นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 26 ยายเฒ่าแมทรีต้า

 

 

           ซายน์เดินเรื่อยเปื่อยโดยลำพังไปตามทางเดินในปราสาท  คิดย้อนไปถึงเรื่องที่เพิ่งได้รับฟังมา  กองกำลัง
เอสทรูฟซึ่งสิ้นสุดไปนับแต่บัดนั้น  อยู่ ๆ ก็กลับออกมาอาละวาดในดินแดนเฮเวนน่าอีกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์ใหญ่
เมื่อสิบหกปีที่แล้วนั่น  ช่วงที่ชาวเมืองกำลังต่อสู้กับความยากลำบากในการปรับตัวกับสภาพอากาศ  ความอดอยาก
ขาดแคลนอาหาร   ชายชุดดำในนามกองกำลังเอสทรูฟก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง  เหยียบย่ำซ้ำเติมชาวเฮเวนน่า
ด้วยกันเองโดยการปล้นชิงพืชพันธุ์ธัญญาหารที่มีอยู่เพียงน้อยนิด

          ความคิดของซายน์สะดุดลงเมื่อรู้สึกถึงแสงสีเงินเปล่งประกายจาง ๆ ไกลออกไปในความมืด  และเมื่อเธอเดิน
ใกล้เข้าไป แสงสีเงินนั่นก็เริ่มส่องประกายเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ   จนกระทั่งพื้นที่โดยรอบเริ่มสว่างเรือง ๆ ให้เห็นว่า ณ ที่
แห่งนี้เป็นห้องทรงกลมขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง   รอบ ๆ ห้องส่วนที่ไกลออกจากจุดศูนย์กลางแห่งแสงนี้ ค่อนข้างมืดจน
มองเห็นเพียงลาง ๆ ว่าเป็นกำแพงหินก่อสูงขึ้นไปอย่างประณีตสูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่เท่ากัน ก่อนจะปล่อยโล่ง  และที่กำลัง
ปรากฏต่อสายตาขณะเงยหน้ามองขึ้นไปคือ  ดวงจันทร์สีรุ้งของโลกพาร์ตรีไดส์ซึ่งกำลังเปลี่ยนสีตัวเองอย่างช้า ๆ
จากสีม่วง  เป็นสีคราม  สีน้ำเงิน  สีเขียว  สีเหลือง  สีแดง  และสีแสด

          “วันนี้  เดินมาเที่ยวไกลถึงที่นี่เลยหรือ ราชินีน้อย”

          แรกทีเดียวซายน์ถึงกับสะดุ้งสุดตัว เพราะนึกไม่ถึงว่าจะมีใครอยู่ที่นี่ด้วย  ก่อนจะคลายความตกใจลงเมื่อ
ได้ยินสรรพนามที่ผู้ทักทายใช้เรียกเธอในท้ายประโยค จนต้องรีบมองหาเจ้าของเสียงนุ่มกึ่งหยอกเย้านั้น  “ราฟา 
ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า  ทั้ง ๆ ที่..........”  และเธอก็ต้องละคำพูดไว้เพียงเท่านั้น เมื่อนึกได้ว่าเป็นการไม่เหมาะสม
ยิ่งนักที่จะพูดถึงปัญหาทางสายตาของเขาในขณะนี้   แต่ถ้าตาของราฟามองเห็นได้ในตอนนี้คงจะขำไม่น้อยกับภาพ
ของหญิงสาวที่กำลังวางสีหน้าไม่ถูก   เหมือนอยากจะยิ้มด้วยความดีใจที่จะได้พบกับคนที่อยากพบแต่ก็ต้องพยายาม
ที่จะไม่แสดงอาการจนเกินไป

          “ทั้ง ๆ ที่ข้ามองไม่เห็นเช่นนี้”  ธาราเทพต่อประโยคของหญิงสาวให้สมบูรณ์ ก่อนจะเดินออกมาช้า ๆ จาก
มุมมืดมุมหนึ่ง  จนกระทั่งมองเห็นตัวได้ชัดขึ้น   “ถึงดวงตาของข้าจะไม่สามารถมองเห็นได้ดังเดิม  แต่ประสาทสัมผัส
ด้านอื่น ๆ ของข้ากลับดีขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นรส  กลิ่นและเสียง”

          ซายน์มีโอกาสได้พินิจพิจารณาชายหนุ่มอย่างจริง ๆ จัง ๆ   อีกครั้งโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นการเสียมารยาท
ผมสีฟ้าจาง ๆ ของเขายาวขึ้นมากทีเดียวนับจากวันแรกที่ได้เจอกัน  ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเขาดูไม่เปล่งประกาย
เหมือนเมื่อแรกพบ  แต่ถึงกระนั้นหากคนที่ไม่รู้เรื่องปัญหาด้านการมองเห็นของเขามายืนเจรจาต่อหน้าในขณะนี้ ก็คง
ดูไม่ออกว่าดวงตาคู่นี้ไม่สามารถมองเห็นภาพต่าง ๆ ได้  ผิวขาวของเขายิ่งเปล่งประกายเป็นสีเงินยวงเมื่อได้แสงสีเงิน
ขับผิวเช่นนี้ มือของเขากุมไม้เท้าเวทนำทางที่ท่านผู้เฒ่าเป็นคนเสกสรรให้ใช้แทนสายตา

         “จริงซิ!!”  อยู่ ๆ เธอก็โพล่งขึ้นมา  “ท่านผู้เฒ่าล่ะราฟา  พาข้าไปพบท่านผู้เฒ่าหน่อย ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุย
กับท่าน”  

          “ท่านไม่อยู่หรอกราชินีน้อย   ท่านออกไปจากปราสาทแก้วหลายวันแล้วล่ะ”

           “อ้าว...  พวกท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าหลังจากท่านยายใช้เวทโบราณปิดผนึกเมืองในครั้งนั้น  ก็ไม่มีใครจะ
สามารถเข้า ออกเมืองเฮเวนน่าได้ตามชอบใจอีกแล้ว”

          “ถูกต้องราชินีน้อย  แต่ข้าไม่ได้บอกท่านซะหน่อยว่าท่านผู้เฒ่าออกไปจากเฮเวนน่า ข้าบอกแค่ว่าท่านผู้เฒ่า
ได้ออกไปจากปราสาทแก้วเท่านั้น”

          “ท่านนี่!!!~”   น้ำเสียงกระเง้ากระงอดนั้น ทำให้ราฟาอดอมยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้   “ข้ามีเรื่องสำคัญจริง ๆ นะ มัวแต่
พูดเล่นอยู่ได้”

         “ข้าไม่ได้พูดเล่นเลยราชินีน้อย  ท่านผู้เฒ่าออกไปตามหาเพื่อนเก่าแก่ของท่าน  เพื่อหาวิธีรักษาดวงตาของข้า 
ซึ่งข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่า ท่านไปที่ใด”

          “แสดงว่าอาการของท่าน.....”  น้ำเสียงซายน์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

          “ไม่มีอะไรหรอกราชินีน้อย   มาว่าเรื่องของท่านดีกว่า  ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ท่านถูกปองร้าย”

          “การข่าวของท่านก็ไวใช่ย่อยนะ”

          “เรื่องใหญ่ขนาดว่าท่านหญิงคนใหม่ของเฮเวนน่าจะถูกลอบสังหาร ย่อมไม่ธรรมดา ทหารในปราสาทแก้ว
ต่างโจษจันกันเซ็งแซ่   ได้ยินมาว่าท่านหญิงซีเวียร์ถึงกับสั่งให้ไต่สวนทุกคนที่รู้ว่าพวกท่านจะออกไปนอก
ปราสาทแก้ว”

          “ตายแล้ว!!    เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ”   ซายน์ตกอกตกใจกับข่าวที่เพิ่งรับรู้นี้จริง ๆ

          “ราชินีน้อย  ท่านต้องเข้าใจว่าขณะนี้ท่านไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งเหมือนในโลกที่ท่านจากมา 
แต่ท่านเป็นถึงท่านหญิง  ตำแหน่งซึ่งมีโอกาสจะได้เป็นถึงราชินีในอนาคต”

          “ข้าไม่ได้ต้องการเป็นราชินีแม้แต่นิดเดียว  และหากจะมีผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริง ๆ ก็คงต้องเป็นท่านป้า
ซีเวียร์ หรือไม่ก็ท่านพี่ซิลแคลล์”

          “บางสิ่งบางอย่างมันได้ถูกกำหนดไว้แล้วราชินีน้อย”  

          น้ำเสียงของราฟาเจือไปด้วยความมั่นใจ  และซายน์ก็พอจะรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เขามั่นอกมั่นใจเช่นนั้น 
เธอก้มมองหลังมือด้านซ้ายของตัวเองภายใต้ถุงมือบางเบาสีขาวนั้นอย่างครุ่นคิด  หากสัญลักษณ์รูปแมลงปอที่
ปรากฏขึ้นบนหลังมือของเธอคือการบ่งบอกถึงผู้ที่ต้องสืบทอดตำแหน่งอันสูงส่งนี้จริง ๆ  เธอจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร

          ราฟาเริ่มรู้สึกเอะใจกับการเงียบไปของสาวน้อยตรงหน้า  การพูดเรื่องนี้อาจทำให้เธอต้องรู้สึกแบกรับภาระอัน
หนักหน่วงเหมือนเมื่อครั้งที่ได้รู้ว่าคำทำนายโบราณนั่นพูดถึง  “ทายาทที่เหลืออยู่”  ซึ่งนั่นอาจหมายถึงเธอ

          “ท่านรู้หรือไม่ที่นี่ คือที่ใด”  ราฟาพยายามจะเปลี่ยนเรื่องในการสนทนา

          “ไม่รู้หรอก ข้าเดินคิดอะไรเพลิน ๆ รู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”

          “ที่นี่เรียกว่า ลานเสพจันทร์

          “ลานเสพจันทร์”  ซายน์ทวนคำ พร้อมกับแหงนหน้าจ้องมองดวงจันทร์เบื้องบนพอจะเข้าใจกับชื่อนี้ทันที

          “มานี่ซิ ราชินีน้อย”  ชายหนุ่มเอ่ยปากชวน ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้จุดศูนย์กลางแห่งแสงสีเงินมากขึ้น

          จนกระทั่งหญิงสาวเดินตามมาหยุดยืนอยู่ข้างกัน  เธอจึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้วสาเหตุของแสงสีเงินนี้คือ  ต้นไม้
สีขาวโพลนขนาดใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งใบอันมากมายของมันเป็นสีขาวที่เรืองแสงสีเงินเป็นประกาย  บนพื้นรอบ ๆ โคนต้น
จนกระจายออกไปเป็นวงกว้างล้วนเต็มไปด้วยใบไม้ที่ปลิดปลิวออกจากต้น แต่ใบไม้เหล่านี้กลับเป็นสีเขียวขจีเสมือน
ใบไม้ทั่ว ๆ ไป  และทั้ง ๆ ที่เป็นลานซึ่งล้อมรอบไปด้วยกำแพงหินไม่มีกระแสลมพัดผ่าน แต่ต้นไม้ต้นนี้กลับส่งกลิ่น
หอมอ่อน ๆ โชยอบอวลมาเป็นระลอกเหมือนกับจะทักทาย

          “ลานเสพจันทร์  เป็นลานที่กั้นส่วนของฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย  หากเดินลอดซุ้มประตูนั่นเข้าไป”  ชายหนุ่มชี้มือ
ไปยังจุดที่เขาปรากฏตัวขึ้น   แต่ก็มองอะไรไม่เห็นนอกจากความมืดมิด “ก็คือสถานที่สำหรับฝ่ายชายซึ่งฝ่ายหญิงก็ไม่
มีสิทธิ์ก้าวผ่านเข้าไปเช่นกัน  ส่วนซุ้มประตูทางนั้น” ชายหนุ่มชี้ไปในมุมมืดอีกทาง “เป็นทางออกไปยังเรือนสมุนไพร”

          “เรือนสมุนไพร..”  หญิงสาวทวนคำเบา ๆ   “ดีจัง   โฟร์ทต้องชอบแน่ ๆ เลย”

          “และที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านในขณะนี้  นางคือ  พฤกษธิดา

          ซายน์หันรีหันขวาง มองหา  “นาง”  ที่ธาราเทพเอื้อนเอ่ยแนะนำ  แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากต้นไม้ใหญ่สีขาว
ตรงหน้า  แต่ไม่ทันที่จะเอ่ยปากถาม  ชายหนุ่มก็โค้งคำนับต้นไม้ตรงหน้าอย่างอ่อนน้อมก่อนจะเดินเหยียบย่ำไปบน
พรมใบไม้สีเขียวขจีนั่น

          หญิงสาวเกือบจะกรีดร้อง เมื่อเห็นกิ่งไม้เล็ก ๆ หลายกิ่งเริ่มสั่น  และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพุ่งลงมาตรงหน้า
ชายหนุ่ม แต่ก็ยั้งไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่ามันพากันถักทอราวกับถูกเนรมิตจนกลายเป็นชิงช้าเถาวัลย์ที่ดูแข็งแรงสองอัน
เคียงกัน  ใบไม้สีเขียวตามพื้นบางส่วนเริ่มลอยละล่องขึ้นไปปูตรงส่วนที่เป็นที่นั่งเสมือนเบาะหนานุ่ม

          “ฮึ..ฮึ..  “ เสียงราฟาหัวเราะเบา ๆ   “ข้าว่าท่านคงต้องถามนางเองจะดีกว่า”

          “ราฟา..  ท่านพูดกับใครน่ะ”

          “ราชินีน้อย  มาสิ ...   พฤกษธิดา ต้องการรู้จักท่าน”

          แม้จะยังงง ๆ  แต่หญิงสาวก็มั่นใจว่าไม่มีอะไรน่าจะเป็นอันตรายเมื่อมีเขาอยู่ด้วย เธอโค้งคำนับด้วยความเคารพ
แบบเดียวกับที่ชายหนุ่มทำ  ก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งบนชิงช้าอีกตัวที่ว่างอยู่  หลังจากที่ราฟานั่งอยู่บนชิงช้าอีกตัวข้าง ๆ

          “ยินดีต้อนรับ ท่านหญิง  ผู้ซึ่งถูกได้รับเลือก”   น้ำเสียงไพเราะ เหมือนท่วงทำนองดนตรีดังขึ้น  ซายน์รู้สึก
อบอุ่น เคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียงอันอ่อนหวาน  “เป็นท่านจริง ๆ  ผู้จะนำความเปลี่ยนแปลงมาเยือนที่นี่”

          “ทะ.. ทะ... ท่านคือ....  พฤกษธิดา”  ท้ายประโยคน้ำเสียงหญิงสาวเบาเหมือนกระซิบ

          “ใช่แล้วท่านหญิง  ข้าคือบุตรแห่งพฤกษาทั้งมวลผู้ถือสัญญาพันผูกต้นไม้ทุกต้นในเฮเวนน่า  ข้าฝังรากอยู่ที่นี่
มาเนิ่นนานพบพานความเปลี่ยนแปลงมากมายที่ผ่านมา..  และแล้วก็ผ่านไป”  แว่วเสียงพัดผ่านดั่งกระแสลม  “แต่
ถึงกระนั้นข้าก็ยังคงอยู่ที่นี่  เฝ้ามองทุกความสุขและความเศร้ารอบ ๆ ตัว”

          “สงสัยท่านจะอยู่โดดเดี่ยวนานไปแล้วจริง ๆ ถึงได้รำพึงแต่เรื่องเศร้า ๆ เช่นนี้”  ราฟาเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกจะ
ล้อเลียน

          “นั่นซินะ  ธาราเทพ”  น้ำเสียงหวาน ๆ ฟังดูรื่นเริงขึ้น  “นาน ๆ จะมีใครมาเป็นเพื่อนคุยกับข้าเช่นนี้  ข้าจะมัว
เสียเวลาโศกเศร้าอยู่ทำไม  มาเถอะ ลืมเรื่องราวรอบ ๆ ตัวสักพัก”

          สิ้นน้ำเสียงของพฤกษธิดา  ชิงช้าสองตัวก็เริ่มแกว่งไกวคลอไปกับเสียงเพลงพลิ้วไหว  ก่อนจะเริ่มหมุนวนช้า ๆ
ไปรอบ ๆ ต้น   ไม่นานทำนองก็เปลี่ยนไปเป็นสนุกสนานยิ่งขึ้น  ชิงช้าก็เริ่มกวัดแกว่งฉวัดเฉวียนเรียกเสียงวี้ดว้ายผสม
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเป็นระยะ ๆ   ไม่มีใครสังเกตเห็นสายตาคู่หนึ่งที่เฝ้ามองมาจากซุ้มประตูที่ชายหนุ่มเคย
บอกไว้ว่า มันคือทางไปเรือนสมุนไพร

****************************

               “องค์ราชินี   องค์ราชินี          จงรีบจรลีไปจากเฮเวนน่า
               “ณ วันนี้ยังไม่ถึงเวลา        หากชักช้า ความอัปราจะมาเยือน”

          ซายน์สะดุ้งตื่นพร้อม ๆ กับรู้สึกถึงลำคอที่แห้งผาก  ทั้ง ๆ ที่อากาศกำลังเย็นสบายแต่กลับมีเหงื่อผุดพราย
เต็มวงหน้างาม  เกือบเดือนแล้วที่เธอฝันซ้ำซากถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเผชิญหน้ากับหญิงชราที่ดูทรงพลังอำนาจ
บางอย่าง  แต่คืนนี้ความรู้สึกหวาดกลัวรุนแรงจนเธอไม่สามารถข่มตาให้หลับต่อได้  จนต้องออกมายืนรับลมอยู่ตรง
ระเบียง

         สายลมพัดพาความเย็นยะเยือกวูบหนึ่งมาปะทะกับกายเธอจนต้องกระชับเสื้อคลุมให้แนบลำตัวยิ่งขึ้น  ความฝัน
ที่วนเวียนมาหลอกหลอนทุกคืนทำให้จิตใจร้อนรุ่ม  ความฝันกำลังบอกอะไรกับเธอหรือไม่  เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน
ที่เธอจะฝันอะไรเหมือน ๆ กันเช่นนี้ทุกคืน  จะว่าเป็นเพราะเธอเก็บเรื่องนี้มาคิดมากหรือก็เปล่าเลย  เพราะหลังจาก
รอดพ้นเงื้อมมือของ “กองกำลังเอสทรูฟ” มาได้  ในคืนนั้นเธอก็เหมือนได้รับการปลอบประโลมที่สร้างความสุขมาก ๆ 
ณ ลานเสพจันทร์ จนแทบจะลืมเรื่องร้ายๆ ไปได้หมดสิ้น  ไม่ต้องเอ่ยถึงตลอดหลายวันที่ผ่านมา เพราะท่านป้าซีเวียร์
มีเรื่องให้ทำมากมาย เสมือนจะไม่ปล่อยให้เธอมีเวลาว่างเพื่อจมอยู่กับความตกใจและหวาดกลัวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
(ถึงแม้เธอจะไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยก็เถอะ)  ท่านได้กำหนดตารางเวลาเป็นกิจวัตรประจำวันส่งตรงมาให้เธอปฏิบัติ
โดยเฉพาะ  เวลาตลอดช่วงเช้าในแต่ละวันจะหมดไปกับการเล่าเรียนวิชาการต่าง ๆ  และตลอดช่วงบ่ายจะเป็นช่วง
เวลาแห่งการฝึกฝนการใช้เวท  โดยบางครั้งจะมีพี่ชายฝาแฝดแวะเวียนเข้ามาด้อม ๆ มอง ๆ  และเมื่อเจอวิชาที่ตนสนใจ
ก็พร้อมจะเล่าเรียนด้วยกัน  เพราะฉะนั้นเธอเองแทบจะไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ไม่มีเวลาคิด  แต่
เธอลืมเรื่องวันนั้นไปหมดแล้วต่างหาก  แต่ละคืนก่อนจะเข้านอนเธอก็แทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะฟุ้งซ่าน หัวถึงหมอน
ปุ๊บก็แทบจะผล็อยหลับไปทันที  แต่ทำไมเหตุการณ์ตอนเผชิญหน้ากับหญิงชราคนนั้นถึงได้กระจ่างชัดอยู่ในฝันทุกคืน
เธอกำลังคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อวันนั้น ถ้าจำไม่ผิดชายชุดดำพวกนั้น ได้เอ่ยเรียกนามของหญิงชราคนนั้น ว่า 
ยายเฒ่าแมทรีต้า

          “เคร้ง!!!”

          ซายน์สะดุ้งรีบหันกลับไปมองยังต้นเสียง  ก่อนจะพบว่าหญิงรับใช้ส่วนตัวของเธอ กำลังยืนมองเธอด้วยสีหน้า
ตื่นตกใจ  “เกรซเน่  เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ”

          “ปะ เปล่าเจ้าค่ะ”  หญิงรับใช้รีบตอบ  ก่อนจะก้มลงเก็บเชิงเทียนและถาดเงินอย่างลนลาน

          “ซายน์ช่วยนะคะ”

          “มะ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”  เกรซเน่รีบเก็บของและลุกขึ้น  “ทะ.. ท่านหญิงเจ้าคะ  ข้า... ข้ามีเรื่องจะขอถาม” 
น้ำเสียงตะกุกตะกัก พอทำให้รู้ว่าเจ้าของประโยครู้สึกเกรงใจมากเพียงใด

          “มีเรื่องอะไรหรือคะ”  ท่านหญิงตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้

          “เมื่อสักครู่  ข้าได้ยินท่านหญิงเอ่ยนามใครคนหนึ่ง เอ่อ....”

          “เอ่ยนาม..  ใครหรือคะ??”  ซายน์ทวนคำงง ๆ เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมายืนอยู่ตรงนี้ เธอมั่นใจว่าเธอยังไม่ได้
เอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ ออกไป จนกระทั่งเกรซเน่เข้ามา   “ไม่นี่คะ ซายน์แค่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์
แปลก ๆ ในเมืองเมื่อวันนั้น   เรื่องแปลก ๆ ของหญิงคนหนึ่ง  หรือว่า....”  เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น  เพราะไม่มั่นใจใน
ตัวเองว่า ขณะที่เธอคิดไปถึงหญิงชราคนนั้น  เธอเผลอหลุดเรียกชื่อที่คิดนั้นออกมาหรือไม่

          “ถ้าเช่นนั้น ข้าคงหูฝาดไปเอง  ท่านหญิงน่าจะนอนต่ออีกสักนิดนะเจ้าคะ”

          “เกรซเน่คะ  ชื่อที่ท่านได้ยิน    ใช่... ยายเฒ่าแมทรีต้า  รึเปล่าคะ”

          “ทะ... ท่านหญิง อย่าบอกนะคะว่าหญิงชราที่ท่านหญิงตามไปจนเกิดเรื่องในตลาดเมื่อวันนั้นคือ.. คือ...” 
หญิงผู้สูงวัยกว่าละล่ำละลักพูด

          “ยายเฒ่าแมทรีต้า.....”  หญิงสาวต่อท้ายประโยคให้  “ทำไมคะเกรซเน่  ทำไมต้องทำหน้าตกใจเช่นนั้น”

          “ไม่.. ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ  นางก็แค่หญิงชราที่เสียสติ”  หญิงรับใช้พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ

          “ไม่จริง”  ซายน์เข้าไปเขย่าตัวหญิงรับใช้เบา ๆ  “ท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับหญิงชราคนนี้ใช่มั้ยคะ  เล่าเรื่องนางให้ข้า
ฟังหน่อย”

          ทันทีที่แสงแรกแห่งรุ่งอรุณฉายแสง   หญิงรับใช้ส่วนตัวได้แจ้งข่าวการไม่สบายของท่านหญิงซายน์และขอ
หยุดเรียนวิชาการต่าง ๆ ตลอดทั้งวันเพื่อต้องการพักผ่อนให้ท่านหญิงซีเวียร์ทราบ  และได้รับอนุญาตตามที่ร้องขอ 
สำหรับเพื่อนร่วมห้องอย่างโฟร์ท  หลังจากที่เห็นว่าเพื่อนผู้สูงศักดิ์ มิได้เป็นอะไรมาก  ก็ขอตัวไปยังเรือนสมุนไพร
เหมือนอย่างทุกวันด้วยไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนอันมีค่า

          “ยายเฒ่าแมทรีต้าเคยมีชีวิตอยู่ในเมืองนี้มาเนิ่นนานแล้วเจ้าค่ะ”  ประโยคแรกที่เกรซเน่เอ่ยเพื่อไขข้อข้องใจ
ของซายน์  เมื่ออยู่กันสองต่อสองในห้อง  ก่อนที่เรื่องราวในอดีตค่อย ๆ พรั่งพรูออกมา

****************************


           ในอดีตกาลบนดินแดนเฮเวนน่า  นอกจากจะมีปราสาทแก้วที่งามสง่าไปด้วยโดมทั้งเก้าแล้วยังมีอาคาร
ทรงกลมสูงขึ้นไปก่อนจะเป็นห้องกระจกตรงยอดสะท้อนแสงเปล่งประกายเหมือนจะกระจายความอบอุ่นของแสง
อาทิตย์ และส่องแสงสว่างเพื่อคุ้มครองชาวเมืองทุกคน  อาคารที่ได้รับการขนานนามว่า  “หอคอยเทพ”

          ทุก ๆ ปี จะมีการคัดเลือกเด็กสาวพรหมจรรย์  นำมาเป็น “เทพนารีฝึกหัด”  หากเด็กสาวคนใดมีพรสวรรค์
วิเศษ เฉลียวฉลาด มีอำนาจหยั่งรู้ก็จะได้ขึ้นเป็น  “เทพนารีประจำตัวองค์ราชินี”  แต่เด็กสาวคนใดหากเข้ามาอยู่ใน
หอคอยเทพแล้ว ยังไม่มีความพิเศษด้านใด ๆ ให้เป็นที่ประจักษ์ก็มีทางเลือกอยู่สองทางคือ เป็นหญิงรับใช้ใน
หอคอยเทพต่อไป  หรือจะเลือกกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิม  และแน่นอนหากเลือกที่จะอยู่ในหอคอยเทพ 
หญิงสาวเหล่านั้นก็จะต้องคงความบริสุทธิ์ตลอดไป

          เทพนารี  มักจะเป็นเสมือน  “คนรู้ใจที่สุด”  ของเหล่าองค์ราชินีมาทุกยุคทุกสมัย เพราะจะเป็นเพียงคนเดียว
ที่องค์ราชินีจะคอยปรึกษาหารือ บอกกล่าว และเล่าทุกเรื่องราวให้ฟัง และนั่นก็เป็นเหตุให้หัวหน้ากองการต่าง ๆ มัก
จะเกิดความริษยาอยู่ลึก ๆ ที่เทพนารี แห่งหอคอยเทพ ดูจะมีบทบาทเกินกว่าใคร ๆ  จนมีการคิดใส่ความ โค่นล้ม
อำนาจของเทพนารีอยู่เนือง ๆ  แต่ก็ล้มเหลวมาโดยตลอด

          แต่น่าแปลกนัก เทพนารีเหล่านี้มักจะอายุสั้น  สิ้นลมหายใจไปตั้งแต่อายุยังไม่มาก องค์ราชินีบางสมัยที่มีอายุ
ยืนยาวอาจจะมีเทพนารีประจำตัวมากกว่าสามสี่คน

           “แล้วตอนนี้หอคอยเทพหายไปไหนคะ”  ซายน์อดแทรกถามไม่ได้ เพื่อผู้เล่าหยุดพักเพื่อทบทวนความจำ

           “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานานนักหนาแล้วเจ้าค่ะ  ข้าก็ได้แต่รับฟังต่อ ๆ มา  หอคอยเทพถูกทำลายด้วยเงื้อมมือ
ของเทพนารีคนหนึ่ง” เกรซเน่หลับตาลำดับเรื่องราว ก่อนจะเล่าต่อไป

          เวลาล่วงเลยไปตามวัฎจักร  จนกระทั่งการคัดเลือกเทพนารีฝึกหัดในปีหนึ่ง  เกิดปัญหาขึ้นเมื่อไม่สามารถหา
เด็กสาวพรหมจรรย์ผู้มีพรสวรรค์ได้  ทั้ง ๆ ที่เทพนารีประจำตัวองค์ราชินีในปัจจุบัน มั่นใจว่ามีเด็กสาวที่มีความพิเศษ
อยู่ในเมือง  แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะต่อต้านและพยายามใช้อำนาจพิเศษที่มี ทำให้ใคร ๆ เชื่อว่าตนเองไม่ได้มีความพิเศษ
เช่นนั้น

          การพิธีเกือบจะถูกล้มเลิก  เพราะแม้กระทั่งเทพนารีสูงสุดก็ยังไม่สามารถระบุตัวเด็กสาวคนนั้นได้  แต่แล้วจู่ๆ 
ก็มีหญิงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนใหญ่พยายามทั้งลากทั้งจูงเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามากลางพิธี  พร้อมทั้งแจ้งว่าเด็กสาวคนนี้
มีความพิเศษพอที่จะได้เป็นเทพนารีคนต่อไป เนื่องจากนางสามารถทำนายทายทัก หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าต่าง ๆ 
หลายเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย  แต่มาวันนี้เมื่อนางถึงวัยที่ต้องเข้ามาร่วมพิธี  นางกลับพยายาม
หลบหนี  

           “เจ้าชื่ออะไร”

           “ข้าชื่อ  แมทรีต้า”

          “ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้านั้นพิเศษยิ่งนัก  เหตุใดจะละทิ้งความพิเศษนั้นเสียล่ะ”

          “ข้า...  ข้า...  ข้าไม่อยากอยู่ในหอคอยเทพ  ไม่ต้องการเป็นเทพนารี  ข้าต้องการอยู่กับคนรักของข้า  เราสัญญา
จะใช้ชีวิตร่วมกัน”

          “ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้หรือ   ที่เจ้าจะละทิ้งพรสวรรค์ที่ได้รับประทานพรมา  ละทิ้งที่จะใช้ความพิเศษเพื่อเมือง
เฮเวนน่าของเรา”

          “ข้า... ข้าไม่รู้  ข้าไม่อยากมีความพิเศษใด ๆ ทั้งนั้น  ปล่อยข้า  ปล่อยสิ  ข้าจะกลับไปหาเขา”

          “พานางกลับไปที่หอคอยเทพ”   เสียงทรงอำนาจของเทพนารีสั่งการอย่างเด็ดขาด

****************************


          “เทพนารี เจ้าคะ  นี่ก็หลายเดือนแล้วที่ แมทรีต้า  ไม่ยอมทำอะไรเลย นอกจากขังตัวเองไว้ในห้อง  ยอม
รับประทานอาหารนิด ๆ หน่อย ๆ เพื่อประทังชีวิต”

         “ช่างน่าเป็นห่วงนัก  ข้าสัมผัสได้ว่านางมีความพิเศษในตัวมากเหลือเกิน  มากจนน่ากลัว”   เทพนารีหันมา
จ้องหน้าหญิงรับใช้  ก่อนจะเน้นคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน  “นาง...จะได้เป็นเทพนารี คนต่อไป”

         “อะไรนะเจ้าคะ!!...   นางนะหรือจะเป็นเทพนารีสูงสุดคนต่อไป  แล้วจะไม่เป็นปัญหากับเทพนารีฝึกหัดคนอื่น ๆ
ที่เข้ามาอยู่ในหอคอยเทพก่อนนางหรือเจ้าคะ”

          “ทุกสิ่งทุกอย่างได้กำหนดมาแล้ว  เจ้าก็รู้ว่าถึงเทพนารีจะมีญาณหยั่งรู้  แต่ก็ใช่ว่าจะรู้ไปทุกเรื่อง หรือสามารถ
จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้  เทพนารีแต่และคนแม้กระทั่งเทพนารีฝึกหัด  ต่างมีญาณหยั่งรู้ที่ต่างกัน  เหตุการณ์
บางเหตุการณ์ อาจมีการรับรู้เพียงไม่กี่คน   ในขณะที่บางเหตุการณ์อาจจะรับรู้กันได้ทั้งหมด  หรืออาจไม่มีใครรับรู้
ได้เลย  แต่เชื่อข้าเถอะ  แมทรีต้า... จะได้เป็นเทพนารีคนต่อไป”

****************************


          “มีข่าวรายงานมาว่า ขณะนี้หอคอยเทพ กำลังวุ่นวายน่าดู”

          “นับเป็นโอกาสอันดีที่เราจะกำจัดหอคอยเทพให้สิ้นไปซะที “

           “ข้าเห็นด้วย”  

           “นั่นสิ  เหตุใดจึงต้องให้ผู้หญิงคนเดียวมามีอำนาจเหนือองค์ราชินี  มีสิทธิ์ชี้ถูกผิด ชี้นำต่าง ๆ แล้วองค์ราชินี
ต้องเชื่อฟัง  ในเมื่อชาวเฮเวน่าทุกผู้ทุกคน  ก็มีสัญชาตญาณติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด”

           “แต่...  แต่....  เทพนารีแห่งหอคอยเทพ  มีญาณหยั่งรู้ที่ล้ำลึกกว่าคนทั่วไปมากนัก  หากเกิดอะไรขึ้นกับ
หอคอยเทพ  เมืองเฮเวนน่าจะไม่พลอยแย่ไปด้วยหรือท่าน”

            “ไม่เอาน่า...  ท่านอย่าวิตกกังวลกับเรื่องนั้นเลย  ขาดเทพนารีไป  ไม่ทำให้เมืองแห่งชาวฟ้าอย่างเราถึงกับ
กาลสูญสิ้นหรอก”

            “นั่นสิ..  ท่านกำลังกังวลถึงเรื่องใด  หรือกลัวว่าจะถูกลุกล้ำอธิปไตยจากชาวน้ำ และชาวดิน  ฮึฮึ.. ท่านก็รู้ว่า
เป็นไปไม่ได้ในเมื่อเมืองทั้งสามอยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุข  มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน และเราก็รู้กันดีว่าต่างก็ต้อง
พึ่งพาอาศัยกัน  ความพิเศษของเทพนารีก็ใช่จะมีประโยชน์สักเท่าใด   นอกจากเป็นได้แค่เพียงเพื่อนคุยกับองค์ราชินี”

           “เป็นแค่เพื่อนที่กุมอำนาจอย่างยิ่งซะด้วย”

            “ถูกแล้ว  เช่นนั้นพวกเราจึงต้องร่วมใจกันโค่นล้มอำนาจอันมิชอบนี้ลง”

            “แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป”

            “อีกไม่นานหรอกทุกท่าน   ข้ากำลังให้คนสืบหาเหตุแห่งความวุ่นวายของหอคอยเทพอยู่ เมื่อนั้นแล้วการ
โค่นล้มอำนาจของหอคอยเทพก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป”

            “ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า....”   เสียงหัวเราะกึกก้องของคนทั้งห้า  ประสานกันอีกครั้ง  ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไป

****************************


            “เทพนารี เจ้าคะ”    

            “มีเรื่องอะไรรึ  ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้”

            “แมทรีต้า เจ้าค่ะ  แมทรีต้า”

            “นางเป็นอะไรไป”

             “เปล่าเจ้าค่ะ  เพียงแต่นางสั่งให้มาแจ้งข่าวแก่ท่านว่า  หากยังไม่ปล่อยนางไป  ยังคงดื้อดึงให้นางอยู่ที่นี่
หอคอยเทพจะต้องพินาศลงเจ้าค่ะ”

            “เช่นนั้นรึ”  สีหน้าของเทพนารีแสดงความหนักใจอย่างเห็นได้ชัด  “ข้าจะไปคุยกับนางเอง”

****************************


            “พวกเราจะช่วยให้เจ้าสมหวัง”

            “ช่วยข้า...   เพราะเหตุใด”  

            “บอกตรง ๆ ครั้งนี้ข้าไม่เห็นด้วยกับหอคอยเทพสักเท่าไหร่  ในเมื่อหญิงสาวที่ได้รับเลือกเป็นเทพนารีฝึกหัด
ในปีนี้ไม่ได้มีความเต็มใจอย่างเห็นได้ชัด  ข้ารู้มาว่านางถูกควบคุมอยู่ในหอคอยเทพอย่างแข็งขันเพื่อป้องกันการ
หลบหนี   เจ้า... ในฐานะคนรักของนาง ไม่คิดจะต่อสู้เพื่อนางหรือเพื่อความรักของเจ้าทั้งสองเชียวหรือ”

           “ผิดแล้ว...  พวกท่านไม่ได้ช่วยข้า  แต่พวกท่านทำเพื่อตัวเอง”

            “เจ้า....”  น้ำเสียงแสดงความไม่พอใจ  เพราะถูกรู้ทัน  “ชักจะมากไปแล้วนะ  ไม่รับความหวังดีจากพวกข้า
ยังบังอาจพูดจาเหลวไหล”

            “หรือพวกท่านจะแย้งว่าไม่จริง   พวกท่านกำจัดเทพนารีมากี่รายแล้วล่ะ  คนทั่วไปอาจคิดว่าที่เทพนารีมักจะ
สิ้นอายุขัยไปอย่างรวดเร็วเป็นเพราะพวกนางได้รับพรพิเศษ  แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว  พวกนางถูกเหล่าคนโฉด
อย่างพวกเจ้ากำจัดให้พ้นทางต่างหาก”

            “เจ้า ....  เจ้า ....  อย่าพูดจาพล่อย ๆ นะ  ใครจะไปกำจัดเทพนารีได้  ในเมื่อทุกคนก็รู้ว่าพวกนางมีญาณหยั่งรู้”

           “นะ.. นะ..  นั่นซิ  หากนางจะถูกกำจัด นางก็ต้องรู้ซิ ว่าตนเองกำลังมีอันตราย”  ชายสูงวัยอีกคนในกลุ่มรีบ
เห็นด้วย  ก่อนจะควักผ้าผืนบางขึ้นมาซับเหงื่อที่แตกกาฬ

           “แล้วพวกท่าน คิดว่าพวกนางจะไม่รู้หรือไร...”  คำตอบของชายหนุ่ม  ทำให้คนทั้งห้าที่ล้อมรอบตัวเขามองหน้า
กันเลิ่กลั่ก  “เพียงแต่พวกนางเลือกและยอมรับกับชะตาที่ได้ลิขิตไว้”

           “เจ้า... เจ้าคงไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาซะแล้ว ข้าชักสังหรณ์ใจว่าภายหน้าเจ้าจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่มิใช่น้อย” 
ชายคนที่ดูจะเป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้น

           “ช่างน่าเศร้านัก  ที่ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตมัวแต่มาแย่งชิงอำนาจกันเอง แทนที่จะเอาความสามารถมาใช้
ประโยชน์เพื่อส่วนรวม  แต่พวกท่านเชื่อข้าเถอะ  แมทรีต้า  จะต้องได้เป็นเทพนารีที่มีการกล่าวขานมากที่สุดคนหนึ่ง
ของเฮเวนน่า  พวกท่านขัดขวางนางไม่ได้หรอก”

           “ในเมื่อพวกข้าเสนอทางเลือกให้เจ้าทั้งคู่ไปอยู่ด้วยกันดี ๆ แล้วเจ้าไม่สนใจ  ดูซิว่าหากเป็นเทพนารีฝึกหัด
คนนั้น  นางจะเลือกทางใด”

           “พวกท่านล้มเลิกความคิดชั่วร้ายเหล่านี้เถอะ  เชื่อข้า  วางมือซะ ก่อนที่อะไร ๆ มันจะสายไป”

           “ในเมื่อเจ้าเลือกทางเดินของเจ้าเอง  จะโทษพวกข้าไม่ได้นะ   ทหาร!!  .. จับเจ้านี่ไปขังไว้ที่ห้องใต้ดิน 
แล้วเฝ้าไว้ให้ดี  หากมันหายไป  พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องหายไปจากโลกนี้ด้วย”

           “ทุกอย่างจะพินาศเพราะพวกท่าน  จำไว้  เพราะพวกท่าน”   คำพูดสุดท้ายของชายหนุ่มที่ถูกพาตัวออกไป
โดยไม่แสดงอาการขัดขืนใด ๆ

****************************


           “ว่ายังไงนะ  ยังตามหาคนรักของแมทรีต้าไม่พบเช่นนั้นหรือ”

          “เจ้าค่ะ  เทพนารี แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงต้องสั่งให้คนตามหาตัวเด็กหนุ่มคนนั้นให้พบ”

           “เวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว  ต้องรีบตามหาเขาให้พบ และช่วยให้ทั้งคู่หนีไปอยู่ด้วยกัน”

           “เทพนารี !!   ท่านพูดอะไรออกมา รู้ตัวหรือไม่”

           “เชื่อข้า..  หากต้องการปกป้องให้หอคอยเทพคงอยู่ต่อไป  ต้องช่วยให้คนทั้งคู่หนีไป  หนีไปอยู่ด้วยกัน
ที่ไหนสักแห่ง  ไกลออกไปจากเฮเวนน่า  ไม่เช่นนั้นแล้ว ....”

           “จะเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”

           “เด็กหนุ่มคนนั้นก็มีญาณหยั่งรู้ที่ไม่ธรรมดา  แมทรีต้าบอกข้าว่าหากนางกับเขาถูกแยกจากกัน จะเกิดเรื่อง
มากมายตามมา”

           “เอ่อ  เทพนารีเจ้าคะ  ข้าว่า อาจจะเป็นแค่คำพูดที่แมทรีต้าพูดเพื่อตัวเอง”

           “ข้าก็เคยคิดเช่นนั้น”  เทพนารีหันมายิ้มให้หญิงรับใช้ก่อนจะเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง   “แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้ว
ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่นางพูดไว้   ภายในสามวันนี้ หากยังตามหาชายหนุ่มผู้นั้นไม่เจอ ทุกอย่างก็หมดหนทางแก้ไข”

****************************


            “แล้วสามวันหลังจากนั้น  เทพนารีผู้นั้นก็ถูกพบว่าสิ้นใจอยู่ภายในห้องนอน”

            “โดยที่ยังตามหาชายคนรักของแมทรีต้าไม่พบใช่มั้ยคะเกรซเน่”

            “เจ้าค่ะท่านหญิง   หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของเทพนารี  มีการทำพิธีคัดเลือกเทพนารีฝึกหัดขึ้นรับตำแหน่ง
เทพนารีสูงสุด  และผลของการเสี่ยงทายที่ออกมา  ท่านหญิงคงจะคาดเดาได้”

            “เป็นแมทรีต้าจริง ๆ ตามที่เทพนารีเคยกล่าวไว้ใช่มั้ยคะ”

            “เจ้าค่ะ  ว่ากันว่า  นางจำเป็นต้องรับตำแหน่งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเพียงใด  เทพนารีฝึกหัดที่อยู่ใน
หอคอยเทพมาก่อนนาง  พากันไม่พอใจ  และรวมตัวกันต่อต้าน”

            “น่าสงสารจังเลยนะคะ”  น้ำเสียงของซายน์ เศร้าสร้อยลง  “ต้องแยกทางกับคนรัก  เพื่อมาทำหน้าที่ที่ถูก
กำหนดมาแล้วโดยไม่ได้เลือก ต้องแบกรับการต่อต้าน  และทั้ง ๆ ที่รู้จะมีเหตุการณ์ร้าย ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้”

            “ว่ากันว่า  ช่วงนั้นมีข่าวคราวต่าง ๆ จากหอคอยเทพมากมายเชียวเจ้าคะ  ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไม่ดีต่าง ๆ
ของเทพนารีคนใหม่  ทั้งข่าวที่เทพนารียังคงพยายามตามหาตัวชายคนรัก  และพยายามจะแก้กฎปฏิบัติที่ห้ามผู้ชาย
เข้ามาภายในหอคอยเทพ”

           “แล้วชายหนุ่มคนรักของนางล่ะคะ  ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินจนเสียชีวิตหรือไม่”

            “ไม่เจ้าค่ะ  หลังจากถูกขังและทรมานอยู่ร่วมเดือน  ชายหนุ่มคนนั้นก็หนีออกมาได้อย่างโซซัดโซเซ  จนกระทั่ง
ไปเจอกับท่านหญิง ธิดาองค์โตแห่งองค์ราชินีในขณะนั้น  และได้รับการพยาบาลดูแลอย่างดี จนกระทั่งหายกลับมา
เป็นปกติ  และนั่นก็ต้องนับว่าเป็นจุดที่ก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ตามมา”

****************************

           “วันนี้ เราไปเที่ยวสวนดอกไม้ที่ลานศักดิ์สิทธิ์กันนะ”

           “อย่าเลยท่านหญิง  ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”

           “เจ้าน่ะ  ปฏิเสธข้าเรื่อยเลย  คราวก่อนก็อ้างว่ายังไม่หายดี  คราวนี้ก็อ้างเรื่องความเหมาะสม”   หญิงสาวตัดพ้อ

           “ข้าแค่เกรงว่าจะทำให้ท่านหญิงเสื่อมเสียเกียรติ”

           “เจ้ากลัวว่าใครจะพูดอะไรไม่ดีเช่นนั้นหรอ  ไม่ต้องกลัวหรอก ใครจะกล้าว่าอะไร  ลองดูซิข้าจะให้ท่านแม่จัดการ”

           “แต่...”

           “ไม่รู้ล่ะ  ถึงยังไงวันนี้เจ้าก็ห้ามปฏิเสธข้าเด็ดขาด  ข้ายอมเจ้ามาตลอด แม้กระทั่งไม่สืบหาตัวผู้ทำร้ายเจ้า 
ตามที่เจ้าร้องขอไว้  ถ้าข้ารู้ว่ามันผู้นั้นเป็นใคร  ข้าจะให้ท่านแม่ทำโทษมัน  ที่บังอาจทำร้ายเจ้า”

           “อย่าให้ถึงเช่นนั้นเลย  ข้าก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง  คงไม่มีความสำคัญถึงขนาดนั้น”

            “เจ้า... เจ้า....  “  หญิงสาวเริ่มออกอาการตะกุกตะกัก  เมื่อต้องเผยความในใจ   “เจ้าก็รู้ว่า.. ขณะนี้เจ้าไม่ใช่
แค่คนธรรมดา  เจ้าก็รู้ว่า...ข้ารู้สึกกับเจ้าเช่นไร”

           “ท่านหญิง.. ข้าคงไม่อาจรับความปรารถนาดีเช่นนี้ได้จริง ๆ”

           “ทำไมล่ะ  .. ทำไม”  หยาดน้ำตาใส ๆ เริ่มไหลลงบนแก้มนวล  “หรือเจ้ามีหญิงที่หมายปองแล้ว  บอกข้ามาซิ 
บอกมา”

           “ข้า.. ข้า..  ข้าไม่มีใครจริง ๆ”  น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังอยู่ช่างแสนเศร้าแต่ก็เด็ดเดี่ยวอยู่ในตัว

****************************


           “ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ให้ท่านทั้งสองต้องรออยู่นาน”

           “มิเป็นไรหรอก  เพราะเราทราบดีว่าเทพนารีอย่างท่านมีภารกิจยุ่งเหยิงเพียงใด”

           “ขอบคุณที่เข้าใจ  ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้ากองการพิธีการ และท่านหัวหน้ากองการมนเทียรบาล ต้องการพบข้า
เพื่อเรื่องใด”  เทพนารีแมทรีต้าเอ่ยถามด้วยความเกรงใจ

            “เราได้รับคำสั่งจากท่านหญิง  ขอให้ท่านใช้ญาณอันพิเศษ พยากรณ์การณ์ในภายหน้าของท่านหญิงกับชาย
ผู้หนึ่ง”  หัวหน้ากองการพิธีการกล่าวขึ้น  และจบด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่แฝงไปด้วยเลศนัย

            ทันทีที่ชายสูงวัยกล่าวจบ  เทพนารีแมทรีต้า  กลับรู้สึกว่าจิตใจตนเองเหมือนจะวูบไหวเล็กน้อยอย่างไม่เคย
ปรากฏ   แต่เมื่อเป็นคำสั่งถึงอย่างไรก็ต้องปฏิบัติ  หญิงสาวกล่าวขอเวลาสักครู่  ก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องด้านใน
เวลาผ่านไปไม่นาน  นางก็กลับออกมาพร้อมด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความวิตกกังวล

           “ข้าไม่ทราบว่าชายหนุ่มที่พึงใจของท่านหญิงเป็นใคร  แต่ข้ามั่นใจว่าชายผู้นั้นจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับ
ท่านหญิงอย่างแน่นอน โปรดเตือนท่านหญิงด้วย”

            “เทพนารีไม่ต้องห่วง หากเป็นเช่นนี้ พวกเราจะพยายามพูดกับท่านหญิงเอง  แต่อย่างไรก็ตามต้องขอให้ท่าน
เก็บเรื่องนี้ไว้อย่าแจ้งให้องค์ราชินีทราบ  เพราะท่านหญิงยังไม่ประสงค์จะให้เป็นเรื่องใหญ่โตไป”

            “ข้าทราบแล้ว  และเรื่องนี้จะไม่หลุดออกไปจากปากข้าเด็ดขาด

****************************


            “ข้ากับเขาไม่มีทางจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันงั้นรึ”  น้ำเสียงขุ่นเคืองขัดกับหน้าหวาน ๆ อย่างสิ้นเชิง

            “ท่านหญิง  คือว่า....”

            “ทำไม  มีอะไรที่พวกท่านทั้งสอง ยังไม่ได้บอกข้าอีกหรือ ทำไมถึงได้มองหน้ากันอย่างคนมีความลับ”

            “ข้า... ข้าไม่รู้ว่าสมควรจะพูดหรือไม่”  หัวหน้ากองการพิธีการเอ่ยแบบกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก้มหน้าแอบยิ้มที่
มุมปากอย่างพอใจ

            “พวกท่านมีสิ่งใด  ที่ยังไม่ได้แจ้งให้ข้ารู้อีกหรือ”

            “อันที่จริงแล้ว  เราได้รับคำพยากรณ์นี้มาจากเทพนารีหลายวันแล้ว เอ่อ.. ท่านหญิงอย่าเพิ่งขึงโกรธ  โปรด
รับฟังข้าแถลงไขความทั้งหมดเสียก่อน..  ด้วยว่าพวกเราสืบพบเรื่องสำคัญบางประการ ที่อาจจะทำให้ท่านหญิง
กระจ่างแจ้งมากขึ้น”

            “ท่านหัวหน้ากองการพิธีการ  มีอะไรก็บอกมา อย่ามัวโยกโย้”  น้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดยิ่งขึ้น

            “ท่านหญิงคงเคยได้ยินเรื่องวุ่น ๆ ในการคัดสรรเทพนารีฝึกหัดครั้งที่ผ่านมา  จนกระทั่งบัดนี้  ถึงแม้เทพนารี
ฝึกหัดผู้นั้นจะได้ขึ้นเป็นเทพนารีสูงสุดในปัจจุบัน  แต่ก็ยังมีข่าวคราวต่าง ๆ  เกี่ยวกับเทพนารีและคนรักของนาง
อยู่ตลอดเวลา  ซึ่งจากการสืบค้น เรารู้มาว่าชายคนรักของนาง  ที่แท้จริงแล้วนั้น  ก็คือ....”

            “ท่านอย่าบอกนะว่า...”  ท่านหญิงครางเสียงแผ่ว เมื่อรู้ว่าชายสูงวัยสองคนข้างหน้ากำลังจะเอ่ยบอกอะไร 
และเมื่อลองนำเหตุการณ์ต่าง ๆ มารวมเข้าด้วยกัน  ทำให้เธอยิ่งปักใจเชื่อในข่าวที่เพิ่งได้รับรู้นี้ยิ่งนัก  ไม่ว่าจะเป็น
การปฏิเสธกลาย ๆ ของชายที่เธอรัก  เพราะหากเป็นชายผู้อื่นแล้ว การที่มีท่านหญิงให้ความสนใจเช่นนี้  ย่อมถือเป็น
เรื่องที่พิเศษนัก  แต่นี่เขากลับไม่มีท่าทีใด ๆ กับเธอเลย  รวมไปถึงคำพยากรณ์ของเทพนารี  “ไม่มีทางจะได้ใช้ชีวิต
อยู่ร่วมกัน”   เพราะเขาทั้งสองจะกลับไปเป็นคนรักกันเหมือนดั่งที่ผ่านมางั้นหรือ  

            “ท่านหญิง....”  ชายทั้งสองแสร้งร้องเรียกผู้เป็นนายอย่างตกใจ   เมื่อเห็นหญิงสาวโกรธจนตัวสั่น ก่อนจะ
ผลุนผลันออกจากห้องไป  แต่เมื่อหญิงสาวเดินลับสายตาไป  กลับมีเสียงหัวเราะอย่างปรีดาดังขึ้นแทน

****************************

 
             “เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นคะ”  ซายน์เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

             ตั้งแต่นั้น ท่านหญิง ก็ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเทพนารีแมทรีต้า ไปแทบทุกเรื่อง พยายามขัดขวางไม่ให้
เทพนารีเข้าพบองค์ราชินี  และไม่ว่าเทพนารีจะกระทำการใดท่านหญิงก็จะต้องขัดแย้ง และขัดขวางให้ทุกเรื่อง
ต้องเกิดอุปสรรคอยู่ร่ำไป  และบ่อยครั้งที่ท่านหญิงจะยกข้อผิดพลาดของเทพนารีขึ้นมาโจมตี  และต้องการให้
องค์ราชินีลงทัณฑ์ให้ถึงที่สุด  โดยที่เทพนารีไม่ได้ล่วงรู้ถึงสาเหตุของความหมางใจในครั้งนี้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง  
เมื่อนางได้พบเข้ากับบุคคลอันเป็นที่เลื่องลือไปทั่วปราสาทแก้วและหอคอยเทพว่า  เป็นชายที่พึงใจของท่านหญิง 
นางก็ต้องตกใจจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่  เมื่อได้รู้ว่าชายคนนั้น  ที่แท้แล้วก็คือ  คนรักของนาง

            ถึงแม้รักจะยังไม่จางหายไปจากใจ  แต่ด้วยสถานะของนางในขณะนี้ทำให้ต้องเก็บงำความรู้สึกต่าง ๆ ไว้  
ฝืนตัวเองทักทายชายหนุ่มตามมารยาท   แต่ก็ช่างบังเอิญนัก  ที่การโอภาปราศรัยกันครั้งแรกหลังจากที่ต้องพลัดพราก
จากกันไปเนิ่นนานนั้น  ท่านหญิงได้ผ่านมาพบเห็นเข้าพอดี  และนั่นยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้โหมกระพือแรงขึ้น

          ท่านหญิงได้แต่เก็บความรู้สึกร้อนรุ่มนั้นไว้และเฝ้าแต่จะคิดหาแต่วิธีกำจัดเสี้ยนหนามหัวใจให้พ้นทาง 
จนกระทั่งวันหนึ่ง  หัวหน้ากองการทั้งห้า  อันได้แก่  กองการพิธีการ , กองการมนเทียรบาล , กองการอัญมณี ,
กองการเงินตรา  และ กองการข่าวสาร  เหล่าผู้ซึ่งแสดงออกมาเสมอว่าอยู่ข้างเธอมาตลอดได้มาแจ้งข่าวว่า  คืนนี้ 
ชายหนุ่มกับเทพนารี แห่งหอคอยเทพ  ได้นัดหมายเพื่อจะพากันหลบหนีไปครองรักร่วมกันในดินแดนอันห่างไกล
  
           แล้วในคืนนั้นเอง  ท่านหญิงก็มาแอบเฝ้าดูบริเวณลานศักดิ์สิทธิ์  เพื่อต้องการเห็นกับตาว่าข่าวที่ได้รับมานั้น
เป็นความจริง  ไม่นานนักร่างสูงอันคุ้นตาก็ปรากฏกายขึ้น  และเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวาย   คล้อยไปไม่นาน
ก็ปรากฏร่างหญิงสาวที่วิ่งตรงมาอย่างกระหืดกระหอบ   ทั้งคู่รีบโผเข้าหากัน

           “ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

            “ข้าสิ  ต้องเป็นคนถามเจ้าแมทรีต้า เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ใครที่มุ่งทำร้ายเจ้า” ต่างคนต่างจับไม้จับมือ
และระล่ำระลักสอบถามกันและกัน

            “ข้าไม่เป็นอะไร แต่ท่าน..  ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังถูกท่านหญิง....”

             “ข้าทำไมหรือ.....”   เสียงดังขัดจังหวะคนทั้งคู่ของท่านหญิง  ทำเอาชายหนุ่มกับหญิงสาวรีบผละออก
จากกัน   “ข้าจะทำอะไร  บอกมาสิ”

            “ข้า... ไม่...  ไม่มีอะไรเจ้าค่ะท่านหญิง”   แมทรีต้ารีบตอบ

            “แต่ข้ามี...   งามหน้าเสียจริง  เทพนารีสูงสุดแห่งหอคอยเทพ  นัดแนะพบกับผู้ชายยามค่ำคืนเช่นนี้  ช่างน่า
อัปยศยิ่งนัก  ฮึ..  เทพนารี  ท่านน่าจะรู้นะว่า  โทษของท่านครั้งนี้เป็นเยี่ยงไร”

             “ท่านหญิง..  ข้ากับนางไม่ได้......”  ชายหนุ่มพยายามจะอธิบาย  แต่ก็ถูกตัดบททันที

            “เห็นกับตาเช่นนี้   ท่านยังกล้าแก้ตัวอีกหรือ”  ชายร่างท้วม  เจ้าของตำแหน่งหัวหน้ากองการมนเทียรบาล
แย้งขึ้น  “เราคงต้องแจ้งเรื่องนี้ต่อองค์ราชินี และสำเร็จโทษนารีเทพตามกฎมนเทียรบาล”

             สามวันหลังจากนั้น  ข่าวการจัดพิธีหมั้นหมายระหว่างท่านหญิงองค์โตแห่งเฮเวนน่า กับชายหนุ่มก็ถูกแจ้ง
ไปทั่วทั้งสามเมืองของโลกพาร์ตรีไดส์  แต่กลับไม่มีข่าวเรื่องในคืนนั้นเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย   มาตอนนี้ถึงแม้จะ
รู้ว่าเรื่องในคืนนั้นเป็นกลลวง  แต่ชายหนุ่มก็จำตกปากรับคำ และเตรียมเข้าพิธีหมั้นหมาย  เพื่อรักษาชีวิตเทพนารี
จากการสำเร็จโทษนั้นไว้

            สำหรับท่านหญิงเองก็พอใจกับความสำเร็จในครั้งนี้ยิ่งนัก ไม่ได้หวนนึกไปเลยว่าที่ชายหนุ่มจำต้องยอม
ตกลงหมั้นหมายนั้นไม่ได้กระทำไปด้วย “รัก”  ที่มีต่อนางเลย  แต่กลับกลายเป็นเพราะ  “รัก” ที่มีให้กับหญิงอีกคน

             สำหรับเทพนารี   เฝ้าพร่ำโทษตัวเองที่ไม่ใช้ความพิเศษที่ได้รับให้เกิดประโยชน์  เพียงแค่นางจะมีสติและ
สมาธิพอจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า  เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น  แต่ในตอนนั้นเพียงแค่นางได้ยินเทพนารีฝึกหัดสองสามคน
กำลังกระซิบกระซาบกันว่าท่านหญิงกำลังให้ทหารพาชายหนุ่มไปสังหารเนื่องจากไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธความรัก
ความอาทรที่เธอมีให้   นางก็ไม่ทันได้ยั้งคิดใด ๆ กลับรีบวิ่งไปจนตกหลุมพรางนั่น  มาตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะแก้ไข
ใด ๆ แล้ว

****************************

 
           “แต่แล้วก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในคืนก่อนวันพิธี”   เกรซเน่กล่าวอย่างเศร้าสร้อย

            “ทำไมหรือคะ  เกิดอะไรขึ้น”  ซายน์ถามอย่างตื่นเต้น

           “ว่ากันว่า  คืนนั้น  ท่านหญิงได้ขอเข้าพบกับเทพนารีที่หอคอยเทพเป็นการส่วนตัว พร้อมกับไล่มิให้มีใครอยู่
ในหอคอยเทพ  ให้เหลือไว้แค่เพียงนางทั้งสอง  แต่หลังจากนั้นไม่นาน  หลาย ๆ คนที่ยังอยู่ในบริเวณนั้นก็ได้ยินเสียง
กรีดร้องอย่างโหยหวน  ก่อนที่หอคอยเทพจะระเบิดและค่อย ๆ ทลายลงมา”

            “ฝีมือเทพนารีแมทรีต้าหรือคะ  แล้ว ...  แล้วทั้งสองคนนั่น.....”  ท่านหญิงคนปัจจุบันถามอย่างตื่น ๆ

            “เล่าขานกันมาเช่นนั้นเจ้าค่ะ   ว่าเทพนารีกับท่านหญิงต่างโต้เถียงอย่างรุนแรง  จนเทพนารีระงับความหึงหวง
ไม่ไหว ทำร้ายท่านหญิงจนเสียชีวิตและระเบิดตัวเองตายไปพร้อม ๆ กับหอคอยเทพ”

            “น่าเศร้าจังเลยนะคะ  สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงที่ความสูญเสีย”  ท่านหญิงเอ่ยพึมพำ “แล้วคนอื่น ๆ ล่ะคะ
เกรซเน่  ทั้งชายหนุ่มคนนั้น  องค์ราชินี  หรือแม้แต่ เอ่อ  ผู้ประสงค์ร้ายอย่างหัวหน้ากองการทั้งห้า”

           “หลังจากเกิดเหตุ  ชายหนุ่มคนนั้นเอาแต่นั่งเฝ้ามองซากปรักหักพังของหอคอยเทพ  โดยไม่ยอมขยับเขยื่อน
กายไปไหนเลย   ชาวบ้านต่างก็โจษจันว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว    ทางด้านองค์ราชินีก็ถึงกับล้มป่วยด้วยความโศกเศร้า
เสียใจเป็นล้นพ้น  ทั้งแพทย์หลวงหรือแพทย์น้อยใหญ่กี่ราย ๆ ก็ไม่อาจรักษาอาการขององค์ราชินีได้  จนกระทั่งวันหนึ่ง 
ชายหนุ่มคนนั้นได้เดินมาจากเศษซากของหอคอยเทพเพื่อขอเข้าพบองค์ราชินีเป็นการส่วนตัว  หลังจากนั้นอาการ
ขององค์ราชินีก็เหมือนจะดีขึ้นตามลำดับจนกระทั่งหายเป็นปกติในที่สุด”

            “ชายหนุ่มคนนั้น   มีความสามารถถึงขนาดรักษาอาการที่แพทย์หลวงและแพทย์คนอื่น ๆ รักษาไม่ได้เชียว
หรือคะ”  ท่านหญิงออกจะประหลาดใจกับเรื่องนี้มิใช่น้อย

           “ข้อนี้ไม่มีใครทราบเจ้าค่ะ  ว่าในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างองค์ราชินีกับบุคคลที่พอจะถือได้ว่าเป็นชนวน
เหตุของเรื่องทั้งหมด   แต่หลังจากที่องค์ราชินีหายเป็นปกติได้ไม่นาน ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น
ผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า”

            “ตำแหน่งเดียวกับท่านผู้เฒ่าเอสโทสเลยนี่คะ   แต่เรื่องนี้ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว  ท่านผู้เฒ่าคงจะเป็นรุ่นที่สาม
หรือที่สี่....”  แล้วท่านหญิงก็ต้องชะงัก อ้าปากค้าง  จ้องหน้าหญิงรับใช้ตาโต ด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสีหน้าของ
อีกฝ่ายที่กำลังบอกอะไรบางอย่าง  “อย่า...อย่าบอกนะคะว่า...แท้จริงแล้วชายหนุ่มคนนั้นก็คือ....  ก็คือ ...”

            “ท่านผู้เฒ่าเอสโทส  เจ้าค่ะ”  เกรซเน่ตอบอย่างหนักแน่น

****************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น