“วันนี้ราฟาคงไม่มาหรอกราชินีน้อย”
“พฤกษธิดา ท่านว่าอะไรนะคะ”
“ใจท่านลอยไปถึงไปถึงไหนแล้วเนี่ย ราชินีน้อย ข้าเพียงแต่แจ้งกับท่านว่า วันนี้ราฟาคงจะไม่มาที่ลาน
เสพจันทร์นี่หรอก”
“ข้า... ข้าก็ไม่ได้มารอเขาสักหน่อย” พูดพลางซายน์ก็พยายามหันมาตั้งใจนั่งแกว่งไกวบนเถาชิงช้าใต้
ต้นไม้ใหญ่สีเงินมากขึ้น “ข้าตั้งใจมาเป็นเพื่อนคุยกับท่านต่างหาก พฤกษธิดา”
“อย่านึกว่าข้าไม่รู้น๊า....” น้ำเสียงหวาน ๆ ออกจะล้อเลียนนั้น ทำเอาคนฟังถึงกับหน้าแดง “ชิงช้าที่ท่าน
นั่งอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของตัวข้า คงต้องขอแจ้งว่า สิ่งใดที่ท่านคิด ข้าก็จะสัมผัสได้เช่นกัน”
“ท่านนี่ขี้โกงจริง ๆ “ น้ำเสียงกระเง้ากระงอด แต่ก็ฟังออกว่าเป็นการเพียงเพื่อปกปิดอาการเขินอาย “แอบรู้
เรื่องของข้าไปมากมายเพียงใดแล้วก็ไม่รู้”
“ฮ่า..ฮ่า..” เสียงหัวเราะที่สดใสดังกังวาน “ราชินีน้อยจะให้ข้าบอกจริง ๆ หรือว่า ข้ารู้สิ่งใดในใจท่านบ้าง”
“ไม่.. ไม่ต้อง” หญิงสาวรีบปฏิเสธ เพราะนึกรู้ว่าธิดาแห่งพฤกษาจะกล่าวถึงเรื่องใดบ้าง และนางก็อายเกินกว่า
จะยอมให้เอื้อนเอ่ยเรื่องนั้นออกมา “ท่านอย่าแกล้งข้าเลย พฤษธิดา เราเปลี่ยนมาคุยเรื่องที่ข้าเพิ่งรับรู้มาเมื่อตอน
กลางวันดีกว่า”
“ท่านคงกำลังสงสัยเรื่องเทพนารีแมทรีต้า ท่านผู้เฒ่าเอสโทส และหญิงชราที่ท่านได้เจอในตลาดซินะ”
เสียงหวาน ๆ เงียบหายไปอึดใจเดียว เมื่อรู้สึกได้ถึงความแปลกใจที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวบนเถาชิงช้า “ข้าบอกท่าน
แล้วไง ตราบใดที่ส่วนหนึ่งของข้าสัมผัสอยู่กับตัวท่าน ไม่ว่าท่านนึกคิดสิ่งใด...”
“ข้าไม่เคยเล่าเรื่องหญิงชราที่กลุ่มเอสทรูฟขนานนามว่ายายเฒ่าแมทรีต้าให้ผู้ใดฟังแต่ท่านคงรู้แล้วว่าข้า
พบเจอกับอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นท่านคงให้คำตอบแก่ข้าได้ ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ราชินีน้อย อันที่จริงข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์มากไปนัก ทั้ง ๆ ที่ข้ารู้อะไรมากมายจากบรรดาต้นไม้หรือ
ต้นหญ้าทุกต้นในเมืองเฮเวนน่านี่... หากข้าส่งสัญญาณเตือนใด ๆ ไป เหตุการณ์ร้ายหลาย ๆ อย่างคงจะไม่เกิดขึ้น
แต่นั่น..เท่ากับว่า ข้าได้ทำผิดกฎแห่งธรรมชาติเสียเอง”
“ข้า...ข้า...” ซายน์รู้สึกกระอักกระอ่วน
“แต่มีบางเรื่องที่ข้าคงให้คำตอบแก่ท่านได้ ราชินีน้อย” ต้นไม้ใหญ่สีเงิน ค่อย ๆ ให้ความกระจ่าง “ในส่วนของ
ท่านผู้หยั่งรู้แห่งเฮเวนน่า ข้าคงไม่สามารถกล่าวถึงได้ แต่สำหรับหญิงชราคนนั้น นางคือ เทพนารีแมทรีต้าจริง ๆ”
“เทพนารี” ซายน์อุทานด้วยความตกใจ “แต่... แต่...นาง”
“การเสียชีวิตไปพร้อมกับการทลายของหอคอยเทพเป็นเพียงข่าวที่ร่ำลือกันทั่วไป แต่ก็สมควรแล้วที่ทุกคนจะ
เชื่อเช่นนั้น เพราะซากปรักหักพังที่ได้ประจักษ์ หากจะมีใครรอดชีวิตคงเป็นเรื่องที่น่าโจษจันยิ่งกว่า ... อย่าให้ข้า
บอกเลยราชินีน้อยว่าเทพนารีแมทรีต้ารอดชีวิตมาได้เช่นไร” พฤษธิดารีบห้ามเมื่อรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไรอยู่ “หลักจาก
นั้น พื้นที่ ที่เคยเป็นที่ตั้งของหอคอยเทพได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นจัตุรัสประลองเวท เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เริ่มเลือนหาย
ไปจากความทรงจำของผู้คน จนกระทั่ง ก่อนเกิดเหตุการณ์รุนแรงเมื่อ 16 ปีที่แล้วเพียงไม่นาน หญิงชราคนหนึ่งได้
ปรากฏตัวขึ้นในตลาด และพร่ำบอกใครต่อใครว่านางคือเทพนารีแมทรีต้า ซึ่งแน่นอนไม่มีใครเชื่อคำพูดของนาง
แต่พากันหาว่านางคือหญิงชราที่เสียสติ และพร้อมใจกันเรียกนางว่า ยายเฒ่าแมทรีต้า”
“ใคร.. มีใครอยู่ตรงนั้นรึเปล่าคะ!!!” ซายน์ตะโกนถาม เพราะอยู่ดี ๆ ซายน์ก็รู้สึกเหมือนว่ากำลังถูกจ้องมอง
มาจากในมุมมืด ก่อนจะรีบลงจากเถาชิงช้าวิ่งไปหาเด็กหญิงวัยสิบขวบที่เดินออกมาจากมุมมืดนั้น “น้องหญิงโซรีน
มาทำอะไรที่นี่คะ”
“พี่หญิง.. โซรีนกำลังตามหา คิน คิน ค่ะ”
“คิน คิน หายไปหรือคะ” ซายน์มองหน้าเด็กหญิงผู้ซึ่งเปรียบเสมือนน้องสาวอย่างสงสาร ด้วยรู้ว่าตามปกติ
แล้วนางกับแมวตัวโตสีส้มตัวนั้นมักจะไม่ค่อยห่างจากกัน “พี่หญิงไปช่วยหาให้มั้ยคะ”
“ดีจังเลยค่ะ” เด็กสาวยิ้มอย่างยินดี “แล้วพี่หญิงมานั่งเงียบ ๆ ทำไมคนเดียวที่นี่คะ ไม่เห็นจะสนุกเลย
เงียบก็เงียบ น่ากลัวก็น่ากลัว”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ รอพี่หญิงสักครู่นะคะ” ซายน์รีบวิ่งกลับไปล่ำลาพฤษธิดา และประโยคสุดท้ายที่ได้รับ
จากธิดาแห่งพฤกษาก็คือ “ราชินีน้อย ต่อจากนี้ไปข้าอยากให้ท่านระวังตัวให้มาก ระวังตัวให้ดี”
*****************************
“ท่านหญิง วันนี้ก็จะไม่เข้าเรียนอีกหรือเจ้าคะ” หญิงรับใช้ส่วนตัว ถามอย่างเป็นกังวล
“ก็ช่วงเช้าวันนี้ ต้องเข้าเรียนวิชาบุคลิกภาพและมารยาทขั้นต้น เกรซเน่ก็รู้ว่าน่าเบื่อแค่ไหน จะต้องเรียบร้อย
ให้สมกับเป็นสตรีบ้างล่ะ จะต้องหัดเดิน หัดยืน หัดนั่งซะใหม่ เหมือนเป็นเด็ก ๆ เลย แถมท่านอาจารย์ก็ดุ๊.. ดุ”
ท่านหญิงที่ทำตัวกระโดกกระเดก ไม่สมกับตำแหน่งเริ่มอวดครวญ เพราะตลอดห้าครั้งที่ผ่านมาในการเรียนวิชานี้
ซายน์มักจะโดนท่านอาจารย์ซึ่งเป็นหญิงชราเจ้าระเบียบดุอยู่เป็นประจำ
“ไม่ไปไม่ได้นะเจ้าคะท่านหญิง ประเดี๋ยวจะโดนท่านอาจารย์ดุเอา”
“นะคะ เกรซเน่ ช่วยหน่อยนะคะ ซายน์จะไปหาโฟร์ทที่เรือนสมุนไพร เกรซเน่บอกท่านอาจารย์ว่าซายน์อยู่
กับท่านพี่ซิลแคลล์ก็ได้ค่ะ ท่านอาจารย์คงไม่ว่าอะไร ก็ท่านพี่ซิลแคลล์เป็นคนโปรดของท่านอยู่แล้ว ... นะคะ...
นะคะ...”
*****************************
เรือนกระจกหลังใหญ่โปร่งใสรับแสง แต่กลับไม่รู้สึกร้อนด้วยไอแดดเลยสักนิด พืชพรรณหลากรูปทรงหลากสี
ได้รับการแบ่งส่วนเพาะปลูกและดูแลอย่างดี ส่วนซ้ายสุดติดริมกระจกปลูกด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ซึ่งให้ร่มเงา
แตกต่างจากส่วนที่อยู่ชิดติดกระจกด้านขวาเพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งดูเหมือนจะมีแต่ไม้ที่เหี่ยวแห้งเฉาตาย ลำต้นสี
น้ำตาลแก่ที่โผล่พ้นพื้นกรวดหยาบ ๆ อย่างระเกะระกะ ไร้กิ่งก้านดอกใบ ดูไร้ชีวิตชีวา สองฝากฝั่งช่างแตกต่างกัน
สิ้นเชิง ส่วนอื่น ๆ เท่าที่สายตาจะมองเห็นได้ขณะนี้ ต่างเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ละลานตาจนหญิงสาวแทบ
จะไม่กล้าเดินฝ่าเข้าไป
“อ้าวซายน์... มาทำอะไรที่นี่” เสียงใส ๆ ทักขึ้นอย่างแปลกใจ
“โฟร์ท” หญิงสาวผู้ถูกทักเอ่ยขึ้นอย่างดีใจปนโล่งใจ เมื่อคนที่ต้องการเจอปรากฏกายขึ้น
“นึกยังไงถึงอยากมาที่เรือนสมุนไพรนี่ละ วันนี้ไม่ต้องเข้าเรียนหรือไง แต่มาวันนี้ก็ดีแล้วนะ ท่านหญิงกำลังจะ
ลองนำดอกลีโน่ กับดอกฟาร่ามาผสมกัน ถ้าทำสำเร็จแล้วล่ะก็ ... “
ซายน์เดินตามหญิงสาวที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความตื่นเต้นไปเรื่อย ๆ แต่ความคิดของเธอกลับ
ลอยไปไกล ไม่รู้ว่าท่านพี่ผู้ซึ่งเสมือนเจ้าของเรือนกระจกแห่งนี้จะไม่พอใจหรือไม่ ที่อยู่ ๆ เธอก็โผล่เข้ามาโดยไม่ขอ
อนุญาต “ท่านหญิงเก่งมาก ๆ เลยนะ...” น้ำเสียงของหญิงสาวตรงหน้าดังขึ้นในโสตประสาทอีกครั้ง ทำเอาเธอ
แอบอมยิ้มไม่ได้ ก็ตั้งแต่ “เพื่อน” คนนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าออกเรือนสมุนไพรเพื่อศึกษาและช่วยงานท่านหญิง
เจ้าของเรือนกระจกแห่งนี้ เธอได้ยินคำชมเช่นนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ดูท่าทางคนพูดจะชื่นชมท่านหญิงที่
กล่าวถึงเอามาก ๆ
“ท่านหญิงเจ้าคะ วันนี้มีแขกมาเยี่ยมด้วยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปฟังดูเป็นการเป็นงานขึ้น ทำเอาซายน์หลุดจากภวังค์ ทันได้เห็นวงหน้างามของหญิงที่
นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ตัวใหญ่หันมามองเพียงชั่วครู่เดียวก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ มือบอบบาง นิ้วเรียวยาว
เคลื่อนไหวหยิบจับอุปกรณ์ต่าง ๆ บนโต๊ะอย่างชำนาญ ไม่ได้สนใจ “แขก” แม้แต่น้อย ทำเอาผู้มาเยือนรู้สึกอึดอัดใจ
ไม่เบา
“เอ่อ... เอ่อ....” ไม่รู้จะทักทายหรือพูดอะไรดี ในเมื่อตลอดหลายวันที่อยู่ในปราสาทแก้วนี่ ซายน์พูดคุยกับ
หญิงที่มีศักดิ์เป็นท่านพี่ของเธอเพียงไม่กี่ครั้ง
“วันนี้เจ้าไม่มีเรียนหรือไง ใยถึงมาอยู่ที่นี่ได้” น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ถามขึ้นลอย ๆ ก่อนจะวางมือจากงาน
ตรงหน้า หันไปจ้องหน้าท่านหญิงอีกคนอย่างคาดคั้น เมื่อเห็นว่าคนต้องตอบยังอึกอัก
“มะ... มะ... มีค่ะ” สายตาที่จ้องมองมาทำเอาซายน์ไม่กล้าพูดปด “แต่.. แต่.....”
“เจ้าหนีมาที่นี่ เพื่อใช้ข้าเป็นข้ออ้างซินะ วิชาใดล่ะ”
“บุคลิกภาพและมารยาทขั้นต้นค่ะ” ซายน์อ้อมแอ้มตอบโดยที่รู้สึกร้อนฉ่าทั่วหน้าเมื่อถูกรู้ทัน แต่ถ้าตาไม่ฝาด
ทันทีที่จบประโยคเธอรู้สึกเหมือนจะเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าที่นิ่งขรึมมาตลอด ก่อนที่จู่ ๆ ท่านหญิงซิลแคลล์จะ
ลุกขึ้นเดินออกไปจากเรือนกระจกเสียเฉย ๆ ทำเอาเธอวางหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำให้เจ้าของสถานที่ไม่พอใจหรือไม่
ด้วยรู้ว่านางหวงแหนที่นี่เพียงใด ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามที่นี่มากนัก เท่าที่รู้มาก็คงมีแต่ “เพื่อน” ของเธอ
นี่เองที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่นี่ได้ตลอดเวลา
“ไม่มีอะไรหรอกซายน์ อย่าทำหน้าแบบนั้นซิ”
“ท่านพี่คงไม่พอใจที่ข้ามา”
“ท่านหญิงคงมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ เดี๋ยวก็กลับมา ดูซิท่านหญิงยังไม่เก็บขวดแก้วและเครื่องมือเหล่านี้เลย”
โฟร์ทชี้ไปที่โต๊ะ “ตามปกติแล้วหากจะไปจริง ๆ ท่านหญิงจะไม่ทิ้งทุกอย่างไว้เช่นนี้หรอก มาเหอะน่ะ” หญิงสาว
เข้าไปลากมือเพื่อนผู้สูงศักดิ์ให้เข้ามาชมทุกอย่างใกล้ ๆ
ซายน์กลับมาสนใจพื้นที่ส่วนที่ได้รับการกางกั้นเป็นห้องทำงานอย่างเต็มที่ หน้าต่างทรงกลมที่เธอเพิ่งเคยเห็น
ตั้งแต่เดินเข้าเรือนสมุนไพรมาเผยอออกเล็กน้อยเพื่อระบายอากาศ สูงขึ้นไปตามชั้นบนผนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วย
ขวดแก้วหลากหลายขนาดแต่ได้รับการจัดเรียงไว้เป็นระเบียบ แต่ละขวดมีป้ายแปะบ่งบอกชื่อและสรรพคุณไว้
เสร็จสรรพ สายตาของซายน์ไปสะดุดกับกองกระดาษมุมหนึ่งของชั้นบนสุด ก่อนจะหยิบกระดาษบางส่วนนั้นลงมาดู
“ท่านหญิงจดสูตรยาต่าง ๆ รวมทั้งจำพวกผลของการทดลองไว้น่ะ” โฟร์ทให้คำตอบ
ลายมือเป็นระเบียบสวยงามสมตัว ทำเอาซายน์อดชื่นชมไม่ได้ ท่านพี่ของเธอคนนี้ดูจะเกิดมาเพื่อเป็น
ท่านหญิงเสียจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถ ยิ่งเรื่องกิริยามารยาทยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้จะดูอ่อนหวานแต่ก็
ยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม เธอช่างเทียบไปติดเสียจริง ๆ ‘พิษจากดอกดาทูร่า…..’ ซายน์ก้มลงอ่านรายละเอียดบน
กระดาษช้า ๆ ก่อนจะสะดุดกับตัวอักษรล่างสุดของมุมกระดาษ ตัวอักษรตัว “S”
*****************************
“เกือบเดือนแล้วนะ นี่เจ้าไม่คิดจะพูดจากับข้าเลยหรือ” น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจแต่เจือไปด้วยความขมขื่นใน
ปลายเสียงไม่ได้ทำให้ร่างสูงโปร่งหันกลับมาจากการยืนชมบรรยากาศภายนอกหน้าต่างนั้นเลย เมื่อเห็นว่าทั้งห้อง
ยังปกคลุมไปด้วยความเงียบ เจ้าของน้ำเสียงนั้นได้แต่ถอนหายใจแรง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่เสียงฝีเท้าไกลออกไป เจ้าของร่างสูงโปร่งหันกลับมามองตรงไปที่ประตูนิ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม
ฉายแววเศร้าหมองแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้านั้นลดความคมคายเลยแม้แต่นิดเดียว เกือบเดือนแล้ว.... ความคิดนี้ย้ำเตือน
เขาอีกครั้ง เกือบเดือนแล้วที่เขาได้แต่อยู่ในห้องนี้ ทำได้เพียงแต่เฝ้ามองพระอาทิตย์และพระจันทร์สีรุ้งบ่งบอกวัน
และคืน วิวนอกหน้าต่างที่เขาเฝ้ามองอยู่ทุกวันมีแต่ป่าทึบไกลสุดลูกหูลูกตา
เขาถูกขังหรือ..ไม่ใช่... เขาได้รับอิสระเต็มที่ อยากจะไปไหน หรือทำอะไรก็ได้ในปราสาทหินแห่งนี้ ใช่...
ปราสาทของผู้มีอำนาจสูงสูด ผู้ครอบครองแลนด์เดียร์ว่า แต่เขาเลือกที่จะอยู่แต่ในห้องนี่เองต่างหาก
“เจ้าจะหมดอาลัยตายอยากไปถึงไหน ฮึ...”
เสียงทุ้มต่ำ ดึงชายหนุ่มให้หลุดจากภวังค์ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับชายตรงหน้าที่ก้าวผ่านประตูเข้ามา
ชายหนุ่มในชุดดำ หน้าตาหล่อเหลาชนิดว่าแค่สาว ๆ เห็นคงจะเผลอลืมหายใจ ผมดำยาวถูกผูกสูงไว้กลางศีรษะก่อน
จะปล่อยปลายยาวลงมาประบ่า ทั้ง ๆ ที่ เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้หลายครั้งแต่เขาก็ไม่เคยได้พินิจพิจารณาชายตรงหน้า
อย่างจริงจังได้เหมือนในขณะนี้มาก่อน ขนาดราฟาที่ต้องชมว่ารูปงามแล้ว ถ้ามาเทียบกันจริง ๆ เห็นทีจะ... อืม...
ราฟา ป่านนี้ทุกคนทางนั้นจะเป็นเช่นไรกันบ้างแล้ว คำถามนี้มักจะวนเวียนอยู่ในความคิดเขาอยู่ตลอดเวลา จะต้อง
ทำยังไง ทำเช่นไรถึงจะได้รับรู้ข่าวได้บ้างนะ
“เจ้านี่มันแปลกจริง ๆ” เสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าตนเองเงียบ ๆ “มีพ่อ ที่พร้อมจะ
ให้ความรักอยู่ตรงหน้ากลับไม่ยอมใส่ใจ” น้ำเสียงที่ฟังดูแปร่ง ๆ เหมือนพยายามจะข่มความรู้สึกยังคงดังต่อเนื่อง
“มีคนอีกมากมายที่เพียงขอโอกาสได้เจอพ่อก็เพียงพอแล้ว แต่กลับไม่มีโอกาส”
“ถึงจะเป็นพ่อที่โหดร้ายงั้นรึ” พูดออกไปก็แทบจะตกใจเสียงแหบห้าวของตัวเอง คงเพราะไม่ได้เปล่งเสียงใด ๆ
ออกมานานมากแล้ว
“เจ้าเอาอะไรมาวัดความโหดร้ายล่ะ” ชายชุดดำถือวิสาสะเดินไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มหน้าเตาผิงโดยไม่ต้องรอให้
เจ้าของห้องเชื้อเชิญ
“เขาให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าหรือไง เคลอิ”
“ฮึ ๆ ๆ เปล่าเลย แต่เป็นข้าเองที่ทนดูไม่ได้ ท่านร็องดอร์ที่เคยทรงอำนาจ กล้าแกร่ง แต่แค่เพียงมีบุตรชาย...”
เจ้าของน้ำเสียงพยายามเน้นคำท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเย้ยหยันอยู่ในที “มาปรากฏตรงหน้า ก็กลับกลาย
เป็นคนอ่อนโยน และอ่อนแอขึ้นมาทันที”
“ข้าไม่เข้าใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่ข้ายอมหรือไม่ยอมรับเขาล่ะ ถ้าเจ้าเห็นว่าข้าเป็นต้นเหตุให้เป็นเช่นนั้น
เจ้าก็น่าจะกำจัดข้าไปให้พ้นซะมากกว่า จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป”
“นั่นซิ กำจัดเจ้าไปน่าจะง่ายกว่า” ธรณีเทพจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะต่อท้ายเบา ๆ “แต่คงจะมีประโยชน์
กว่านั้น ถ้าเจ้าทำหน้าที่บุตรที่ดีมาช่วยงานบิดาของเจ้า ท่านร็องดอร์จะได้กลับมามุ่งมั่นในเรื่องที่ควรจะทำมากกว่า
มามัวสนใจเรื่องของเจ้า เหมือนอย่างทุกวันนี้”
“ช่วยงาน ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า...” เสียงหัวเราะร่าที่ดังขึ้น ทำเอาคนฟังถึงกับหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์
“เจ้าจะขำอะไรนักหนาวายุเทพ”
“เจ้าคิดว่าจะให้ข้าช่วยพวกเจ้าร่วมต่อสู้กับคนของเฮเวนน่างั้นรึ” เจ้าของประโยคส่งคำถามผ่านทางสายตา
ไปยังชายชุดดำบนเก้าอี้ “ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่ ๆ” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มรีบกล่าวต่อเมื่อเห็นสายตาที่ส่งกลับมา
เป็นคำตอบ “มาถึงตอนนี้ อย่าว่าแต่ต่อสู้เลย ข้าไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้าพวกเขาด้วยซ้ำ ในเมื่อ... เมื่อ.. คนที่เจ้าจะให้
ข้ายอมรับอยู่นี้ ทำอะไรที่ร้ายกาจเอาไว้มากมายขนาดนั้น”
“แล้วคนเฮเวนน่าไม่ร้ายกาจหรือไง” เสียงดังและเกรี้ยวกราดทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้ง คนพูดถึงได้สติกลับมา
นิ่งเหมือนเดิม “จะร้ายกาจหรือไม่ร้ายกาจ อยู่ที่เจ้าฟังความจากไหน เมื่อเรื่องที่เจ้ารับรู้มีแต่การถูกกระทำของคน
เฮเวนน่า พวกเราก็ย่อมเป็นคนร้ายกาจในสายตาเจ้าอยู่ร่ำไป แต่มีอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้...นั่นคือสายเลือดใน
ตัวเจ้า” ไม่ทันให้คนฟังได้แย้งอะไร ชายชุดดำในของนามเคลอิ ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
*****************************
“เป็นอะไรของเธอเนี่ย ยายน้องตัวแสบดูเศร้า ๆ ซึม ๆ มาหลายวันแล้วนะ”
เสียงของพี่ชายฝาแฝดทำเอาหญิงสาวได้แต่ถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง จะให้บอกใครได้ยังไงว่าตนเองกำลัง
หนักใจเรื่องอะไร จะพูดจะบอกใครได้หรอว่าตนเองกำลังสงสัย....
สงสัยว่าท่านหญิงผู้เรียบร้อยบอบบางคนหนึ่ง นางอาจเป็นคนที่บงการพวกเอสทรูฟ พวกชายชุดดำที่พยายาม
จะจับตัวเธอในตลาดเมื่อครั้งก่อน ภาพของชายที่อยู่ในชุดสีดำปักอักษรตัว “S” สีน้ำเงินขนาดใหญ่ไว้ตรงหน้าอก
ด้านซ้ายและมีผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินเข้มซึ่งมีตัวอักษรแบบเดียวกันปักอยู่กึ่งกลางหน้าผากกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง
พร้อม ๆ กับคำของชายหนุ่มที่เคยกล่าวกับเธอที่ลานเสพจันทร์ ‘ท่านเป็นถึงท่านหญิง ตำแหน่งซึ่งมีโอกาสจะได้เป็น
ถึงราชินีในอนาคต’ อาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง ถึงต้องกำจัดเธอให้พ้นทาง
บอกไปจะมีใครเชื่อไหมเนี่ย... แม้แต่เธอเองก็เหอะ ยังไม่อยากจะเชื่อเลย ท่านหญิงซิลแคลล์ผู้เรียบร้อย
อ่อนหวาน จะทำเรื่องเช่นนั้นได้จริง ๆ หรือ โอ๊ย... ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ตั้งแต่ออกจากเรือนสมุนไพรวันนั้น เธอแทบไม่มี
สมาธิทำอะไรเลย
“นี่... ตกลงจะฝึกต่อมั้ยเนี่ย อย่างนี้เมื่อไหร่จะเรียกใช้อาวุธประจำตัวได้คล่องล่ะซายน์” เสียงของพี่ชายเหมือน
จะดุ แต่ก็แฝงความห่วงใยอยู่ในน้ำเสียง “คุณรูปปั้นอุตส่าห์ตั้งใจมอบของวิเศษขนาดนี้ให้แล้ว”
“ซายน์รู้...พี่แซนด์ แต่ช่วงนี้มัน.. มัน...”
“งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้เหอะ อย่างน้อยก็สามารถเรียกเกราะป้องกันขึ้นมาได้ตามใจนึกแล้ว”
“พี่แซนด์ ท่านผู้เฒ่ายังไม่กลับมาอีกหรือคะ โอ๊ย...เมื่อไหร่ท่านจะกลับมานะ ซายน์อยากเจอท่านใจจะ
ขาดแล้ว” หญิงสาวเริ่มอวดครวญทันทีที่เห็นพี่ชายส่ายหน้าแทนคำตอบ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าซายน์” เมื่อเห็นน้องสาวยังเงียบแต่มีสีหน้าหนักใจ ผู้เป็นพี่ก็ส่งความห่วงใยทอดผ่าน
สายตาที่อ่อนโยนไปให้ “แม้แต่พี่ชายคนนี้ก็บอกไม่ได้หรอซายน์”
***********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น