นี่แหละฉัน

รูปภาพของฉัน
Thailand
"ตัวฉัน คนอย่างตัวฉัน ใครจะมาสนใจ..." อิอิ.. รักเสียงเพลง บรรเลงตัวหนังสือ... ชอบอ่าน ชอบเขียน......
"หนังสือ" คือเพื่อนที่ปรารถนาดีที่สุด แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ... เพราะในชีวิตยังมีเพื่อนดี ๆ ให้เจออีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตอนที่ 27 ผู้บงการ

 

 

          “วันนี้ราฟาคงไม่มาหรอกราชินีน้อย”

          “พฤกษธิดา  ท่านว่าอะไรนะคะ”

          “ใจท่านลอยไปถึงไปถึงไหนแล้วเนี่ย  ราชินีน้อย  ข้าเพียงแต่แจ้งกับท่านว่า  วันนี้ราฟาคงจะไม่มาที่ลาน
เสพจันทร์นี่หรอก”

           “ข้า... ข้าก็ไม่ได้มารอเขาสักหน่อย”  พูดพลางซายน์ก็พยายามหันมาตั้งใจนั่งแกว่งไกวบนเถาชิงช้าใต้
ต้นไม้ใหญ่สีเงินมากขึ้น  “ข้าตั้งใจมาเป็นเพื่อนคุยกับท่านต่างหาก  พฤกษธิดา”

          “อย่านึกว่าข้าไม่รู้น๊า....”  น้ำเสียงหวาน ๆ ออกจะล้อเลียนนั้น  ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าแดง  “ชิงช้าที่ท่าน
นั่งอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวข้า  คงต้องขอแจ้งว่า สิ่งใดที่ท่านคิด  ข้าก็จะสัมผัสได้เช่นกัน”

          “ท่านนี่ขี้โกงจริง ๆ “  น้ำเสียงกระเง้ากระงอด  แต่ก็ฟังออกว่าเป็นการเพียงเพื่อปกปิดอาการเขินอาย “แอบรู้
เรื่องของข้าไปมากมายเพียงใดแล้วก็ไม่รู้”

          “ฮ่า..ฮ่า..”  เสียงหัวเราะที่สดใสดังกังวาน  “ราชินีน้อยจะให้ข้าบอกจริง ๆ หรือว่า ข้ารู้สิ่งใดในใจท่านบ้าง”

          “ไม่.. ไม่ต้อง”  หญิงสาวรีบปฏิเสธ  เพราะนึกรู้ว่าธิดาแห่งพฤกษาจะกล่าวถึงเรื่องใดบ้าง  และนางก็อายเกินกว่า
จะยอมให้เอื้อนเอ่ยเรื่องนั้นออกมา  “ท่านอย่าแกล้งข้าเลย พฤษธิดา  เราเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่ข้าเพิ่งรับรู้มาเมื่อตอน
กลางวันดีกว่า”

          “ท่านคงกำลังสงสัยเรื่องเทพนารีแมทรีต้า  ท่านผู้เฒ่าเอสโทส  และหญิงชราที่ท่านได้เจอในตลาดซินะ”
เสียงหวาน ๆ เงียบหายไปอึดใจเดียว  เมื่อรู้สึกได้ถึงความแปลกใจที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวบนเถาชิงช้า  “ข้าบอกท่าน
แล้วไง  ตราบใดที่ส่วนหนึ่งของข้าสัมผัสอยู่กับตัวท่าน  ไม่ว่าท่านนึกคิดสิ่งใด...”

          “ข้าไม่เคยเล่าเรื่องหญิงชราที่กลุ่มเอสทรูฟขนานนามว่ายายเฒ่าแมทรีต้าให้ผู้ใดฟังแต่ท่านคงรู้แล้วว่าข้า
พบเจอกับอะไรบ้าง  เพราะฉะนั้นท่านคงให้คำตอบแก่ข้าได้  ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

          “ราชินีน้อย อันที่จริงข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์มากไปนัก  ทั้ง ๆ ที่ข้ารู้อะไรมากมายจากบรรดาต้นไม้หรือ
ต้นหญ้าทุกต้นในเมืองเฮเวนน่านี่...  หากข้าส่งสัญญาณเตือนใด ๆ ไป  เหตุการณ์ร้ายหลาย ๆ อย่างคงจะไม่เกิดขึ้น
แต่นั่น..เท่ากับว่า ข้าได้ทำผิดกฎแห่งธรรมชาติเสียเอง”

          “ข้า...ข้า...”  ซายน์รู้สึกกระอักกระอ่วน

          “แต่มีบางเรื่องที่ข้าคงให้คำตอบแก่ท่านได้  ราชินีน้อย”  ต้นไม้ใหญ่สีเงิน ค่อย ๆ ให้ความกระจ่าง  “ในส่วนของ
ท่านผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า  ข้าคงไม่สามารถกล่าวถึงได้  แต่สำหรับหญิงชราคนนั้น  นางคือ เทพนารีแมทรีต้าจริง ๆ”

          “เทพนารี”  ซายน์อุทานด้วยความตกใจ  “แต่... แต่...นาง”

          “การเสียชีวิตไปพร้อมกับการทลายของหอคอยเทพเป็นเพียงข่าวที่ร่ำลือกันทั่วไป  แต่ก็สมควรแล้วที่ทุกคนจะ
เชื่อเช่นนั้น  เพราะซากปรักหักพังที่ได้ประจักษ์  หากจะมีใครรอดชีวิตคงเป็นเรื่องที่น่าโจษจันยิ่งกว่า  ...   อย่าให้ข้า
บอกเลยราชินีน้อยว่าเทพนารีแมทรีต้ารอดชีวิตมาได้เช่นไร”  พฤษธิดารีบห้ามเมื่อรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่  “หลักจาก
นั้น  พื้นที่ ที่เคยเป็นที่ตั้งของหอคอยเทพได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นจัตุรัสประลองเวท เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เริ่มเลือนหาย
ไปจากความทรงจำของผู้คน  จนกระทั่ง  ก่อนเกิดเหตุการณ์รุนแรงเมื่อ 16 ปีที่แล้วเพียงไม่นาน  หญิงชราคนหนึ่งได้
ปรากฏตัวขึ้นในตลาด และพร่ำบอกใครต่อใครว่านางคือเทพนารีแมทรีต้า  ซึ่งแน่นอนไม่มีใครเชื่อคำพูดของนาง 
แต่พากันหาว่านางคือหญิงชราที่เสียสติ และพร้อมใจกันเรียกนางว่า  ยายเฒ่าแมทรีต้า”

          “ใคร..  มีใครอยู่ตรงนั้นรึเปล่าคะ!!!”  ซายน์ตะโกนถาม เพราะอยู่ดี ๆ ซายน์ก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมอง
มาจากในมุมมืด  ก่อนจะรีบลงจากเถาชิงช้าวิ่งไปหาเด็กหญิงวัยสิบขวบที่เดินออกมาจากมุมมืดนั้น  “น้องหญิงโซรีน
มาทำอะไรที่นี่คะ”

           “พี่หญิง..  โซรีนกำลังตามหา คิน คิน ค่ะ”

          “คิน คิน หายไปหรือคะ”  ซายน์มองหน้าเด็กหญิงผู้ซึ่งเปรียบเสมือนน้องสาวอย่างสงสาร  ด้วยรู้ว่าตามปกติ
แล้วนางกับแมวตัวโตสีส้มตัวนั้นมักจะไม่ค่อยห่างจากกัน  “พี่หญิงไปช่วยหาให้มั้ยคะ”

           “ดีจังเลยค่ะ”  เด็กสาวยิ้มอย่างยินดี  “แล้วพี่หญิงมานั่งเงียบ ๆ ทำไมคนเดียวที่นี่คะ  ไม่เห็นจะสนุกเลย
เงียบก็เงียบ น่ากลัวก็น่ากลัว”

          “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ  รอพี่หญิงสักครู่นะคะ”  ซายน์รีบวิ่งกลับไปล่ำลาพฤษธิดา  และประโยคสุดท้ายที่ได้รับ
จากธิดาแห่งพฤกษาก็คือ  “ราชินีน้อย  ต่อจากนี้ไปข้าอยากให้ท่านระวังตัวให้มาก ระวังตัวให้ดี”

*****************************

 
           “ท่านหญิง  วันนี้ก็จะไม่เข้าเรียนอีกหรือเจ้าคะ”  หญิงรับใช้ส่วนตัว ถามอย่างเป็นกังวล

          “ก็ช่วงเช้าวันนี้  ต้องเข้าเรียนวิชาบุคลิกภาพและมารยาทขั้นต้น เกรซเน่ก็รู้ว่าน่าเบื่อแค่ไหน จะต้องเรียบร้อย
ให้สมกับเป็นสตรีบ้างล่ะ  จะต้องหัดเดิน หัดยืน หัดนั่งซะใหม่  เหมือนเป็นเด็ก ๆ เลย  แถมท่านอาจารย์ก็ดุ๊.. ดุ” 
ท่านหญิงที่ทำตัวกระโดกกระเดก ไม่สมกับตำแหน่งเริ่มอวดครวญ   เพราะตลอดห้าครั้งที่ผ่านมาในการเรียนวิชานี้
ซายน์มักจะโดนท่านอาจารย์ซึ่งเป็นหญิงชราเจ้าระเบียบดุอยู่เป็นประจำ

           “ไม่ไปไม่ได้นะเจ้าคะท่านหญิง  ประเดี๋ยวจะโดนท่านอาจารย์ดุเอา”

          “นะคะ เกรซเน่  ช่วยหน่อยนะคะ  ซายน์จะไปหาโฟร์ทที่เรือนสมุนไพร   เกรซเน่บอกท่านอาจารย์ว่าซายน์อยู่
กับท่านพี่ซิลแคลล์ก็ได้ค่ะ  ท่านอาจารย์คงไม่ว่าอะไร  ก็ท่านพี่ซิลแคลล์เป็นคนโปรดของท่านอยู่แล้ว ...  นะคะ...
นะคะ...”

*****************************


           เรือนกระจกหลังใหญ่โปร่งใสรับแสง  แต่กลับไม่รู้สึกร้อนด้วยไอแดดเลยสักนิด  พืชพรรณหลากรูปทรงหลากสี
ได้รับการแบ่งส่วนเพาะปลูกและดูแลอย่างดี   ส่วนซ้ายสุดติดริมกระจกปลูกด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ซึ่งให้ร่มเงา  
แตกต่างจากส่วนที่อยู่ชิดติดกระจกด้านขวาเพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งดูเหมือนจะมีแต่ไม้ที่เหี่ยวแห้งเฉาตาย ลำต้นสี
น้ำตาลแก่ที่โผล่พ้นพื้นกรวดหยาบ ๆ อย่างระเกะระกะ  ไร้กิ่งก้านดอกใบ ดูไร้ชีวิตชีวา  สองฝากฝั่งช่างแตกต่างกัน
สิ้นเชิง  ส่วนอื่น ๆ เท่าที่สายตาจะมองเห็นได้ขณะนี้  ต่างเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ละลานตาจนหญิงสาวแทบ
จะไม่กล้าเดินฝ่าเข้าไป

          “อ้าวซายน์... มาทำอะไรที่นี่”  เสียงใส ๆ ทักขึ้นอย่างแปลกใจ

          “โฟร์ท”  หญิงสาวผู้ถูกทักเอ่ยขึ้นอย่างดีใจปนโล่งใจ เมื่อคนที่ต้องการเจอปรากฏกายขึ้น

          “นึกยังไงถึงอยากมาที่เรือนสมุนไพรนี่ละ  วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียนหรือไง   แต่มาวันนี้ก็ดีแล้วนะ ท่านหญิงกำลังจะ
ลองนำดอกลีโน่ กับดอกฟาร่ามาผสมกัน  ถ้าทำสำเร็จแล้วล่ะก็  ... “

          ซายน์เดินตามหญิงสาวที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความตื่นเต้นไปเรื่อย ๆ แต่ความคิดของเธอกลับ
ลอยไปไกล  ไม่รู้ว่าท่านพี่ผู้ซึ่งเสมือนเจ้าของเรือนกระจกแห่งนี้จะไม่พอใจหรือไม่ ที่อยู่ ๆ เธอก็โผล่เข้ามาโดยไม่ขอ
อนุญาต  “ท่านหญิงเก่งมาก ๆ เลยนะ...”  น้ำเสียงของหญิงสาวตรงหน้าดังขึ้นในโสตประสาทอีกครั้ง  ทำเอาเธอ
แอบอมยิ้มไม่ได้   ก็ตั้งแต่  “เพื่อน”  คนนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าออกเรือนสมุนไพรเพื่อศึกษาและช่วยงานท่านหญิง
เจ้าของเรือนกระจกแห่งนี้  เธอได้ยินคำชมเช่นนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้  ดูท่าทางคนพูดจะชื่นชมท่านหญิงที่
กล่าวถึงเอามาก ๆ

           “ท่านหญิงเจ้าคะ  วันนี้มีแขกมาเยี่ยมด้วยเจ้าค่ะ”

           น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปฟังดูเป็นการเป็นงานขึ้น  ทำเอาซายน์หลุดจากภวังค์  ทันได้เห็นวงหน้างามของหญิงที่
นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่หันมามองเพียงชั่วครู่เดียวก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ  มือบอบบาง นิ้วเรียวยาว
เคลื่อนไหวหยิบจับอุปกรณ์ต่าง ๆ บนโต๊ะอย่างชำนาญ ไม่ได้สนใจ  “แขก” แม้แต่น้อย  ทำเอาผู้มาเยือนรู้สึกอึดอัดใจ
ไม่เบา

          “เอ่อ... เอ่อ....”  ไม่รู้จะทักทายหรือพูดอะไรดี  ในเมื่อตลอดหลายวันที่อยู่ในปราสาทแก้วนี่ ซายน์พูดคุยกับ
หญิงที่มีศักดิ์เป็นท่านพี่ของเธอเพียงไม่กี่ครั้ง

          “วันนี้เจ้าไม่มีเรียนหรือไง ใยถึงมาอยู่ที่นี่ได้”   น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ถามขึ้นลอย ๆ  ก่อนจะวางมือจากงาน
ตรงหน้า หันไปจ้องหน้าท่านหญิงอีกคนอย่างคาดคั้น  เมื่อเห็นว่าคนต้องตอบยังอึกอัก

          “มะ... มะ... มีค่ะ”  สายตาที่จ้องมองมาทำเอาซายน์ไม่กล้าพูดปด  “แต่.. แต่.....”

          “เจ้าหนีมาที่นี่  เพื่อใช้ข้าเป็นข้ออ้างซินะ  วิชาใดล่ะ”

           “บุคลิกภาพและมารยาทขั้นต้นค่ะ”  ซายน์อ้อมแอ้มตอบโดยที่รู้สึกร้อนฉ่าทั่วหน้าเมื่อถูกรู้ทัน แต่ถ้าตาไม่ฝาด 
ทันทีที่จบประโยคเธอรู้สึกเหมือนจะเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าที่นิ่งขรึมมาตลอด ก่อนที่จู่ ๆ ท่านหญิงซิลแคลล์จะ
ลุกขึ้นเดินออกไปจากเรือนกระจกเสียเฉย ๆ  ทำเอาเธอวางหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำให้เจ้าของสถานที่ไม่พอใจหรือไม่
ด้วยรู้ว่านางหวงแหนที่นี่เพียงใด  ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามที่นี่มากนัก เท่าที่รู้มาก็คงมีแต่  “เพื่อน”  ของเธอ
นี่เองที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่นี่ได้ตลอดเวลา

          “ไม่มีอะไรหรอกซายน์  อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ”

            “ท่านพี่คงไม่พอใจที่ข้ามา”

          “ท่านหญิงคงมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ  เดี๋ยวก็กลับมา  ดูซิท่านหญิงยังไม่เก็บขวดแก้วและเครื่องมือเหล่านี้เลย” 
โฟร์ทชี้ไปที่โต๊ะ  “ตามปกติแล้วหากจะไปจริง ๆ ท่านหญิงจะไม่ทิ้งทุกอย่างไว้เช่นนี้หรอก มาเหอะน่ะ”  หญิงสาว
เข้าไปลากมือเพื่อนผู้สูงศักดิ์ให้เข้ามาชมทุกอย่างใกล้ ๆ

           ซายน์กลับมาสนใจพื้นที่ส่วนที่ได้รับการกางกั้นเป็นห้องทำงานอย่างเต็มที่  หน้าต่างทรงกลมที่เธอเพิ่งเคยเห็น
ตั้งแต่เดินเข้าเรือนสมุนไพรมาเผยอออกเล็กน้อยเพื่อระบายอากาศ  สูงขึ้นไปตามชั้นบนผนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วย
ขวดแก้วหลากหลายขนาดแต่ได้รับการจัดเรียงไว้เป็นระเบียบ  แต่ละขวดมีป้ายแปะบ่งบอกชื่อและสรรพคุณไว้
เสร็จสรรพ  สายตาของซายน์ไปสะดุดกับกองกระดาษมุมหนึ่งของชั้นบนสุด ก่อนจะหยิบกระดาษบางส่วนนั้นลงมาดู

          “ท่านหญิงจดสูตรยาต่าง ๆ รวมทั้งจำพวกผลของการทดลองไว้น่ะ”  โฟร์ทให้คำตอบ

           ลายมือเป็นระเบียบสวยงามสมตัว  ทำเอาซายน์อดชื่นชมไม่ได้  ท่านพี่ของเธอคนนี้ดูจะเกิดมาเพื่อเป็น
ท่านหญิงเสียจริง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถ  ยิ่งเรื่องกิริยามารยาทยิ่งไม่ต้องพูดถึง  แม้จะดูอ่อนหวานแต่ก็
ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม เธอช่างเทียบไปติดเสียจริง ๆ ‘พิษจากดอกดาทูร่า…..’ ซายน์ก้มลงอ่านรายละเอียดบน
กระดาษช้า ๆ  ก่อนจะสะดุดกับตัวอักษรล่างสุดของมุมกระดาษ ตัวอักษรตัว  “S”

*****************************

           “เกือบเดือนแล้วนะ  นี่เจ้าไม่คิดจะพูดจากับข้าเลยหรือ”  น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจแต่เจือไปด้วยความขมขื่นใน
ปลายเสียงไม่ได้ทำให้ร่างสูงโปร่งหันกลับมาจากการยืนชมบรรยากาศภายนอกหน้าต่างนั้นเลย  เมื่อเห็นว่าทั้งห้อง
ยังปกคลุมไปด้วยความเงียบ  เจ้าของน้ำเสียงนั้นได้แต่ถอนหายใจแรง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป

           ทันทีที่เสียงฝีเท้าไกลออกไป  เจ้าของร่างสูงโปร่งหันกลับมามองตรงไปที่ประตูนิ่ง  นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม
ฉายแววเศร้าหมองแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้านั้นลดความคมคายเลยแม้แต่นิดเดียว  เกือบเดือนแล้ว.... ความคิดนี้ย้ำเตือน
เขาอีกครั้ง  เกือบเดือนแล้วที่เขาได้แต่อยู่ในห้องนี้  ทำได้เพียงแต่เฝ้ามองพระอาทิตย์และพระจันทร์สีรุ้งบ่งบอกวัน
และคืน  วิวนอกหน้าต่างที่เขาเฝ้ามองอยู่ทุกวันมีแต่ป่าทึบไกลสุดลูกหูลูกตา

           เขาถูกขังหรือ..ไม่ใช่...  เขาได้รับอิสระเต็มที่ อยากจะไปไหน หรือทำอะไรก็ได้ในปราสาทหินแห่งนี้ ใช่...
ปราสาทของผู้มีอำนาจสูงสูด  ผู้ครอบครองแลนด์เดียร์ว่า  แต่เขาเลือกที่จะอยู่แต่ในห้องนี่เองต่างหาก

          “เจ้าจะหมดอาลัยตายอยากไปถึงไหน ฮึ...”

         เสียงทุ้มต่ำ ดึงชายหนุ่มให้หลุดจากภวังค์  ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับชายตรงหน้าที่ก้าวผ่านประตูเข้ามา
ชายหนุ่มในชุดดำ หน้าตาหล่อเหลาชนิดว่าแค่สาว ๆ เห็นคงจะเผลอลืมหายใจ  ผมดำยาวถูกผูกสูงไว้กลางศีรษะก่อน
จะปล่อยปลายยาวลงมาประบ่า  ทั้ง ๆ ที่ เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้หลายครั้งแต่เขาก็ไม่เคยได้พินิจพิจารณาชายตรงหน้า
อย่างจริงจังได้เหมือนในขณะนี้มาก่อน  ขนาดราฟาที่ต้องชมว่ารูปงามแล้ว  ถ้ามาเทียบกันจริง ๆ เห็นทีจะ...  อืม...
ราฟา  ป่านนี้ทุกคนทางนั้นจะเป็นเช่นไรกันบ้างแล้ว คำถามนี้มักจะวนเวียนอยู่ในความคิดเขาอยู่ตลอดเวลา  จะต้อง
ทำยังไง ทำเช่นไรถึงจะได้รับรู้ข่าวได้บ้างนะ

           “เจ้านี่มันแปลกจริง ๆ”  เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าตนเองเงียบ ๆ “มีพ่อ ที่พร้อมจะ
ให้ความรักอยู่ตรงหน้ากลับไม่ยอมใส่ใจ”  น้ำเสียงที่ฟังดูแปร่ง ๆ เหมือนพยายามจะข่มความรู้สึกยังคงดังต่อเนื่อง
“มีคนอีกมากมายที่เพียงขอโอกาสได้เจอพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่กลับไม่มีโอกาส”

           “ถึงจะเป็นพ่อที่โหดร้ายงั้นรึ”  พูดออกไปก็แทบจะตกใจเสียงแหบห้าวของตัวเอง  คงเพราะไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ
ออกมานานมากแล้ว

          “เจ้าเอาอะไรมาวัดความโหดร้ายล่ะ”  ชายชุดดำถือวิสาสะเดินไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มหน้าเตาผิงโดยไม่ต้องรอให้
เจ้าของห้องเชื้อเชิญ

          “เขาให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าหรือไง  เคลอิ”

          “ฮึ ๆ ๆ เปล่าเลย  แต่เป็นข้าเองที่ทนดูไม่ได้  ท่านร็องดอร์ที่เคยทรงอำนาจ กล้าแกร่ง แต่แค่เพียงมีบุตรชาย...” 
เจ้าของน้ำเสียงพยายามเน้นคำท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยันอยู่ในที “มาปรากฏตรงหน้า  ก็กลับกลาย
เป็นคนอ่อนโยน และอ่อนแอขึ้นมาทันที”

          “ข้าไม่เข้าใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ข้ายอมหรือไม่ยอมรับเขาล่ะ  ถ้าเจ้าเห็นว่าข้าเป็นต้นเหตุให้เป็นเช่นนั้น 
เจ้าก็น่าจะกำจัดข้าไปให้พ้นซะมากกว่า จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป”

         “นั่นซิ  กำจัดเจ้าไปน่าจะง่ายกว่า”  ธรณีเทพจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะต่อท้ายเบา ๆ  “แต่คงจะมีประโยชน์
กว่านั้น  ถ้าเจ้าทำหน้าที่บุตรที่ดีมาช่วยงานบิดาของเจ้า  ท่านร็องดอร์จะได้กลับมามุ่งมั่นในเรื่องที่ควรจะทำมากกว่า
มามัวสนใจเรื่องของเจ้า เหมือนอย่างทุกวันนี้”

          “ช่วยงาน  ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า...”  เสียงหัวเราะร่าที่ดังขึ้น ทำเอาคนฟังถึงกับหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์

          “เจ้าจะขำอะไรนักหนาวายุเทพ”

          “เจ้าคิดว่าจะให้ข้าช่วยพวกเจ้าร่วมต่อสู้กับคนของเฮเวนน่างั้นรึ”  เจ้าของประโยคส่งคำถามผ่านทางสายตา
ไปยังชายชุดดำบนเก้าอี้  “ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่ ๆ”  เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มรีบกล่าวต่อเมื่อเห็นสายตาที่ส่งกลับมา
เป็นคำตอบ  “มาถึงตอนนี้ อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย  ข้าไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้าพวกเขาด้วยซ้ำ ในเมื่อ... เมื่อ.. คนที่เจ้าจะให้
ข้ายอมรับอยู่นี้  ทำอะไรที่ร้ายกาจเอาไว้มากมายขนาดนั้น”

           “แล้วคนเฮเวนน่าไม่ร้ายกาจหรือไง”  เสียงดังและเกรี้ยวกราดทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้ง คนพูดถึงได้สติกลับมา
นิ่งเหมือนเดิม  “จะร้ายกาจหรือไม่ร้ายกาจ  อยู่ที่เจ้าฟังความจากไหน  เมื่อเรื่องที่เจ้ารับรู้มีแต่การถูกกระทำของคน
เฮเวนน่า  พวกเราก็ย่อมเป็นคนร้ายกาจในสายตาเจ้าอยู่ร่ำไป  แต่มีอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้...นั่นคือสายเลือดใน
ตัวเจ้า”  ไม่ทันให้คนฟังได้แย้งอะไร  ชายชุดดำในของนามเคลอิ ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

*****************************


           “เป็นอะไรของเธอเนี่ย  ยายน้องตัวแสบดูเศร้า ๆ ซึม ๆ มาหลายวันแล้วนะ”

           เสียงของพี่ชายฝาแฝดทำเอาหญิงสาวได้แต่ถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง จะให้บอกใครได้ยังไงว่าตนเองกำลัง
หนักใจเรื่องอะไร   จะพูดจะบอกใครได้หรอว่าตนเองกำลังสงสัย....

            สงสัยว่าท่านหญิงผู้เรียบร้อยบอบบางคนหนึ่ง  นางอาจเป็นคนที่บงการพวกเอสทรูฟ พวกชายชุดดำที่พยายาม
จะจับตัวเธอในตลาดเมื่อครั้งก่อน  ภาพของชายที่อยู่ในชุดสีดำปักอักษรตัว  “S” สีน้ำเงินขนาดใหญ่ไว้ตรงหน้าอก
ด้านซ้ายและมีผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินเข้มซึ่งมีตัวอักษรแบบเดียวกันปักอยู่กึ่งกลางหน้าผากกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง 
พร้อม ๆ กับคำของชายหนุ่มที่เคยกล่าวกับเธอที่ลานเสพจันทร์  ‘ท่านเป็นถึงท่านหญิง  ตำแหน่งซึ่งมีโอกาสจะได้เป็น
ถึงราชินีในอนาคต’  อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ถึงต้องกำจัดเธอให้พ้นทาง

          บอกไปจะมีใครเชื่อไหมเนี่ย... แม้แต่เธอเองก็เหอะ  ยังไม่อยากจะเชื่อเลย  ท่านหญิงซิลแคลล์ผู้เรียบร้อย
อ่อนหวาน จะทำเรื่องเช่นนั้นได้จริง ๆ หรือ  โอ๊ย... ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว  ตั้งแต่ออกจากเรือนสมุนไพรวันนั้น  เธอแทบไม่มี
สมาธิทำอะไรเลย

          “นี่... ตกลงจะฝึกต่อมั้ยเนี่ย  อย่างนี้เมื่อไหร่จะเรียกใช้อาวุธประจำตัวได้คล่องล่ะซายน์”  เสียงของพี่ชายเหมือน
จะดุ  แต่ก็แฝงความห่วงใยอยู่ในน้ำเสียง  “คุณรูปปั้นอุตส่าห์ตั้งใจมอบของวิเศษขนาดนี้ให้แล้ว”

          “ซายน์รู้...พี่แซนด์  แต่ช่วงนี้มัน.. มัน...”

          “งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้เหอะ  อย่างน้อยก็สามารถเรียกเกราะป้องกันขึ้นมาได้ตามใจนึกแล้ว”

           “พี่แซนด์  ท่านผู้เฒ่ายังไม่กลับมาอีกหรือคะ   โอ๊ย...เมื่อไหร่ท่านจะกลับมานะ  ซายน์อยากเจอท่านใจจะ
ขาดแล้ว”  หญิงสาวเริ่มอวดครวญทันทีที่เห็นพี่ชายส่ายหน้าแทนคำตอบ

           “มีเรื่องอะไรรึเปล่าซายน์”  เมื่อเห็นน้องสาวยังเงียบแต่มีสีหน้าหนักใจ  ผู้เป็นพี่ก็ส่งความห่วงใยทอดผ่าน
สายตาที่อ่อนโยนไปให้  “แม้แต่พี่ชายคนนี้ก็บอกไม่ได้หรอซายน์”

***********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น