค์ราชินี”
เสียงนั่นแว่วขึ้นมาอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้เธอพอจะรู้แล้วว่ามันมาจากที่ใด เพราะทันทีที่เธอมองออกไปยังถนนหมายเลขสี่
เธอก็เห็นหญิงชราคนนั้นอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้นางกำลังจะเดินหายเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ สายหนึ่ง  และกำลังเหลียวหน้า
จ้องมองมาพร้อมส่งสายตาที่เธอแปรความได้ว่าให้ตามนางไป  ไวเท่าความคิดซายน์ลุกขึ้นและบอกกับสองคนที่กำลัง
พูดคุยกันอย่างออกรสว่าเธอจะออกไปซื้อผลไม้สีแดงอมส้มที่เธอหมายตาไว้มาลองชิม โดยห้ามไม่ให้ทั้งคู่ตามออกไป
ให้เอิกเกริกจะรีบซื้อและรีบกลับมาโดยเร็ว  และเธอก็ต้องห้ามเช่นนี้อีกครั้งกับทหารองครักษ์สองนายที่ยืนอารักขา
อยู่หน้าร้าน

          หลังจากหลบออกมาจากร้านและแกล้งเดินตรงไปเลือกดูผลไม้ได้ครู่เดียว  ซายน์ก็อาศัยความจอแจของ
ชาวเมืองเป็นที่กำบังสายตาขององครักษ์และหญิงสาวสองคนในร้าน  รีบวิ่งตรงไปยังถนนหมายเลขสี่และเลี้ยวเข้า
ไปในตรอกเล็ก ๆ ที่หญิงชราคนนั้นหายเข้าไปโดยเร็ว

          ความพลุกพล่านของโซนน้ำพุหายไปทันควันเหมือนได้ก้าวผ่านมายังอีกโลกหนึ่งแทบจะทันทีที่ก้าวขาเข้า
ตรอกเล็ก ๆ นี้มา  ความเงียบสงบกับบ้านเรือนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา  แต่ทุก ๆ สี่ถึงห้าหลังก็ยังจะมีการแบ่งช่องว่าง
เป็นตรอกเล็ก ๆ  เหมือนเคย  ซายน์เดินตรงลึกเข้าไปเรื่อย ๆ พร้อมกับนึกสงสัยว่าเจ้าตรอกมากมายพวกนี้คงจะทะลุ
ถึงกันได้หมดทั้งหมู่บ้านกระมัง   และหากหลงทางไปแม้แต่นิดเดียวมันก็คงจะเป็นเหมือนเขาวงกตดี ๆ นี่เอง  ในเมื่อ
บ้านทุกหลังสร้างเหมือนกันหมดจนยากที่จะแยกแยะได้

          “ท่านยายคะ... ท่านยาย...  อยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ”  ซายน์พยายามร้องเรียกหาหญิงชราคนนั้น  แต่บรรยากาศ
ก็ยังคงเงียบเชียบเช่นเดิมจะมีก็แต่เสียงของเธอที่ก้องสะท้อนกลับมา ความเงียบจนผิดปกตินั้นทำให้เธอเริ่มรู้สึก
หวาดวิตกขึ้นมาเล็กน้อย  และเมื่อลองร้องเรียกอีกสองสามครั้งแต่ทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นเดิม เธอก็ตั้งใจจะหันหลัง
กลับไปยังร้านอาหาร และเพิ่งได้คิดว่าป่านนี้ทั้งสองคนในร้าน รวมถึงสองนายทหารนั่นอาจกำลังตามหาเธอให้ขวัก

          แต่ทุกอย่างมันไม่ง่ายเหมือนดั่งที่คิด   เพราะทันทีที่เธอหันหลังกลับ  ท้องฟ้าที่สว่างสดใสกลับมืดครึ้มประดุจ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว  มีลมพัดรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นป้องตาเพื่อป้องกันฝุ่นทราย  เธอพยายามเดินฝ่า
ลมแรงดั่งพายุนั่น และยังคิดในแง่ดีว่านี่อาจเป็นหนึ่งในความแปรปรวนของสภาพอากาศที่ขาดการควบคุม 
คำบอกเล่าของหญิงรับใช้ส่วนตัวแวบขึ้นมาในความคิด  แสงแดดร้อนแรงกล้าที่แผดเผา   จู่ ๆ ไม่บอกกล่าวอาจ
เกิดพายุฝน  เพียงพริบตาเหมันต์อาจผ่านพ้น  ชั่วฟ้าหม่นกลับสดใสด้วยไอตะวัน”
  แต่ความคิดของเธอก็ต้อง
สะดุดลงเมื่อรู้สึกถึง “อะไร”  สักอย่างที่ขวางอยู่ข้างหน้าไม่ไกล  ความมืดและลมแรงทำให้เธอมองเห็นได้ไม่ชัดนัก 
แต่สัญชาติญาณบอกให้เธอต้องเตรียมพร้อม  ขาของเธอหยุดก้าวเดินและตั้งมั่นพร้อมรับกับสถานการณ์ที่กำลังจะ
เกิดขึ้น

          จนเมื่อ “อะไร”  ที่เธอรู้สึกเมื่อสักครู่ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ  จนเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และใกล้เข้ามาจนอยู่ใน
ระยะที่สายตาพอจะมองเห็นได้  เธอก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ  คลายความระแวดระวังที่เขม็งเกลียวลง

          “ท่านยายอยู่นี่เอง  รีบไปหาที่หลบกันเถอะค่ะ  สงสัยกำลังจะมีพายุ”

          แต่เมื่อเธอเดินใกล้เข้าไปอีกสามสี่ก้าวความผ่อนคลายที่เคยรู้สึกนั้นก็หายไป กลับมีความตื่นตัวเข้ามาใหม่
เพราะเมื่อได้มองหญิงตรงหน้าชัด ๆ อีกครั้ง นางไม่ใช่หญิงชราในแบบที่เคยเห็นบนถนนหมายเลขสี่  ผมยาวสีเทา
ที่กำลังปลิวไสวไร้ทิศทางเพราะแรงลมดูสะบัดพลิ้วเพราะพลังอำนาจบางอย่าง ดวงตาสีขาวขุ่นจนแทบจะไม่เห็น
ตาดำทำให้ดวงหน้าที่เหี่ยวย่น ดูน่าหวาดกลัวและน่าเกรงขามไปพร้อม ๆ กัน  หลังที่เคยงองุ้มกลับยืดตรงได้อีกครั้ง
แม้กระทั่งไม้เท้าที่ใช้พยุงร่างกายกลับดูใหญ่โตและแข็งแกร่งยิ่งนัก

          ซายน์ชะงักกับภาพตรงหน้า  และตั้งใจจะรักษาความปลอดภัยของตัวเองด้วยการก้าวถอยหลังช้า ๆ แต่ยัง
ไม่ทันได้ลงมือทำตามที่ตั้งใจ  เสียงนั่นก็ดังอีกครั้ง  เสียงที่เธอรู้ว่ามาจากร่างของคนตรงหน้า แม้นางจะไม่ขยับปาก
แม้แต่นิดเดียว

          “องค์ราชินี   องค์ราชินี”

          “ทะ...ท่าน  เข้าใจ  ผิด แล้ว  ข้า  มิใช่  องค์... องค์ราชินี”

          “จงรีบจรลีไปจากเฮเวนน่า”

           “ทะ...ท่าน  จะ  จะ  ให้ข้า  ไปไหน”

          “ณ วันนี้ยังไม่ถึงเวลา”

          “ขะ..ข้า  ไม่เข้าใจ”

          “หากชักช้า ความอัปราจะมาเยือน”

           “เอ๊ะ !!”   ยังไม่ทันที่ซายน์จะได้เอ่ยอะไรต่อ  ลมที่เคยพัดแรงดั่งพายุกลับหยุดหายไปเฉย ๆ เธอแหงนหน้า
มองท้องฟ้าที่กลับมาสดใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยความประหลาดใจ  และเมื่อเธอหันกลับมามองยังร่างของหญิง
ตรงหน้าอีกครั้ง ก็ทำให้เธอถึงกับงงงัน พูดไม่ออกเหมือนเพิ่งเจอฝันร้ายมาหมาด ๆ เพราะคนตรงหน้ากลับมาเป็น
หญิงชราคนเดิมที่กำลังหันหลังเดินจากไปช้า ๆ

*****************************


            ทันทีที่ซายน์ตั้งสติได้ และตั้งใจจะรีบออกไปให้ไกลจากตรอกนี้โดยเร็ว  ก็ปรากฏร่างของชายรูปร่างกำยำ
บึกบึนสี่คนยืนล้อมหน้าล้อมหลังเธอไว้  และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สู้ดีนัก   หญิงสาวในวงล้อมหมุนตัวมองไปยังบุรุษ
ทั้งสี่อย่างระมัดระวัง  ชายตรงหน้าอยู่ในชุดสีดำปักอักษรตัว S สีน้ำเงินขนาดใหญ่ไว้ตรงหน้าอกด้านซ้ายและมี
ผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินเข้มซึ่งมีตัวอักษรแบบเดียวกันปักอยู่กึ่งกลางหน้าผาก  

          “พวกท่านต้องการอะไร  ข้าไม่มีสิ่งของมีค่าอะไรจะให้หรอกนะ”  ซายน์แข็งใจถามออกไปทั้ง ๆ ที่เธอกำลัง
นึกสงสัยยิ่งนักว่าทำไมตัวเองไม่รู้สึกถึงการมาถึงของพวกเขาเหล่านี้เลย

          “ฮึ..ฮึ..   สารรูปของพวกข้าเหมือนโจรกระจอก ๆ ที่ท่านหญิงเคยเจอหรือไงขอรับ”  ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกจะล้อเลียน  

          “ทะ..ทะ..ท่านหญิง  อะไรที่ไหน  ข้าว่าพวกท่านคงเข้าใจผิดแล้วล่ะ”  ซายน์ออกจะตกใจที่ชายแปลกหน้า
เหล่านี้ดูเหมือนจะรู้ฐานะที่แท้จริงของตนเอง  ก่อนที่จะนึกขึ้นว่าคนพวกนี้คงจะเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่ก็เลยเข้าใจว่า
เธอเป็นองค์ราชินีตามที่หญิงชรา (ในภาพลักษณ์ที่ค่อนข้างหน้ากลัว) คนนั้นเรียกเธอ  “พวกท่านคงไม่เชื่อในสิ่งที่
ท่านยายคนนั้นพูดเมื่อสักครู่หรอกนะ”

          “พูดอะไรกันขอรับท่านหญิง  ข้าไม่เห็นว่าท่านหญิงกับยายเฒ่าแมทรีต้าจะเอ่ยวาจาอะไรกันด้วยซ้ำได้แต่
ยืนจ้องกันไปมา แล้วยายเฒ่าสติไม่ดีนั่นก็เดินจากไป”

          “มะ....ไม่ได้ยิน  ก็....ก็คงเพราะลมแรงเหมือนพายุนั่นละซิ”  ซายน์ยังตะแบงออกไปโดยไม่ทันนึกว่าหากเป็น
เช่นนั้นจริง ข้อสังเกตที่เธอคิดไว้ว่าเจ้าพวกนี้รู้ฐานะตัวเองเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่คงจะไม่ใช่เสียแล้ว

          “เลิกเล่นลิ้นโยกโย้ให้เสียเวลาดีกว่าขอรับท่านหญิง  ลมพายุอะไรกันไม่เห็นมีสักนิด  เลิกหาเรื่องชวนคุยให้
เสียเวลา และตามพวกเราไปเสียโดยดี”

          “พวกท่านจะพาข้าไปไหน”

          “ไปถึงแล้วท่านหญิงก็จะทราบเอง”

          “ข้าไม่ไป  ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”  ซายน์รีบตอบปฏิเสธและรู้สึกถึงความอันตรายอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก 
แน่นอนว่าชายทั้งสี่คงมีฝีมือไม่ธรรมดา  ผู้ที่ส่งคนเหล่านี้มาย่อมรู้ดีว่าเธอคือใคร  และคงไม่ต้องการให้งานนี้ผิดพลาด  
ปัญหาสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือเธอจะสู้กับชายทั้งสี่นี่ได้หรือเปล่า  คู่ต่อสู้ที่เรียนรู้การใช้เวทมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย กับ
ตัวเธอที่เพิ่งจะรู้จักพลังของตัวเองมาเมื่อไม่นานนี้เอง แถมตอนนี้เธอก็เหมือนตัวคนเดียวไม่มีใครช่วย ไม่ว่าจะเป็น
พี่ชาย  หรือ... ราฟา     ใช่แล้ว... ถ้าเพียงแต่ตอนนี้มีเขาอยู่ตรงนี้สักคน  เธอคงจะรู้สึกอุ่นใจมากเลยทีเดียว

          “ซาโมนูทีฟ”  เสียงการใช้เวทที่ทำให้คู่ต่อสู้ตัวแข็งดังขึ้นจากชายคนใดคนหนึ่งในสี่คน แต่ซายน์ก็ยังใช้
เวท “รีพูแบ็ก”  เพื่อสะท้อนผลกลับได้ทันซึ่งแน่นอนว่าคู่ต่อสู้ของเธอก็หลบมันพ้นเช่นกัน   หลังจากนั้นเธอก็
โดนรุมด้วยเวทอื่น ๆ จากบุรุษชุดดำทั้งสี่จนหมดโอกาสที่จะตอบโต้ นอกจากจะป้องกันตัวเองได้ด้วยเวทสะท้อนกลับ
เพียงอย่างเดียว   ถึงแม้เวทที่พวกเขาใช้เป็นเวทซึ่งไม่มีความรุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตแต่เธอก็รู้ว่าคงต้านไว้ได้ไม่นาน 
และแล้วเวลาที่เธอกลัวก็มาถึงเมื่อจู่ ๆ ก็ปรากฏเชือกสีขาวเส้นใหญ่มัดตัวเธอไว้ด้วยเวท “ไบน์โรฟ”

          “หมดฤทธิ์แล้วซินะท่านหญิง  พวกเจ้าพานางไป”  

          “ไม่ไป  ข้าไม่ไป”  ซายน์พยายามดิ้นรนเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ  ทั้งเวท “แวนนิช”  สำหรับแก้พันธนาการ
ต่าง ๆ รวมถึงเวท “คัทอ๊อฟ”  เพื่อใช้ตัดสิ่งที่ไม่ต้องการ  ถูกนำมาใช้แต่ก็ไม่เกิดผลใด ๆ เธอเริ่มรู้สึกสิ้นหวังเมื่อ
ชายชุดดำเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ  และนั่นยิ่งทำให้เธอนึกถึงละอองน้ำใส ๆ ของราฟาที่เคยป้องกันทุกคนไว้ 
เพียงแค่มีมันคนพวกนี้คงเข้าไม่ถึงตัวเธอ

          และเหมือนจะสั่งได้ เมื่อจู่ ๆ รอบ ๆ ตัวเธอก็ปรากฏเกราะสีเงินแวววาวเหมือนเมื่อครั้งต่อสู้กับพวกของร็องดอร์
ในสนามหน้าบ้านของท่านผู้เฒ่าเอสโทส  เพียงแต่ครั้งนี้สารที่แวววาวเหมือนปรอทนั่นไม่ได้ห่อหุ้มตัวเธอและยืดหยุ่น
เมื่อถูกสัมผัสอีกแล้ว  มันกลับกางกั้นครอบตัวเธอไว้เหมือนละอองน้ำของธาราเทพไม่มีผิด  และขณะนี้อีกฝั่งนอก
อาณาเขตคุ้มครอง ชายชุดดำทั้งสี่กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อจะผ่านเข้ามาจับตัวเธอให้ได้  ซึ่งภาพตรงหน้าก็พอทำให้
รู้ได้ว่าภารกิจครั้งนี้ของพวกมันคงจะประสบความล้มเหลวอย่างแน่นอน  เพราะแต่ละคนดูหงุดหงิดและโมโหมากเมื่อ
ไม่สามารถทำอะไรกับเกราะสีเงินนี้ได้   และเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น  เธอก็สามารถรวบรวมสมาธิและใช้เวทแวนนิช
จัดการกับเชือกได้อย่างง่ายดาย

         ลำดับต่อมาที่ซายน์เริ่มนึกถึงเมื่อเป็นอิสระจากการถูกพันธนาการก็คือ  ความช่วยเหลือนี้มาจากที่ใด  นี่เป็น
ครั้งที่สองแล้วที่เจ้าเกราะสีเงินนี่มาช่วยเธอไว้  จนกระทั่งเธอสังเกตเห็นว่าในฝ่ามือข้างขวาของเธอปรากฏรูปลูกศร
สีดำขึ้นตรงกลางฝ่ามือ  ลูกศรที่เธอคุ้นตายิ่งนัก  ลูกศรที่เคยเป็นทั้งปลายหางและสิ่งที่ใช้ปลดปล่อยใครคนหนึ่ง
ให้เป็นอิสระ  และเธอก็เหมือนจะได้ยินเสียงของคน ๆ นั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

          “อาวุธที่ระลึกจากข้า”

*****************************


           “ข้ากับโฟร์ทหาแถบนี้จนทั่วแล้วแต่...”  ประโยคที่เหลือหายไปกลับเป็นอากัปกิริยาส่ายหน้าแทนคำพูดที่เหลือ

          “ข้าเดินย้อนกลับไปจนถึงตึกโมนีชั่นแล้ว ก็ไม่เห็นตัวเช่นกัน”

          “น้องคนนี้ มันช่างเล่นอะไรพิเรนท์นัก  แล้วทหารสองคนนั่นล่ะ ยังไม่มารึ”

          “ข้าให้ทั้งสองคนนั่นตรวจดูตามถนนสายต่าง ๆ แล้วครับ ท่านชาย”

         “เออ..จริงสิ~~”  อยู่ ๆ ท่านชายคนเดียวในกลุ่มก็โพล่งออกมาเสียงดัง  จนทำเอาโฟร์ทที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับ
สะดุ้ง  “ข้านี่บื้อชะมัด  เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ ทำไมถึงเพิ่งคิดออกนะ  เท็นซิน เจ้าบอกว่าในปราสาทเราจะใช้กระแสจิต
ถึงกันไม่ได้  แต่ถ้าเราอยู่นอกปราสาทแบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหาใช่มั้ย”

         “ครับท่านชาย”

          “ถ้าเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นแล้วล่ะ”  พูดจบก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านชาย  ก่อนที่
เจ้าตัวจะหลับตาตั้งสมาธิเพื่อสื่อสารกับคนที่ต้องการ “ยัยน้องตัวแสบ  เธออยู่ที่ไหนกลับมาที่โซนน้ำพุเดี๋ยวนี้เลยนะ
รู้มั้ยเขาตามหาตัวกันให้ขวักแล้ว”

*****************************


           “เสียงพี่แซนด์”  หญิงสาวในอาณาเขตคุ้มครองของเกราะสีเงินพึมพำขึ้นมาเบา ๆ  ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานเมื่อรู้
ที่มา และรีบขอความช่วยเหลือทันที “พี่แซนด์ ช่วยด้วย”
 
         
“ซายน์เป็นอะไร  อยู่ที่ไหน รีบบอกมาเร็ว”

          “ถนนหมายเลขสี่  ในตรอกที่สามด้านซ้าย”

           “เอสทรูฟ”  เสียงเข้มขององครักษ์ประจำตัวดังขึ้นด้วยความแปลกใจกับภาพตรงหน้า  เมื่อเห็นชายในชุดดำ
ทั้งสี่กำลังหาทางเจาะเข้าไปในเกราะคุ้มครองสีเงิน  โดยมีศพของสองทหารองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งให้ค้นหาตัว
ท่านหญิงนอนอยู่ไม่ไกลนัก

          และเพราะเสียงของเท็นซิน  ทำให้กลุ่มผู้คุกคามพากันหันมาเพื่อรอประจันหน้ากับกลุ่มผู้มาขัดขวางภารกิจ
อันสำคัญ  ต่างก็เรียกอาวุธประจำตัวซึ่งก็คือดาบโค้งของแต่ละคนมาถือไว้เพื่อรอต่อกร

          แซนด์หันไปมองเท็นซินที่เรียกหอกยาวซึ่งเป็นอาวุธคู่กายขึ้นมา  ก่อนจะขมวดคิ้วเหมือนกับกำลังตัดสินใจ
อะไรบางอย่าง ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาได้เรียนรู้การเรียกใช้อาวุธประจำกายมาบ้างแล้วจากอาจารย์ที่เป็น
องครักษ์ส่วนตัว   แต่มันก็ยังไม่ดีนัก เพราะการเรียกใช้อาวุธแต่ละครั้งต้องดึงพลังส่วนหนึ่งออกมาใช้  ซึ่งเขายัง
ควบคุมพลังส่วนนี้ไม่ดีนัก  อาวุธของเขาแต่ละครั้งที่เรียกออกมาไม่เล็กไปก็ใหญ่ไป  แถมส่วนมากยังไม่เป็นรูป
เป็นร่างและไร้พลังอย่างสิ้นเชิง  “ตั้งสติให้มั่น”  นี่คือสิ่งแรกที่องครักษ์ส่วนตัวบอกเขา  จากนั้นก็ให้นึกถึง
ศาสตราวุธที่จะหลอมรวมมันขึ้นมาจากพลังและจิตใจ  ศาสตราวุธที่ต่อไปจะเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกาย 
และเมื่อนั้นมันจะทรงอานุภาพเต็มที่

          “สปาร์ค  ลานซ์”  สิ้นเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นพร้อม ๆ กับสร้อยข้อมือที่หลอมรวมกับผลึก
รูไทล์ควอตซ์เปล่งประกายแวววับยิ่งขึ้นกว่าเดิม  ก็ปรากฏทวนขนาดพอเหมาะขึ้นบนมือของท่านชายคนใหม่แห่ง
เฮเวนน่า  ทวนที่เหมือนจะมีประจุไฟฟ้าวิ่งวนไหลเวียน และส่งเสียงเหมือนมีอณูแตกตัวดังเปรี๊ยะ ๆ เบา ๆ ตรง
ปลายแหลม ก่อนที่จะมีเสียงดีใจแบบเด็ก ๆ ตามมา  “ได้แล้ว ๆ ข้าเรียกอาวุธประจำตัวได้แล้ว”

          จากนั้นการต่อสู้แบบสี่ต่อสองก็เกิดขึ้น ซายน์ไม่แปลกใจเลยที่เท็นซินจะเคยเป็นถึงหัวหน้าขององครักษ์ใน
ปราสาท  เพราะความคล่องแคล่วและปราดเปรียวในการต่อสู้ทั้งรุกและรับ  หลังจากเช็ดคราบน้ำตาที่หลั่งออกมา
เมื่อตอนเห็นองครักษ์สองคนถูกฆ่าไปต่อหน้าต่อตาจนหมด  เธอเองก็อยากจะออกไปช่วยรับมือชายทั้งสี่ ที่องครักษ์
ส่วนตัวเรียกว่าเอสทรูฟ  แต่เพราะคำร้องขอแกมบังคับจากผู้เจนจัดในการต่อสู้ห้ามไว้ไม่ให้เธอออกมาจากเกราะ
ป้องกัน เพราะเหตุว่าตามสถานการณ์เธอคือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมัน  หากมีเธอมาร่วมวงด้วย แทนที่จะมาช่วย
อาจจะกลายมาเป็นตัวถ่วงเพราะทำให้ต้องพะวักพะวงกับความปลอดภัยของเธอ

          “ช็อกกี้โวลต์” แซนด์ปล่อยกระแสไฟฟ้าพุ่งเป็นแสงแปลบปลาบจากปลายทวนไปยังคู่ต่อสู้สองคนที่ยืน
ประจันหน้าอยู่กับตนเอง  แต่น่าเสียดายที่ชายชุดดำคนแรกสามารถใช้ดาบโค้งพร้อมเวทบางอย่างหักเหกระแสไฟฟ้า
นั้นไปได้  แต่คงต้องบอกว่ามันได้ทำพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย เมื่อกระแสไฟฟ้านั้นกลับไปช็อตพวกมันอีกสองคนที่
กำลังต่อสู้อยู่กับเท็นซินแทน  และตอนนี้เจ้าสองคนนั่นก็ลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น

          แซนด์ตาโตมองผลงานแบบฟลุ๊ค ๆ ของตนเอง  ก่อนจะรู้สึกมั่นใจกับพลังของอาวุธคู่กายในมือมากขึ้น การ
ต่อสู้กลายเป็นสองฝั่ง ๆ ละสองคนยืนประจันหน้ากัน  เวทหลายบทถูกร่ายโต้ตอบกันไปมา  ซึ่งแน่นอนว่าแซนด์มี
ส่วนช่วยเพียงเล็กน้อย เนื่องจากยังมีเวทอีกมากมายนักที่เขายังไม่ได้ฝึกฝนเล่าเรียน  ทวนในมือเขายังคงส่งเสียง
ลั่นเปรี๊ยะเบา ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนจะรอคอยเวลาปลดปล่อย  จนกระทั่งมีจังหวะที่เหมาะสมเขาก็ได้ปล่อย
ช็อกกี้โวลต์เข้าใส่คู่ต่อสู้อีกครั้ง  แต่ครั้งนี้มันไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรก  ทำให้ทั้งสองคนสามารถหลบได้  แต่กระนั้น
ก็ทำให้พวกมันขาดสมาธิไปชั่วแวบหนึ่ง  ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่องครักษ์ส่วนตัวจะใช่ช่องว่างตรงนี้ซัดหอกในมือแทง
ทะลุอกชายชุดดำที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าทีมล้มลงขาดใจตายไปในทันที

          ผู้คุมคามในชุดดำที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวกวาดตามองเพื่อนร่วมทีมที่เป็นศพไปแล้วหนึ่ง และยังคงชักดิ้น
ชักงออีกสอง   เห็นแน่ชัดแล้วว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ก่อนจะตัดสินใจเอาชีวิตรอดเพื่อกลับไป
รายงานผลกับผู้สั่งการ  “มิสตี้”  สิ้นเสียงร่ายเวทเกิดหมอกควันบดบังร่างของมันไว้  และสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว  
แต่...  ไม่มีร่างใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

*****************************


          แย่ที่สุดเลย!!  หายหน้าไปตลอดสองสามวันเพื่อฝึกการเรียกอาวุธประจำตัว แต่ก็ไม่เคยคิดจะชวนกันเลย” 
น้องสาวฝาแฝดบ่นกระปอดกระแปด  หลังจากทำให้เกราะสีเงินหายไป และออกมาเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ทุกคนฟังแล้ว

          “เธอก็เหมือนกันนั่นแหละ  เรียกใช้เกราะคุ้มกันเหมือนราฟาได้ก็ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย”

          “ไม่ได้เรียก”  น้ำเสียงยังคงคุกรุ่นอยู่

           “ไม่ได้เรียกแล้วมันมาได้ยังไงล่ะ  ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว  ที่บ้านของท่านผู้เฒ่าก็ด้วย”

         “ก็บอกว่าไม่ได้เรียกไง  อยู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้นเอง..  เออ..ใช่...”  ซายน์ตั้งท่าจะเถียงต่อก่อนจะนึกขึ้นได้  
“พี่แซนด์   ดูนี่สิ”  พร้อมกับยื่นฝ่ามือข้างขวาที่เธอเคยเห็นลูกศรสีดำปรากฏขึ้นให้พี่ชายดู  แต่บัดนี้มันกลับไม่มี
ร่องรอยอะไรอยู่แล้ว

           “อะไรของเธอล่ะ”

          “ก็.. ก็เมื่อกี้มันยัง...  ลูกศรของคุณรูปปั้นไงพี่แซนด์   เมื่อกี้มันปรากฏขึ้นมาในมือเนี่ย”   ซายน์ชี้ลงไปตรงที่
เคยมีลูกศรปรากฏอยู่  “จำได้มั้ยพี่แซนด์    อาวุธที่ระลึกจากข้า    เป็นไปได้มั้ยว่า.....”

         “จริงสิ...    แสดงว่าเธอรู้วิธีใช้มันแล้วล่ะซิ  ใช่มั้ย”  พี่ชายถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังตื่นเต้น

          “ไม่รู้สิพี่แซนด์  เพราะซายน์ไม่ได้ใช้เวทอะไรเลย   ตอนนั้นเพียงแต่คิดว่าถ้าได้เกราะคุ้มกันเหมือนของราฟา
ก็คงจะดี แล้วจู่ ๆ มันก็ปรากฏขึ้นเอง   เหมือนกับครั้งแรกที่บ้านท่านผู้เฒ่า ตอนนั้นมันกำลังตกใจไม่ทันได้คิดอะไร 
รู้แต่ว่าขอให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน”

          “นั่นแหละ...  แค่ต้องการไงซายน์...แค่เธอต้องการ  ลองดูอีกครั้งสิ”

          ซายน์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อยกับคำสรุปของพี่ชาย  แค่ต้องการเท่านั้นเองหรือ  แค่ต้องการเธอก็จะมีอาวุธ
หรือความคุ้มครองที่พิเศษขนาดนี้เชียวหรือ  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ  ขอให้ปรากฏเกราะนั้นอีกครั้งจะได้มั้ย   เกราะสีเงิน
เหมือนที่เคยเกิดขึ้นที่บ้านท่านผู้เฒ่า

          “ลองสิซายน์  ลองดู”  เสียงพี่ชายกระตุ้นซ้ำ

          “ลองแล้วพี่แซนด์  ซายน์ลองคิดแล้ว  แต่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย”

          “ทำไมเป็นงั้นล่ะ”

          “ค่อยกลับไปคุยกันต่อที่ปราสาทแก้วเถอะครับท่านหญิง  ท่านชาย  เราควรจะรีบไปจากที่นี่เสียที”  เสียง
องครักษ์ส่วนตัวเตือน

          “นั่นสิเจ้าคะ  เรารีบไปกันดีกว่า  อย่าอยู่ตรงนี้นานเลย  บรรยากาศไม่สู้ดีนัก”   เกรซเน่รีบเห็นด้วยกับข้อเสนอ
ของสามี   ก่อนจะเดินไปหยิบกระดิ่งเรียกโฮนี่ที่แขวนไว้หน้าบ้านหลังหนึ่ง  เรียกโฮนี่สองคันเพื่อกลับปราสาทแก้ว

*****************************


           “ลอบสังหารรึ!!”
   น้ำเสียงที่แสดงความฉุนเฉียว จากท่านหญิงซีเวียร์   ทำเอาผู้หยั่งรู้คนใหม่ของเฮเวนน่า
อย่างโคเฟ็น ต้องก้มหน้างุด หลังจากรีบนำข่าวมารายงาน   “ฝีมือของใคร  อย่าบอกนะว่าเป็นท่าน”

          “ข้ามิบังอาจทำเช่นนั้นหรอกท่านหญิง  ท่านก็รู้ถ้าไม่มีคำสั่ง  ข้า.....”

          “ไม่มีคำสั่ง.... ไม่มีคำสั่งอย่างนั้นรึ”  น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น  “อย่าให้ข้าได้ยินท่านพูดเช่นนี้อีกครั้งนะโคเฟ็น
ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะไม่ใช้วิธีนี้อย่างเด็ดขาด”

          “ขอรับท่านหญิง”  ชายร่างใหญ่รีบตกปากรับคำอย่างลนลาน

          “แล้วคนของเจ้ารายงานมาว่าอย่างไรบ้าง”

          “จากข่าวที่ได้รับมารายงานว่าสถานที่แรกที่พวกนางแวะคืออาคารโมนีชั่นเพื่อรับถุงเงินขอรับ ก่อนจะพากัน
เดินเที่ยวชมตลาด  หลังจากนั้นพวกนางก็แวะรับประทานอาหารกันที่ร้านลัคซี่  ก่อนที่ท่านหญิงจะเดินออกมาที่
ร้านผลไม้เพียงลำพัง  แล้วจู่ ๆ ก็ไม่มีใครเห็นนางอีกเลย  จนกระทั่งท่านชายกับเท็นซินตามมาสมทบจึงได้พากัน
ออกค้นหา  และดูเหมือนว่าท่านชายอาจจะใช้กระแสจิตคุยกับท่านหญิงจึงรู้ว่านางอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งของถนน
หมายเลขสี่ ทั้งหมดจึงตามไปช่วยนางไว้ได้ทัน  จากเหตุการณ์นี้เราก็สูญเสียทหารองครักษ์ไปสองนาย  แต่ที่สำคัญ
ก็คือถ้าข่าวที่ข้าได้รับมาไม่ผิดพลาด  ผู้ลงมือครั้งนี้คือพวกเอสทรูฟ”

          “พวกเอสทรูฟอีกแล้วรึ”  น้ำเสียงแผ่ว ๆ มาพร้อมกับสีหน้าหนักใจของท่านหญิงซีเวียร์

*****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น